แสดงกระทู้

This section allows you to view all posts made by this member. Note that you can only see posts made in areas you currently have access to.


Messages - story

หน้า: 1 ... 461 462 [463] 464 465 ... 651
6931
 กรุงเทพฯ คว้ารางวัลท่องเที่ยวส่งท้ายปีกับตำแหน่งแชมป์ เมืองยอดนิยมที่มีสถานบันเทิงยามค่ำคืนที่น่าตื่นตาตื่นใจ จากการสำรวจของ Agoda.com โดยไทยติดถึง 3 เมืองใน 10 อันดับ ได้แก่ กรุงเทพฯ พัทยา และภูเก็ต
       
       Agoda.com บริษัทผู้ให้บริการเว็บไซต์สำรองห้องพักในโรงแรมแบบออนไลน์ซึ่งรับประกันราคาห้องพักที่ดีที่สุดในเอเชียและเป็นส่วนหนึ่งของเครือ Priceline.com (Nasdaq:PCLN) นำเสนอรายชื่อเมืองยอดนิยมสิบอันดับที่มีสถานบันเทิงยามค่ำคืนที่น่าตื่นตาตื่นใจ จากการคัดเลือกโดยลูกค้า และเนื่องจากวันส่งท้ายปีเก่ากำลังใกล้เข้ามาทุกที เมืองเหล่านี้จึงเหมาะสำหรับการเดินทางมาพักผ่อนอย่างกะทันหันหากยังไม่ได้วางแผนใดๆ ไว้
       
       จากความคิดเห็นของผู้ตอบแบบสำรวจกว่า 113,000 ราย เมื่อการเข้าพักสิ้นสุดลง ลูกค้าของ Agoda.com มีโอกาสที่จะให้คะแนนสถานบันเทิงยามค่ำคืนในระดับคะแนน 1-5 โดยที่ 1 หมายถึง "แย่” และ 5 หมายถึง “ดีมาก” อันดับสูงสุดได้แก่กรุงเทพ เมืองหลวงที่ไม่หยุดนิ่งของประเทศไทย ซึ่งเป็นที่รู้จักจากรถตุ๊กตุ๊ก วัดวาอาราม อาหารริมทาง ตามมาด้วยดูไบ เมืองแห่งทะเลทรายที่เจิดจรัสในสหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ และโบราเคย์/กาติกลัน ในฟิลิปปินส์ ซึ่งมีชื่อเสียงจากหาดทรายสีขาวและต้นมะพร้าวพลิ้วไหวยามต้องลม
       
       ประเทศไทยติดอันดับอีกครั้งกับพัทยา เมืองชายทะเลที่รู้จักกันอย่างแพร่หลายสำหรับวอล์กกิ้งสตรีทที่คึกคักและนักท่องเที่ยวที่หลั่งไหลเข้ามาเพื่อปลดปล่อยอารมณ์ รองลงมาคือภูเก็ต เกาะที่ใหญ่ที่สุดของไทย ตามด้วยเขตปกครองพิเศษของจีน นั่นคือ ฮ่องกงซึ่งมีชื่อเสียงด้านสถาปัตยกรรม อาหาร และมาเก๊า ที่ได้รับความนิยมจากคาสิโนขนาดใหญ่ และอาหารโปรตุเกส/จีน
       
       ปิดท้ายรายชื่อด้วยไทเปเมืองหลวงที่ทันสมัยของไต้หวัน และบาหลี เกาะสวรรค์ที่ได้รับความนิยมตลอดกาลของอินโดนีเซีย
       
       สำหรับรายชื่อเมืองทั้งหมด 10 เมือง(จาก 25 เมือง)ตามลำดับซึ่งได้รับเลือก มีดังนี้
       1) กรุงเทพ, ไทย
       2) ดูไบ, สหรัฐอาหรับเอมิเรตส์
       3) โบราเคย์/กาติกลัน, ฟิลิปปินส์
       4) พัทยา, ไทย
       5) โตเกียว, ญี่ปุ่น
       6) ภูเก็ต, ไทย
       7) ฮ่องกง, จีน
       8) มาเก๊า, จีน
       9) ไทเป, ไต้หวัน
       10) บาหลี, อินโดนีเซีย

ASTVผู้จัดการออนไลน์    28 ธันวาคม 2555

6932
ยอดผู้เสียชีวิตจากสภาพอากาศที่หนาวจัดในรัสเซีย เพิ่มเป็นอย่างน้อย 123 รายในช่วงเกือบ 2 สัปดาห์ที่ผ่านมา ขณะที่อุณหภูมิในเขตไซบีเรีย ทางภาคตะวันออกของประเทศลดต่ำถึงขั้น “ติดลบ 60 องศาเซลเซียส” แล้ว
       
       รายงานของสำนักข่าวอินเตอร์แฟกซ์ในวันอังคาร (25) ซึ่งอ้างเจ้าหน้าที่การแพทย์จากกระทรวงสถานการณ์ฉุกเฉินของรัสเซียระบุว่า ตลอดระยะเวลา 10 วันนับตั้งแต่วันที่ 15 ธันวาคม พบผู้เสียชีวิตจากสภาพอากาศที่หนาวเย็นสุดขั้วในรัสเซียแล้วอย่างน้อย 123 ราย และอีกราว 800 คนถูกนำตัวส่งโรงพยาบาลในพื้นที่ต่างๆ ทั่วประเทศ โดยในจำนวนดังกล่าวมีอยู่อย่างน้อย 201 รายที่ถูกนำตัวส่งเข้ารับการรักษาฉุกเฉินในช่วง 24 ชั่วโมงที่ผ่านมา
       
       ขณะที่ข้อมูลจากหน่วยงานด้านอุตุนิยมวิทยาของรัสเซียล่าสุดระบุว่า อุณหภูมิในกรุงมอสโก เมืองหลวงของประเทศ รวมถึงพื้นที่ใกล้เคียงได้ลดต่ำลงแตะระดับ “-30 องศาเซลเซียส” ตั้งแต่เมื่อวันจันทร์ (24) ส่วนในเขตไซบีเรียทางตะวันออกของประเทศนั้นอุณหภูมิได้ลดลงจนถึง “-60 องศาเซลเซียส” แล้ว และมีแนวโน้มว่าอุณหภูมิอาจลดลงอีกโดยเฉพาะในช่วงเดือนมกราคม-กุมภาพันธ์ที่จะถึงนี้ ซึ่งเป็นช่วงเวลาที่อากาศในรัสเซียหนาวเย็นที่สุดในรอบปี โดยมีความเป็นไปได้ที่เมื่อถึงช่วงดังกล่าวอุณหภูมิอาจลดต่ำมากกว่า “-70 องศาเซลเซียส”
       
       ด้านวลาดิมีร์ อันเดรเยวิช พุชคอฟ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงสถานการณ์ฉุกเฉิน ซึ่งเข้ามารับตำแหน่งเมื่อเดือนพฤษภาคมที่ผ่านมาออกแถลงที่กรุงมอสโกโดยระบุ มีความเป็นไปได้ที่ยอดผู้เสียชีวิตจากสภาพอากาศที่หนาวจัดในรัสเซียอาจเพิ่มจำนวนขึ้นอีก
       
       ทั้งนี้ เมื่อปี ค.ศ. 1924 เซอร์เกย์ โอบรีเชฟ นักวิทยาศาสตร์ชาวรัสเซีย สามารถบันทึกสถิติอุณหภูมิที่หนาวเย็นที่สุดในประวัติศาสตร์ของประเทศไว้ได้ที่ “-71.2 องศาเซลเซียส” ที่เมืองออยเมียก็อน ในเขตสาธารณรัฐซากาทางตะวันออกของประเทศ แต่สภาพอากาศที่หนาวเย็นจัดผิดปกติในขณะนี้ทำให้หลายฝ่ายคาดการณ์ว่าสถิติอุณหภูมิต่ำสุดดังกล่าวที่ยืนยงมานานหลายสิบปี อาจถูกทำลายลงในช่วงสิ้นปีนี้ หรือต้นปีหน้า

 ASTVผู้จัดการออนไลน์    25 ธันวาคม 2555

6933
สื่อออนไลน์ชื่อดังของสหรัฐฯ ยก “กรุงเทพมหานคร” ติดโผ 20 เมืองที่ดีที่สุดของโลกสำหรับเฉลิมฉลองการก้าวเข้าสู่ปีใหม่ และถือเป็นมหานครเพียง 1 ใน 2 แห่งของเอเชียที่ติดอันดับในครั้งนี้ร่วมกับเขตปกครองพิเศษฮ่องกง
       
