แสดงกระทู้

This section allows you to view all posts made by this member. Note that you can only see posts made in areas you currently have access to.


Messages - story

หน้า: 1 ... 459 460 [461] 462 463 ... 653
6901
  1. ทหาร บุก ASTVผู้จัดการ 2 วันซ้อน จี้ ขอโทษ ผบ.ทบ. ด้าน “สนธิ” ยัน ไม่มีวันขอโทษ ซัด “ประยุทธ์” อันธพาลหาเรื่องก่อน!
       
       เมื่อวันที่ 10 ม.ค. พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ผู้บัญชาการทหารบก ได้เดินทางลงพื้นที่ชายแดนเขาพระวิหาร อ.กันทรลักษณ์ จ.ศรีสะเกษ เพื่อตรวจเยี่ยมและพบปะกำลังพลกองกำลังสุรนารี กองทัพภาคที่ 2 และเจ้าหน้าที่ตำรวจตระเวนชายแดน(ตชด.) ซึ่งเป็นที่น่าสังเกตว่า ระหว่างลงพื้นที่ ผู้สื่อข่าวได้ถาม พล.อ.ประยุทธ์ถึงกรณีที่กลุ่มคนไทยหัวใจรักชาติประกาศชุมนุมใหญ่ในวันที่ 21 ม.ค.เพื่อคัดค้านอำนาจศาลโลกในการตีความคดีปราสาทพระวิหาร ปรากฏว่า พล.อ.ประยุทธ์ กลับตอบโดยเหมารวมหรือเข้าใจไปเองว่าเป็นพันธมิตรฯ ที่จะชุมนุมใหญ่ ทั้งที่พันธมิตรฯ ยังไม่ได้มีมติที่จะชุมนุมใดใดทั้งสิ้น โดย พล.อ.ประยุทธ์ พูดทำนองเหยียดหยามพันธมิตรฯ ว่า พันธมิตรฯ คือใคร ตนไม่ใส่ใจ ถ้าเขาทำได้ก็ทำไป ถ้ามีช่องทางทำได้ ก็ทำไป ต้องไปดูกฎหมายเขาว่าอย่างไร กติกาโลกว่าอย่างไร ถามว่าเป็นรัฐบาลหรือเปล่า ถ้าเป็นรัฐบาลก็ต้องฟัง แต่เมื่อไม่ได้เป็นรัฐบาลก็ไม่รู้จะทำอย่างไร ส่วนเขาจะเชิญชวนให้ประชาชนมาร่วมชุมนุมก็ให้เขาเชิญไป แต่ถ้าทหารไปร่วมชุมนุม ตนก็ต้องลงโทษ เพราะตนไม่ให้ไป ตนจะปฏิบัติตามกฎหมายทุกประการ
       
       ไม่เพียง พล.อ.ประยุทธ์ จะดูถูกพันธมิตรฯ แต่ยังด่าหนังสือพิมพ์ ASTVผู้จัดการด้วยว่า เขียนข่าวห่วย “ไม่มีใครอยากให้ประเทศชาติเสียหาย ดังนั้นมองเจตนาคนให้มันดีหน่อย ไอ้หนังสือพิมพ์ผู้จัดการ ผมบอกได้เลยว่า มันเขียนห่วย ด่าผมอย่างโน้นอย่างนี้ เอาอะไรมาด่าผม เอาศักดิ์ศรีอะไรมาด่าผม ทำไมรักประเทศชาติอยู่คนเดียวหรืออย่างไร ไปดูพฤติกรรมตัวเองเป็นอย่างไรกันบ้าง ผมทนมานานพอสมควรแล้ว”
       
       ด้านหนังสือพิมพ์ ASTVผู้จัดการ ได้ออกแถลงการณ์ตอบโต้ พล.อ.ประยุทธ์ว่า เป็นเรื่องที่สะท้อนใจอย่างยิ่งที่ พล.อ.ประยุทธ์ เกิดอาการเหวี่ยงวีนปรี๊ดแตกใส่สื่อมวลชนเครือ ASTVผู้จัดการ เพียงเพราะนายทหารท่านนี้รับไม่ได้กับข้อเท็จจริงในการนำเสนอข่าวการปฏิบัติหน้าที่ ผบ.ทบ.ของตนที่ล้มเหลวในทุกๆ เรื่อง ซึ่งแทนที่ พล.อ.ประยุทธ์จะเร่งกำจัดจุดอ่อนเรื่องต่างๆ ให้เข้ารูปเข้ารอย กลับเลือกที่จะบริภาษสื่อที่กล้าเป็นกระจกสะท้อนการทำงาน ซึ่งเป็นนิสัยเดิมๆ ที่ ผบ.ทบ.คนนี้มักจะทำเป็นประจำคือ ขู่คำรามใส่สื่อ “พล.อ.ประยุทธ์ ประกาศว่า ภาคประชาชนไม่ใช่รัฐบาล จึงไม่มีความจำเป็นต้องฟังข้อเรียกร้องและข้อเสนอแนะ และนั่นย่อมหมายรวมไปถึงจ้อเสนอแนะจากสื่อมวลชนและนักวิชาการที่นำเอาข้อเท็จจริง ข้อมูลเชิงลึก แผนที่เปรียบเทียบ หลักฐานเขตแดนและคำพิพากษาของศาลโลก ข้อได้เปรียบเสียเปรียบของการรักษาอธิปไตยมาตีแผ่ โดยเป็นข้อโต้แย้งที่แม้แต่รัฐบาลก็ไม่อาจปฏิเสธได้”
       
       ส่วนที่ พล.อ.ประยุทธ์พูดว่าผู้จัดการเอาศักดิ์ศรีอะไรมาวิพากษ์วิจารณ์ตนนั้น ASTVผู้จัดการ ระบุว่า การทำหน้าที่สื่อของ ASTVผู้จัดการได้ผ่านการพิสูจน์ทดสอบมาแล้วในทุกรูปแบบ ไม่เว้นแม้แต่การถูกปองร้ายการพยายามลอบสังหารจากผู้เสียประโยชน์หลายฝ่าย แต่บททดสอบของ พล.อ.ประยุทธ์นั้น ยังมิได้ผ่านการทดสอบเลยสักเรื่อง จึงอยากถามกลับ พล.อ.ประยุทธ์เช่นกันว่า ศักดิ์ศรีความเป็นผู้นำกองทัพของท่านอยู่ตรงไหน
       
       ASTVผู้จัดการ ยังฝากถึง ผบ.ทบ.ด้วยว่า ถ้าคิดว่าตนดีกว่าใคร รู้ทุกเรื่อง ทำไมไม่เห็นจะแก้ไขปัญหาได้สักเรื่อง แล้วยังมาอวดเก่งอวดอำนาจบาตรใหญ่ขู่คำรามแสดงความเจ้ายศเจ้าอย่างผิดที่ผิดเวลาอีก แถลงการณ์ ASTVผู้จัดการ ยังทิ้งคำถามให้สังคมได้คิดด้วยว่า วันนี้ไอ้ผู้จัดการมันเขียนห่วย หรือไอ้ ผบ.ทบ.ที่ชื่อประยุทธ์ จันทร์โอชา คนนี้มันห่วยกันแน่
       
       เป็นที่น่าสังเกตว่า หลัง ASTVผู้จัดการออกแถลงการณ์ตอบโต้ พล.อ.ประยุทธ์ในวันที่ 11 ม.ค. ปรากฏว่า เย็นวันเดียวกัน ได้มีกลุ่มนายทหารชั้นประทวนจากกองทัพภาคที่ 1 และมณฑลทหารบกที่ 11 กว่า 50 นาย เดินทางมายังสำนักงาน ASTVผู้จัดการ บ้านพระอาทิตย์ เพื่อแสดงความไม่พอใจ โดยอ้างว่าแถลงการณ์ของ ASTVผู้จัดการบั่นทอนกำลังใจทหาร เมื่อผู้สื่อข่าวถามว่า แถลงการณ์ดังกล่าวเป็นการตอบโต้ส่วนตัวระหว่าง พล.อ.ประยุทธ์กับสื่อมวลชน ตัวแทนนายทหาร อ้างว่า พวกตนรู้สึกน้อยใจ เพราะผู้บัญชาการทหารบกเปรียบเสมือนพ่อแม่คนที่ 2
       
       ทั้งนี้ มีรายงานว่า ช่วงเวลาใกล้เคียงกับที่มีกลุ่มทหารบุกมาบ้านพระอาทิตย์ ทวิตเตอร์ @WassanaNanuam ของน.ส.วาสนา นาน่วม ผู้สื่อข่าวสายทหาร หนังสือพิมพ์บางกอกโพสต์ ได้เผยแพร่ข้อความระบุว่า พล.ต.อภิรัชต์ คงสมพงษ์ ผู้บัญชาการกรมทหารราบที่ 11 รักษาพระองค์ (ผบ.ร.11 รอ.) ได้แสดงความไม่พอใจแถลงการณ์ของ ASTVผู้จัดการ ที่ตอบโต้ ผบ.ทบ.เช่นกัน โดยระบุว่า “พล.ต.อภิรัชต์ คงสมพงษ์ ผบ.พล.ร.11 ฮึ่มด่า ‘ผู้จัดการ’ ถ่อย สถุน ด่า ผบ.ทบ. ทหารทนไม่ได้ หมิ่นศักดิ์ศรี ผบ.ทบ. ปัดส่งสัญญาณให้ทหารตบเท้า บิ๊กตู่ไม่รู้เห็น ทำส่วนตัว หน่วยไหนจะปกป้องก็เป็นสิทธิ์”
       
       ด้านนายจิตตนาถ ลิ้มทองกุล ประธานเจ้าหน้าที่บริหารเครือ ASTVผู้จัดการ พูดถึงกรณีทหารตบเท้าบุกผู้จัดการว่า ถือเป็นการข่มขู่คุกคามสื่อ “การตบเท้ามาที่นี่ไม่ต่างอะไรกับการคุกคามสื่อ รู้สึกสมเพชพวกเขา ทหารพวกนี้แสดงว่าไม่เคยอ่านเนื้อหาข่าวของผู้จัดการเลย มาหาว่าเราเป็นหนังสือพิมพ์ถ่อย ทั้งๆ ที่ผู้จัดการเป็นหนังสือพิมพ์ฉบับเดียวด้วยซ้ำ ที่ยืนหยัดเรียกร้องความเป็นธรรมให้กับทหารที่บาดเจ็บและเสียชีวิตจากอาวุธสงครามของกองกำลังติดอาวุธตอนที่เผาเมือง แล้วโดนส่งไปเป็นจำเลย ที่นายลอยตัว ผู้จัดการก็สู้ให้ทหารเหล่านี้ตลอด ทหารพวกนี้ควรจะไปแสดงพลังกับสื่อในเครือมติชน หรือพวกเอเชียอัพเดท วอยซ์ทีวีมากกว่า ที่ยัดเยียดให้ทหารที่เขาปกป้องให้บ้านเมืองสงบ กลายเป็นฆาตกรไปแทน สื่อแบบนั้นบั่นทอนกำลังใจในการทำหน้าที่ของทหารอย่างแท้จริง”
       
       เป็นที่น่าสังเกตว่า หลังทหารกว่า 50 นายตบเท้าบุกผู้จัดการเมื่อวันที่ 11 ม.ค.แล้ว ปรากฏว่า วันต่อมา(12 ม.ค.) ได้มีทหารสังกัดกองทัพบกอีกกว่า 100 นาย มารวมตัวที่หน้าสำนักงานผู้จัดการเช่นกัน พร้อมเรียกร้องให้เครือ ASTVผู้จัดการ ขอโทษ พล.อ.ประยุทธ์ ทั้งนี้ ก่อนที่ทหารกลุ่มดังกล่าวจะบุกผู้จัดการ พล.อ.ประยุทธ์ ได้ให้สัมภาษณ์สื่อระหว่างร่วมงานวันเด็ก โดยพูดทำนองให้ท้ายการตบเท้าแสดงพลังของทหารที่บุกมาผู้จัดการว่า สามารถทำได้ เพราะเป็นสิทธิในการปกป้องกองทัพ ไม่ใช่การปกป้องตน
       
       ด้านนายสนธิ ลิ้มทองกุล แกนนำพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย ซึ่งอยู่ระหว่างพบปะพันธมิตรฯ ที่สหรัฐอเมริกา ได้โฟนอินมายังรายการทาง ASTV ถึงกรณีที่ทหารตบเท้าบุกผู้จัดการ เรียกร้องให้ขอโทษ พล.อ.ประยุทธ์ว่า “พล.อ.ประยุทธ์อยู่ดีไม่ว่าดี หนังสือพิมพ์ผู้จัดการทำหน้าที่สื่ออยู่ดีดี มาว่าเขาห่วยแตก ASTVผู้จัดการจึงถามกลับไปว่าใครห่วยแตกกว่ากัน ระหว่างผู้จัดการกับ ผบ.ทบ.ก็โกรธทันที นี่คือลักษณะของผู้ไม่มีการศึกษา เป็นอันธพาล... ส่วนทหารที่ พล.อ.ประยุทธ์ใช้มาและออกมาเพราะอยากเอาใจ พล.อ.ประยุทธ์ ต้องถามตัวเองว่า ASTVผู้จัดการห่วยตรงไหน... ที่มาประท้วง ลืมตัว ทุกเดือนที่เรารับเงินเดือน เราหักภาษีเป็นเงินทองที่เอาไปเลี้ยงพวกคุณ คุณมาประท้วงหาอะไร” นายสนธิ ยังยืนยันด้วยว่า อีกกี่ชาติก็ไม่มีวันขอโทษ พล.อ.ประยุทธ์
       
