ผู้เขียน หัวข้อ: สรุปข่าวเด่นในรอบสัปดาห์ 6-13 ส.ค.2555  (อ่าน 1509 ครั้ง)

story

  • Staff
  • Hero Member
  • ****
  • กระทู้: 9789
    • ดูรายละเอียด
สรุปข่าวเด่นในรอบสัปดาห์ 6-13 ส.ค.2555
« เมื่อ: 20 สิงหาคม 2012, 03:32:09 »
 1. กองราชเลขาฯ ใน “พระราชินี” แจ้งเลื่อนการเข้าเฝ้าฯ ถวายพระพร ด้วยยังทรงพระประชวร ด้าน วธ. ถวายพระราชสมัญญา “อัคราภิรักษศิลปิน”!

       เมื่อวันที่ 8 ส.ค. สำนักพระราชวังได้ออกแถลงการณ์ความคืบหน้าพระอากากรประชวรของสมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถ ขณะประทับ ณ โรงพยาบาลศิริราช ฉบับที่ 7 ความว่า คณะแพทย์รายงานว่า พระองค์ทรงพระดำเนินได้มากขึ้น เสวยพระกระยาหารได้มากขึ้น ผลตรวจพระโลหิตอยู่ในเกณฑ์ที่น่าพอใจ ไม่มีภาวะแทรกซ้อน อย่างไรก็ตาม คณะแพทย์ได้ขอพระราชทานให้ทรงงดพระราชกิจต่อไปอีกระยะหนึ่ง
       
       ซึ่งต่อมา กองราชเลขานุการในพระองค์สมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถ ได้ประกาศขอเลื่อนการพระราชทานพระราชวโรกาสให้คณะบุคคลต่างๆ เข้าเฝ้าฯ เพื่อน้อมเกล้าฯ ถวายพระพรชัยมงคลในวันเสาร์ที่ 11 ส.ค.2555 เวลา 16.30น. ณ ศาลาดุสิดาลัย สวนจิตรลดา พระราชวังดุสิต ออกไปก่อน
       
       ขณะที่กองพระราชพิธี สำนักพระราชวัง ได้แจ้งว่า พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้สมเด็จพระบรมโอรสาธิราชฯ สยามมกุฎราชกุมาร เสด็จฯ แทนพระองค์ไปทรงประกอบพระราชพิธีมหามงคลเฉลิมพระชนมพรรษา 80 พรรษา 12 ส.ค.2555 ณ วัดพระศรีรัตนศาสดาราม และพระที่นั่งอมรินทรวินิจฉัย ในพระบรมมหาราชวัง ในวันที่ 12 ส.ค.เวลา 17.00น. สำหรับวันที่ 13 ส.ค.เวลา 10.30น. พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี เสด็จฯ แทนพระองค์ไปทรงประกอบพระราชพิธีมหามงคลเฉลิมพระชนมพรรษา 80 พรรษา 12 ส.ค.2555 ณ พระที่นั่งอมรินทรวินิจฉัย ในพระบรมมหาราชวัง
       
       ทั้งนี้ ในช่วงค่ำวันที่ 12 ส.ค.เวลา 19.19น. น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร นายกรัฐมนตรี ได้เป็นประธานในพิธีจุดเทียนชัยถวายพระพรชัยมงคลและถวายสดุดีเฉลิมพระเกียรติสมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถ ณ มณฑลพิธีท้องสนามหลวง โดยประชาชนทุกหมู่เหล่าต่างพร้อมใจกันร่วมจุดเทียนชัยถวายพระพร และเปล่งเสียง “ทรงพระเจริญ” ดังกึกก้องไปทั่วบริเวณ
       
       ด้านกระทรวงวัฒนธรรม(วธ.) ได้ถวายพระราชสมัญญาแด่สมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถว่า “อัคราภิรักษศิลปิน” หมายถึงศิลปินยิ่งใหญ่ผู้ปกปักรักษางานศิลปะ ด้วยสำนึกในพระมหากรุณาธิคุณและเพื่อเป็นการเฉลิมพระเกียรติในโอกาสพระราชพิธีมหามงคลเฉลิมพระชนมพรรษา 80 พรรษา
       