       “ฮัฟฟิงตันโพสต์” สื่อออนไลน์ชื่อดังของสหรัฐฯ ซึ่งมีฐานอยู่ที่มหานครนิวยอร์กระบุ กรุงเทพมหานคร เมืองหลวงของประเทศไทยซึ่งเป็นบ้านของประชากรเกิน 8 ล้านคน ถือเป็น 1 ใน 20 เมืองที่ดีที่สุดของโลกสำหรับการร่วมฉลองการส่งท้ายปีเก่า ต้อนรับปีใหม่ แต่ถือเป็นเมืองของเอเชียเพียง 1 ใน 2 แห่งที่ติดโผครั้งนี้ร่วมกับเขตปกครองพิเศษฮ่องกง ของสาธารณรัฐประชาชนจีน
       
       รายงานระบุว่า การนับถอยหลังเข้าสู่ศักราชใหม่ และบรรยากาศของการเฉลิมฉลองในกรุงเทพฯในคืนวันที่ 31 ธันวาคมในช่วงหลายปีที่ผ่านมา ได้รับการกล่าวขานไปทั่วโลกถึงความสนุกสนานและสีสันอันน่าตื่นตาตื่นใจโดยบรรดาร้านอาหาร ผับ บาร์ตั้งแต่ย่านทองหล่อ ไปจนถึงถนนข้าวสาร ที่เป็น “สวรรค์ของนักท่องเที่ยวแบกเป้” ต่างมีกิจกรรมรื่นเริง แต่ไฮไลต์ที่สำคัญที่สุดของค่ำคืน คือ การรวมตัวของคนไทยและชาวต่างชาติจำนวนเรือนหมื่น บริเวณลานด้านหน้าห้างสรรพสินค้า “เซ็นทรัลเวิลด์” ย่านราชประสงค์ เพื่อร่วมนับถอยหลังส่งท้ายปีเก่า-ต้อนรับปีใหม่ โดยมีคอนเสิร์ตและการแสดงแสงสีเสียงตลอดทั้งคืน รวมถึงช่วงเวลาสำคัญอย่างการนับถอยหลังเข้าสู่ปีใหม่ร่วมกันผ่านจอภาพขนาดใหญ่ และการแสดงพลุอันสวยงามตระการตา
       
       โดยนอกจากกรุงเทพมหานคร และเขตปกครองพิเศษฮ่องกง ที่เป็นตัวแทนจากเอเชียแล้ว เมืองอื่นๆของโลกที่ถูกยกให้ติด 20 สถานที่ดีที่สุดสำหรับการ “เคานต์ดาวน์” ส่งท้ายปีเก่าต้อนรับปีใหม่ ยังประกอบไปด้วย
มหานครนิวยอร์กของสหรัฐฯ
กรุงปารีสของฝรั่งเศส
กรุงลอนดอนของสหราชอาณาจักร
มลรัฐฮาวายของสหรัฐฯ
กรุงเวียนนาของออสเตรีย
นครเมลเบิร์นและนครซิดนีย์ของออสเตรเลีย
เมืองวิสต์เลอร์ ในแคว้นบริติชโคลัมเบียของแคนาดา
เมืองเอดินบะระที่แคว้นสกอตแลนด์
นครลาสเวกัสของสหรัฐฯ
เมืองออร์แลนโดของสหรัฐฯ
กรุงเบอร์ลินของเยอรมนี
เมืองนิวออร์ลีนส์ของสหรัฐฯ
กรุงเรกยาวิกของไอซ์แลนด์
นครริโอเดอจาเนโรของบราซิล
เมืองบาร์เซโลนาของสเปน
เมืองโทรอนโตของแคนาดา
และเคปทาวน์ของแอฟริกาใต้


 ASTVผู้จัดการออนไลน์    26 ธันวาคม 2555

6934
 สธ.เตรียมหารูปแบบจัดบริการสุขภาพให้ชาวต่างชาติในไทยที่เหมาะสม เสนอใช้ระบบประกันสุขภาพเป็นทางเลือก
       
       วันนี้ (26 ธ.ค.) ที่กระทรวงสาธารณสุข จ.นนทบุรี นายแพทย์ ประดิษฐ สินธวณรงค์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข (รมว.สธ.) ให้สัมภาษณ์ภายหลังเป็นประธานการประชุมคณะกรรมการการสาธารณสุขระหว่างประเทศ ว่า เรื่องหลักที่กระทรวงสาธารณสุข มองว่า จะเป็นปัญหาสำคัญเมื่อเปิดพรมแดนในประชาคมอาเซียนมี 2 เรื่อง คือ 1.โรคอุบัติใหม่ต่างๆ ที่ประเทศไทยเคยคิดว่าหายไป หรือควบคุมได้ เช่น คอตีบ มือเท้าปาก วัณโรค เอดส์ กามโรค และการตั้งครรภ์ในไทย และเพิ่มจำนวนประชากรในไทย หรือโรคใหม่ที่อุบัติขึ้นมา เนื่องจากแต่ละประเทศมีมาตรฐานด้านบริการสาธารณสุขที่ต่างกัน จึงได้เน้นให้เตรียมความพร้อมในเรื่องนี้ ทั้งเชิงรับและเชิงรุก เชิงรับ คือ เตรียมบุคลากรต่างๆ ให้พร้อม เช่น การให้วัคซีน ส่วนเชิงรุก คือ สร้างความร่วมมือกับประเทศเพื่อนบ้านที่อยู่ตามพรมแดนต่างๆ 2.เรื่องคุณภาพอาหาร ยา สารเคมี เครื่องสำอางต่างๆ ที่จะเข้ามาในประเทศ จะต้องเตรียมพร้อมเพื่อไม่ให้เกิดปัญหาในประเทศ เช่น อาจจะมีการจัดตั้งศูนย์กำหนดคุณภาพมาตรฐานในการดูแลคุณภาพมาตรฐานของอาหาร และยา หรือเครื่องสำอาง เป็นต้น ซึ่งขณะนี้ได้เริ่มดำเนินการแล้วคือ เรื่องการดูแลคุณภาพยาและอาหาร
   
       นายแพทย์ ประดิษฐ กล่าวต่อว่า เมื่อมีการเปิดพรมแดนอาจจะมีประชาชนเดินทางเข้ามารับการรักษาในประเทศไทยเป็นจำนวนมาก โดยเฉพาะจังหวัดที่มีพื้นที่ติดชายแดน จะต้องปรับปรุงระบบบริการและระบบการเงิน ให้สามารถเข้าไปคิดค่ารักษาพยาบาลได้ตามความเหมาะสม ซึ่งขณะนี้อยู่ระหว่างหารูปแบบ อาจจะเป็นการทำประกันสุขภาพ แต่วิธีนี้อาจมีปัญหาว่าคนที่มีความเสี่ยงอยู่แล้วอาจจะมาซื้อประกันสุขภาพ เพื่อต้องการเข้ามารักษามากขึ้น หรือหากเป็นการรักษาฟรี ก็อาจมีปัญหาว่าไม่สามารถจ่ายค่ารักษาได้ จนเป็นปัญหาการเงินของโรงพยาบาลที่รักษาตามมา โดยในการจัดทำประกันสุขภาพ กระทรวงสาธารณสุขกำลังคิดหารูปแบบที่เหมาะสมอยู่ว่าควรเป็นรูปแบบใด คิดค่าหัวเท่าใดจึงจะคุ้มทุน และเป็นมาตรฐานในการดำเนินการของแต่ละโรงพยาบาล และคำนึงถึงหลักมนุษยธรรม ควบคู่กันไปด้วย เพราะเมื่อคนข้ามมามากจำนวนภาระต่างๆ ก็ต้องเพิ่มมากขึ้น การซื้อประกันสุขภาพก็เป็นประโยชน์ในการควบคุมป้องกันโรคอีกทางหนึ่ง
       
       สำหรับกลยุทธ์ที่ไทยจะดำเนินการเมื่อเข้าสู่ประชาคมอาเซียนจะมีหลายอย่าง เช่น สร้างความเชื่อมั่นในด้านการเป็นผู้นำการแพทย์และสาธารณสุขในภูมิภาค สนับสนุนให้บริษัทประกันสุขภาพของไทยไปขายที่ต่างประเทศด้วย เช่น ที่ลาว กัมพูชา หากเข้ามาประเทศไทยแล้วเจ็บป่วย ก็สามารถรับการรักษาได้ทันที นอกจากนี้ อาจจะมีการให้ซื้อประกันสุขภาพแบบเชิงท่องเที่ยว หากมาเที่ยวแล้วป่วยก็รักษาได้ ไม่เป็นภาระของประเทศไทย เช่นเดียวกับที่คนไทยไปเที่ยวที่ยุโรป ที่ผ่านมา เราให้การดูแลรักษาต่างชาติเกือบฟรีมาตลอด แต่ในอนาคตจะหารูปแบบวิธีการเก็บเงินที่เหมาะสมและถูกต้อง อย่างน้อย 5 เปอร์เซ็นต์ ก็ยังดี หรืออาจจะคิดค่าบริการเป็นรายครั้ง ซึ่งที่ผ่านมาการเก็บค่ารักษามีข้อจำกัดทั้งด้านกฎหมาย ระเบียบ ประเภทแรงงานต่างด้าว เป็นต้น
       