       ส่วนกรณีที่ พล.ต.อภิรัชต์ คงสมพงษ์ ผู้บัญชาการกรมทหารราบที่ 11รักษาพระองค์ (ผบ.ร.11 รอ.) ออกมากล่าวหาว่าหนังสือพิมพ์ผู้จัดการถ่อย สถุน นั้น นายสนธิ โต้กลับว่า แล้วทหารที่มีแต่ใช้ยศตำแหน่งทำมาหากิน แอบช่วยคนขายชาติที่อยู่ต่างประเทศ ใครถ่อยกว่ากัน “เมื่อหลายปีก่อน มีคนยิงใส่บ้านตน รู้หรือเปล่าว่าสัตว์นรกตัวไหนสั่งยิง ฟังแล้วอย่าสะอึก ตนรู้ใครสั่งยิง คุณจะเอาใจนายก็ให้มันดีหน่อย... พล.ต.อภิรัชต์ เป็นลูก พล.อ.สุนทร คงสมพงษ์ ให้ไปดูประวัติพ่อตัวเอง ที่สนิทสนม พ.ต.ท.ทักษิณ และคุณกับทักษิณยังไงก็ต้องสัมพันธ์กัน ติดต่อกัน คุณเกี่ยวพันอะไรกับการแอบช่วยทักษิณอยู่หรือเปล่า คุณมาว่าหนังสือพิมพ์ผู้จัดการถ่อย ถ้าถ่อยเพื่อชาติก็ให้มันถ่อยไป อย่าให้เปิดเลยว่าคุณทำมาหากินอะไรกับนายสนธยา คุณปลื้ม ทางภาคตะวันออก เมื่อก่อนมาเฟียทหารที่ทำมาหากิน รู้จักคุณหมดเลย คุณเป็นทหารแบบไหน ถ้าไม่พอใจ จะกระซิบใครมาจัดการตนก็เชิญ”
       
       ด้านนายสุวัตร อภัยภักดิ์ ทนายความกลุ่มพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย พูดถึงการตบเท้าแสดงพลังที่บ้านพระอาทิตย์ของทหารทั้ง 2 วันว่า ถือเป็นการข่มขู่และคุกคามการทำหน้าที่ของสื่อมวลชน ซึ่งตนได้ปรึกษากับผู้บริหาร ASTV และเตรียมรวบรวมข้อมูลหลักฐานเพื่อฟ้องร้องเอาผิดผู้เกี่ยวข้องแล้ว
       
       ด้านสมาคมนักข่าวนักหนังสือพิมพ์แห่งประเทศไทย ได้ออกแถลงการณ์ขอให้กองทัพยุติการคุกคามสื่อมวลชนในทุกรูปแบบ เพราะหากสื่อถูกข่มขู่คุกคามจนไม่สามารถทำหน้าที่ได้อย่างอิสระ จะส่งให้ประชาชนไม่ได้รับรู้ข่าวสารและข้อเท็จจริงอย่างครบถ้วน พร้อมขอให้ผู้บัญชาการทหารบกรับฟังความคิดเห็นของสื่อมวลชนที่สะท้อนภาพการทำงานของกองทัพและผู้บัญชาการทหารบกอย่างปราศจากอคติ เป็นธรรม และสร้างสรรค์
       
       2. “ทักษิณ” โว พท.เอาเสาไฟฟ้าลงสมัครผู้ว่าฯ กทม.ก็ชนะ ด้าน “อภิสิทธิ์” ขอชาว กทม. สั่งสอนทักษิณ เลือก “สุขุมพันธุ์” !

       ความคืบหน้าการส่งผู้สมัครลงชิงตำแหน่งผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร หลังพรรคประชาธิปัตย์มีมติส่ง ม.ร.ว.สุขุมพันธุ์ บริพัตร ผู้ว่าฯ กทม. ลงชิงตำแหน่งอีกสมัยเมื่อวันที่ 27 ธ.ค. ขณะที่พรรคเพื่อไทย มีข่าวว่ารอเคาะวันที่ 10 ม.ค. ซึ่งเป็นวันสุดท้ายของการดำรงตำแหน่งผู้ว่าฯ กทม.คนปัจจุบัน ปรากฏว่า เมื่อวันที่ 7 ม.ค. นายจิรายุ ห่วงทรัพย์ ส.ส.กทม.พรรคเพื่อไทย ได้ออกมาเผยว่า เมื่อช่วงค่ำวันที่ 5 ม.ค. พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร ได้สไกป์มาพูดคุยกับ ส.ส.กทม. - ส.ก.และ ส.ข.ของพรรค เพื่อหารือถึงความชัดเจนในการส่งผู้สมัครผู้ว่าฯ กทม. ที่โรงแรมเอสซีปาร์ค โดย พ.ต.ท.ทักษิณ ย้ำ ส.ส.-ส.ก.-ส.ข. ขอให้สนับสนุนคนที่พรรคมีมติให้ลงสมัคร พร้อมระบุด้วยว่า การเลือกตั้งผู้ว่าฯ กทม.ครั้งนี้ ไม่ว่าพรรคเพื่อไทยจะส่งใครหรือเอาเสาไฟฟ้าลงสมัคร ก็ชนะ ม.ร.ว.สุขุมพันธุ์แน่นอน
       
       นายจิรายุ ยังบอกด้วยว่า พ.ต.ท.ทักษิณ บอกว่า คุณหญิงสุดารัตน์ เกยุราพันธุ์ อดีตรองหัวหน้าพรรคไทยรักไทย ไม่ควรลงสมัครผู้ว่าฯ กทม.ครั้งนี้ เพราะคุณหญิงสุดารัตน์เคยผ่านตำแหน่งสำคัญมามาก จึงไม่ควรลดตัวลงมาสมัครผู้ว่าฯ กทม. แต่เหมาะจะช่วยรัฐบาลในระดับชาติมากกว่า
       
       ทั้งนี้ รายงานแจ้งว่า พ.ต.ท.ทักษิณ ได้สไกป์มาขอให้คุณหญิงสุดารัตน์เปิดทางให้ พล.ต.อ.พงศพัศ พงษ์เจริญ รองผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติและเลขาธิการสำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามยาเสพติด(ป.ป.ส.) ลงสมัครผู้ว่าฯ กทม. ในนามพรรคเพื่อไทย โดย พ.ต.ท.ทักษิณ ยืนยันว่า ในการปรับคณะรัฐมนตรี(ครม.) ครั้งหน้า จะให้คุณหญิงสุดารัตน์มีตำแหน่งใน ครม.ในระดับรองนายกรัฐมนตรีหรือรัฐมนตรีว่าการ ซึ่งข้อเสนอดังกล่าว ทำให้ ส.ส.กทม.ที่สนับสนุนคุณหญิงสุดารัตน์ ยินยอม และพร้อมช่วย พล.ต.อ.พงศพัศหาเสียงอย่างเต็มที่
       
       ด้านนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ ได้ชวนประชาชนช่วยกันให้บทเรียน พ.ต.ท. ทักษิณกรณีระบุว่าส่งเสาไฟฟ้าลงสมัครผู้ว่าฯ กทม.ก็ชนะ ม.ร.ว.สุขุมพันธุ์ “ประชาชนคงต้องพิจารณาและช่วยกันตัดสินใจ แล้วบอกกับ พ.ต.ท.ทักษิณ กลับไปในวันเลือกตั้งผู้ว่าฯ กทม. เพราะเขามองว่าส่งอะไรมา คน กทม.ต้องเลือก สาเหตุที่ทำให้ พ.ต.ท.ทักษิณ มีความเชื่อเช่นนั้น คิดว่าคงเชื่อมั่นในอำนาจรัฐ เชื่อมั่นในความพร้อมด้านอื่นๆ ไม่ว่าจะเป็นเรื่องเงินหรือเรื่องอะไรก็แล้วแต่”
       
       ขณะที่ ม.ร.ว.สุขุมพันธุ์ บริพัตร ได้ยื่นหนังสือลาออกจากตำแหน่งผู้ว่าฯ กทม.เมื่อวันที่ 9 ม.ค. ซึ่งเป็นการลาออกก่อนที่จะครบวาระการดำรงตำแหน่ง 1 วัน “ผมลาออกเพราะอยากให้ความร่วมมือกับคณะกรรมการการเลือกตั้ง(กกต.) มีเวลาจัดการเลือกตั้งเพิ่มขึ้นเป็น 60 วัน เพราะหากอยู่ครบวาระ กกต.ต้องจัดการเลือกตั้งภายใน 45 วัน ดังนั้นวันเลือกตั้งจะมีขึ้นในวันที่ 3 มี.ค. แม้การยืดเวลาหาเสียงจะทำให้ผมเสียเปรียบ เพราะทำให้คู่แข่งมีเวลาในการหาเสียงเพิ่มขึ้น”
       
       ทั้งนี้ พรรคประชาธิปัตย์ได้เปิดศูนย์อำนวยการเลือกตั้งผู้ว่าฯ กทม.อย่างเป็นทางการเมื่อวันที่ 11 ม.ค.พร้อมเปิดแคมเปญรณรงค์หาเสียงของ ม.ร.ว.สุขุมพันธุ์ ข้อความว่า “รักกรุงเทพฯ ร่วมกันสร้างกรุงเทพฯ” เลือก ม.ร.ว.สุขุมพันธุ์ บริพัตร พรรคประชาธิปัตย์ และ “รักกรุงเทพฯ ร่วมสร้างกรุงเทพฯ มั่นใจร่วมกันพากรุงเทพฯ ก้าวหน้า โดยไม่ต้องเริ่มต้นใหม่ ร่วมสร้างกรุงเทพฯ ให้เป็นมหานครของทุกคน”
       
       ด้านนายอภิสิทธิ์ ได้ช่วยหาเสียงให้ ม.ร.ว.สุขุมพันธุ์ โดยเชิญชวนให้ชาว กทม.ร่วมเดินทางไปกับ ม.ร.ว.สุขุมพันธุ์ เพื่อสร้างกรุงเทพฯ เป็นมหานครของทุกคนภายใต้ปรัชญา ประชาชนต้องมาก่อน และก้าวไปสู่การเป็นมหานครของอาเซียนและมหานครแห่งความสุข และว่า ม.ร.ว.สุขุมพันธุ์ได้รับการยอมรับเป็นประธานนายกเทศมนตรีของโลกด้วย
       
       ขณะที่ ม.ร.ว.สุขุมพันธุ์ ให้ความมั่นใจแก่ชาว กทม.ว่า หากตนได้รับความไว้วางใจให้เป็นผู้ว่าฯ กทม.อีกครั้ง จะทำหน้าที่ได้ดีกว่าเดิม เพราะมีต้นทุนสำคัญ 3 เรื่อง 1.มีแรงสนับสนุนจากพรรคประชาธิปัตย์ 2.มีประสบการณ์มาแล้ว 4 ปี ซึ่ง กทม.จำเป็นต้องได้คนที่คุ้นเคยเรื่องงานและคนเข้ามาบริหาร และ 3.มีต้นทุนการทำงานร่วมกับข้าราชการทุกคน จึงรู้ว่าตนทำได้บนความรักที่มีต่อ กทม.
       
       3. กัมพูชา อภัยโทษ “ราตรี” แล้ว คาด ได้กลับบ้าน 1 ก.พ. ขณะที่ “วีระ” ได้ลดโทษ 6 เดือน ด้าน “สุรพงษ์” โอ่ ผลงาน “ยิ่งลักษณ์”!

       เมื่อวันที่ 10 ม.ค. นายสุรพงษ์ โตวิจักษณ์ชัยกุล รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ เผยว่า ได้รับแจ้งข่าวดีอย่างไม่เป็นทางการจากฝ่ายกัมพูชาว่า ได้เตรียมพระราชทานอภัยโทษให้กับ น.ส.ราตรี พิพัฒนาไพบูลย์ และลดหย่อนโทษให้นายวีระ สมความคิด เป็นเวลา 6 เดือน โดย น.ส.ราตรี จะได้รับการปล่อยตัวในช่วงงานพระราชพิธีพระราชทานเพลิงพระศพสมเด็จพระนโรดม สีหนุ อดีตกษัตริย์กัมพูชา ในวันที่ 1 ก.พ.นี้
       
       นายสุรพงษ์ ยังคุยโวด้วยว่า การอภัยโทษ น.ส.ราตรี และการลดโทษนายวีระครั้งนี้ เป็นผลจากการที่ น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร นายกรัฐมนตรี และตน ได้ขอความอนุเคราะห์ทางการกัมพูชามาอย่างต่อเนื่อง และว่า น.ส.ยิ่งลักษณ์ และตน พร้อมด้วยรัฐมนตรีอีก 2-3 คน จะเดินทางไปร่วมในพระราชพิธีพระราชทานเพลิงพระศพสมเด็จพระนโรดม สีหนุ ในวันที่ 4 ก.พ.ด้วย
       
       วันเดียวกัน(10 ม.ค.) เว็บไซต์กระทรวงต่างประเทศและความร่วมมือระหว่างประเทศของกัมพูชา ได้ลงแถลงการณ์ว่า น.ส.ยิ่งลักษณ์ ได้ร้องขอต่อสมเด็จฯ ฮุน เซน นายกรัฐมนตรีกัมพูชา ให้พิจารณาความเป็นไปได้ที่จะอภัยโทษให้ผู้ต้องขังทั้งสองที่ถูกจำคุกอยู่ในกัมพูชาข้อหาจารกรรมและละเมิดพื้นที่ต้องห้ามทางทหารของกัมพูชา ดังนั้น เพื่อให้เป็นไปตามคำร้องขอ สมเด็จฯ ฮุน เซน จึงได้สั่งการให้กระทรวงยุติธรรมพิจารณาลดโทษให้แก่นายวีระ ซึ่งจะนำไปสู่การอภัยโทษต่อไปในอนาคต และให้อภัยโทษ น.ส.ราตรีในทันที เพื่อให้เป็นส่วนหนึ่งในงานพระราชพิธีพระราชทานเพลิงพระศพสมเด็จพระนโรดม สีหนุ
       
       ด้าน น.ส.ยิ่งลักษณ์ ได้ออกมาขอบคุณรัฐบาลกัมพูชา พร้อมยืนยันว่า หลังจากนี้ รัฐบาลจะประสานเพื่อช่วยเหลือนายวีระให้ได้รับการปล่อยตัวต่อไป
       
       ทั้งนี้ ศาลกัมพูชาพิพากษาเมื่อวันที่ 1 ก.พ.2554 ว่า นายวีระและ น.ส.ราตรี มีความผิด 3 ข้อหา คือ รุกล้ำชายแดน ,เข้าไปในเขตทหาร และจารกรรมข้อมูลทางทหาร ให้จำคุกนายวีระเป็นเวลา 8 ปี ปรับ 1.8 ล้านเรียล และจำคุก น.ส.ราตรี 6 ปี ปรับ 1.2 ล้านเรียล
       
       ด้านนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ พูดถึงกรณีที่นายวีระได้รับการลดหย่อนโทษและ น.ส.ราตรีได้รับการอภัยโทษจากทางการกัมพูชาว่า ถือเป็นข่าวดี เพราะเป็นเรื่องที่คนไทยต้องการเห็น และรัฐบาลต้องร้องขอทางกัมพูชาในกรณีของนายวีระต่อไป ส่วนการอภัยโทษครั้งนี้จะมีนัยยะอะไรหรือไม่นั้น นายอภิสิทธิ์ บอกว่า อย่าเพิ่งสรุป เพราะการดำเนินการมาพร้อมๆ กับโอกาสสำคัญ จึงเป็นเหตุผลที่จะเสนอเรื่องการอภัยโทษ แต่จะมีอะไรตามมาหรือเกี่ยวข้องกับอะไรหรือไม่อย่างที่บางคนกังวล ต้องติดตามและตรวจสอบกันต่อไป
       
       4. แกนนำ นปช. ยื่นหนังสือจี้ ศาล รธน.ไขข้อข้องใจต้องทำประชามติก่อนโหวตวาระ 3 หรือไม่ ด้าน “วสันต์” สงสัย โง่จริงหรือแกล้งโง่!