       สำหรับงานวันแม่แห่งชาติ ประจำปี 2555 ณ อาคารใหม่ สวนอัมพร ซึ่งมีขึ้นเมื่อวันที่ 12 ส.ค.นั้น สมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถ ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้พระเจ้าวรวงศ์เธอ พระองค์เจ้าโสมสวลี พระวรราชาทินัดดามาตุ เสด็จฯ แทนพระองค์ไปทรงเปิดงาน โดยปีนี้มีแม่ดีเด่นที่ได้รับรางวัลทั้งสิ้น 214 คน ได้แก่ นางเยาวเรศ ชินวัตร อดีตประธานสภาสตรีแห่งชาติฯ พี่สาว น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร นายกรัฐมนตรี ,นางพนิดา เทพกาญจนา ภรรยานายพงศ์เทพ เทพกาญจนา อดีตกรรมการบริหารพรรคไทยรักไทย ,คุณหญิงทรงสุดา ยอดมณี ภริยา ดร.สุวิทย์ ยอดมณี อดีตรัฐมนตรีว่าการกระทรวงท่องเที่ยวและกีฬา ฯลฯ ส่วนผู้ที่ได้รับรางวัลลูกที่มีความกตัญญูอย่างสูงต่อแม่ประจำปี 2555 มีทั้งสิ้น 85 คน ได้แก่ นายณเดชน์ คูกิมิยะ นักแสดง ,น.ส.วิชญานี เปียกลิ่น หรือแก้ม เดอะสตาร์ ,น.ส.มีสุข แจ้งมีสุข พิธีกร ฯลฯ
       
       2. ศาล นัดฟังคำสั่งถอนประกัน 19 แกนนำ นปช.หรือไม่ 22 ส.ค. ส่วนอีก 5 แกนนำที่เป็น ส.ส.รอไต่สวนหลังปิดสภา!

       เมื่อวันที่ 9 ส.ค. ศาลอาญาได้พิจารณาคดีถอนประกันแกนนำกลุ่มแนวร่วมประชาธิปไตยต่อต้านเผด็จการแห่งชาติ(นปช.) 24 คน หลังนายเชาวนะ ไตรมาส เลขาธิการสำนักงานศาลรัฐธรรมนูญ และนายนิพิฎฐ์ อินทรสมบัติ ส.ส.พัทลุง พรรคประชาธิปัตย์ ยื่นคำร้องขอให้ศาลเพิกถอนการปล่อยตัวชั่วคราวนายจตุพร พรหมพันธุ์ ,นายยศวริศ ชูกล่อม หรือเจ๋ง ดอกจิก และนายก่อแก้ว พิกุลทอง เนื่องจากมีพฤติการณ์เข้าข่ายผิดเงื่อนไขการให้ประกันตัว ด้วยการขึ้นเวทีปราศรัยที่หน้ารัฐสภา และกล่าวโจมตีข่มขู่ตุลาการศาลรัฐธรรมนูญที่รับคำร้องร่างแก้ไขรัฐธรรมนูญ มาตรา 291 ไว้วินิจฉัยว่าขัดรัฐธรรมนูญ มาตรา 68 หรือไม่
       
       สำหรับแกนนำ นปช.ทั้ง 24 คนที่ศาลจะพิจารณาว่าจะถอนประกันหรือไม่ ประกอบด้วย 1.นายวีระกานต์ หรือวีระ มุสิกพงศ์ 2.นายจตุพร พรหมพันธุ์ 3.นายณัฐวุฒิ ใสยเกื้อ 4.นพ.เหวง โตจิราการ 5.นายก่อแก้ว พิกุลทอง 6.นายขวัญชัย สาราคำ หรือไพรพนา 7.นายยศวริศ ชูกล่อม หรือเจ๋ง ดอกจิก 8.นายนิสิต สินธุไพร 9.นายการุณ หรือเก่ง โหสกุล 10.นายวิภูแถลง พัฒนภูมิไท 11.นายภูมิกิติ หรือพิเชษฐ์ สุขจินดาทอง 12.นายสุขเสก หรือสุข พลตื้อ 13.นายจรัล หรือยักษ์ ลอยพูล 14.นายอำนาจ อินทรโชติ 15.นายชยุต ใหลเจริญ 16.นายสมบัติ หรือแดง มากทอง 17.นายสุรชัย หรือหรั่ง เทวรัตน์ 18.นายรชต หรือกบ วงค์ยอด 19.นายยงยุทธ ท้วมมี 20.นายอร่าม แสงอรุณ หัวหน้าการ์ด นปช. 21.นายเจ็มส์ สิงห์สิทธิ์ 22.นายสมพงษ์ หรืออ้อ หรือแขก หรือป้อม บางชม 23.นายมานพ หรือเป็ด ชาญช่างทอง การ์ด นปช. และ 24.นายอริสมันต์ หรือกี้ร์ พงศ์เรืองรอง
       
