ผู้เขียน หัวข้อ: 'สรรเสริญ'ขอกลุ่มหนุน'หมอณรงค์'เข้าใจสถานการณ์  (อ่าน 408 ครั้ง)

story

  • Staff
  • Hero Member
  • ****
  • กระทู้: 9763
    • ดูรายละเอียด
“พล.ต.สรรเสริญ” ชม “นพ.ณรงค์” เป็นสุภาพบุรุษ วอนกลุ่มหนุนเข้าใจสถานการณ์ ระบุ นายกฯห่วงความขัดแย้ง

พล.ต.สรรเสริญ แก้วกำเนิด รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี ให้สัมภาษณ์กรณีการโยกย้ายนพ.ณรงค์ สหเมธาพัฒน์ ปลัดกระทรวงสาธารณสุข ว่า ในข้อเท็จจริงทั้งนพ.รัชตะ รัชตะนาวิน รมว.สาธารณสุข และนพ.ณรงค์เป็นคนดีทั้งคู่ เพียงแต่แนวคิดในการทำงานยังไม่ลงตัว ทำให้การขับเคลื่อนงานของรัฐบาล ซึ่งมีเวลาไม่นานนัก ทำได้ไม่เต็มที่ และไม่เต็มประสิทธิภาพ แต่ยืนยันได้ว่าทั้งสองคนเป็นคนดี

อย่างไรก็ตาม ก่อนหน้านี้ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) ให้นโยบายไว้ว่า ให้ไปหาจุดลงตัวให้ได้โดยการไปพูดคุย ปรับวิธีการทำงานซึ่งก็ใช้เวลานานพอสมควรประมาณ 7 เดือน ก็ยังหาจุดลงตัวไม่ได้ และนพ.ณรงค์ก็ได้แสดงความเป็นสุภาพบุรุษ โดยพูดไว้กับนายยงยุทธ ยุทธวงศ์ รองนายกรัฐมนตรี พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม รวมทั้งพูดกับนายกฯ ด้วยตนเองว่า ยินดีถ้าเห็นว่าการทำงานยังไม่สามารถหาจุดลงตัวได้ ก็ขอให้โยกตัวท่านเองออกมาจากจุดความขัดแย้ง จะได้สามารถดำเนินงานต่อไปได้ ถือว่ามีความเป็นสุภาพบุรุษ เป็นสุภาพชนของนพ.ณรงค์ อีกทั้งปลัดกระทรวงสาธารณสุขก็เข้าใจสถานการณ์บ้านเมืองและเข้าใจบทบาท ภารกิจหน้าที่ของรัฐบาลเป็นอย่างดี วันนี้ต้องขอบคุณนพ.ณรงค์ที่ทำให้ปัญหาต่างๆ คลี่คลาย

“การที่นพ.ณรงค์มาอยู่ที่สำนักนายกรัฐมนตรี นายกฯมีการมอบหมายภารกิจที่ชัดเจนแล้ว โดยวันนี้นพ.ณรงค์จะเข้ามารายงานตัวกับนายสุวพันธุ์ ตันยุวรรธนะ รมต.ประจำสำนักนายกฯ อีกทั้งสิทธิต่างๆ ที่เคยมีอยู่ในตำแหน่งปลัดกระทรวงสาธารณสุขก็ยังคงได้สิทธิเช่นเดิม จึงถามว่า เรื่องนี้น่าจะจบบนพื้นฐานการเป็นสุภาพบุรุษ ที่มีความเข้าใจสถานการณ์ต่างและได้ปวารณาตัวเอง” พล.ต.สรรเสริญ กล่าว

เมื่อถามว่า แต่ขณะนี้มีความเคลื่อนไหวกดดันจากกลุ่มแพทย์ต่างๆ เพื่อให้มีการปลด รมว.สาธารณสุขแทน พล.ต.สรรเสริญ กล่าวว่า คงไม่ใช่เป็นแรงกดดัน คิดว่า เมื่อมีข่าวการดึงนพ.ณรงค์มาอยู่ที่สำนักนายกฯ จึงเป็นปกติที่จะมีคนเห็นด้วยและไม่เห็นด้วย แต่เมื่อได้ชี้แจงแล้วว่า นพ.ณรงค์เป็นผู้ปวารณาตัวเอง เชื่อว่าจะสามารถทำความเข้าใจกับกลุ่มคนที่มีความคิดเดียวกันได้ และสามารถเดินหน้าการทำงานต่อไปได้โดยไม่สะดุด และปกติหลักการบริหารราชการ หากผู้บังคับบัญชายังหาจุดลงตัวกันไม่ได้ ในการปฏิบัติงานก็ต้องยึดที่ตัวผู้บัญชาเป็นหลัก นั่นคือตัวรัฐมนตรีและการที่นพ.ณรงค์ออกมาจากพื้นที่คณะกรรมการตรวจสอบ ก็จะได้เข้าไปทำงานถือเป็นเรื่องที่ดี ที่คณะกรรมการจะได้ทำงานอย่างเต็มที่ และตัวนพ.ณรงค์เองก็จะได้ไม่ถูกครหา