       เมื่อวันที่ 10 ม.ค. นางธิดา ถาวรเศรษฐ ประธานแนวร่วมประชาธิปไตยต่อต้านเผด็จการแห่งชาติ(นปช.) พร้อมด้วยนายจตุพร พรหมพันธุ์ แกนนำ นปช. ,นพ.เหวง โตจิราการ ส.ส.บัญชีรายชื่อ พรรคเพื่อไทย และแกนนำ นปช. ได้เข้ายื่นจดหมายเปิดผนึกถึงคณะตุลาการศาลรัฐธรรมนูญ เพื่อสอบถามความชัดเจนของคำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญเรื่องการแก้ไขรัฐธรรมนูญ มาตรา 291 ที่ศาลมีคำวินิจฉัยว่า เพื่อให้สอดคล้องกับเจตนารมณ์ของรัฐธรรมนูญ มาตรา 291 ควรจะให้ประชาชนได้ลงประชามติก่อนนั้น แกนนำ นปช.ขอให้ศาลรัฐธรรมนูญตอบให้ชัดเจนว่า คำว่า “ควรทำประชามติ” นั้น เป็นคำวินิจฉัยหรือคำแนะนำที่ใช้บังคับได้ตามกฎหมายหรือไม่ และใช้บทบัญญัติใด มาตราใดของรัฐธรรมนูญมารองรับ 2.ศาลรัฐธรรมนูญห้ามรัฐสภาลงมติวาระ 3 ตามรัฐธรรมนูญหรือไม่ และอาศัยบทบัญญัติใด มาตราใดมารองรับ และว่า เหตุที่ต้องสอบถามศาลรัฐธรรมนูญ เพื่อสร้างความกระจ่างให้ฝ่ายนิติบัญญัติและฝ่ายบริหาร จะได้ตัดสินใจเดินหน้าเรื่องแก้รัฐธรรมนูญได้ ทั้งยังเป็นทางออกให้กับปัญหาที่เกิดขึ้นด้วย
       
       ด้านนายวสันต์ สร้อยพิสุทธิ์ ประธานศาลรัฐธรรมนูญ พูดถึงการยื่นจดหมายเปิดผนึกของแกนนำ นปช.ว่า ยังไม่เห็นคำร้อง พร้อมยืนยันว่า ศาลรัฐธรรมนูญไม่มีหน้าที่ต้องอธิบายคำวินิจฉัยที่ออกไปแล้ว แต่ยอมรับว่า ถ้าคู่กรณีไม่เข้าใจในคำวินิจฉัยสามารถยื่นคำร้องต่อศาลได้ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง แต่ต้องดูก่อนว่า คู่ความร้องมาว่าอย่างไร ไม่เข้าใจจริงๆ หรือว่าแกล้งไม่เข้าใจ โง่จริงๆ หรือแกล้งโง่ ถ้าแกล้งโง่ ขอให้โง่จริงๆ
       
       วันต่อมา(11 ม.ค.) นายจตุพร ได้ออกมาสวนกลับนายวสันต์ว่า “การแก้รัฐธรรมนูญครั้งนี้ ไปซ้ายหรือขวาก็โดนหมด ไม่มีใครแกล้งโง่หรือโง่จริง แต่ศาลรัฐธรรมนูญเขียนคำวินิจฉัยเหมือนใบ้หวย หากตีความไม่ตรงก็โดนร้องเรียนอีก และวิกฤตบ้านเมืองจะกลับมาใหม่ พวกผมไปถามว่า ต้องการให้ทำประชามติก่อนโหวตวาระ 3 หรือโหวตวาระ 3 ได้เลย... อยากให้ศาลชี้แจงให้ชัดเจน ท่านจะว่าพวกผมโง่หรือแกล้งโง่ก็ไม่เป็นไร พวกเราไม่โกรธ แต่ขอวิงวอนให้ท่านได้แกล้งฉลาดสักครั้ง”
       
       ด้านนายกมล โสตถิโภคา โฆษกศาลรัฐธรรมนูญ เผยว่า จะนำหนังสือของแกนนำ นปช.เข้าที่ประชุมคณะตุลาการศาลรัฐธรรมนูญนัดต่อไปในวันที่ 23 ม.ค.นี้ เพื่อดูว่าเข้าข่ายเป็นคำร้องตามหลักการพิจารณาของศาลรัฐธรรมนูญข้อ 17 หรือไม่ แต่ส่วนตัวมองว่า จดหมายเปิดผนึกไม่ใช่คำร้อง ดังนั้นคงเป็นการหารือทั่วไปที่ไม่มีมติรับหรือไม่รับพิจารณาวินิจฉัย

 ASTVผู้จัดการออนไลน์    13 มกราคม 2556

6902
 จากผลสำรวจ UI Green Metric World University Ranking 2012 ที่จัดทำโดย University of Indonesia มหาวิทยาลัยในอินโดนีเซีย (UI) เมื่อเร็วๆ นี้ ได้ประกาศว่า มหาวิทยาลัยมหิดลเป็นสถาบันการศึกษาสีเขียวที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อมที่สุดในโลก
เป็นอันดับที่36ของโลก
อันดับที่ 11 ของเอเชีย และ
อันดับ 1 ของประเทศไทย

จากจำนวนมหาวิทยาลัยที่เข้าร่วมการจัดอันดับรวมทั้งสิ้นจำนวน 215 แห่ง โดยได้คะแนนรวมที่ 6,208.39 คะแนน จากเกณฑ์การประเมิน 6 ด้าน คือ สถานที่ตั้งและระบบสาธารณูปโภค, การจัดการพลังงานและการเปลี่ยนแปลงภูมิอากาศ, การจัดการขยะ, การใช้น้ำ, การจัดการระบบขนส่ง และ การศึกษา

ASTVผู้จัดการออนไลน์    31 มกราคม 2556

6903
 9 รางวัล TAQA 2012 ของโตโยต้า ซึ่งได้มากที่สุดในบรรดาค่ายรถยนต์ ได้แก่ รางวัลความพึงพอใจด้านการขาย หลังการขาย ความพึงพอใจด้านคุณภาพผลิตภัณฑ์ และรางวัลพิเศษ “TAQA EXCELLENT CSI 2008-2012” เป็นรางวัลความพึงพอใจด้านการบริการหลังการขาย (CSI) สำหรับบริษัทที่ทำได้ติดต่อกัน 5 ปีซ้อน
       “รางวัลที่ได้ตั้งแต่อดีตจนปัจจุบันนั้นเป็นความภาคภูมิใจของโตโยต้าที่ได้รับความไว้วางใจ และความเชื่อมั่นจากลูกค้าตลอดมา ซึ่งเกิดจากความพากเพียร การทุ่มเทแรงกายแรงใจของทีมงานทุกฝ่ายเพื่อรักษาคุณภาพมาตรฐาน เรามีการปรับปรุงพัฒนาอย่างต่อเนื่อง เพื่อให้ได้รถยนต์ที่มีคุณภาพสูงสุด รวมถึงมาตรฐานการบริการและความเป็นมืออาชีพของผู้แทนจำหน่ายโตโยต้าทั่วประเทศ ที่มีเป้าหมายเดียวกันในการสร้างความพึงพอใจให้กับลูกค้าทุกคน” วิเชียร เอมประเสริฐสุข รองกรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท โตโยต้า มอเตอร์ ประเทศไทย จำกัด กล่าวถึงทุกคนทุกฝ่ายของโตโยต้าเป็นปัจจัยนำไปสู่ความสำเร็จ
       ซึ่งถือว่าสอดคล้องกับหนึ่งในหลักการของโตโยต้าที่เป็นองค์ประกอบสำคัญสู่ความสำเร็จ คือ การยึดหลักความพึงพอใจของลูกค้า และทุ่มเทเพื่อมาตรฐานสูงสุด ทุกรางวัลที่ได้รับจึงเป็นความภาคภูมิใจของโตโยต้าที่ได้รับความไว้วางใจ และความเชื่อมั่นจากลูกค้าตลอดมา
   
       วิเชียร บอกว่า เราไม่ได้คาดหวังกับรางวัล แต่เป็นการทำตามบทบาทความรับผิดชอบในฐานะผู้ผลิตรถยนต์ และผู้มอบการบริการให้ทั้งก่อนและหลังการจำหน่าย อย่างไรก็ตาม ทุกรางวัลที่ได้รับล้วนมีความสำคัญยิ่ง เพราะจะเป็นภาพสะท้อนความไว้วางใจและมั่นใจในคุณภาพและการบริการของลูกค้าที่มีต่อเรา รางวัลเหล่านี้จึงเป็นแรงผลักดันที่สำคัญให้กับทีมงานทุกฝ่าย รวมถึงผู้แทนจำหน่ายโตโยต้า มุ่งมั่นในการสร้างสรรค์ผลิตภัณฑ์คุณภาพ และการบริการที่เหนือระดับต่อไป
       อย่างที่ได้รับ รางวัลความพึงพอใจด้านการขาย (SSI) ประเภทรถยนต์เพื่อการพาณิชย์ขนาด 1 ตัน วิเชียร กล่าวว่า เราให้ความสำคัญ นอกเหนือไปจากรูปลักษณ์การออกแบบ แคมเปญการตลาดต่างๆ และคุณภาพผลิตภัณฑ์ การบริการและความเอาใจใส่จากโชว์รูมผู้แทนจำหน่าย ก็เป็นส่วนสำคัญที่ผู้บริโภคพิจารณาก่อนตัดสินใจเลือกซื้อรถยนต์สักยี่ห้อ
       ปัจจุบัน โตโยต้า มีพนักงานขายกว่า 5 พันคนทั่วประเทศซึ่งล้วนแต่มีความพร้อมทั้งความรู้ด้านผลิตภัณฑ์ และสามารถแนะนำ ให้คำปรึกษาเพื่อให้ลูกค้าเลือกซื้อรถที่เหมาะสมกับความต้องการมากที่สุด รวมถึงมาตรฐานการบริการ การติดตามดูแลเอาใจใส่อย่างใกล้ชิดในทุกกระบวนการตั้งแต่ลูกค้าก้าวเข้ามาโชว์รูม จนถึงกระบวนการส่งมอบรถใหม่
       “อีกปัจจัยหนึ่งที่ลูกค้าให้ความสำคัญไม่ยิ่งหย่อนไปกว่ากัน ก็คือ การบริการหลังการขาย เพราะรถคันหนึ่งอย่างน้อยคุณต้องใช้ไปโดยเฉลี่ยก็ประมาณ 5 ปี ปัจจุบันศูนย์บริการโตโยต้ากว่า 350 แห่งมีมาตรฐานในการให้บริการลูกค้าในระดับเดียวกันทั่วประเทศ เราเริ่มตั้งแต่การทำความเข้าใจ กำหนดวิสัยทัศน์ และเป้าหมายให้กับผู้บริหารระดับสูงของผู้แทนจำหน่ายทั่วประเทศให้เป็นไปในทิศทางเดียวกับบริษัท คือ การให้ความสำคัญต่อลูกค้า เรามีการจัดทำมาตรฐานการดำเนินงานของผู้แทนจำหน่ายในด้านต่างๆ พร้อมมีการตรวจประเมินอย่างสม่ำเสมอโดยหน่วยงานเฉพาะที่คอยให้คำปรึกษา และแนะนำอย่างใกล้ชิด” วิเชียร บอกถึงความโดดเด่นจนทำให้ลูกค้าไว้วางใจและนำมาสู่การได้ รางวัลความพึงพอใจด้านบริการหลังการขาย (CSI) 2 รางวัล คือ ประเภทรถยนต์เพื่อการพาณิชย์ขนาด 1 ตัน และประเภทรถยนต์นั่งส่วนบุคคล
       อีกสิ่งหนึ่งที่เราเน้นย้ำเสมอ คือ การบริการลูกค้าเสมือนว่าเป็นบุคคลในครอบครัว และรักษาลูกค้า (Customer Retention) โดยสร้างสัมพันธภาพอย่างยั่งยืนกับลูกค้าตลอดอายุการใช้งานของรถ ซึ่งจะช่วยสร้างความแตกต่างที่โดดเด่นให้ลูกค้าเกิดความประทับใจ และเป็นลูกค้าโตโยต้าตลอดไป

รับรางวัล “TAQA EXCELLENT CSI 2008-2012” โตโยต้า เป็นบริษัทแรกที่ได้รับรางวัลความพึงพอใจด้านการบริการหลังการขาย (CSI) ติดต่อกัน 5 ปีซ้อน
   