       เป็นที่น่าสังเกตว่า วันดังกล่าว มีจำเลยมารายงานตัวต่อศาลแค่ 23 คน ขาดไป 1 คน คือ นายภูมิกิติ จำเลยที่ 11 ทั้งนี้ ศาลได้เลื่อนการสอบถามจำเลยที่มีสถานะเป็น ส.ส.จำนวน 5 คนออกไปเป็นวันที่ 29 พ.ย.เพราะ ส.ส.มีเอกสิทธิ์คุ้มครอง ศาลจึงเกรงว่าหากสอบถามจำเลยที่เป็น ส.ส.อาจเป็นการก้าวล่วงอำนาจนิติบัญญัติ จึงจะรอให้ปิดสมัยประชุมสภาก่อน สำหรับจำเลยที่เป็น ส.ส.ทั้ง 5 คน ประกอบด้วย นายณัฐวุฒิ ,นายก่อแก้ว ,นายการุณ ,นพ.เหวง และนายวิภูแถลง
       
       ส่วนจำเลยคนอื่นๆ โดยเฉพาะนายยศวริศ หรือเจ๋ง ดอกจิก นั้น ศาลได้สอบถามนายนิพิฎฐ์ ในฐานะผู้ร้องให้เพิกถอนการปล่อยตัวชั่วคราว ซึ่งนายนิพิฎฐ์ได้เบิกความพร้อมยื่นหลักฐานเป็นซีดีบันทึกภาพและเสียงขณะนายยศวริศปราศรัยเมื่อวันที่ 7 มิ.ย.ที่ผ่านมาที่หน้ารัฐสภา โดยนายศวริศได้กล่าวผ่านเครื่องขยายเสียงต่อหน้าผู้ชุมนุมกลุ่มเสื้อแดงจำนวนมาก พร้อมประกาศชื่อตุลาการศาลรัฐธรรมนูญ ชื่อภรรยาและบุตร ที่อยู่และหมายเลขโทรศัพท์ของตุลาการฯ ภรรยา และบุตร รวมทั้งบอกให้ผู้ชุมนุมไปเยี่ยมตุลาการฯ ซึ่งเข้าข่ายผิดเงื่อนไขในการปล่อยตัวชั่วคราวที่ศาลได้กำหนดไว้
       
       ด้านนายยศวริศ ยอมรับว่า การปราศรัยในซีดีดังกล่าวเป็นคำพูดของตนจริง แต่อ้างว่าข้อมูลอาจไม่ครบถ้วน จึงขอนำเอกสารหลักฐานไปตรวจสอบก่อนว่า คำพูดและข้อมูลตรงกันหรือไม่ มีการตัดต่อหรือไม่ นายยศวริศยังอ้างด้วยว่า ชื่อ ที่อยู่ และเบอร์โทรศัพท์ของตุลาการฯ เป็นเอกสารสาธารณะ ปรากฏตามอินเตอร์เน็ต และมีพี่น้องประชาชนนำมาให้ช่วยพูดบนเวที ตนจึงพูดโดยรู้เท่าไม่ถึงการณ์ และหลังจากพูดไปแล้ว นึกได้ว่าอาจกระทบเงื่อนไขศาล จึงได้ขอโทษพี่น้องประชาชนและตุลาการฯ พร้อมกำชับประชาชนอย่าโทรศัพท์ไปคุกคามตุลาการฯ “ต่อมาโฆษกศาลรัฐธรรมนูญแถลงข่าวว่า ศาลไม่ติดใจไม่ถือโทษ เพราะผมกล่าวขอโทษแล้ว...ไม่มีเจตนายุยงปั่นป่วนและผิดเงื่อนไขของศาล ขอความเมตตาต่อศาล เพราะมีตำแหน่งทางการเมือง ทำงานเพื่อประเทศชาติ และยืนยันว่าจะไม่กระทำการเช่นนี้อีก”
       