       นายแพทย์ ประดิษฐ กล่าวต่อว่า เมื่อมีการขายประกันสุขภาพให้ต่างชาติแล้ว กระทรวงสาธารณสุขจะให้มีหน่วยงานดูแลไม่ให้มีการเก็บเงินค่ารักษาสูง หรือแพงเกินเหตุ และมีกฎ ระเบียบต่างๆ ที่เป็นภาษาของประเทศที่จะซื้อประกันสุขภาพ และอาจเพิ่มช่องทางการขายประกันสุขภาพทางอินเทอร์เน็ต ซึ่งจะตั้งคณะทำงานเชิงรุก เพื่อดำเนินงานเรื่องนี้โดยเฉพาะ นอกจากนี้ ยังมีแนวคิดพัฒนามาตรฐานอาหารฮาลาลส่งออกของไทย ให้เป็นมาตรฐานเดียวกันกับอาเซียน ซึ่งจะเป็นโอกาสทางธุรกิจ เพราะประชากรครึ่งหนึ่งของอาเซียนเป็นชาวมุสลิม และบางประเทศ เช่น บรูไน ก็อยากให้กระทรวงสาธารณสุขไทยเข้าไปช่วยพัฒนาด้านการแพทย์ของเขา เราก็มีหน่วยงานเข้าไปตั้งต้น และอาจมีโรงพยาบาลเอกชนเข้าไปลงทุนด้วย

ASTVผู้จัดการออนไลน์    26 ธันวาคม 2555

6935

สมาพันธ์แพทย์ รพศ/รพทฯ จะจัดการประชุมใหญ่สามัญประจำปี ในวันที่ ๑๕ (ศุกร์) กุมภาพันธ์ ๒๕๕๖ ที่ ศูนย์ประชุมวายุภักดิ์ โรงแรมเซ็นทรา ศูนย์ราชการแจ้งวัฒนะ

เนื้่อหาเข้ม และข้น โดยมีประเด็นใหญ่ ๒ ประเด็น คือ Quality of (patient) care และQuality of (work) life โดยวิทยากรที่เปี่ยมไปด้วยคุณภาพ พลาดไม่ได้

ขอให้พี่ๆน้องๆเตรียมตัวสำหรับการประชุมในครั้งนี้ด้วย


6936
โฆษกรัฐบาลเผยที่ประชุม ครม.เห็นชอบจัดงานวันป้องกันอุบัติภัยแห่งชาติ ปี 55 ให้ 24-28 ธ.ค.สัปดาห์ป้องกันอุบัติภัย - รับทราบผลการประเมินรัฐวิสาหกิจปี 54 ออมสินแชมป์ อ.ต.ก.-บินพลเรือน-อคส.-ร.ฟ.ท.ห่วย อนุมัติ 4 พันล้านแจกโบนัสข้าราชการ
       
       วันนี้ (25 ธ.ค.) ที่ทำเนียบรัฐบาล นพ.ทศพร เสรีรักษ์ โฆษกประจำสำนักนายกฯ แถลงผลการประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) ว่า ที่ประชุม ครม.รับทราบและเห็นชอบการจัดงานวันป้องกันอุบัติภัยแห่งชาติ ประจำปีงบประมาณ 2555 ตามที่กระทรวงมหาดไทยเสนอ ที่กำหนดดำเนินการในวันที่ 26 ธ.ค.นี้ และเห็นชอบให้วันที่ 24-28 ธ.ค.นี้ เป็นสัปดาห์ป้องกันอุบัติภัยแห่งชาติ ประจำปี 2555 โดยให้หน่วยงานภาครัฐและภาคเอกชนจัดกิจกรรมเตรียมความพร้อมรับมือกับภัยพิบัติและฝึกซ้อมแผนป้องกันและบรรเทาสาธารณภัยตามความเสี่ยงของแต่ละพื้นที่ และมอบหมายให้สำนักงานปลัดสำนักนายกฯ จัดการฝึกซ้อมแผนป้องกันและระงับอัคคีภัยภายในบริเวณทำเนียบรัฐบาล เพื่อเป็นแบบอย่างแก่หน่วยงานภาครัฐและเอกชนในช่วงสัปดาห์การป้องกันอุบัติภัยแห่งชาติ ทั้งนี้ มีระยะเวลาดำเนินการในวันที่ 26 ธ.ค.นี้พร้อมกันทั่วประเทศ ที่ที่จังหวัดและกรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัยเห็นสมควร
       
       โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรีแถลงว่า ที่ประชุม ครม.มีการรับทราบผลการประเมินผลการดำเนินงานของหน่วยงานรัฐวิสาหกิจประจำปี 2554 โดยรัฐวิสาหกิจที่ได้รับผลการประเมินเป็นอันดับต้นๆ ได้แก่
1. ธนาคารออมสิน
2. การประปานครหลวง
3. การไฟฟ้าส่วนภูมิภาค
4. องค์การปิโตเลียมแห่งประเทศไทย (ปตท.) และ
5. การไฟฟ้านครหลวง เป็นต้น

ส่วนหน่วยงานรัฐวิสาหกิจที่ ได้รับผลประเมินต่ำติดต่อกันมาหลายปี ได้แก่ องค์การตลาดเพื่อการเกษตร (อ.ต.ก.), สถาบันการบินพลเรือน, องค์การคลังสินค้า การรถไฟแห่งประเทศไทย เป็นต้น
       
       โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรีแถลงอีกว่า ที่ประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) ที่มี น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร นายกรัฐมนตรี เป็นประธาน อนุมัติงบประมาณ 4,000 ล้านบาท เพื่อจัดสรรเป็นเงินรางวัล ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2554 ให้ผู้ปฎิบัติและผู้บริหารของส่วนราชการ จังหวัด และสถาบันอุดมศึกษา ตามที่สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาระบบราชการ (ก.พ.ร.) เสนอ ที่ได้จัดทำคำรับรองการปฏิบัติราชการและประเมินผลการปฏิบัติงานตามคำรับรองการปฏิบัติราชการประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2554 โดยให้ส่วนราชการ จังหวัด และสถาบันอุดมศึกษาที่มีเงินงบประมาณเหลือจ่ายสามารถโอนเปลี่ยนแปลงรายการเงินงบประมาณเหลือจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2554 ไปตั้งจ่ายในรายการเงินรางวัลสำหรับผู้บริหารและผู้ปฏิบัติของหน่วยงานเพื่อใช้สำหรับการจัดสรรเงินรางวัล โดยไม่ต้องขอทำความตกลงกับสำนักงบประมาณเป็นรายๆ ไป

ASTVผู้จัดการออนไลน์    25 ธันวาคม 2555

6938
นายพงศ์เทพ เทพกาญจนา รัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ เปิดเผยผลการประชุมคณะรัฐมนตรีที่เกี่ยวข้องกับกระทรวงศึกษาธิการในวันนี้ว่า คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบดำเนินโครงการทุนการศึกษาด้านการสอนภาษาต่างประเทศภาษาที่สอง เพื่อผลิตครูในสาขาวิชาที่ขาดแคลน โดยอนุมัติอัตราข้าราชการครูเพื่อบรรจุรับทุนจำนวน 600 อัตรา ในช่วงปี 2556-2561 ให้กับโรงเรียนในสังกัดสำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน (สพฐ.) ส่วนจำนวนทุนต่อปีอาจปรับเพิ่ม-ลดไม่เกินร้อยละ 5 ตามสถานการณ์ที่จำเป็น ใช้งบประมาณดำเนินโครงการ 78 ล้านบาท

 

 

โดยใน 600 อัตรานี้ จะผลิตครูสอนภาษาต่างประเทศในภาษาญี่ปุ่น 200 คน ภาษาเกาหลี 140 คน ภาษาเยอรมัน 40 คน ภาษาฝรั่งเศส 60 คน ภาษาสเปน 40 คน ภาษารัสเซีย 20 คน ภาษาเวียดนาม 25 คน ภาษาพม่า 25 คน ภาษาเขมร 25 คน และภาษาบาฮาซา 25 คน โดยให้ทุนการศึกษาแก่นักศึกษาชั้นปีที่ 5 หรือบัณฑิตวิชาเอกสาขาที่ขาดแคลนเข้ารับอบรมทักษะภาษาและการสอนที่จัดโดยองค์กรประเทศเจ้าของภาษา เมื่อสำเร็จการศึกษาแล้วจะได้รับใบอนุญาตประกอบวิชาชีพครูจากคุรุสภาซึ่งจะพิจารณาให้เป็นกรณีพิเศษ และจะได้รับการบรรจุแต่งตั้งเข้ารับราชการครูสอนภาษาต่างประเทศที่สองในโรงเรียนของสพฐ.
 