       ปัจจุบัน โตโยต้าสามารถผลิตรถยนต์ได้ถึงปีละกว่า 700,000 คันต่อปี ถือเป็นผู้ผลิตรายใหญ่ที่สุดในประเทศไทย และเป็นผู้นำของเครือข่ายโตโยต้าทั่วโลก ทั้งนี้ บริษัทฯ เป็นผู้ผลิตหลักตามแผนยุทธศาสตร์ที่เป็นศูนย์กลางการผลิตรถยนต์ซึ่งป้อนผลิตภัณฑ์ให้กับตลาดทั้งในประเทศไทย และส่งออกไปยังตลาดต่างประเทศทั่วโลก
       ประเทศไทยจึงเป็นศูนย์กลางการสนับสนุนการผลิต การวิจัย และพัฒนาในภูมิภาค เอเชีย แปซิฟิค โดยได้รับความร่วมมือ จากบริษัท โตโยต้า มอเตอร์ เอเชีย แปซิฟิค เอ็นจิเนียริ่ง แอนด์ แมนูแฟคเจอริ่ง (TMAP-EM) ด้วยความร่วมมือและการสนับสนุนนี้ทำให้มั่นใจได้ว่าลูกค้าทุกคนในภูมิภาค จะได้รับผลิตภัณฑ์และบริการภายใต้คุณภาพสูงสุดที่เท่าเทียมกัน ฉะนั้น ลูกค้าโตโยต้าทุกคนสามารถมั่นใจในคุณภาพผลิตภัณฑ์ได้อย่างแน่นอน นั่นเองที่ทำให้โตโยต้าสามารถคว้า รางวัลความพึงพอใจด้านคุณภาพผลิตภัณฑ์ (IQS) 5 รางวัล ได้แก่ วีออส, พรีอุส, แคมรี่ ไฮบริด, และ วีโก้ (2 รางวัล)
       โตโยต้า สามารถบรรลุจุดมุ่งหมายการเป็นบริษัทแกนนำของเครือข่ายโตโยต้าทั่วโลก และเป็นบริษัทผู้ผลิตรถยนต์ที่ ได้รับการยอมรับมากที่สุดในประเทศไทย อย่างไรก็ตาม วิเชียร กล่าวย้ำว่า เราจะเติบโตต่อไปอย่างยั่งยืนด้วยผลิตภัณฑ์และบริการมาตรฐานระดับโลก เพื่อมอบให้กับลูกค้าทั้งภายในและต่างประเทศ ด้วยคำมั่นสัญญาว่าจะเติบโตอย่างต่อเนื่องเราจะพัฒนารากฐานของโตโยต้าให้แข็งแกร่งต่อไป
       อย่างด้านบริการ โตโยต้าได้นำเอาเทคโนโลยีมาเพื่อสร้างสรรค์การบริการให้ลูกค้าได้รับความสะดวกสบายมากยิ่งขึ้น ด้วยระบบ Smart G-BOOK หรือ การให้บริการข้อมูลในรูปแบบต่างๆ ผ่านทางสมาร์ทโฟน เช่น ระบบนำทางอัจฉริยะที่ใช้ข้อมูลการจราจรล่าสุด ข้อมูลสถานที่สุดฮิป และตำแหน่งปัจจุบัน เพื่อให้ความช่วยเหลือฉุกเฉิน โดยมีโอเปอเรเตอร์เป็นผู้สนับสนุน และประสานงานตลอด 24 ชั่วโมง ซึ่งเป็นการดำเนินงานต่อเนื่องจากปีก่อนหน้า
       โดยเฉพาะในครั้งนี้ ได้มีการมอบรางวัล “TAQA EXCELLENT CSI 2008-2012” หรือ รางวัลความพึงพอใจด้านการบริการหลังการขาย (CSI) ให้กับโตโยต้าเป็นบริษัทแรก เนื่องจากเป็นรางวัลสำหรับบริษัทที่ได้รับติดต่อกัน 5 ปีซ้อน
       “ในนามของบริษัทฯ ผมขอกล่าวขอบคุณลูกค้าทุกท่านที่มีส่วนสนับสนุนด้วยดีเสมอมา และขอให้คำมั่นว่า บริษัทฯ จะมุ่งมั่นดำเนินงานเพื่อความพึงพอใจสูงสุดของลูกค้าและสังคมไทยตลอดไป และหวังเป็นอย่างยิ่งว่า จะได้สานต่อความสัมพันธ์นี้เรื่อยไปดังเช่นกว่า 50 ปี ที่ลูกค้าได้ให้ความไว้วางใจกับโตโยต้า และทำให้โตโยต้าประสบความสำเร็จดังเช่นทุกวันนี้” รองกรรมการผู้จัดการใหญ่ กล่าวในที่สุด

ASTVผู้จัดการออนไลน์    22 มกราคม 2556

6904
คณะพาณิชยศาสตร์และการบัญชี มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ สร้างชื่อสะท้านโลกกับการได้รับการรับรองมาตรฐานการศึกษาระดับโลก EQUIS ส่งผลขึ้นแท่นสถาบันการศึกษาด้านบริหารธุรกิจแห่งเดียวในเมืองไทยที่ได้รับการรับรองครบทุกระดับ เผยมาตรฐานสุดเข้ม ทั้งโลกมีแค่ 1% ที่ผ่านเกณฑ์
   
       รองศาสตราจารย์ ดร. กุลภัทรา สิโรดม คณบดี คณะพาณิชยศาสตร์และการบัญชี มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ เปิดเผยว่า European Foundation for Management Development (EFMD) ซึ่งเป็นสถาบันที่ให้การรับรองมาตรฐานการศึกษาด้านบริหารธุรกิจระดับโลกที่มีชื่อเสียงสูงสุดของยุโรป ได้ประกาศการรับรองคุณภาพมาตรฐาน EQUIS (European Quality Improvement System) ให้กับคณะพาณิชยศาสตร์และการบัญชี มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ที่มีการจัดการเรียนการสอนทั้งระดับปริญญาตรี-โท-เอก และหลักสูตรพัฒนาผู้บริหารระดับสูง แห่งแรกและแห่งเดียวในประเทศไทย
       
       ที่ผ่านมา สถาบัน EFMD ให้การรับรองมาตรฐานการศึกษาระดับโลก EQUIS กับสถาบันด้านบริหารธุรกิจชั้นนำทั่วโลก อาทิ INSEAD (France), Babson College (USA), London Business School (UK), Cambridge Business School (UK), Melbourne Business School (Australia), School of Economics and Management, Tsinghua University (China) และ NUS Business School (Singapore)
       
       ทั้งนี้ ทั่วโลกมีสถาบันที่สอนด้านบริหารธุรกิจมากกว่า 10,000 แห่ง แต่มีเพียง 1% จาก 39 ประเทศที่ได้รับการรับรองมาตรฐานการศึกษาระดับโลก EQUIS
       
       “กว่าที่คณะฯ จะผ่านกระบวนการการได้รับรองมาตรฐานระดับโลก EQUIS ต้องใช้เวลาประมาณ 2 ปี ในการผ่านเกณฑ์มาตรฐานที่เข้มข้นมาก ซึ่งมีทั้งหมด 10 มิติ เช่น คุณภาพหลักสูตร นักศึกษา คณาจารย์ ผลงานวิจัย กิจกรรมเพื่อสังคม และความเป็นนานาชาติ เป็นต้น คณะฯ เคยยื่นขอเข้ากระบวนการการประเมิน (Eligibility) ในปี 2549 แต่ไม่ผ่าน จนกระทั่งปลายปี 2555 จึงได้รับการรับรองมาตรฐาน EQUIS อย่างเต็มภาคภูมิ”

   
มาตรฐาน EQUIS (European Quality Improvement System)
       ผู้ช่วยศาสตราจารย์ ดร. สมบูรณ์ กุลวิเศษชนะ ผู้อำนวยการศูนย์วิเทศสัมพันธ์ คณะพาณิชยศาสตร์ฯ ให้สัมภาษณ์ว่า หัวใจในการได้รับรองมาตรฐาน EQUIS คือ วิสัยทัศน์และความทุ่มเทของคณบดีที่ต้องระดมทีมงานทั้งคณาจารย์ นักศึกษา ศิษย์เก่า หน่วยงานภายนอกทั้งในและนอกประเทศ เพื่อผลิตผลงานวิชาการ ทำกิจกรรมเพื่อสังคม และสร้างความเป็นนานาชาติที่เข้าเกณฑ์การประเมินของ EQUIS ซึ่งเป็นสิ่งที่ทุก Business School ชั้นนำควรทำอยู่แล้ว
       
       คณะฯ ได้ผ่านขั้นตอนต่างๆ ในการประเมินคุณภาพ โดยขั้นตอนสุดท้ายสถาบัน EFMD ได้ส่งคณะผู้บริหารและผู้ทรงคุณวุฒิ เป็นตัวแทนคณะกรรมการบริหาร (Peer Review Committee) มาประเมินคุณภาพ ซึ่งจาก 10 มิติที่ได้รับการประเมิน คณะกรรมการฯ ยกย่องชื่นชมด้าน “คุณภาพนักศึกษา” (Quality of Students) ของโครงการปริญญาตรีบริหารธุรกิจ (หลักสูตรนานาชาติ) หรือ BBA (International Program) ในระดับสูงกว่ามาตรฐาน หรือ Above Standard
       
       “ในช่วง 20 ปีที่ผ่านมา BBA สร้างชื่อเสียงให้กับคณะฯ อย่างต่อเนื่อง อาทิ รางวัลชนะเลิศในการแข่งขันกรณีศึกษานานาชาติ (International Case Competition) และ รางวัลชนะเลิศการแข่งขัน Chartered Financial Analyst (CFA) ในระดับประเทศ 4 สมัยซ้อน (2010 - 2013) ในระดับทวีปเอเชีย 2 สมัยซ้อน (2011 - 2012) และระดับโลก 1 สมัย (2012) ซึ่งยังไม่มีสถาบันการศึกษาด้านบริหารธุรกิจใดในประเทศไทยที่สามารถครองแชมป์ได้มากเท่านี้”
       
       “3 ประโยชน์หลักๆ จากการได้รับรองมาตรฐาน EQUIS คือ หนึ่ง คณะฯ สามารถเทียบเคียงคุณภาพการศึกษาด้านบริหารธุรกิจกับสถาบันชั้นนำระดับโลก สอง การสร้างชื่อเสียงให้กับคณะฯ และมหาวิทยาลัยบนเวทีโลก ทำให้สามารถดึงดูดนักศึกษาต่างชาติ โดยเฉพาะในย่าน ASEAN เข้ามาศึกษามากขึ้น เพราะคุณภาพใกล้เคียงกับสถาบันชั้นนำระดับโลกอื่นๆ และสาม การพัฒนามาตรฐานการศึกษาด้านบริหารธุรกิจอย่างต่อเนื่อง ซึ่งในอนาคต Business School ที่ไม่ได้รับการรับรองมาตรฐานจากสถาบันที่เป็นที่ยอมรับ ก็ยากที่จะแข่งขัน เพราะ Business School ชั้นนำทั่วโลกสร้างแบรนด์จากพื้นฐานของคำว่า มาตรฐานคุณภาพล้วนๆ อย่างไรก็ตาม คณะฯ ยังคงต้องพัฒนามิติต่างๆ ที่ใช้ในการรับรองมาตรฐานต่อไป เนื่องจากทาง EFMD จะทำการประเมินคณะฯ อีกครั้งในประมาณต้นปี 2558 ”ผู้ช่วยศาสตราจารย์ ดร. สมบูรณ์ กล่าวทิ้งท้าย

ASTVผู้จัดการออนไลน์    29 มกราคม 2556

6905
โฆษณาเครื่องดื่มตัวหนึ่งบอกเป้าหมายมีไว้ให้พุ่งชน แต่ความที่ผมไม่ดื่มเครื่องดื่มชนิดนั้น เป้าหมายของผมในทริปนี้จึงเปลี่ยนจากพุ่งชนมาเป็นการ “มุด-ลอด”เข้าไปแทน
       
       เพราะสถานที่ที่ผมจะไปนั้นมันคือ “ถ้ำแม่อุสุ” หนึ่งในสถานที่ท่องเที่ยวสำคัญของจังหวัดตาก อยู่ในความรับผิดชอบของ “อุทยานแห่งชาติแม่เมย” หากใครได้มีโอกาสมาเที่ยวที่อุทยานฯแห่งนี้แล้ว ไม่ควรพลาดการเข้าไปชมความมหัศจรรย์ของถ้ำแม่อุสุด้วยประการทั้งปวง

ปากทางเข้าถ้ำแม่อุสุ
       ตำนานเสือสมิงสำนึกผิด
       
       ถ้ำแม่อุสุไม่เพียงสวยงามน่าตื่นตื่นใจ แต่ยังมีตำนานเรื่องเล่าที่น่าตื่นใจไม่แพ้กัน โดยจากข้อมูลของทางอุทยานฯแม่เมยระบุว่า
       
       ...ถ้ำแม่อุสุถูกค้นพบก่อน ปี พ.ศ. 2530 ไม่มีหลักฐานแน่ชัดว่าใครเป็นผู้ค้นพบคนแรก ชาวปะกะญอ(ปกากะญอ)เรียกถ้ำแม่อุสุว่า “ทีหนึปู่” แปลว่าน้ำไหลเข้าไปในถ้ำ มีเรื่องเล่าสืบทอดกันว่า เมื่อถึงวันสำคัญทางพระพุทธศาสนา หรือวันพระจันทร์เต็มดวง ชาวบ้านจะได้ยินเสียงดนตรีดังสนั่นหวั่นไหวในถ้ำ เหมือนกับว่ามีงานเทศกาล

หินงอกหินย้อยรูปทรงต่างๆในห้องที่ 2
       บ้างก็เล่าว่าในถ้ำมีเสือสมิงอาศัยอยู่ ครั้งหนึ่งได้กินชาวบ้านไปคนหนึ่ง พอตกค่ำแฟนสาวก็รู้ว่าแฟนตัวเองถูกเสือกินตายก็นั่งร้องไห้อยู่ตรงหน้าถ้ำทั้งวันทั้งคืน ไม่ยอมกินข้าวกินปลา จนเสือแปลงกายออกมาขอโทษ และขอรับผิดชอบในสิ่งที่ทำเอาไว้ และจะเลี้ยงดูตลอดชีวิต...
       