       ขณะที่นายจตุพร เบิกความว่า การปราศรัยของตนเป็นการใช้สิทธิตามรัฐธรรมนูญ โดยได้วิพากษ์วิจารณ์การทำงานขององค์คณะตุลาการศาลรัฐธรรมนูญที่รับคำร้องร่างแก้ไขรัฐธรรมนูญไว้วินิจฉัยโดยไม่ผ่านสำนักงานอัยการสูงสุด ไม่ได้มุ่งร้ายตัวบุคคลแต่อย่างใด ส่วนจำเลยคนที่ 12-23 ได้เบิกความต่อศาลว่า ไม่เคยขึ้นเวทีปราศรัยและไม่เคยทำผิดเงื่อนไขการประกันตัว รวมทั้งไม่ได้เกี่ยวข้องกับคำพูดของนายยศวริศ จำเลยที่ 7 แต่อย่างใด
       
       ด้านศาลพิจารณาคำเบิกความของจำเลยทั้งหมด รวมทั้งคำขอเลื่อนคดีของนายยศวริศแล้ว เห็นว่า ควรให้โอกาสนายยศวริศสู้คดีได้อย่างเต็มที่ เพื่อความยุติธรรม จึงอนุญาตให้เลื่อนการสอบถามเฉพาะในส่วนของนายยศวริศออกไปเป็นวันที่ 22 ส.ค.เวลา 09.00น. พร้อมนัดฟังคำสั่งว่าจะถอนประกันจำเลยทั้ง 19 คน(ไม่รวม 5 จำเลยที่เป็น ส.ส.) หรือไม่ในเวลา 15.00น.วันเดียวกัน ขณะที่กลุ่มคนเสื้อแดงที่มาให้กำลังใจแกนนำ นปช.ที่หน้าศาลอาญาได้สลายตัวทันทีหลังทราบคำสั่งศาล
       
       ทั้งนี้ ระหว่างการพิจารณาคดี เจ้าหน้าที่ตำรวจ สน.สำราญราษฎร์ ได้มาขออายัดตัวนายสุรชัย หรือหรั่ง เทวรัตน์ จำเลยที่ 17 พร้อมแจ้งข้อหามีอาวุธสงครามไว้ในครอบครองโดยไม่ได้รับอนุญาต จากนั้นได้นำตัวนายสุรชัยไปควบคุมที่ สน.สำราญราษฎร์ทันที
       
       3. “ขุนค้อน” นัดประชุมสภาถกงบ 15-17 ส.ค. ขณะที่ “เพื่อไทย” ตั้งองครักษ์ 3 ชุดคอยประท้วง ด้าน ปชป.เย้ย อย่าตื่นตูม!

       เมื่อวันที่ 11 ส.ค. นายสมศักดิ์ เกียรติสุรนนท์ ประธานสภาผู้แทนราษฎร ได้มีคำสั่งด่วนมากถึงบรรดา ส.ส. โดยนัดประชุมสภาฯ นัดพิเศษในวันที่ 15-17 ส.ค. เพื่อพิจารณาร่าง พ.ร.บ.งบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ 2556 ในวาระ 2 และ 3 ที่คณะกรรมาธิการ(กมธ.) วิสามัญพิจารณาเสร็จแล้ว
       
       ทั้งนี้ ร่าง พ.ร.บ.งบประมาณฯ ประจำปี 2556 วงเงิน 2.4 ล้านล้านบาท มีการปรับลดงบของหน่วยงานต่างๆ ลงประมาณ 2.2 หมื่นล้านบาท โดยหน่วยงานที่ถูกปรับลดงบมากสุดคือ กรมส่งเสริมการปกครองท้องถิ่น กระทรวงมหาดไทย ถูกปรับลดประมาณ 5.2 พันล้านบาท รองลงมาคือ กระทรวงศึกษาธิการ ถูกปรับลด 2.6 พันล้านบาท อย่างไรก็ตาม เป็นที่น่าสังเกตว่า มีการแปรงบเพิ่มขึ้นมาในวงเงินเดียวกับที่ปรับลดลงไปคือ 2.2 หมื่นล้านบาท โดยหน่วยงานที่ได้รับการปรับเพิ่มงบมากสุดก็คือ กรมส่งเสริมการปกครองท้องถิ่น ปรับเพิ่ม 4.8 พันล้านบาท รองลงมาคือ กระทรวงศึกษาธิการ ปรับเพิ่ม 2.9 พันล้านบาท
       