นอกจากนี้ คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติปรับเปลี่ยนโครงการคูปองสร้างเสริมอัจฉริยะที่ให้จัดสรรคูปองให้กับเด็กและเยาวชนที่เรียนดี มีความประพฤติดีไปแลกหนังสือจากร้านค้าที่ร่วมโครงการ มาเป็นโครงการบ้านหนังสืออัจฉริยะ โดยจัดหาหนังสือพิมพ์ วารสาร นิตยสาร และหนังสือ สำหรับห้องสมุดประชาชนเฉลิมราชกุมารี เพื่อให้ประชาชนได้เข้าถึงแหล่งเรียนรู้ในรูปแบบบ้านหนังสืออัจฉริยะ หรือห้องสมุดประชาชนประจำหมู่บ้าน/ชุมชน จำนวน 4 หมื่นแห่ง ในพื้นที่ 5 จังหวัดชายแดนภาคใต้จำนวน1.8 พันแห่ง และห้องสมุดประชาชนเฉลิมราชกุมารีจำนวน 87 แห่ง ใช้งบดำเนินการ 450 ล้านบาท

ประชาชาติธุรกิจออนไลน์  25 ธ.ค. 2555

6939
สำนักข่าวต่างประเทศ รายงานว่า นาย Vyacheslav Ledovsky นักหนังสือพิมพ์ จากเมือง Krasnoyarsk ของรัสเซีย สร้างความตื่นตะลึงให้ผู้คน ด้วยการตัดสินใจทำตามสัญญาที่เคยให้ไว้เมื่อ 2 ปีก่อน (พ.ศ. 2553) ที่เขาเขียนระบุว่าจะกินงานเขียนของตัวเองที่ตีพิมพ์ลงในหนังสือพิมพ์หากเขาเขียนคาดการณ์เกี่ยวกับข่าวการก่อสร้างโครงสร้างพื้นฐานในท้องถิ่นผิดพลาด

ทั้งนี้ นาย Ledovsky ทำงานที่หนังสือพิมพ์ The Builder newspaper หนังสือพิมพ์ด้านอสังหาริมทรัพย์ และเขียนบทความเกี่ยวกับ ความมั่นใจที่จะมีการเริ่มต้นก่อสร้างสะพานข้ามแม่น้ำแห่งที่ 4 ในเมือง Krasnoyarsk ที่ถึงขนาดรับประกันว่าหากผิดพลาดจะกินข้อเขียนของตัวเอง กระทั่งผ่านมา 2 ปี ข่าวคลาดเคลื่อนเขาจึงตัดสินใจทำตามสัญญา โดยมีการถ่ายภาพพร้อมวิดีโอไว้เป็นสักขีพยาน โดยนักหนังสือพิมพ์รายนี้ ได้ตัดข่าวที่ตีพิมพ์ออกมา และแบ่งเป็นชิ้นๆม้วนให้เป็นแท่งเล็กๆและนำไปคลุกกินกับซาวครีมเพื่อเป็นการลงโทษกับข้อเขียนที่ผิดพลาดของตัวเอง

ประชาชาติธุรกิจออนไลน์  24 ธ.ค. 2555

6940
ร้านกาแฟชื่อดัง "สตาร์ บัคส์" ก็ห้ามลูกค้านั่งแช่ หลังทั้งวางของทิ้งไว้บนโต๊ะเป็นเวลานาน จับกลุ่มติวหนังสือ ไม่ซื้อขนม-เครื่องดื่มแต่กับจับจองที่ เผยเตรียมใช้วิธีขอความร่วมมือ ไม่ออกประกาศห้ามเป็นทางการ ด้านผู้จัดการ "แมคโดนัลด์" มาบุญครอง ระบุมีวัยรุ่นจับกลุ่มติวหนังสือเพียบ โดยเฉพาะช่วงวันหยุด จนบางครั้งต้องเข้าไปแจ้งเตือน ขณะที่ลูกค้าบางรายขู่ย้ายร้านหนี หากห้ามนั่งแช่จริง

จากกรณีร้านฟาสต์ฟู้ดชื่อดัง "แมคโดนัลด์" ออกประกาศห้ามลูกค้านั่งแช่ภายในร้านเกิน 1 ชั่วโมง หลังรับการร้องเรียนมีวัยรุ่นนั่งติวหนังสือ นัดประชุม สัมภาษณ์งานและขายตรงตั้งแต่เช้ายันเย็น แถมลากโต๊ะมาต่อกันจนลูกค้ารายอื่นเดือดร้อนไม่มีที่นั่ง จนทำให้บริษัทตัดสินใจออกมาตรการรักษาสิทธิ์ลูกค้ารายอื่นๆ จนกลายเป็นข่าวฮือฮาอย่างแพร่หลาย

ความคืบหน้า เมื่อวันที่ 23 ธ.ค. ผู้สื่อข่าวเดินทางไปตรวจสอบร้านแมคโดนัลด์ สาขาห้างสรรพสินค้ามาบุญครอง พบว่าภายในร้านมีลูกค้าเข้ามาซื้ออาหารและเครื่องดื่มรับประทานจำนวนมาก โดยส่วนใหญ่เป็นลูกค้าชาวต่างชาติ และไม่พบป้ายประกาศขอความร่วมมือจากลูกค้าให้นั่งภายในร้านได้ไม่เกิน 1 ชั่วโมง

นายยุทธการ เป๋อรุณ ผู้จัดการร้านแมคโดนัลด์ สาขาห้างสรรพสินค้ามาบุญครอง กล่าวว่า หลังมีข่าวออกมาทางร้านแมคโดนัลด์ สาขาห้างสรรพสินค้ามาบุญครองยังไม่ได้รับผลกระทบในเรื่องของยอดขาย โดยยังมีลูกค้าที่ส่วนใหญ่เป็นชาวต่างชาติเข้ามาใช้บริการและนั่งรับประทานภายในร้าน ซึ่งใช้เวลาไม่นานก่อนจะเดินออกจากร้านไป ส่วนกรณีที่มีนักเรียนมาใช้พื้นที่นั่งแช่ เพื่อติวหนังสือหรือประชุมนั้น ก่อนหน้านี้มีเข้ามาหลายกลุ่ม เริ่มนั่งตั้งแต่ร้านเปิดในช่วงเช้า โดยแต่ละคนจะจับกลุ่มประมาณ 3-4 คน จากนั้นแต่ละคนจะสั่งอาหารในปริมาณไม่มากนักมารับประทาน อาทิ มันฝรั่งทอดเฟรนช์ ฟรายด์หรือน้ำดื่ม โดยจะใช้เวลาประมาณ 2-3 ชั่วโมง ต่อจากนั้นจะมีนักเรียนกลุ่มใหม่เข้ามาติวหนังสือต่อ โดยจะเป็นลักษณะเช่นนี้ในทุกวันหยุดเสาร์และอาทิตย์ ส่วนมาตรการดำเนินการกับกลุ่มลูกค้าที่มานั่งแช่ภายใน ร้านเป็นเวลานานนั้น ทางร้านจะใช้วิธีการประชาสัมพันธ์แจ้งไปยังลูกค้า โดยบางรายจะสั่งอาหารมารับประทานเพิ่ม

ส่วนบรรยากาศภายในร้านแมคโดนัลด์ สาขาเมเจอร์รัชโยธิน พบว่าภายในร้านยังคงมีกลุ่มวัยรุ่น ซึ่งส่วนมากเป็นนักศึกษาเข้ามาใช้บริการเป็นปกติ โดยกลุ่มวัยรุ่นที่มาใช้บริการ กล่าวว่า ส่วนมากจะนัดกันมานั่งกินอาหารและติวหนังสือเรียนกัน ซึ่งจะใช้เวลาประมาณ 1-2 ชั่วโมง ตอนแรกที่ทราบว่าทางร้านมีประกาศขอความร่วมมือออกมาก็เข้าใจดี แต่มองว่าเป็นการให้บริการกับลูกค้ามากกว่า ถ้าถึงขั้นมากำหนดเวลาคงจะไปใช้บริการที่อื่น แต่คิดว่าทางร้านคงจะไม่ทำในเรื่องดังกล่าว เนื่องจากทำให้เสียลูกค้า