       นั่นเป็นตำนานเล่าขาน ที่ฟังดูแล้วเสือสมิงตัวนี้ดูมีมโนธรรมไม่น้อย เพราะยังกล้ารับผิดชอบในสิ่งที่ตัวเองทำไป ต่างจากนักการเมืองหลายๆคนในบ้านเราที่เมื่อทำผิด นอกจากจะไม่ยอมรับผิดชอบแล้ว ยังมาลอยหน้าลอยตาโกหกพกลมอีกว่าตนเป็นคนดีทำเพื่อพ่อแม่พี่น้องประชาชน ไอ้คนพวกนี้มันต้องให้เสือสมิงขบลากไปกินให้สิ้นเรื่องสิ้นราว
       
       อย่างไรก็ดีกับเรื่องนี้ผมก็ขอย้ำอีกทีว่านี่เป็นเพียงตำนานเท่านั้น เพราะฉะนั้นสาวคนใดที่อยากจะเปลี่ยนแฟน หรือไม่สบอารมณ์แฟนคนเก่า จะหลอกแฟนของตัวเองให้มาที่ถ้ำนี้ เพื่อให้เสือสมิงขบ ลากไปกินนั้น คงต้องไปคิดหาวิธีอื่นแทน

ถ้ำแม่อุสุ ถ้ำน้ำลอดที่ต้องเดินลุยน้ำเข้าไป
       อันซีน โรงละครใต้พิภพ
       
       ถ้ำแม่อุสุ เป็นถ้ำที่มีความสวยงามมากในอันดับต้นๆของเมืองไทย ได้รับการขนานนามให้เป็น “โรงละครใต้พิภพ” และได้รับการยกย่องให้เป็นหนึ่งในอันซีนไทยแลนด์ ซึ่งจะอันซีนอย่างไรนั้น เดี๋ยวเข้าไปในถ้ำแล้วคงรู้กัน แต่ตอนนี้ผมขอเปลี่ยนชุดเพื่อเตรียมพร้อมสำหรับการลุยถ้ำแม่อุสุเสียก่อน เพราะการจะเข้าไปชมความงามภายในถ้ำต้องเดินลุยน้ำประมาณน่อง(หรือเอวขอบางคนเข้าไป) เนื่องจากถ้ำแห่งนี้เป็นถ้ำน้ำลอด มีลำธารแม่อุสุไหลผ่านลอดหายเข้าไปใต้เพิงผา ดูแล้วสมเป็นอันซีนจริงๆ เพราะเมื่อมองจากภายนอกจะไม่รู้เลยว่าใต้ผาแห่งนี้มีความมหัศจรรย์ของธรรมชาติแฝงเร้นอยู่
       
       เมื่อผมกับเพื่อนๆ เปลี่ยนองค์ทรงเครื่องเตรียมลุยกันพร้อมแล้ว พี่เจ้าหน้าที่คนนำทางก็พาเดินเลียบริมตลิ่ง ก่อนหย่อนขาเดินลุยไปในล้ำห้วย ซึ่งพวกเราก็ต้องทำอย่างนั้นเช่นกัน

ลุยน้ำเพื่อไปสัมผัสกับความงามของโรงละครใต้พิภพ
       สายน้ำในลำห้วยลึกในระดับน่อง พวกเราค่อยๆเดินลุยไปอย่างระมัดระวัง กับสายน้ำสูงในระดับนี้ ถ้าไม่เมาคงไม่มีใครจมน้ำตาย แต่ถ้าเราลื่นล้มหัวคะมำไป กล้องของพวกเขาที่พกมานะสิจะตาย งานนี้จึงค่อยๆไปแบบเนิบ เน้นช้าแต่ชัวร์เป็นสำคัญ
       
       หลังจากเดินลุยน้ำใต้โถงเพดานถ้ำไปประมาณ 260 เมตร เราก็มาถึงยังทางขึ้นถ้ำที่มีการปรับทางทำเป็นบันไดไว้ แต่ใครที่จะก้าวขึ้นต้องระมัดระวังให้ดี เพราะการก้าวตัวขึ้นในช่วงนี้ลื่นใช่เล่น

หินรูปชาวอาข่าแบกของ สัญลักษณ์ของถ้ำแม่อุสุ
       ภายในถ้ำแห่งนี้แบ่งออกเป็น 3 ห้องใหญ่ๆ ห้องแรกมีความสูง 15-20 เมตร มีความยาวประมาณ 40 เมตร มีหินงอกหินย้อยรูปร่างประหลาดให้ดูแล้วจินตนาการการตามกันมากมาย ไม่ว่าจะเป็น หินรูปร่างคล้ายสิงโต มีหินผ้าม่านเป็นชั้นๆ หินหัวช้าง หินทรงเจดีย์ รวมไปถึงหินที่ได้ชื่อว่าเป็นสัญลักษณ์ของถ้ำแม่อุสุนั่นก็คือ หินรูปชาวอาข่าแบกของไว้ข้างหลัง
       
       หินก้อนนี้หากส่งไปให้ถูกมุม มองให้ถูกมุม สามารถจินตนาการตามได้ไม่ยาก ส่วนใครจะมองเป็นชาวเขาเผ่าอื่นที่ไม่ใช่อาข่าก็สุดแท้แต่ แต่ผมมองเห็นคุณยายชาวอาข่าเดินแบกของอยู่

ภายในโถงห้องที่ 2 หากไปถูกเวลาจะมีแสงสวรรค์สาดส่องมาสร้างความสวยงาม
       ห้องถัดไปห้องที่ 2 มีเพดานถ้ำสูง 15 เมตรขึ้นไป มีความยาวร่วมๆ 65 เมตรแน่ะ ห้องนี้จัดเป็นห้องไฮไลท์ มีมุมอันซีนไทยแลนด์เป็นมุมถ่ายรูปยอดฮิตที่ปรากฏตามหนังสือและเว็บไซต์ท่องเที่ยวทั่วไป แต่มีเงื่อนไขว่านักท่องเที่ยวต้องไปให้ถูกเวลากับช่วงที่แสงแดดยามบ่ายส่องลอดโพรงถ้ำเข้ามาเห็นเป็นลำขนาดใหญ่ ดูปานประหนึ่งสปอร์ตไลท์ขนาดยักษ์ที่ธรรมชาติประทานให้มา

ประติมากรรมที่สร้างสรรค์จากธรรมชาติ
       แสงสวรรค์ลำนี้ได้สาดส่องเข้ามาเน้นขับให้ภายในโถงถ้ำห้องนี้เกิดภาพอันน่าตื่นตาตื่นใจ กับหินงอกหินย้อยรูปทรงแปลกตาที่เกิดขึ้นอย่างมีจังหวะจะโคน ไล่องค์ประกอบไปสู่ด้านในที่มีเสาหินสูงใหญ่รูปทรงสวยงามตั้งตระหง่านเงื้อม โดยมีผนังถ้ำด้านหลังที่เป็นริ้วหินงอกหินย้อยซ้อนชั้นเป็นม่านความงามรองรับ ขณะที่ด้านบนเพดานถ้ำอันโอ่โถงนั้นก็มีหินย้อยแหลมๆย้อยลงมาช่วยเสริมความงาม ซึ่งนี่นับเป็นองค์ประกอบมหัศจรรย์ที่ธรรมชาติสรรค์สร้างที่สื่อถึงความเป็นโรงละครใต้พิภพได้เป็นอย่างดี

จิตรกรรมธรรมชาติประดับผนังถ้ำในห้องโถงที่ 2
       จากห้องที่สอง เส้นทางดูเผินๆเหมือนจะจบลงแค่นี้ เพราะเบื้องหน้ามีแนวหินงอกหินย้อยขนาดใหญ่ตั้งเป็นม่านผนังขวางตระหง่านอยู่ แต่พี่เจ้าหน้าที่ได้พาปีนขึ้นไปในช่องเล็กๆ พร้อมบอกให้ทุกคนมุดแทรกตัวตามเข้าไป
       
       โอว...ทางช่วงนี้ลื่นระยับ ผมต้องลงทุนเดิน 4 ขา พร้อมเอาก้นไถลตัวผ่านซอกม่านหินเพื่อไปโผล่ในห้องถัดไป

จากห้องที่ 2 ต้องลอดช่องแคบๆเพื่อไปต่อยังห้องที่ 3
       สำหรับห้องที่ 3 นี้ เป็นห้องที่มีโถงสูงที่สุดอยู่ในราว 20-05 เมตร ยาวประมาณ 50 เมตร ภายในมีหินรูปร่างประหลาดแปลกตาให้ชมกันจำนวนหนึ่ง ไม่มากเท่าห้องที่ 2 แต่ว่า หินหลายก้อนถือว่ามีจุดเด่นชวนให้จินตนาการตามได้ดีทีเดียว อย่างเช่น หินรูปฉลามอ้าปาก หินตาหินยาย หรือหินรูปพระปรางค์แล้ว หินหลายก้อนยังมีตะไคร่เกาะเขียว ขณะที่บางก้อนเป็นหินเป็นที่กำลังเติบโต ชุ่มไปด้วยน้ำหินปูนที่หยดลงมาจากเบื้องบน เห็นเนื้อหินขาวเนียนไม่ต่างไปจากผิวสาวหมวยวัยกระเตาะ

หินเป็น ยังคงเจริญเติบโตอยู่ ห้ามไปสัมผัสเด็ดขาด
       หลายคนบอกเวลาเข้าถ้ำอย่าไปสัมผัสหินเป็นเด็ดขาด อันนี้ถูกต้องเพราะจะทำให้หินเป็น เป็นหินตาย เท่ากับเป็นการฆาตกรรมสิ่งมีชีวิตที่มีอายุนับพันนับหมื่นไปไปในทันที อย่างไรก็ดี ไม่เพียงหินเป็นเท่านั้น หินงอกหินย้อยๆอื่นๆที่บางก้อนอาจดูเหมือนหินตายก็ห้ามไปสัมผัสจับต้อง ถูกได้ จับได้ สัมผัสได้ก็แต่หินที่ทางอุทยานฯอนุญาตให้จับต้องได้เท่านั้น(ให้สังเกตจากการสัมผัส จับ ต้องของเจ้าหน้าที่นำทาง)

มุมไฮไลท์ในห้องที่ 3
       สิ่งน่าสนใจในห้องที่ 3 ยังไม่หมดเพียงเท่านี้ เพราะเมื่อเดินลึกไปอีกจะพบกับไฮไลท์คือมุมชมวิวที่สามารถมองลงไปเห็นห้องโถงสูงของถ้ำในช่วงสุดท้ายที่ดูออกแนวเหวนิดๆเพราะมันมีช่วงที่ตัดลึกลงไป แต่นี่นับเป็นอีกหนึ่งจุดที่ดูสวยงามอลังการไม่น้อย เพราะมีแสงธรรมชาติส่องลอดเข้ามากระทบ เห็นกลุ่มหินงอกหินย้อยที่มีทั้งข้างบนข้างล่าง แต่ถ้าใครที่จะเดินเลาะแนวขอบหินไปชมพื้นเบื้องล่างต้องระมัดระวังให้ดี เพราะถ้าตกลงไป ไม่ตายก็พิการ

หินที่เจ้าหน้าที่บอกว่าเป็นรูปฉลามอ้าปาก
       อันซีน ทางลุยน้ำ
       
       ถ่ายภาพ ชื่นชม กับความสวยงามของโถงในช่วงสุดท้ายแล้ว พวกเราเดินย้อนไปในเส้นทางสายเก่าเพื่อกลับออกจากถ้ำ เพราะถ้ำแห่งนี้เข้ามาทางไหนก็กลับออกไปทางนั้น
       
       ระหว่างทางช่วงที่เดินลุยน้ำกลับ ผมเห็นที่บริเวณปากทางเข้าถ้ำที่ได้เคยผ่านเข้ามา มีนักท่องเที่ยวคณะอื่นเดินลุยน้ำสวนเข้ามา เกิดเป็นภาพซีลูเอทของกลุ่มคนในเงามืดเดินลุยลำห้วยที่สะท้อนแสงสว่างภายนอกและภายในถ้ำ เกิดเป็นละลอกคลื่นเขียวพริบพราย มีฉากหลังเป็นเนินหญ้าสีเขียว ยามมีคนเดินผ่านเห็นเป็นภาพเงามืดตัดกับแสงสว่างจ้าภายนอกถ้ำ ดูสวยงามน่ายลจนหลายๆคนที่หันมามองตามต้องหยิบกล้องขึ้นมาชักภาพกันคนละหลายๆช็อต
       
       นับได้ว่าเป็นอีกหนึ่งมุมอันซีนของถ้ำอันซีนแห่งนี้ที่มีให้ได้ยลกันจนถึงโค้งสุดท้าย

เสน่ห์สีสันของทางเดินลุยน้ำเข้า-ออกถ้ำ
       นี่ไยมิใช่อันซีนที่เป็นเสมือนเครื่องเตือนใจว่า...ในชีวิตคนเราที่มัวแต่มุ่งมองไปยังจุดหมายเบื้องหน้า บางครั้งหากหันมามองย้อนหลัง แล้วทบทวนสิ่งต่างๆที่เคยทำไว้บ้างก็คงจะดีไม่น้อย...