       ด้านนายสาทิตย์ วงศ์หนองเตย ส.ส.ตรัง พรรคประชาธิปัตย์(ปชป.) เผยว่า พรรคฯ จะติดตามการใช้งบประมาณใน 3 ประเด็น คือ 1.ความล้มเหลวของการใช้งบในนโยบายสำคัญตามที่รัฐบาลได้หาเสียงไว้ ทั้งโครงการรับจำนำข้าว และกองทุนตั้งตัวได้ 2.ความผิดพลาดบกพร่องของการบริหารจัดการงบที่ใช้บริหารประเทศ ทั้งราคาสินค้าแพง และการแก้ปัญหาราคาพืชผลทางการเกษตร และ 3.ความไม่ชอบมาพากลของการตั้งงบไว้ใช้จ่ายในลักษณะเอื้อประโยชน์ต่อกลุ่มใดกลุ่มหนึ่ง เช่น การตั้งงบให้สำนักเลขาธิการนายกฯ 900 ล้านบาท แต่กลับไม่มีรายละเอียดการใช้เงิน นายสาทิตย์ ยืนยันด้วยว่า พรรคฯ มีความพร้อมอย่างเต็มที่ที่จะอภิปรายงบ โดยฝ่ายค้านมีผู้สงวนคำแปรญัตติประมาณ 100 คน
       
       ขณะที่พรรคเพื่อไทย ก็เตรียมรับมือการอภิปรายงบของฝ่ายค้าน โดยนายจิรายุ ห่วงทรัพย์ รองโฆษกพรรคเพื่อไทย เผยว่า พรรคฯ ได้ตั้งทีมองครักษ์ขึ้นมา 3 ชุด ชุดละ 5 คน เพื่อสลับกันทำหน้าที่ควบคุมการประชุมและประท้วง หากฝ่ายค้านอภิปรายนอกเรื่องงบประมาณ เช่น ไปพาดพิง พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร
       
       ด้านนายเทพไท เสนพงศ์ ส.ส.นครศรีธรรมราช พรรคประชาธิปัตย์ ได้ออกมาแขวะพรรคเพื่อไทยที่ตั้งทีมองครักษ์ขึ้นมา 3 ชุดว่า อย่าเป็นกระต่ายตื่นตูม หรือแสดงออกถึงความเป็นคนขี้ขลาดตาขาวให้สังคมได้รับรู้ เพราะการพิจารณาร่าง พ.ร.บ.งบประมาณฯ วาระ 2 เป็นการอภิปรายตั้งคำถามและขอคำชี้แจงจาก กมธ.งบประมาณเท่านั้น ไม่ได้เกี่ยวข้องอะไรกับนายกฯ เลย จึงไม่เข้าใจว่าจะมีการตั้งองครักษ์ขึ้นมา 3 ชุดทำไม
       
       ส่วนความคืบหน้าการเตรียมอภิปรายไม่ไว้วางใจรัฐบาลของฝ่ายค้านนั้น ชัดเจนแล้วว่าจะมีการชะลอออกไปก่อน โดยนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ และผู้นำฝ่ายค้าน บอกว่า ต้องใช้เวลาระยะหนึ่ง โดยจะรอให้รัฐบาลชี้แจงร่าง พ.ร.บ.งบประมาณฯ และแถลงผลงานครบรอบ 1 ปีเสร็จเรียบร้อยก่อน นอกจากนี้จะรอดูทิศทางของรัฐบาลในเรื่องรัฐธรรมนูญและร่าง พ.ร.บ.ปรองดองด้วย
       
       4. จวกเละ “สุชาติ” ตั้งแกนนำแดง “ธิดา-วรเจตน์” เป็นอนุ กก.สภาการศึกษา ด้าน ปชป.ประณาม-จี้ทบทวน!