ด้าน น.ส.สุมนพินทุ์ โชติกะพุกกะณะ ผอ.ฝ่ายการตลาดและสื่อสารองค์กร บริษัท สตาร์บัคส์ คอฟฟี่ (ประเทศไทย) จำกัด ผู้บริหารร้านกาแฟ "สตาร์บัคส์" กล่าวว่า บริษัทไม่ได้จัดทำประกาศห้ามไม่ให้ลูกค้านั่งแช่ในร้านเป็นเวลานานอย่างเป็นทางการ เพียงแต่ขอความร่วมมือจากลูกค้าไม่ให้นั่งนานจนเกินไป หลังจากที่รับประทานเครื่องดื่มหรือขนมเสร็จ หรือการจองพื้นที่โดยไม่ได้อยู่ที่ร้าน เพื่อเป็นการให้ลูกค้าท่านอื่นๆ ได้เข้ามาใช้บริการด้วยเช่นกัน

"ร้านสตาร์บัคส์เป็นที่ลูกค้าสามารถนั่งพักผ่อนและจิบกาแฟได้ตามต้องการ ไม่ว่าคุณจะมาคนเดียวหรือเป็นกลุ่ม ทางสตาร์บัคส์พร้อมต้อนรับและเคารพในความต้องการและความชื่นชอบของแต่ละปัจเจกชน แต่อย่างไรก็ตามในบางโอกาส เช่น ในช่วงที่ลูกค้าเข้ามาใช้บริการหนาแน่น และกำลังมองหาที่นั่ง แล้วพบว่ามีกลุ่มคนมาใช้พื้นที่โดยไม่ได้ซื้อหรือรับประทานเครื่องดื่มหรืออาหารของร้าน หรือการวางสิ่งของทิ้งไว้ที่โต๊ะเป็นเวลานาน ดังนั้นจึงอยากขอความร่วมมือจากทางลูกค้าด้วย" น.ส.สุมนพินทุ์กล่าว

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ร้านสตาร์บัคส์สาขาบริเวณใจกลางเมืองถือเป็นร้านสาขาที่มีลูกค้าเข้ามาใช้บริการต่อเนื่องตลอดทั้งวัน และจะมีกลุ่มที่เข้ามาใช้สถานที่ เพื่อติวหนังสือตลอดทั้งวันเช่นกัน ซึ่งสาขาที่พบบ่อย ได้แก่ สาขาในสยามสแควร์ สาขาสยามพารากอน และสาขาเซ็นทรัลเวิลด์ โดยนับตั้งแต่เดือนพ.ย.ที่ผ่านมา ได้มีป้ายตั้งโต๊ะขอความร่วมมือลูกค้าในการใช้บริการ ซึ่งไม่ควรนั่งนานเกินไปและควรซื้อเครื่องดื่มหรืออาหารรับประทานด้วย เพื่อให้ลูกค้าได้เพลิดเพลินการใช้บริการในร้านได้เท่าเทียมกัน


ที่มา ข่าวสดรายวัน
ประชาชาติธุรกิจออนไลน์  24 ธ.ค. 2555

6941
ไม่ใช่ว่าเป็นแพทย์แล้วจะปราศจากความผิดพลาดโดยสิ้นเชิง เป็นแพทย์ก็ผิดพลาด พลั้งเผลอกันได้ แต่ที่แตกต่างออกไปจากความพลั้งเผลอของบุคคลทั่วไปก็คือ ความผิดพลาดของแพทย์ โดยเฉพาะศัลยแพทย์นั้นเป็นอันตรายสูงยิ่ง บางครั้งถึงตายและอีกหลายครั้งถึงขั้นทำให้ผู้ป่วยพิการโดยถาวร

นายแพทย์ มาร์ตี้ แมคารีย์ ศัลยแพทย์ของศูนย์การแพทย์จอห์น ฮอปสกิน สหรัฐอเมริกา ที่เชี่ยวชาญการศึกษาเรื่องข้อบกพร่องของโรงพยาบาลในสหรัฐอเมริกา เปิดเผยผลการศึกษาวิจัยชิ้นหนึ่ง ซึ่งนำเอาคดีฟ้องร้องต่างๆ ที่เกิดขึ้นในช่วงระหว่างปี 2533 ถึงปี 2553 เฉพาะที่เกี่ยวข้องกับศัลยแพทย์ ที่มีผู้ป่วยเป็นโจทก์และโรงพยาบาลตกเป็นจำเลย รวม 9,744 คดี มาศึกษาสาเหตุที่มาของการฟ้องร้องดังกล่าวว่าเกิดจากความผิดพลาดของแพทย์หรือไม่และด้วยสาเหตุผิดพลาดบกพร่องใด เพื่อจัดทำเป็นสถิติให้เห็นเป็นภาพรวมของความผิดพลาดพลั้งเผลอที่เป็นรูปธรรมของแพทย์ในสหรัฐอเมริกา

ผลการศึกษาวิจัยที่เพิ่งแล้วเสร็จและตีพิมพ์เผยแพร่ในวารสารวิชาการ เดอะ เจอร์นัล เซอร์เจอรี่ ฉบับประจำวันที่ 19 ธันวาคมที่ผ่านมา พบว่า ศัลยแพทย์ที่ผ่าตัดผู้ป่วยแล้วผิดพลาดนั้น แม้จะเปรียบเทียบแล้วต่ำกว่าความผิดพลาดพลั้งเผลอของแพทย์ด้านอื่น แต่ก็ยังถือว่าน่าตกใจ เพราะพบว่า แพทย์มักลืม ผ้าขนหนู, ก้อนสำลี, ฟองน้ำ และอุปกรณ์ทางการแพทย์อื่นๆ ไว้ในร่างกายของผู้ป่วยโดยเฉลี่ยแล้วมากถึง 39 ครั้งต่อสัปดาห์ ไปดำเนินการผ่าตัดในส่วนของร่างกายที่ไม่ใช่ส่วนที่ผู้ป่วยต้องการผ่าตัด หรือเรียกง่ายๆ ว่า ผ่าตัดผิดที่โดยเฉลี่ยแล้ว 20 ครั้งต่อสัปดาห์

ที่แย่กว่านั้นก็คือ ศัลยแพทย์อเมริกัน ผ่าคนไข้ผิดคนมากถึง 20 ครั้งต่อสัปดาห์โดยเฉลี่ยเช่นเดียวกัน

(สถิติที่ว่านี้เป็นสถิติเชิงอนุมานจากกลุ่มตัวอย่างเปรียบเทียบเพื่อให้ครอบคลุมจำนวนประชากรทั้งหมดของสหรัฐอเมริกา)

สิ่งที่นายแพทย์ แมคารีย์ เตือนเอาไว้ก็คือ สถิติที่บอกเอาไว้ในการศึกษาวิจัยดังกล่าวนั้นเป็น "ขั้นต่ำ" ของพิสัยที่เป็นไปได้ทั้งหมด เพราะจำนวนความผิดพลาดที่แท้จริงนั้นสูงกว่าที่เกิดเป็นคดีฟ้องร้องกันมากมายนัก เขาบอกว่ายังมีการศึกษาวิจัยอีกบางชิ้นที่บอกว่า การลืมของหมอมักเกิดขึ้นเมื่อผ่าตัดผู้ป่วยที่ "อ้วนเกินไป" หรือเมื่อการผ่าตัดดำเนินการเป็น "ทีม" หรือ "หลายๆ ทีม" ในตัวผู้ป่วยเพียงรายเดียว

ความผิดพลาด พลั้งเผลอ ยังเกิดขึ้นได้ง่ายในกรณีที่แพทย์เร่งรีบ และเกิดขึ้นในกรณีที่วัฒนธรรมของสถานพยาบาลแห่งนั้นยึดถือแพทย์เป็นใหญ่ ทำให้พยาบาลไม่กล้าปริปากแม้จะเกิดความรู้สึกว่ามีบางอย่างผิดปกติขึ้นก็ตามที

ทีมวิจัยครั้งล่าสุดสรุปเอาไว้ว่า ในช่วง 20 ปีที่ศึกษาวิจัย พบความบกพร่องของศัลยแพทย์ที่สำคัญๆ มากถึง 80,000 ครั้ง ราว 7 เปอร์เซ็นต์ ของผู้ป่วยที่โชคร้ายเหล่านั้นเสียชีวิตลงเพราะความผิดพลาดดังกล่าว ส่วนอีกราว 1 ใน 3 ของผู้ป่วยที่เกิดความผิดพลาด ลงเอยด้วยการบาดเจ็บหรือพิการอยู่อย่างถาวรเพราะความผิดพลาดเหล่านั้น