โดย ปิ่น บุตรี    30 มกราคม 2556
http://www.manager.co.th

6906
แพทยสภาป้องหมอสมิติเวชรักษา “กำนันเป๊าะ” ไม่ผิด เหตุผู้ป่วยปลอมชื่อ หมอไม่ทราบประวัติผู้ป่วยแน่ ชี้ เจ้าหน้าที่เป็นผู้ทำทะเบียน แถมไม่ใช้สิทธิ์รักษาภาครัฐ โรงพยาบาลจึงตรวจสอบข้อมูลไม่ได้ ด้าน สบส.เตรียมเรียกผู้แทน รพ.เอกชน หารือแนวทางป้องกัน หวั่นผู้ต้องหาอาศัยแฝงตัวรักษาอีก
       
       จากกรณีตำรวจคอมมานโดบุกรวบตัว นายสมชาย คุณปลื้ม หรือกำนันเป๊าะ บิดาของ นายสนธยา คุณปลื้ม รัฐมนตรีว่าการกระทรวงวัฒนธรรม (วธ.) ผู้ต้องหาตามหมายจับศาลอาญา ที่ 324/2555 ลงวันที่ 14 มีนาคม 2555 ข้อหาร่วมกันใช้ จ้างวานให้ผู้อื่นฆ่าคนตายโดยไตร่ตรองไว้ก่อน ได้คารถเลกซัส รุ่นอาร์เอ็กซ์ 270 สีดำ ทะเบียน ฎฎ 9597 กรุงเทพมหานคร บริเวณด่านเก็บค่าผ่านทางมอเตอร์เวย์ กรุงเทพฯ-ชลบุรี ขาออก เขตลาดกระบัง ภายหลังเดินทางเข้ารับการรักษาตัวที่โรงพยาบาลสมิติเวช สาขาศรีนครินทร์ โดยพบใบเสร็จค่ายาในชื่อ “นายกิม แซ่ตั้ง” นั้น ทำให้มีหลายฝ่ายตั้งข้อสงสัยในจรรยาบรรณของแพทย์ที่ช่วยรักษาผู้ต้องหาหลบหนีคดี

วันนี้ (31 ม.ค.) ศ.คลินิก นพ.อำนาจ กุสลานันท์ นายกแพทยสภา กล่าวถึงกรณีดังกล่าว ว่า การเข้ารักษาตัวของนายสมชายนั้น แพทย์ผู้รักษาไม่มีความผิด เนื่องจากการทำทะเบียนประวัติของคนไข้นั้น เป็นเจ้าหน้าที่ในโรงพยาบาลที่ทำการตรวจสอบข้อมูลประวัติคนไข้ ส่วนแพทย์มีหน้าที่ในการตรวจคนไข้เพียงอย่างเดียว และดูตามประวัติเอกสารคนไข้ที่ได้รับเท่านั้น จึงมีความเป็นไปได้ว่า แพทย์จะไม่รู้ว่านายสมชายเป็นใคร ที่สำคัญ นายสมชาย มีการปลอมแปลงชื่อโดยใช้ชื่อ “นายกิม แซ่ตั้ง” ในการเข้ารักษาด้วย อย่างไรก็ตาม การควบคุมป้องกันกรณีผู้ต้องหาปลอมเอกสารเพื่อเข้ารับการรักษา เป็นหน้าที่ของสำนักควบคุมการประกอบโรคศิลป สังกัดกรมสนับสนุนบริการสุขภาพ (สบส.) ยกเว้นเรื่องการทำนิติกรรมบางอย่าง เช่น กรณีการขอเอกสารทำใบมรณบัตร จะมีการขอดูบัตรประจำตัวประชาชนมาทำการตรวจสอบโดยละเอียด
       
       “ส่วนความผิดที่แพทย์ให้การรักษาผู้ต้องหา เท่าที่ทราบถือว่าไม่ผิดจริยธรรม หรือจรรยาบรรณ เนื่องจากจริยธรรมการเป็นแพทย์จะต้องให้การรักษาคนไข้ทุกคนอยู่แล้วโดยไม่ได้แยกแยะว่าเป็นผู้ต้องหาหรือไม่ การไม่ให้การรักษาจึงจะถือว่าผิดจริยธรรม อย่างไรก็ตาม การรักษาคนไข้ไม่ว่าจะเป็นผู้ต้องหาหรือเป็นใคร ความลับของคนไข้ย่อมเป็นสิ่งสำคัญที่ผู้เป็นแพทย์ต้องให้ความสำคัญ ไม่มีการเปิดเผยข้อมูลของคนไข้แน่นอน อย่างกรณีนี้ ต้องขอให้สำนักควบคุมประกอบโรคศิลป เป็นผู้ดำเนินการขอเข้าตรวจสอบข้อมูลกับโรงพยาบาลผู้ให้การรักษาผู้ต้องหาต่อไป” นายกแพทยสภา กล่าว

ด้าน นพ.ธเรศ กรัษนัยรวิวงศ์ รองอธิบดี สบส.กล่าวว่า กรณี นายสมชาย เข้ารักษาตัวที่ รพ.สมิติเวช แล้วโรงพยาบาลไม่ได้แจ้งข้อมูลนั้น เนื่องจากนายสมชายได้ปลอมชื่อเป็น นายกิม แซ่ตั้ง มาทำการรักษา และไม่ได้ใช้สิทธิ์ใดๆ ของรัฐบาล ทางโรงพยาบาลจึงไม่สามารถตรวจสอบข้อมูลใดๆ ได้ อย่างไรก็ตาม เรื่องดังกล่าว สบส.จะมีการเรียกตัวแทนของ รพ.สมิติเวช เข้ามาชี้แจงอีกครั้ง ส่วนแนวทางการแก้ไขเพื่อป้องกันไม่ให้ผู้ต้องหาเข้ามาแฝงตัวอยู่ในโรงพยาบาลในอนาคต สบส.เตรียมที่จะเรียกตัวแทนจากโรงพยาบาลเอกชนต่างๆ เข้ามาหารือ เพื่อวางแผนหาแนวทางการป้องกันและวางแผนการตรวจสอบเพื่อไม่ให้เกิดกรณีดังกล่าวขึ้นอีก สำหรับเรื่องของการรักษาเป็นหน้าที่ของแพทย์อยู่แล้วที่จะต้องรักษาให้ผู้ป่วยพ้นจากอาการเจ็บป่วยไม่ว่าผู้ป่วยจะเป็นใครก็ต้องทำการรักษาอยู่แล้วตามหลักจรรยาบรรณไม่มีการแบ่งชนชั้น

ASTVผู้จัดการออนไลน์    31 มกราคม 2556

6907
นายศักดิพงศ์ ธรรมอาชวกุล ประธานสมาพันธ์ปลัดเทศบาลแห่งประเทศไทย เปิดเผยว่า หลังจากมีการเรียกร้องจากข้าราชการท้องถิ่นทั่วประเทศ เพื่อขอให้รัฐบาลได้แก้ไขปัญหาความเดือดร้อนเกี่ยวกับการสำรองเงินจ่ายค่ารักษาพยาบาลและหากบางกรณีที่มีค่าใช้จ่ายสูงก็จะกระทบกับการทำงาน และองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น (อปท.) ที่มีรายได้น้อยทำให้ไม่มีงบประมาณที่จะนำไปบริการประชาชน เห็นควรให้มีกองทุนกลางดูแล ซึ่งที่ผ่านมากรมส่งเสริมการปกครองท้องถิ่น (สถ.) กระทรวงมหาดไทย ร่วมมือกับ สำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ (สปสช.) กระทรวงสาธารณสุข ได้จับมือประชุมร่วมกับตัวแทนสมาคม และสมาพันธ์ จนได้ข้อสรุปและพร้อมที่จะลงนาม MOU ร่วมกัน ในวันที่6 ก.พ.56 นี้ ที่ตึกสันติไมตรี ทำเนียบรัฐบาลนายกรัฐมนตรีได้ให้เกียรติมาเป็นประธาน

นายศักดิพงศ์ กล่าวว่า ซึ่งการลงนามในครั้งนี้เป็นการลงนามร่วมกันระหว่างสถ. กับ สปสช. สำนักงานคณะกรรมการการกระจายอำนาจฯ ตัวแทนสมาคม และสมาพันธ์ อปท.ร่วม 10 องค์กรเครือข่ายที่จะร่วมกันผลักดันและเดินหน้าให้เร็วเสร็จโดยเร็ว

"หลังจากลงนาม MOU แล้วทางกระทรวงสาธารณสุข จะนำเสนอข้อตกลงดังกล่าวต่อที่ประชุมคณะรัฐมนตรีเพื่อให้การรับรองถือว่าทุกหน่วยงานรับทราบที่จะดำเนินการต่อไป เบื้องต้น สถ.จะเป็นหน่วยงานขอตั้งงบประมาณเพื่อใช้จ่ายเป็นเงินกองทุน ประมาณ 6,500 ล้านบาทและสำนักงานคณะกรรมการการกระจายอำนาจฯ จะจัดสรรงบประมาณซึ่งเป็นในสัดส่วนของงบประมาณท้องถิ่นผ่านไปยังสถ.เพื่อโอนไปยัง สปสช.ตั้งเป็นกองทุนต่อไป" นายศักดิพงศ์ กล่าวและว่าปีงบประมาณ 2557เริ่มตั้งแต่วันที่ 1 ต.ค.56 คาดว่าน่าจะเสร็จทันปีงบประมาณหลังจากนี้ ตนและคณะทำงานร่วมกัน ซึ่งมีรศ.วุฒิสาร ตันไชย เป็นประธานจะเร่งดำเนินการร่างพระราชกฤษฎีกาให้แล้วเสร็จภายในกำหนดระยะเวลาไม่เกิน 1 เดือน เพื่อนำเสนอให้คณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจสอบรายละเอียดความถูกต้องหากไม่ติดขัดในข้อกฎหมายใดๆ หลังจากนั้นก็นำเสนอเข้าคณะรัฐมนตรีอีกรอบ เพื่อให้ความเห็นชอบก่อนประกาศเป็นพระราชกฤษฎีกาบังคับใช้ต่อไป คาดว่าใช้ระยะเวลาไม่เกิน3-4 เดือนคงเสร็จเรียบร้อย ในระหว่างนี้ให้ทาง สปสช. รีบดำเนินการจัดทำระเบียนข้อมูลของผู้มีสิทธิในเบิกค่ารักษาพยาบาลของท้องถิ่น

"ซึ่งในวันนี้หลักการ ยังคงเป็นไปตามระเบียบกระทรวงมหาดไทยว่าด้วยเงินสวัสดิการการรักษาพยาบาลพนักงานส่วนท้องถิ่น พ.ศ.2541ซึ่งรวมถึงนายก อปท.ก็จะได้รับสิทธิตรงนี้และเข้าได้ทุกโรงพยาบาลของรัฐ 997 แห่งทั่วประเทศ ไม่ต้องสำรองจ่ายเงินล่วงหน้า มีมาตรฐานไม่ต่ำกว่าข้าราชการพลเรือน หรือข้าราชการประเภทอื่น ถือเป็นของขวัญปีใหม่ที่รัฐบาลโดยการนำของนายกรัฐมนตรี นางสาวยิ่งลักษณ์ชินวัตร และคณะโดยเฉพาะ สถ.และ สปสช.ที่ช่วยเหลือ ถือว่าท่านได้มอบของขวัญให้กับพวกเราชาวท้องถิ่นทั่วประเทศ" นายศักดิพงศ์ กล่าว

สยามรัฐ  31 มกราคม 2556

6908
สธ. สปสช. เตรียมลงเอ็มโอยูร่วมมือกับ อปท. กระทรวงมหาดไทย ตั้งกองทุนค่ารักษาพยาบาลข้าราชการพนักงานส่วนท้องถิ่นและครอบครัวจำนวนกว่า 5.3 แสนคนทั่วประเทศ ในวันที่ 6 ก.พ. 2556 สิทธิทัดเทียมกับข้าราชการพลเรือนรักษาโรงพยาบาลรัฐได้ทุกแห่ง ไม่ต้องสำรองจ่ายล่วงหน้า โดยท้องถิ่นเตรียมงบประมาณเบื้องต้น 6,000 ล้านบาท ก่อนส่งเข้า ครม. อนุมัติรับรองก่อนดำเนินการในปีงบประมาณ 2557

นายแพทย์ประดิษฐ สินธวณรงค์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข ให้สัมภาษณ์ว่าในวันที่ 6 กุมภาพันธ์ 2556 นี้ นางสาวยิ่งลักษณ์ ชินวัตร นายกรัฐมนตรี จะเป็นประธานในพิธีลงนามบันทึกความร่วมมือหรือเอ็มโอยู(MOU) ระหว่าง สำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติหรือ สปสช. กระทรวงสาธารณสุข กับกรมส่งเสริมการปกครองส่วนท้องถิ่น (อปท.) กระทรวงมหาดไทย ในการตั้งกองทุนกลางค่ารักษาพยาบาลข้าราชการส่วนท้องถิ่น หลังจากที่กระทรวงสาธารณสุข สำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ กรมส่งเสริมการปกครองส่วนท้องถิ่น สมาพันธ์และเครือข่าย ได้หารือกันอย่างต่อเนื่อง ในการหาแนวทางเพิ่มประสิทธิภาพด้านการจัดบริการการรักษาพยาบาลกลุ่มข้าราชการ พนักงานและครอบครัว ที่อยู่ในสังกัดองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น ได้แก่ องค์การบริหารส่วนจังหวัด เทศบาล องค์การบริหารส่วนตำบล

นายแพทย์ประดิษฐกล่าวต่อว่า ในการจัดตั้งกองทุนกลางค่ารักษาพยาบาลข้าราชการส่วนท้องถิ่นดังกล่าว กรมส่งเสริมการปกครองส่วนท้องถิ่นจะขอตั้งงบประมาณจัดตั้งกองทุนเบื้องต้น 6,000 ล้านบาท โดยโอนไปให้สำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติจัดเป็นกองทุน เพื่อดูแลข้าราชการ พนักงานส่วนท้องถิ่น ลูกจ้างประจำและครอบครัว สังกัดองค์การบริหารส่วนจังหวัด 76 แห่ง เทศบาล 1,900 แห่ง และองค์การบริหารส่วนตำบล 5,693 แห่ง รวมจำนวนทั้งหมด 537,692 คน เฉลี่ยประมาณรายละ 12,000 บาท ซึ่งสิทธิประโยชน์จะทัดเทียมระบบสวัสดิการค่ารักษาพยาบาลข้าราชการพลเรือน ไม่ต้องสำรองจ่ายค่ารักษา สามารถรักษาที่โรงพยาบาลรัฐได้ทุกแห่ง โดยหลังลงนามบันทึกความร่วมมือแล้ว จะมีการยกร่างพระราชกฤษฎีกาภายใต้มาตรา 9 ของพระราช บัญญัติหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ ก่อนนำเข้าที่ประชุมคณะรัฐมนตรี เพื่อให้มีผลในปีงบประมาณ 2557 ต่อไป