       เมื่อวันที่ 9 ส.ค. มีรายงานว่า นายสุชาติ ธาดาธำรงเวช รัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ ได้ลงนามแต่งตั้งคณะอนุกรรมการสภาการศึกษา(สกศ.) ซึ่งเป็นที่น่าสังเกตว่า มีแกนนำ นปช.-คนเสื้อแดง เครือญาตินายกฯ และผู้ที่สนับสนุนพรรคเพื่อไทยได้รับแต่งตั้งด้วยหลายคน เช่น นางธิดา ถาวรเศรษฐ ประธาน นปช. ได้รับแต่งตั้งเป็นคณะอนุกรรมการฯ ด้านนโยบายและแผนการศึกษา ,นายเพชรศักดิ์ กิตติดุษฎีกุล ประธานแนวร่วมหมู่บ้านเสื้อแดงแห่งประเทศไทย เป็นคณะอนุกรรมการฯ ด้านติดตามและประเมินผลการศึกษา ,นายวรเจตน์ ภาคีรัตน์ แกนนำคณะนิติราษฎร์ เป็นคณะอนุกรรมการฯ ด้านกฎหมายการศึกษา ,นายวรพล พรหมิกบุตร อาจารย์คณะสังคมวิทยา มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ซึ่งเข้าร่วมชุมนุมกับกลุ่ม นปช.ได้เป็นคณะอนุกรรมการฯ ด้านนโยบายและแผนการศึกษา ,นายอุดมเกียรติ ปานมี ทนายเสื้อแดง เป็นคณะอนุกรรมการฯ ด้านการสร้างจิตสำนึก คุณธรรมและจริยธรรม ,นายสิงห์ทอง บัวชุม อดีตผู้สมัคร ส.ส.กทม.พรรคเพื่อไทย เป็นคณะอนุกรรมการฯ ด้านติดตามและประเมินผลการศึกษา ,นางเยาวเรศ ชินวัตร พี่สาว น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร นายกรัฐมนตรี เป็นคณะอนุกรรมการฯ ด้านพัฒนาศักยภาพเยาวชนสตรีในสถานศึกษา ,น.ส.ศุภรัตน์ นาคบุญนำ อดีตรองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เป็นคณะอนุกรรมการฯ ด้านการพัฒนาและเสริมสร้างนวัตกรรมทางการศึกษา ฯลฯ
       
       ทั้งนี้ หลังคำสั่งแต่งตั้งดังกล่าวได้รับการเผยแพร่ทางเว็บไซต์ของสำนักงานเลขาธิการสภาการศึกษา ปรากฏว่า ได้เกิดเสียงวิพากษ์วิจารณ์ถึงความไม่เหมาะสมในการแต่งตั้ง จากนั้นได้มีการลบข้อมูลคำสั่งแต่งตั้งดังกล่าวออกจากเว็บไซต์ ด้านนายสุชาติ ธาดาธำรงเวช รัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ ไม่พอใจเสียงวิพากษ์วิจารณ์ จึงได้ออกมาชี้แจงว่า คณะทำงานของสภาการศึกษาได้เสนอชื่อบุคคลที่เหมาะสมเป็นอนุกรรมการ และว่า ถ้าจะแยกเป็นสี ก็มีหลายสี ทั้งเสื้อเหลืองและสีต่างๆ “ในกระบวนการแต่งตั้งทั้ง 36 คน ไปดูกันได้ว่ามีมาจากเสื้อทุกสี หลายคนอ่านตามชื่อสามารถเป็นรัฐมนตรีได้ ทำไมเราจะขอให้เขามาช่วยทำงานเล็กๆ ไม่ได้ แต่พออ่านข่าว เขาก็ไม่มาช่วยแล้ว ผมก็ต้องให้สภาการศึกษาไปทาบทามหาชื่อใหม่มา”
       
       อย่างไรก็ตาม มีรายงานแจ้งว่า สาเหตุที่นายสุชาติแต่งตั้งแกนนำกลุ่มคนเสื้อแดงเป็นอนุกรรมการสภาการศึกษาดังกล่าว เนื่องจากมีกระแสข่าวว่านายสุชาติอาจถูกปรับออกจากตำแหน่งรัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการหากมีการปรับ ครม. ซึ่งนายสุชาติไม่มีกลุ่มการเมืองภายในพรรคเพื่อไทย จึงไม่สามารถต่อรองใดใด ดังนั้นนายสุชาติจึงตั้งแกนนำคนเสื้อแดงมาเป็นอนุกรรมการ โดยอาจหวังเพิ่มอำนาจต่อรองให้ตนเองก็เป็นได้
       