ส่วนที่ทีมที่ปรึกษาของนพ.รัชตะ บางคนลาออกจากตำแหน่ง เพื่อแสดงความไม่เห็นด้วยกับคำสั่งดังกล่าวนั้นก็ไม่เป็นไร ถือเป็นแนวความคิดของแต่และคน แต่หลักการคือต้องรับนโยบายของรัฐบาลเพื่อไปขับเคลื่อนงานต่อไปได้ทุกอย่างน่าจะจบ อีกทั้งรัฐบาลก็ไม่ได้ตั้งคนนอกเข้าไป แต่มอบหมายให้รองปลัดฯ ไปปฏิบัติหน้าที่แทน และเท่าที่ฟังนพ.ณรงค์เองก็ให้กำลังใจการทำงานของรัฐบาลจึงเชื่อว่ากระแสกดดันต่างๆ น่าจะหมดไป

ผู้สื่อข่าวถามว่า สถานการณ์ที่เกิดขึ้นในกระทรวงสาธารณสุขจะกระทบต่อการบริหารจัดการภายในกระทรวงหรือไม่ พล.ต.สรรเสริญ กล่าวว่า ก่อนหน้านี้อาจจะมีสถานการณ์บ้าง แต่ถึงวันนี้เมื่อมีความชัดเจนจากนพ.ณรงค์แล้วสิ่งต่างๆ ก็น่าจะคลี่คลาย และไม่ใช่นายกฯ คนเดียวที่มั่นใจว่าปัญหาทุกอย่างจะคลี่คลาย แต่เมื่อทุกคนได้ฟังคำชี้แจงของนพ.ณรงค์ ก็เกิดความมั่นใจร่วมกัน และไม่ได้หมายความว่านพ.ณรงค์มีความผิด ไม่คิดว่าจะเป็นน้ำผึ้งหยดเดียวที่จะทำให้เกิดปัญหา เพราะถ้าคิดว่านพ.ณรงค์เองก็เป็นหัวหอกในการเคลื่อนไหวประเทศก็คงเดินต่อไม่ได้ เราต้องเข้าใจสถานการณ์บ้านเมือง เสียสละจึงขอวิงวอน ไปยังกลุ่มที่สนับสนุนนพ.ณรงค์ให้เข้าใจสถานการณ์ ทุกอย่างก็จะเดินหน้าไปได้

ผู้สื่อข่าวถามว่า ช่วงนี้รัฐบาลรับแรงกระแทกจากหลายเรื่องนายกฯ ได้แสดงความเป็นห่วงในเรื่องใดบ้างเป็นพิเศษ พล.ต.สรรเสริญ กล่าวว่า นายกฯ มีความเป็นห่วงโดยเฉพาะเรื่องความไม่เข้าใจเพราะที่ผ่านมาประเทศไทย ไม่ค่อยมีการปฏิรูปในทุกรูปแบบ ดังนั้น การจัดระบบต่างๆ ที่รัฐบาลพยายามทำไม่ว่าจะเป็น ระบบภาษี การจัดระเบียบสังคมหรือแม้แต่ด้านการเกษตร อุตสาหกรรม การปฏิรูปทุกอย่างย่อมมีผู้ได้และผู้เสีย แต่ถ้าสังคมเข้าใจว่า การปฏิรูปทั้งหมดจะเป็นประโยชน์ต่อส่วนรวม ความเข้าใจก็น่าจะคลี่คลายมากขึ้น อย่างกรณีเรื่องของภาษีบ้านมีการวิพากษ์วิจารณ์ว่า รัฐบาลถังแตก จึงพยายามที่จะรีดภาษีจากประชาชน ซึ่งมันไม่ใช่ ทุกอย่างที่รัฐบาลทำนั้นเพื่ออนาคต



โดย : กรุงเทพธุรกิจออนไลน์ วันที่ 12 มีนาคม 2558