“ที่ผ่านมา การจัดบริการการรักษาพยาบาลกลุ่มข้าราชการ พนักงานและครอบครัว ที่อยู่ในสังกัดองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น ได้แก่ องค์การบริหารส่วนจังหวัด เทศบาล องค์การบริหารส่วนตำบล ทุกคนต้องสำรองจ่ายการเบิกจ่ายค่ารักษาพยาบาลเอง ไม่มีสิทธิเบิกตรงเหมือนข้าราชการพลเรือน ระยะเวลาเบิกจ่ายค่อนข้างนาน กระทบกับข้าราชการชั้นผู้น้อย รวมทั้งมีองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นขนาดเล็กบางแห่ง มีงบประมาณน้อย แต่เสียค่ารักษารักษาพยาบาลจำนวนมาก ต้องจ่ายเพิ่มเอง ซึ่งการจัดตั้งกองทุนกลางมาดูแลในครั้งนี้ จะช่วยสร้างความมั่นคงสิทธิด้านการรักษาพยาบาลสำหรับข้าราชการ/พนักงานส่วนท้องถิ่นและครอบครัวให้ได้รับบริการที่เสมอภาคกับสิทธิอื่น ๆ ยิ่งขึ้น” นายแพทย์ประดิษฐกล่าว

http://www.healthfocus.in.th  2013-01-31

6909
คนไข้อ่วม"กระทรวงสาธารณสุข" เตรียมขึ้นราคาค่ารักษาพยาบาลโรงพยาบาลในสังกัดอีก 10-15% โรคปอด-หัวใจพุ่งเฉียดหัวละ 2 หมื่นบาทกลายเป็นภาระอันหนักอึ้งของประชาชนตาดำๆอีก แต่ทางรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข "นพ.ประดิษฐ สินธวณรงค์"กลับระบุว่าการขึ้นราคาค่ารักษาไม่กระทบกับประชาชน เพราะส่วนใหญ่เข้าไปอยู่ในหลักประกันสุขภาพของรัฐบาลอยู่แล้ว

วันนี้เรามาลองรับฟังความคิดเห็นจากวุฒิสมาชิกที่เป็นแพทย์กับผู้ที่ทำงานด้านคุ้มครองผู้บริโภคกันดูว่าจะมีผลกระทบต่อประชาชนหรือไม่อย่างไรและควรหาทางออกอย่างไรบ้าง

นพ.เจตน์ ศิรธรานนท์ ส.ว.สรรหา

"ไม่มีอะไร ในหลักการแล้ว ปัจจุบันนี้ประชาชนเขาก็ไม่ได้รับผลกระทบอะไรประชาชนเขาไม่ต้องจ่ายเงินอยู่แล้วในการไปรับบริการจากโรงพยาบาลกระทรวงสาธารณสุข ขึ้นราคาปรับราคาจะกระทบกับกองทุน เช่น กองทุนประกันสังคม กองทุนสวัสดิการข้าราชการหรือว่า งบประมาณ 30 บาทรักษาพยาบาล ประชาชนไม่ได้เสียอะไรเพราะว่าประชาชนไปใช้บริการฟรีอยู่แล้ว โดยที่ประชาชนขึ้นอยู่กับ 3 กองทุนหลักนี้เกือบทั้งหมด 100%

อย่างกรณีของในจังหวัด สมมติว่าในจังหวัดหนึ่ง สมัยก่อนก็จะมีที่เขาเรียกว่าใกล้บ้านใกล้ใจ คือว่ารักษาฟรีเฉพาะอยู่ใกล้บ้าน แต่ตอนนี้นโยบายของกระทรวงสาธารณสุขก็คือในจังหวัดก็ถือว่าเป็นเขตเดียวกัน เพราะฉะนั้นจึงไม่ต้องเสียเงิน ฉะนั้นสามารถไปใช้บริการได้เสีย 30 บาท อย่างอื่นยกเว้นทั้งหมดนั้นก็แทบจะฟรีอยู่แล้ว

สมมติว่าประชาชนคนนั้นข้ามารักษาที่จังหวัดอื่น ถ้าหากว่าเป็นเรื่องของฉุกเฉินก็สามารถไปใช้บริการจากทุกโรงพยาบาลไม่ว่าจะเป็นของกระทรวงสาธารณสุข หรือของมหาวิทยาลัย โรงเรียนแพทย์ได้หมด แล้วทางสปสช.เขาจะมีเคลียริ่งเฮาส์ หน่วยงานที่จะตามจ่ายฉะนั้นเขาก็ไม่ได้เสียอะไรอีก นอกจากว่ากรณีที่เขาข้ามเขตแล้วเขาเจ็บป่วยธรรมดา อันนั้นไปรักษาที่โรงพยาบาลซึ่งก็อาจจะกระทบบ้างในกรณีอย่างนี้

สมมติว่าคนอีสาน บ้านอยู่อีสานถ้ามาทำมาหากินในกรุงเทพฯ แล้วไปรักษาที่โรงพยาบาลในกรุงเทพฯ ในกรณีที่ไม่ฉุกเฉิน เช่นเป็นหวัด ท้องเสีย ซึ่งปกติก็ส่วนใหญ่เขาจะไปซื้อยากินเองอยู่แล้ว

ทีนี้เหตุผลที่ขึ้นค่าบริการ เพราะว่าไม่ได้ปรับราคามานานมากเป็น 10 ปีเพราะฉะนั้น ทางกระทรวงสาธารณสุขทางโรงพยาบาลก็ขาดทุนเพราะว่าต้นทุนสูงขึ้น เมื่อคิดราคากับทางสวัสดิการข้าราชการเช่นกรมบัญชีกลาง หรือคิดราคากับประกันสังคม ปรากฏว่าขาดทุนเพราะค่ายาและค่าอะไรต่ออะไรขึ้นฉะนั้นสรุปแล้วประชาชนแทบจะไม่ได้รับผลกระทบอะไรเลย เพราะว่ามีกองทุน30 บาทเข้าช่วยอยู่แล้ว

สำหรับคนที่ต้องเสียก็อาจจะเสียครั้งเดียว เช่นว่าอยู่ต่างจังหวัดแล้วเข้ามารักษาโรงพยาบาลในกรุงเทพฯ คือถ้าเป็นโรคเรื้อรังก็สามารถย้ายทะเบียนบ้านมาได้แล้วก็รักษาฟรี อันนี้ก็ไม่ต้องเสียอะไร ในกรณีที่เราเป็นโรคเรื้อรังนะ

ทีนี้ในกรณีที่เจ็บป่วยครั้งเดียว แต่ไม่ฉุกเฉิน ซึ่งก็ไม่ค่อยมีเช่นเป็นหวัด ท้องเสีย เป็นกรณีที่ไปโรงพยาบาลแล้วมันฉุนเฉินไหม คือเราอาจจะเหมือนกับไปมั่วว่าเป็นฉุกเฉินเจ้าหน้าที่เขาก็ปฏิเสธยาก เช่น อาจจะเป็นความดัน อาจจะเป็นเบาหวาน ในกรณีนี้ไม่ได้เป็นฉุกเฉินแต่เป็นโรคเรื้อรังก็สามารถย้ายทะเบียนบ้านมาได้ก็จบ ไม่ต้องเสียเงิน

ส่วนค่าเปลี่ยนอวัยวะต่างๆ อะไรนั้น ทางโรงพยาบาลเขาไปคิดกับกองทุนไง นี่ชาวบ้านไม่ได้รับผลกระทบเลยสมมติว่าเราเป็นเส้นเลือดหัวใจตีบจะต้องผ่าตัด เราก็คงไม่ได้อยู่ดีๆ แล้วเดินเข้าโรงพยาบาลไปรักษาแล้วไปเสียเงินค่าโรงพยาบาล ถ้าเราไปโรงพยาบาลของรัฐเราก็ย้ายชื่อมาแล้วไปใช้สิทธิตรงนั้นก็ได้ หรือไม่เราทำเรื่องให้ทางโรงพยาบาลส่งเรื่องส่งต่อคนไข้มารับการรักษาที่กรุงเทพฯ เช่นสมมติว่าอยู่หนองคาย ก็ทำเรื่องมารักษาที่โรงพยาบาลในกรุงเทพฯโรงพยาบาลของกระทรวงสาธารณสุข เช่น โรงพยาบาลราชวิถี โรงพยาบาลโรคทรวงอก ไปผ่าตัดอันนี้ก็ตามจ่ายเป็นการส่งต่อคนไข้ก็ไม่ต้องเสียเงินอีก

ประชาชนไม่ได้รับผลกระทบ หรือกระทบน้อยมาก น่าจะเป็นแค่ 1% ซึ่งจะไมได้รับผลกระทบอย่างที่คิด"

สารี อ๋องสมหวัง เลขาธิการ มูลนิธิเพื่อผู้บริโภค

"คิดว่ามันมีผลกระทบต่อผู้บริโภคที่ใช้บริการโรงพยาบาลแน่นอน ไม่ว่าจะเป็นโรงพยาบาลรัฐหรือเอกชน เราเห็นว่าการที่กระทรวงสาธารณสุขขึ้นราคาโดยที่ไม่ได้สอบถามความเห็นขององค์กรผู้บริโภค น่าจะขัดต่อเจตนารมณ์ของรัฐธรรมนูญมาตรา 61 ถือว่าจริงๆการขึ้นราคานั้นเป็นมาตรการหนึ่งที่เกี่ยวพันถึงผู้บริโภค จึงต้องมีขบวนการรับฟังความคิดเห็นของหน่วยงานนักวิชาการหรือใครที่เกี่ยวข้องกับเรื่องนี้ เพื่อที่จะอย่างน้อยขอข้อมูลผู้บริโภคว่าขณะนี้มีปัญหาเกิดขึ้นจากค่ารักษาพยาบาลนี้อยู่ยังไงซึ่งพบว่าเรื่องร้องเรียนจำนวนไม่น้อยที่เกี่ยวข้องกับค่ารักษาพยาบาล หรือไปถามรัฐมนตรีก็ได้ว่าเรื่องร้องเรียนที่ประกอบโรคศิลป์นั้นมันมีมากน้อยเพียงใด

ซึ่งคิดว่าอันนี้เป็นเรื่องที่สำคัญ เมื่อขึ้นราคานี่ คิดว่า อันที่หนึ่งขั้นตอนไม่ถูกต้อง คือไม่ได้รับฟังความคิดเห็นของใครเลย เรื่องที่สองที่บอกว่าไม่กระทบเพราะว่าทุกคนมีระบบประกันสังคมคุ้มครองอยู่หมดแล้วนี่ อาจจะไม่จริง เนื่องจากว่าพอกระทรวงสาธารณสุขขึ้นราคา มันก็จะไปกระทบกับค่าใช้จ่ายต่อโรคในการรักษาพยาบาล นั้นคือจะมีผลกระทบต่อเงิน ค่าหัวทั้ง 3 ระบบ ซึ่งถ้าเราไม่ขึ้นค่าหัว คุณภาพมันก็จะแย่ลง ฉะนั้นพอขึ้นคาหัว มันก็จะกระทบกับงบประมาณ

ส่วนที่สองที่ถือว่ากระทบ เพราะว่าราคาของกระทรวงสาธารณสุข ถือว่าเป็นราคากลาง พอขึ้นราคานี่ ทางโรงพยาบาลเอกชนก็จะขึ้นราคาแน่นอนเพราะว่าเราไม่ได้มีการควบคุมราคาการใช้บริการของโรงพยาบาลเอกชนฉะนั้นเมื่อราคากลางมันขึ้น โรงพยาบาลเอกชนก็ขึ้น ซึ่งก็จะเป็นการกระทบกับผู้บริโภคแน่นอน ที่บอกว่ากระทรวงสาสธารณสุขแล้วไม่มีผลกระทบเพราะว่าทุกคนอยู่ในระบบประกันสุขภาพหมดนั้น ไม่จริง เพราะผู้บริโภคจำนวนไม่น้อยไปใช้บริการที่เราคิดว่าฉุกเฉิน แต่โรงพยาบาลบอกว่าไม่ฉุกเฉินเราก็ต้องจ่ายเงินเอง พอจ่ายเงินเอง โรงพยาบาลขึ้นราคา มันก็จะต้องจ่ายเงินจากกระเป๋ามากขึ้น

อันนี้ เราเชื่อว่าส่งผลกระทบเพราะฉะนั้นเราอยากเห็นกระทรวงสาธารณสุขนั้นทบทวนแล้วมารับฟังความเห็นจากทั้งนักวิชาการ องค์กรผู้บริโภค จากคนที่ไปใช้บริการโรงพยาบาลเอกชนให้รอบคอบก่อนตัดสินใจในเรื่องนี้ เพราะว่าจริงๆ เราก็ไม่อยากไปฟ้องร้องคดี แต่เราเชื่อนี่เราถือว่าเป็นกลไกตามรัฐธรรมนูญที่ให้ประชาชนมีส่วนร่วมในการทำเรื่องพวกนี้เราคิดว่าการฟ้องคดีไม่ได้เป็นทางออกกลไกนี้เขาเขียนไว้ให้ความเห็นก่อนที่จะดำเนินการ

สำหรับขั้นตอนต่อไปทางมูลนิธิจะทำอย่างไรนั้น ตอนนี้เราอยากให้กระทวงสาธารณสุขทบทวนแล้วจัดเวทีให้นักวิชาการ คนที่ทำงานเกี่ยวกับเรื่องนี้ได้มีโอกาสให้ความเห็น เพื่อที่จะดูว่าจริงๆ แล้วสมควรที่จะขึ้นหรือไม่สมควร

อีกอย่างหนึ่งที่คิดว่ากระทรวงสาธารณสุขน่าจะทำ คือการกระจายราย ได้ในโรงพยาบาล คือว่าจริงๆ ต้องยอมรับว่าการกระจายรายได้ในโรงพยาบาลไม่ค่อยเป็นธรรม เช่นค่ารักษาพยาบาลที่แพงขึ้น ไม่ได้เป็นผลดีต่อคนงานที่กวาดพื้น ไม่ได้มีผลต่อคนงานระดับล่าง

ฉะนั้น ที่บอกว่าการขึ้นค่าบริการแล้วจะไม่กระทบนั้น จากเรื่องร้องเรียนเข้ามา เราคิดว่า น่าจะกระทบแน่นอนเช่นการใช้บริการกรณีฉุกเฉินก็ดี การใช้บริการโรงพยาบาลทั้งรัฐและเอกชนก็น่าจะส่งผลกระทบแน่นอน ไม่ใช่ไม่มีผลกระทบอย่างที่รัฐบาลพูด จึงอยากให้มีการทบทวนแล้วจัดเวทีรับฟังความคิดเห็นของหลายๆ ฝ่าย ส่วนมูลนิธิจะดำเนินการอะไรอีกบ้างนั้น เราคงต้องมีการพูดคุยกันก่อน แต่ไม่อยากฟ้องคดี เพราะคิดว่าเรื่องนี้น่าจะพูดคุยกันได้กับทางกระทรวงสาธารณสุข"