นายแพทย์ แมคารีย์ เชื่อว่าหนทางแก้เพื่อลดความผิดพลาดลงให้เหลือน้อยที่สุด จำเป็นต้องนำเอาเรื่องความปลอดภัยเข้าไปบรรจุไว้ในระบบการรักษาพยาบาลทั้งระบบ ให้ทุกส่วนในทีมผ่าตัดคำนึงถึงเป็นลำดับแรกเพื่อปกป้องผู้ป่วย แม้แต่พยาบาลก็ควรมีสิทธิบอกหรือโวยนายแพทย์ได้หากพบเห็นความผิดพลาดบกพร่อง การติดตั้งระบบติดตามวัสดุอุปกรณ์ทุกชิ้นไว้ด้วยชิปอาร์เอฟไอดี นอกจากจะช่วยตรวจสอบการหลงลืมวัสดุไว้ในร่างกายผู้ป่วยได้อย่างรวดเร็วแล้วยังเป็นการบีบกลายๆ ให้แพทย์ต้องรายงานความบกพร่องและโรงพยาบาลต้องยอมรับผิดและหาทางแก้ไขโดยเร็วได้อีกด้วย


ที่มา : นสพ.มติชนรายวัน
ประชาชาติธุรกิจออนไลน์  25 ธ.ค. 2555

6943


คนไทยตาสว่างเสียที… เลิกเสียเงินซื้อยาฝรั่ง ต้นเหตุเพียงแค่น้ำมันพืชเคลือบระบบดูดซึม

อดีตเมื่อก่อน 30 ปีที่แล้ว คนไทยใช้น้ำมันมะพร้าว และ น้ำมันหมูทำกับข้าว จู่ ๆ โฆษณาฝรั่ง มากล่าวโทษวิถีไทยเดิม ๆ อ้างว่าน้ำมันมะพร้าว และ น้ำมันหมูทำให้คลอเลสเตอรอลสูง เพราะจับตัวเป็นไข วิธีแก้คือ การใช้น้ำมันพืช

ปัจจุบัน ผู้คนส่วนใหญ่เปลี่ยนมาใช้น้ำมันพืช เพราะความเชื่อที่ถูกฝรั่งฝังหัวมา แต่ปรากฏว่า อัตราการเป็นโรคต่าง ๆ มากขึ้น … ไขมันในเลือดสูง, โรคหัวใจ, โรคไต, ภูมิแพ้…เป็นต้น

วงการสุขภาพของตะวันตก เพิ่งจะมาตาสว่างเมื่อค้นพบโทษของน้ำมันพืช สหรัฐ ฯ ได้ออกมาตรการลด ละ เลิก ใช้ น้ำมันพืชผ่านกรรมวิธี(transfat oil) ในหลาย ๆ รัฐ
ท่านสามารถอ่านข่าวเหล่านี้ได้ เช่น
อาร์โนลด์ ชวาชเนกเกอร์ ผู่ว่าการรัฐแคลิฟอร์เนีย กับการแบนการใช้น้ำมันพืชผ่านกรรมวิธี โดยกล่าวว่า “การใช้น้ำมันพืชผ่านกรรมวิธี ทำให้เป็นโรคหลอดเลือดหัวใจ…”
http://gov.ca.gov/press-release/10291/

รัฐเท็กซัส…พระราชบัญญัติ ขจัดน้ำมันพืชแปรรูปให้หมดจากร้านอาหาร ภายใน สิงหาคม 2553 http://dallas.bizjournals.com/dallas stories/2009/05/04/daily72.html

KFC เริ่มเห็นโทษของน้ำมันพืชผ่านกรรมวิธี ออกเมนูไร้น้ำมันพืช Transfat http://abcnews.go.com/Health/OnCall/story?id=2615217< /FONT>

McDonald ประกาศเริ่มใช้น้ำมันชนิดอื่น แทนน้ำมันพืชผ่านกรรมวิธีเมื่อปี 2007 เริ่มต้นที่ 1,200 สาขาhttp://www.msnbc.msn.com/id/16873869/

Dunkin Donut ประกาศเลิกใช้น้ำมันพืชผ่านกรรมวิธีตั้งแต่ปี 2550
https://www.dunkindonuts.com/aboutus/press/PressRelease.aspx?viewtype=current&id=100102

เว๊บไซท์ ต่อต้าน transfat http://www.bantransfats.com/

โรคที่มากับน้ำมันพืชผ่านกรรมวิธี…ระบบเผาผลาญอาหารเสื่อม, เบาหวาน, ธัยรอยด์, เสื่อสมรรถภาพทางเพศ, โรคหัวใจ, โรคอ้วน, โรคไตhttp://transfatdisease.com/why.html

อาหารที่พบอยู่ทั่วไป มีน้ำมันพืชเสมอ… ก๋วยเตี๋ยว, ผัดไท, หอยทอด, ราดหน้า, ผัดผักทุกชนิด, ไก่ทอด, ปาท่องโก๋, ข้าวผัด ขนมอบ เบเกอรี่…สรุปรวมว่าอาหารทุกชนิดที่ใช้กะทะ (ผัด ทอด) ใช้น้ำมันพืชทั้งนั้น
น้ำมันพืชเกือบทุกชนิด ใช้น้ำมันปาล์มเป็นวัตถุดิบ ซึ่งราคาถูก แต่ขวางระบบดูดซึม น้ำซึมผ่านไม่ได้ หากใช้วัสดุอื่นตามที่โฆษณาจริง เหตุใดจึงยังขายได้ในราคาถูกเช่นนั้น

อย่าให้คำว่า ‘ไม่เป็นไข’ มาหลอกท่านได้อีก
น้ำมันพืชเมื่ออยู่ในอุณหภูมิที่ต่ำกว่า 25 องศา จะดูสวยงาม ไม่เป็นไข ผิดกับน้ำมันหมูที่เมื่อยู่ในอุณหภูมิต่ำ จะเป็นไข แต่เมื่อน้ำมันพืชเข้าไปอยู่ในร่างกาย อุณหภูมิ 37 องศา จะกลายเป็นกาวเหนียว เกาะติดลำไส้ตั้งแต่ลำคอลงมาถึงลำไส้ใหญ่ ไม่สามารถล้างออกได้ด้วยพืชผักที่เราทานเข้าไป และ ไม่สามารถล้างออกได้ด้วยน้ำชาธรรมดา
แต่น้ำมันจากสัตว์ และ น้ำมันมะพร้าว เมื่ออยู่ในอุณหภูมิร่างกาย จะไม่มีทางเป็นไข และ จะละลายกับน้ำได้ สารอาหารต่าง ๆ ยังซึมเข้าร่างกายได้
หากท่านลองนำน้ำมันพืช ใส่ภาชนะ แล้วไปตั้งทิ้งไว้กลางแดดสัก 10 นาที อุณภูมิจะประมาณ 30 กว่าองศา ใกล้เคียงร่างกายมนุษย์ ท่านเช็ดน้ำมันพืชออกได้ยากมาก เหมือนกับที่เ ขม่ากาวติดกะทะ เครื่องครัว เขม่ากาวเหนียวนั่นคือผลของน้ำมันพืชโดนความร้อน จำเป็นต้องใช้กรดมาล้างเท่านั้น
แต่หากท่านลองใช้น้ำมันหมู หรือ น้ำมันมะพร้าว ใส่ภาชนะแล้วตากแดด จะพบว่าล้างออกได้โดยง่าย
เมื่อน้ำมันพืชเคลือบระบบดูดซึมท่านทั้งหมด น้ำก็จะไม่เข้าร่างกายท่าน เมื่อท่านทานน้ำ น้ำก็จะถูกพาไต พาไปที่กระเพาะปัสสาวะโดยเร็ว เสมือนกับท่านทานน้ำ 100% น้ำไม่ได้ถูกดูดซึมเข้าไปใช้ในอวัยวะต่าง ๆ เลย กลับเป็นภาระให้ไตนำไปทิ้ง 100% นี่คือเหตุผลว่าทำไมท่านทานน้ำแล้วฉี่บ่อย เป็นโรคไต และ โรคกระเพาะปัสสาวะตามมา
เมื่อน้ำซึมเข้าตัวไม่ได้ วิตามินที่มากับน้ำ เช่น วิตามินบี และ ซี ก็จะไม่เข้าร่างกายท่าน ขาดวิตามินบี ทำให้สมองมีปัญหา เฉื่อยชา ความจำสั้น หากหญิงกำลังตั้งครรค์ มีโอกาสทำให้ลูกคลอดมาเป็นออทิสติค ขาดวิตามินซี ทำให้ภูมิคุ้นกันมีปัญหาเป็น ภูมิแพ้ หวัด ไวรัส
เมื่อภูมิคุ้มกันมีปัญหา ท่านก็จะติดโรคอื่น ๆ ได้ง่ายมาก จบลงด้วยการเสียเงินซื้อยาฝรั่ง เงินทองไหลออกนอกประเทศ เพราะเพียงแค่ท่านหลงเชื่อว่าน้ำมันพืชสมัยใหม่ไม่เป็นอันตราย