       เป็นที่น่าสังเกตว่า หลังการแต่งตั้งดังกล่าวปรากฏเป็นข่าวและถูกวิพากษ์วิจารณ์ ปรากฏว่า ผู้ได้รับการแต่งตั้งบางคนได้ออกมาปฏิเสธไม่รับตำแหน่ง เช่น นายวรเจตน์ ภาคีรัตน์ อาจารย์ประจำคณะนิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ และแกนนำคณะนิติราษฎร์ โดยบอกว่า ยังไม่เคยถูกทาบทาม และแม้จะทาบทามก็ไม่สะดวกที่จะรับตำแหน่งดังกล่าว “ถ้ายังไม่มีการยกเลิกคำสั่งดังกล่าว ผมจะขอลาออกจากตำแหน่ง เนื่องจากไม่มีเวลาที่จะไปทำงานให้กับสภาการศึกษา เพราะมีงานประจำเป็นอาจารย์อยู่แล้ว”
       
       ขณะที่นางธิดา ถาวรเศรษฐ แกนนำ นปช.ได้ออกมาโต้กระแสวิพากษ์วิจารณ์การแต่งตั้งอนุกรรมการดังกล่าวว่า อย่ามาตั้งแง่รังเกียจคนที่มีความคิดแตกต่างกัน พร้อมยืนยันว่า ตนไม่ว่างที่จะเป็นอนุกรรมการสภาการศึกษา เพราะมีภารกิจในการสร้างโรงเรียน นปช.และมหาวิทยาลัยเสื้อแดง
       
       ด้านนายชวนนท์ อินทรโกมาลย์สุต โฆษกพรรคประชาธิปัตย์(ปชป.) บอกว่า ตนไม่เคยดูถูกความคิดของใคร แต่การที่นายสุชาติแต่งตั้งนางธิดา ประธาน นปช.เป็นอนุกรรมการวางแผนการศึกษานั้น เป็นเรื่องที่ยอมรับไม่ได้ เนื่องจากนางธิดามีแนวคิดต่อต้านประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 112 (ความผิดเกี่ยวกับการหมิ่นสถาบันพระมหากษัตริย์) ดังนั้นพรรคฯ ขอประณามการกระทำของนายสุชาติ และขอให้ทบทวน อย่านำเรื่องการเมืองมาปนกับเรื่องการศึกษาของชาติ
       
       5. “ลอนดอนเกมส์” ปิดฉากแล้ว “แก้ว พงษ์ประยูร” ร่ำไห้โดนปล้นเหรียญทอง ขณะที่ “เสธ.อ้าย” ตอบโต้ “ไอบ้า” ล้มจัดมวยเยาวชนโลก!

       ปิดฉากไปเรียบร้อยแล้วสำหรับการแข่งขันกีฬาโอลิมปิกเกมส์ ฤดูร้อน ครั้งที่ 30 “ลอนดอนเกมส์” ที่กรุงลอนดอน ประเทศอังกฤษ เมื่อคืนวันที่ 12 ส.ค.ที่ผ่านมา สรุปเหรียญ สหรัฐฯ คว้าไป 104 เหรียญ แบ่งเป็น 46 เหรียญทอง 29 เหรียญเงิน 29 เหรียญทองแดง ตามด้วยจีน 87 เหรียญ แบ่งเป็น 38 เหรียญทอง 27 เหรียญเงิน 22 เหรียญทองแดง และสหราชอาณาจักร 65 เหรียญ แบ่งเป็น 29 เหรียญทอง 17 เหรียญเงิน และ 19 เหรียญทองแดง ขณะที่ไทยอยู่อันดับ 57 โดยทำได้ 3 เหรียญ แบ่งเป็น 2 เหรียญเงิน และ 1 เหรียญทองแดง นับเป็นครั้งแรกในรอบ 16 ปี ที่ไทยไม่ได้เหรียญทองจากการแข่งขันโอลิมปิกเกมส์
       