น้ำมันพืชผ่านกรรมวิธี จำเป็นต้องผ่านกระบวนการ
- ฟอกสี (bleached) เพื่อให้สีดูสวย สดใส
- แต่งกลิ่น (deodorized) เพื่อให้ไม่มีกลิ่นหื มีกลิ่นตามที่ต้องการ
- ใส่ไฮโดรเจน (hydrogenated)
-
กระบวนการเหล่านี้ ทำให้สารเคมีเปลี่ยน เมื่อทานเข้าไปแล้ว เป็นพิษต่อร่างกายโดยตรง
เมื่อใดที่เห็นข้างกล่องผลิตภัณฑ์ว่า มีน้ำมันพืชผ่านกรรมวิธี ขอให้รู้ว่านั่นคือยาพิษ โยนทิ้งขยะทันที …
…Trans fats do not exist in nature. They are laboratory-designed and have adverse health consequences. They interfere with the body’s production of beneficial fatty acids and promote heart disease. As trans fatty acids offer no benefits and only clear adverse metabolic consequences, when you see the words partially hydrogenated on the side of a box, consider it poisonous and throw it in the trash. (Ascherio, A., and W. C. Willett. 1997. Health effects of trans fatty acids. Am. J. Clin. Nutr. 66 (4 supp.): 1006S–10S.)
http://www.diseaseproof.com/archives/hurtful-food-dunkin-donuts-kills-trans-fat.html

ถึงเวลาล้างได้แล้ว
ท่านจำเป็นต้องล้างน้ำมันพืชในร่างกาย ที่สะสมมาตั้งแต่เกิดเสียที ด้วยสูตรตามธรรมชาติ ที่ท่านสามารถพึ่งพาตัวเองได้ มี 2 สูตร ที่ได้รับการทดสอบจากประชาชนทั่วไป มากกว่า ห้าหมื่นคน และ ได้ผล

สูตรที่เร็วที่สุดคือ น้ำชามะละกอ (ล้างอย่างเดียว แต่เร็ว)
วิธีทำ : มะละกอดิบ ที่ใช้ตำส้มตำ นำมาหั่นเป็นชิ้นเหมือนชิ้นฟัก ประมาณ 6-8 ชิ้นต่อน้ำ 2 ลิตร จะขาดจะเกิน ไม่ผิด (ถ้าใส่มากเกินไปจะทำให้บูดง่าย มะละกอดิบที่เหลือ ใส่ตู้เย็นเก็บไว้ใช้ได้ในครั้งต่อไป) และ ใบเตย หรือ เก๊กฮวย อย่างใดอย่างนึง กะเอง ต้มในน้ำ จนเด ื อด พอเดือดได้ประมาณ 1 นาที ปิดไฟทันที อย่าต้มต่อ ให้เอามะละกอ กับ ใบเตยทิ้ง (อย่า ป ล่อยให้มะละกอเดือดจนเละ) แล้วใส่ใบชา ลงไปแช่ประมาณ 4 นาที ห้ามแช่นานกว่า 4 นาทีเพราะสารแทนนินจะออกมา ทำให้ท้องผูก แล้วตักใบชาทิ้ง จะได้น้ำชามะละกอ ดื่มร้อน หรือ เย็นได้ น้ำชาที่เหลือให้แช่ตู้เย็น เก็บไว้ได้ประมาณ 2 วัน เกินกว่านั้นจะบูด (ยางมะละกอล้างไขมัน, ใบเตยให้ความสดชื่น, ชาดับกลิ่นมะละกอ)

สูตร นมสดโยเกิร์ตน้ำผึ้งมะนาว (ล้างและบำรุง ค่อย ๆ ล้าง)
นมสด โยเกร์ต น้ำผึ้ง มะนาว : ใช้โยเกิร์ตชนิดจืดครึ่งถ้วย ผสมนมสดชนิดจืด 1 กล่อง เติมน้ำผึ้ง 2 ช้อนชา และ บีบมะนาว 2 ลูก คนให้เข้ากัน ทิ้งไว้ 5-10 นาที แล้วค่อยดื่ม
คุณสมบัติ : ใ ห้วิตามิน B บำรุงสมอง วิตามิน C เพิ่มภูมิต้านทาน, จุลินทรีย์ตัวดีช่วยย่อยน้ำมันพืช, นมส ด ให้แคลเซียม

ขอให้ท่านมองดูคนป่วยรอบกายท่าน คนป่วยในสังคม แล้วถามตัวเองว่า
- คนเหล่านั้น ทานน้ำมันพืชแล้วภูมิคุ้มกันมีปัญหา ป่วย แต่ไปรักษาปลายเหตุ ใช่หรือไม่ ?
- คนป่วยเหล่านี้มากพอหรือยัง เงินที่คนป่วยเหล่านี้ต้องจ่ายซื้อยา เงินนั้นอยู่ในประเทศหรือนอกประเทศ ?
- เศรษฐกิจพอเพียงจะเกิดขึ้นได้อย่างไร หากคนไทยยังไม่ดูแลสุขภาพตนเอง ต้องพึ่งพายาฝรั่งไปเรื่อย ๆ ?

ท่านอย่าเพิ่งเชื่อบทความนี้ จนกว่า ท่านหาจะได้ข้อมูลเพิ่มเติมใน search engine (google) ต่าง ๆ ด้วยตนเอง โดยพิมพ key word ต่อไปนี้ (พิมพ์ครั้งละ 1 คำ)
Transfat, transfat bill, vegetable oil bad health, hydrogenated oil, ชามะละกอ, อันตราย น้ำมันพืช


By: ฟาร์มดี (ฟาร์มไส้เดือนของคนพิการ)
http://www.facebook.com/photo.php?fbid=440296876035554&set=a.416557595076149.94173.415418875190021&type=1

6944
 สธ.ระดมกำลังแพทย์ พยาบาล และระดับผู้บริหาร พัฒนาระบบงานบริการผู้ป่วยอุบัติเหตุ ฉุกเฉินของ รพ.ทุกระดับเป็นมาตรฐานเดียวกันทุกแห่ง เพิ่มโอกาสรอดชีวิต ไร้พิการซ้ำซ้อนให้ได้มากที่สุด เผยในรอบ 10 ปีสถิติผู้ป่วยห้องฉุกเฉินรพ.รัฐทั่วประเทศเพิ่มขึ้น 1 เท่าตัว เฉลี่ยเข้าห้องฉุกเฉินนาทีละ 46 ครั้ง
       
       วานนี้(21 ธ.ค.) นพ.ณรงค์ สหเมธาพัฒน์ ปลัดกระทรวงสาธารณสุข(สธ.) เปิดประชุมนายแพทย์สาธารณสุขจังหวัด ผู้อำนวยการโรงพยาบาล(รพ.)ศูนย์/รพ.ทั่วไป และผู้รับผิดชอบและปฏิบัติงานด้านอุบัติเหตุฉุกเฉิน ประกอบด้วยแพทย์หัวหน้ากลุ่มงานศัลยกรรม งานเวชศาสตร์ฉุกเฉินและนิติเวช งานออร์โธปิดิกส์ พยาบาลประจำห้องอุบัติเหตุและฉุกเฉินประจำรพ.ศูนย์ทั่วประเทศ รพ.มหาวิทยาลัย วิทยาลัยแพทยศาสตร์ จำนวน 300 คน เพื่อระดมสมองพัฒนาประสิทธิภาพระบบการให้บริการผู้ป่วยอุบัติเหตุ ฉุกเฉิน ใน รพ.ทุกระดับในประเทศไทย
       
       นพ.ณรงค์ กล่าวว่า งานบริการผู้ป่วยอุบัติเหตุฉุกเฉินจัดเป็นงานด่านหน้าที่มีความสำคัญของรพ.ทุแห่ง เพื่อช่วยชีวิตผู้ป่วยที่อยู่ในภาวะฉุกเฉินและวิกฤติอย่างรวดเร็วและถูกต้องแม่นยำ เพื่อให้รอดชีวิต ปลอดภัย ลดความพิการซ้ำซ้อน ให้บริการเป็นทีม เป็นความหวังของผู้ป่วยและญาติขณะประสบกับนาทีชีวิต ซึ่งเป็นนโยบายเร่งด่วนของรัฐบาล และ สธ.ที่ต้องการให้ประชาชนได้รับบริการที่ได้มาตรฐาน
       
       "จากการสำรวจของศูนย์อุบัติเหตุฉุกเฉิน โรงพยาบาลขอนแก่นพบว่า ในรอบ 10 ปีมานี้ จำนวนผู้ป่วยอุบัติเหตุฉุกเฉินเข้ารักษาตัวที่ห้องฉุกเฉินของ รพ.ของรัฐทั่วประเทศเพิ่มขึ้น 1 เท่าตัว จาก 12 ล้านครั้งในปี 2544 เป็น 24 ล้านครั้งในปี 2555 เฉลี่ยนาทีละ 46 ครั้ง ในขณะที่ทรัพยากรด้านต่างๆของ รพ.ไม่ได้เพิ่มขึ้นมากนัก จึงจำเป็นอย่างยิ่งที่จะต้องมีการวางแผนในการรับมือปัญหาอย่างเป็นระบบและทันท่วงที เพื่อให้มีความเป็นเลิศ มีมาตรฐานระดับสากล สร้างความเชื่อมั่นของคนไทยทั้งประเทศและต่างชาติ" นพ.ณรงค์ กล่าว
       
       นพ.ณรงค์ กล่าวต่อว่า ในการประชุมครั้งนี้จะศึกษาทบทวนสถานการณ์ สภาพปัญหาที่เกิดในระบบจากการปฏิบัติงานจริง และการพัฒนาความพร้อมอย่างสมบูรณ์แบบใน 4 ด้านสำคัญ ได้แก่

1.บุคลากรมืออาชีพ
2.โครงสร้าง และอุปกรณ์ เครื่องมือแพทย์
3.กระบวนการปฏิบัติงานของเจ้าหน้าที่ทุกระดับ
4.เทคโนโลยีสารสนเทศ การสื่อสารรับแจ้งเหตุ การประสานงานของเจ้าหน้าที่

จากนั้นจะจัดทำเป็นยุทธศาสตร์การพัฒนาและการลงทุนต่างๆ ให้เกิดความสมบูรณ์แบบได้มาตรฐาน

ASTVผู้จัดการออนไลน์    22 ธันวาคม 2555

6945
เด็กและผู้สูงอายุ 4 จ.ชายแดนใต้ป่วยโรคฟันสูงเป็นอันดับ 1 ของประเทศ โดยเด็กฟันผุร้อยละ 65 โดยเฉพาะนราธิวาสพบเด็กฟันผุถึงร้อยละ 80 ส่วนผู้สูงอายุ 1 ใน 10 เหลือแต่เหงือกไม่มีฟันเคี้ยวอาหาร เร่งปรับระบบการดูแลในพื้นที่ เน้นโรงพยาบาลทุกระดับเพิ่มบริการดูแลสุขภาพช่องปากลงชุมชน ตั้งเป้าภายใน 3 ปีนี้ จะใส่ฟันเทียมพระราชทานให้ผู้สูงอายุ 9,000 ราย เพิ่มเด็กวัยเรียนฟันดีให้ได้ร้อยละ 40
       
       นายแพทย์ณรงค์ สหเมธาพัฒน์ ปลัดกระทรวงสาธารณสุข กล่าวถึงการพัฒนาระบบการดูแลสุขภาพช่องปากของประชาชนในพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้ ว่า พื้นที่ดังกล่าวมีปัญหาสาธารณสุขหลายเรื่องที่สูงเป็นอันดับ 1 ของประเทศ เช่น อัตราการสูบบุหรี่ แม่เสียชีวิต และฟันผุ ผลสำรวจสุขภาพช่องปากของกรมอนามัยในปี 2554 พบว่า

เด็กไทยโดยเฉลี่ยร้อยละ 50 เป็นโรคฟันผุ สูงสุดในเขตภาคใต้ร้อยละ 65 โดยเฉพาะใน 4 จังหวัดชายแดนภาคใต้ได้แก่ สงขลา ยะลา ปัตตานี นราธิวาส มีความชุกโรคฟันผุมากกว่าที่อื่น โดยจังหวัดปัตตานีพบร้อยละ 70 และนราธิวาสพบร้อยละ 80

ส่วนกลุ่มผู้สูงอายุโดยเฉลี่ยพบ 1 ใน 10 ไม่มีฟันเคี้ยวอาหาร พบมากที่สุดในภาคกลางและภาคใต้ นอกจากนี้ผู้สูงอายุในภาคใต้ที่มีปัญหาฟันผุหรือเหงือกอักเสบแล้ว พบว่ากว่าครึ่งยังไม่ได้รับการรักษา เนื่องจากอุปสรรคในการเดินทางและจากผลกระทบความไม่สงบที่เกิดขึ้นจึงทำให้เกิดปัญหาเป็นโรคเหงือกอักเสบรุนแรงสูงถึงร้อยละ 91 และมีโอกาสสูญเสียฟันทั้งปากเพิ่มขึ้น
   
       นายแพทย์ณรงค์ กล่าวต่อว่า มาตรการแก้ไขปัญหาดังกล่าว ได้มอบนโยบายให้ระดมทรัพยากรที่มีอยู่ ทั้งกำลังคน เครื่องมืออุปกรณ์ และงบประมาณ มาใช้ร่วมกันในระดับเครือข่ายบริการ โดยตั้งคณะกรรมการประสานงานสาธารณสุขเครือข่ายหรือคปสข.ทั้ง 4 จังหวัด มาจัดทำยุทธศาสตร์บริการร่วมกันเพื่อลดปัญหาให้ได้โดยเร็วที่สุด ไม่แยกพัฒนาเฉพาะโรงพยาบาล ซึ่งจะทำให้เกิดประสิทธิภาพและคุณภาพมากขึ้น เนื่องจากปัจจุบันทรัพยากรด้านกำลังคนค่อนข้างพร้อมกว่าพื้นที่อื่น ส่วนการทำงานของแต่ละพื้นที่ ได้มอบนโยบายให้ปรับวิธีการทำงาน จากเดิมที่เป็นการตั้งรับ รักษาผู้ป่วยอยู่ที่โรงพยาบาลซึ่งทำให้คิวยาวและแนวโน้มเพิ่มมากขึ้นเรื่อยๆ ให้เพิ่มบริการเชิงรุกลงชุมชน เน้นการส่งเสริมป้องกันร่วมกับโรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพตำบล เพื่อส่งเสริมสุขภาพช่องปากและฟันในชุมชน ให้ประชาชนมีสุขภาพช่องปากดีขึ้น คาดว่าวิธีการนี้น่าจะบรรลุเป้าหมายที่วางไว้
       
       ทั้งนี้ในปี 2556 นี้ สปสช.ได้จัดงบประมาณส่งเสริมป้องกันด้านทันตสุขภาพทั่วประเทศ 1,045 ล้านบาท เฉลี่ยเครือข่ายบริการละ 80-90 ล้านบาท และมีงบจากกระทรวงสาธารณสุขอีกกว่า 1,000 ล้านบาท เฉลี่ยเครือข่ายละเกือบ 100 ล้านบาท และยังมีงบเฉพาะสำหรับการแก้ไขปัญหาภาคใต้อีก 87 ล้านบาทซึ่งเพียงพอในการจัดบริการปะชาชนในพื้นที่ 4 จังหวัดใต้ประมาณ 5 ล้านคน

       ด้านนายแพทย์เจษฎา โชคดำรงสุข อธิบดีกรมอนามัย กล่าวว่า กรมอนามัย ได้วางเป้าหมายแก้ไขปัญหาสุขภาพช่องปากและฟันใน 4 จังหวัดชายแดนใต้ตั้งแต่พ.ศ.2556-2558 ใน 2 เรื่อง คือ 1. ใส่ฟันเทียมพระราชทานในผู้สูงอายุที่สูญเสียฟันทั้งปากจำนวน 9,000 คน และขยายบริการส่งเสริมสุขภาพช่องปากผู้สูงอายุในรพ.สต. รวมทั้งพัฒนาศักยภาพชมรมผู้สูงอายุให้ดูแลอนามัยช่องปากตนเองและ2.การส่งเสริมสุขภาพช่องปาก ป้องกันฟันผุในเด็กวัยเรียน ตั้งเป้าหมายภายในปี 2558 จัดบริการเคลือบหลุมร่องฟัน และใช้ฟลูออไรด์ ให้กลุ่มเด็กวัยเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่6 ซึ่งเป็นการถนอมฟันแท้ที่ต้องใช้งานตลอดชีวิตไม่ให้ผุ เพิ่มจากร้อยละ 30 เป็นร้อยละ 40 เพิ่มโรงเรียนปลอดน้ำอัดลมไม่น้อยกว่าร้อยละ 75 ของโรงเรียนทั้งหมด


ASTVผู้จัดการออนไลน์    23 ธันวาคม 2555

หน้า: 1 ... 461 462 [463] 464 465 ... 651