        สำหรับ 2 เหรียญเงินของไทย ได้จาก “น้องแต้ว” พิมศิริ ศิริแก้ว นักยกน้ำหนักหญิง รุ่น 58 กก.และ “แก้ว พงษ์ประยูร” จากมวยสากลสมัครเล่นรุ่นไลท์ฟลายเวท 49 กก.ชาย ส่วนเหรียญทองแดง เป็นของ“น้องเล็ก” ชนาธิป ซ้อนขำ จากการแข่งขันเทควันโดรุ่น 49 กก.หญิง
       
        เป็นที่น่าสังเกตว่า ในส่วนของ แก้ว พงษ์ประยูร ซึ่งพ่ายเหรียญทองให้กับซู ชิ หมิง นักมวยทีมชาติจีน แชมป์เก่าโอลิมปิกครั้งที่แล้วนั้น ผู้ชมต่างเห็นตรงกันว่าแก้วถูกโกง โดยทันทีที่กรรมการตัดสินให้ซู ชิ หมิง คว้าชัย เสียงโห่สนั่นหวั่นไหวของผู้ชมก็ดังขึ้น ขณะที่แก้วถึงกับทรุดลงกับพื้นเวทีและคุกเข่าก้มหน้าร้องไห้ที่ไม่สามารถคว้าเหรียญทองให้กับประเทศไทยได้
       
       สำหรับผลการตัดสินที่ค้านสายตาและมีข้อกังขาดังกล่าว ไม่เพียงทำให้สหพันธ์มวยสากลสมัครเล่นนานาชาติ(ไอบ้า) ถูกรุมด่าจากแฟนกีฬาชาวไทย รวมทั้งสื่อมวลชนทั้งในและต่างประเทศเท่านั้น แต่ทางสมาคมมวยสากลแห่งประเทศไทยได้พยายามทำเรื่องประท้วงผลการตัดสิน แต่ได้รับการปฏิเสธจากทางไอบ้า โดยอ้างว่าตามกฎ จะต้องยื่นประท้วงภายใน 5 นาทีหลังตัดสิน ขณะที่ฝ่ายไทยเข้าใจว่าสามารถประท้วงได้ภายใน 30 นาที
       
       ทั้งนี้ การชวดเหรียญทองเพราะถูกโกงและไม่สามารถประท้วงได้ ส่งผลให้ พล.อ.บุญเลิศ แก้วประสิทธิ์ หรือ เสธ.อ้าย นายกสมาคมมวยสากลแห่งประเทศไทย ออกมายืนยันว่าจะลาออกจากตำแหน่ง หากนักชกไทยไม่ได้เหรียญทอง พร้อมตอบโต้ไอบ้าด้วยการประกาศยกเลิกเป็นเจ้าภาพจัดการแข่งขันมวยสากลสมัครเล่นเยาวชนชิงแชมป์โลกในเดือน พ.ย.ตามที่เคยรับปากไอบ้าไว้ รวมทั้งจะไม่รับตำแหน่งในไอบ้าตามที่เคยถูกทาบทามไว้ด้วย
       
       ด้านแก้ว พงษ์ประยูร เผยความรู้สึกหลังพิธีรับเหรียญรางวัลว่า รู้สึกเหมือนใจสลาย ขอโทษคนไทยที่เอาเหรียญทองมาฝากไม่ได้ ไม่สามารถนำเหรียญทองถวายแด่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวและสมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถ รวมถึงพ่อแม่ ภรรยา และลูกสาวได้ แต่ตนทำสุดความสามารถแล้ว รู้สึกเสียใจและเสียดายมาก
       
       อย่างไรก็ตาม มีรายงานว่า นายตัน ภาสกรนที กรรมการผู้อำนวยการบริษัท อิชิตัน กรุ๊ป ได้โพสต์ข้อความในเฟซบุ๊กว่า “ผมขอมอบรางวัลชนะใจคนไทยทั้งประเทศให้กับแก้ว พงษ์ประยูร เต็มเต็ม 10 ล้านบาท ตามที่ตั้งใจไว้ ถึงแม้ผลการตัดสินออกมา เราจะได้เหรียญเงิน แต่สำหรับผม คนไทยได้เหรียญทองอย่างสมศักดิ์ศรีแล้วครับ...”

ASTVผู้จัดการออนไลน์    14 สิงหาคม 2555