สยามรัฐ  31 มกราคม 2556

6910
๒๖.รพ.อัมพวา
๒๗.รพ.ท่าศาลา
๒๘.รพ.พุนพิน
๒๙.รพ.ป่าตอง
๓๐.รพ.ถลาง
๓๑.รพ.บางละมุง
๓๒.รพ.กบินทร์บุรี
๓๓.รพ.บางพลี
๓๔.รพ.แกลง
๓๕.รพ.อรัญประเทศ
๓๖.รพ.มาบตาพุด
๓๗.รพ.ชุมแพ
๓๘.รพ.กุมภวาปี
๓๙.รพร.เดชอุดม
๔๐.รพ.๕๐พรรษาฯ
๔๑.รพ.วารินชำราบ
๔๒.รพ.ปากช่องนานา
๔๓.รพ.เทพรัตน์ นม.
๔๔.รพ.สว่างแดนดิน
๔๕.รพ.นางรอง
๔๖.รพ.ปราสาท
๔๗.รพ.ฝาง
๔๘.รพ.จอมทอง
๔๙.รพ.สิชล
๕๐.รพ.ทุ่งสง

6911
รพช.ในพื้นที่ชุมชนเมือง ๕๐ โรงพยาบาล

๑.รพ.บางกรวย
๒.รพ.บางบัวทอง
๓.รพ.บางใหญ่
๔.รพ.ปากเกล็ด
๕.รพ.คลองหลวง
๖.รพ.ธัญบุรี
๗.รพ.ประชาธิปัตย์
๘.รพ.เสาไห้
๙.รพ.บางน้ำเปรี้ยว
๑๐.รพ.พนมสารคาม
๑๑.รพ.บางปะกง
๑๒.รพ.พนัสนิคม
๑๓.รพ.บ้านบึง
๑๔.รพ.อ่าวอุดม
๑๕.รพ.บางบ่อ
๑๖.รพ.พระสมุทรเจดีย์
๑๗.รพ.ท่าม่วง
๑๘.รพ.นครชัยศรี
๑๙.รพ.พุทธมลฑล
๒๐.รพ.สามพราน
๒๑.รพ.อู่ทอง
๒๒.รพ.ปราณบุรี
๒๓.รพ.ชะอำ
๒๔.รพ.ท่ายาง
๒๕.รพ.นภาลัย
.........มีต่อ

6912
วันที่ ๑๕ กพ.นี้ส่งตัวแทนมาคุยกับ รมว.และปลัดกระทรวงฯ เลยครับ

6913
โรงพยาบาลกรุงเทพ ใช้บริษัทย่อย ซื้อหุ้นโรงพยาบาลกรุงธน จำนวน 29.94% ผ่านกระดานบิ๊กล็อตราคาหุ้นละ 55 บาท จำนวน 3.7 ล้านหุ้น จ่อทำเทนเดอร์
       
       บริษัท กรุงเทพดุสิตเวชการ (BGH) เจ้าของโรงพยาบาลกรุงเทพ ใช้บริษัทย่อย ซื้อหุ้นโรงพยาบาลกรุงธน จำนวน 29.94% รวมมูลค่า 205.79 ล้านบาท ทำให้ถือหุ้นเพิ่มขึ้นเป็น 44.96%
       
       ปัจจุบันบริษัทกรุงเทพดุสิตเวชถือหุ้นใน โรงพยาบาลกรุงธน(KDH)แล้วจำนวน 20.01% หลังจากใช้บริษัทย่อย ชื่อบริษัท รอยัลบางกอก เฮ็ลธ์แคร์ซื้อหุ้นเพิ่มจำนวน 3,741,737 หุ้นในราคาหุ้นละ 55 บาท โดยจะจัดทำคำเสนอหุ้นจากกลุ่มผู้ถือหุ้นเดิมโดยผ่านระบบการซื้อขายของตลาดหลักทรัพย์ฯ บนกระดานรายใหญ่ (บิ๊กล็อต)ในวันที่ 31 มกราคม 2556
       
       ทั้งนี้การซื้อหุ้นครั้งนี้ในราคาหุ้นละ 55 บาท ต่ำกว่าราคาที่ซื้อขายในตลาดหลักทรัพย์วันที่ 24 ม.ค.2556 ปิดที่ 56 บาท แต่เป็นราคาที่ขยับขึ้นมาแรงติดต่อกัน 3 วัน เทียบกับวันที่ 21 ม.ค. ปิดที่ 49.75 บาท

ASTVผู้จัดการออนไลน์    25 มกราคม 2556

6914
วัยรุ่นตั้งครรภ์และการตั้งครรภ์อย่างไม่พึงประสงค์หรือตั้งครรภ์ไม่พร้อม เป็นสาเหตุใหญ่ที่นำมาซึ่งการทำแท้ง โดยจะเห็นได้จากข่าวที่สะเทือนความรู้สึกของสังคมไทยและทั่วโลก เมื่อเดือนพฤศจิกายนเมื่อปี 2553 กับการพบซากของทารกที่ถูกทำแท้งจำนวน 2002 ศพในวัด 3 แห่งในกรุงเทพ

ด้วยปัญหาดังกล่าวมูลนิธิเพื่อสุขภาพและสิทธิอนามัยการเจริญพันธุ์ของสตรี (แห่งประเทศไทย) ร่วมกับราชวิทยาลัยสูตินรีแพทย์แห่งประเทศไทย กรมอนามัย กระทรวงสาธารณสุข สมาคมพัฒนาประชากรและชุมชน และวิทยาลัยวิทยาศาสตร์สาธารณสุข จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย จึงจัดการประชุมนานาชาติ ครั้งที่ 2 เรื่อง "สุขภาพสตรีและการทำแท้งไม่ปลอดภัย" เพื่อส่งเสริมวิชาการและกระตุ้นความตระหนักของสังคมไทยและทั่วโลกในการดูแลสุขภาพผู้หญิงวัยเจริญพันธุ์ โดยเฉพาะกลุ่มวัยรุ่นและผู้หญิงท้องไม่พร้อม เพื่อสร้างภาคีเครือข่ายระดับนานาชาติในการร่วมแก้ปัญหาสุขภาพของสตรีและการป้องกันการแท้งที่ไม่ปลอดภัย

นพ.กิตติพงศ์ แซ่เจ็ง ผู้อำนวยการสำนักอนามัยการเจริญพันธุ์ กรมอนามัย กระทรวงสาธารณสุข(สธ.) กล่าวว่าปัญหาการป้องกันการทำแท้งที่ไม่ปลอดภัยของทุกประเทศ เป็นเรื่องของทัศนคติของผู้ให้บริการมีทั้งคนที่เห็นด้วยและไม่เห็นด้วยกับเรื่องของการทำแท้ง และเรื่องการปรับทัศนคติ เป็นเรื่องที่ค่อนข้างยาก แต่เราจะทำอย่างไรให้คนที่ตั้งครรภ์ไม่พึงประสงค์ได้เข้าไปสู้กระบวนการยุติการตั้งครรภ์อย่างปลอดภัยได้  และถ้าสถานพยาบาลบางพื้นที่ไม่สามารถให้บริการได้ก็ควรจะมีการส่งต่อผู้ที่ต้องการยุติการตั้งครรภ์ไปยังสถานพยาบาลที่ให้บริการ โดยในทางกฎหมายอาญาและข้อบังคับของแพทยสภามีการอนุญาตให้ยุติการตั้งครรภ์ได้ แต่ต้องเป็นไปตามกฎหมายข้อบังคับแพทยสภากำหนด

"ผู้ที่ตั้งครรภ์ไม่พึงประสงค์ เช่น กรณีที่ถูกข่มขืน หรือพบว่าทารกในครรภ์อาจเป็นอันตรายต่อผู้หญิงที่ตั้งครรภ์ก็สามารถเข้าสู่ระบบการให้บริการได้หากดำเนินการตามข้อกฎหมายและกฎระเบียบ ซึ่งจะสามารถป้องกันอันตรายจากการทำแท้งได้ แต่ที่ผ่านมาผู้ให้บริการยังมีทัศนคติที่ไม่ดีต่อเรื่องของการทำแท้ง ก็อาจจะไม่ให้บริการ ทำให้บางกรณีมีอายุครรภ์เกินกว่าที่จะทำแท้งได้ คือ เลย 12 สัปดาห์ไปแล้วก็ไม่สามารถทำได้ จึงคิดว่าอยากให้มองถึงอนาคตของผู้หญิงที่เขาไม่พร้อมจะดูแลลูกจะเป็นอย่างไร หรือ เขาไปเข้าสู่วงจรทำแท้งเถื่อนซึ่งอันตรายต่อสุขภาพจะเป็นอย่างไร"

ขณะที่สถานการณ์ภาพรวมของไทยในเรื่องของการยุติการตั้งครรภ์ไม่พร้อมและการแท้งที่ไม่ปลอดภัยยังเป็นปัญหาสาธารณสุขที่สำคัญ แม้ว่าขณะนี้ประชาชนมีสิทธิได้รับการบริการด้านสุขภาพอย่างถ้วนหน้า แต่โรคภาวะท้องไม่พร้อมและปัญหาการแท้งไม่ปลอดภัยเป็นโรคเดียวที่ไม่ได้รับการดูแลอย่างจริงจังและยังไม่มีระบบบริการสุขภาพรองรับ

ปัจจุบันยังพบวัยรุ่นและผู้หญิงวัยเจริญพันธุ์ท้องไม่พร้อม และการแท้งอย่างไม่ปลอดภัยอีกเป็นจำนวนมาก ซึ่งสถานบริการส่วนมากยังคงไม่มีการบริการคุมกำเนิดส่งผลให้ผู้หญิงเหล่านี้ไม่สามารถเข้าถึงข้อมูลและการป้องกันอย่างถูกวิธี จึงทำให้เกิดการเสียชีวิตและบาดเจ็บจากการทำแท้งไม่ปลอดภัย โดยในแต่ละปีรัฐต้องสูญเสียค่าใช้จ่ายในการรักษาการป่วยและตายจากการทำแท้งและการขูดมดลูกเป็นจำนวนมาก

"ในทางการแพทย์ไทยยังคงใช้วิธีเทคโนโลยีที่ล้าหลัง โดยเฉพาะการขูดมดลูกที่ถือเป็นทางออกหลักของการยุติการตั้งครรภ์หรือการรักษาการแท้งไม่ครบ รวมทั้งการรักษาผู้หญิงที่มีปัญหาอนามัยการเจริญพันธุ์"

ในด้านกฎหมายประชาชนยังไม่มีความรู้และยังเข้าไม่ถึงข้อมูล จึงควรต้องมีการให้ความรู้เรื่องกฎหมายอาญามาตรา 305 และข้อบังคับแพทยสภาว่าด้วยการยุติการตั้งครรภ์แก่ผู้ให้บริการสุขภาพทุกระดับและกลุ่มวิชาชีพที่เกี่ยวข้องได้แก่ ฝ่ายการเมือง ผู้บริหาร แพทย์ เภสัช พยาบาล บุคลากรสาธารณสุข ตำรวจ อัยการ ผู้พิพากษา นักสังคมสงเคราะห์ ครู นักเรียน นักศึกษารวมทั้งผู้หญิงและประชาชนทั่วไป อีกทั้งด้านการศึกษา สังคมและเศรษฐกิจยังคงต้องมีการพัฒนาหลักสูตรและทักษะผู้สอนในวิชาเพศศึกษา การให้ความรู้ สร้างความเข้าใจและทัศนคติที่ดีต่อปัญหาท้องไม่พร้อมและแท้งที่ไม่ปลอดภัยในทุกกลุ่มวิชาชีพที่เกี่ยวข้องโดยเฉพาะกลุ่มของประชาชนทั่วไป

ส่วนแนวทางการแก้ปัญหาในต่างประเทศ Phillip Darney ตัวแทนภาคีเครือข่ายจากประเทศสหรัฐอเมริกา กล่าวว่า ทั่วโลกให้ความสำคัญกับบทบาทของผู้หญิงอย่างมาก โดยผู้หญิงกว่า 80 %เป็นผู้ผลิตอาหารประกอบกิจการภาคเกษตรและฟาร์มเลี้ยงสัตว์  และอีกกว่า 70% เป็นภาคแรงงาน ซึ่งจากของมูลปี 2551 ผู้หญิง 358,000 คนที่เสียชีวิตพบว่ามาจากการตกเลือดสูงถึง 35% ทำแท้งแบบไม่ป้องกัน 14% โรคความดันโลหิตสูง 11% โรคติดเชื้อ 10%และติดโรคเอดส์ 7% นอกจากนี้ยังพบว่าผู้หญิงกว่าครึ่งล้านคนตั้งครรภ์ไม่พึงประสงค์และต้องทนทุกข์ทรมานจากการติดเชื้อเอดส์ และ 5 ล้านคนเจ็บป่วยรุนแรงจากภาวะแทรกซ้อนจากการคลอดบุตร

"ยังพบว่าในแต่ละปีมีผู้หญิงจากทั่วโลกกว่า 20 ล้านคนหรือ 97% ทำแท้งอย่างไม่ปลอดภัย และในจำนวนนี้ 10 - 30 % เป็นผู้หญิงที่เสียชีวิตลงจากการทำแท้งอย่างไม่ปลอดภัยโดยเฉพาะประเทศที่ยากจน อย่างแอฟริกาและละตินอเมริกา  เพราะยังไม่มีกระบวนการทำแท้งอย่างปลอดภัย"

เขาบอกว่า หลังจากอเมริกามีกฎหมายอนุญาตให้ทำแท้ง ตั้งแต่ปี 2510 อัตราการเสียชีวิตจากการทำแท้งไม่ปลอดภัยลดลง โดยจากการประชุมหารือในเวที Global Health Policy Summits ได้มีข้อเสนอ 5 ส่วนได้แก่ 1.ทุกประเทศต้องให้ความสำคัญกับสุขภาพของผู้หญิงเป็นประเด็นหลัก  2. ต้องหาแนวทางในการปฏิบัติที่เหมาะสมเพื่อที่จะช่วยลดอัตราการเสียชีวิตลง 3. ต้องให้ทุกคนมีส่วนร่วมเป็นเจ้าของการดำเนินงานร่วมกันเพื่อนำไปสู่การปฏิบัติ 4. รัฐบาลและเอกชนต้องลงทุนด้านงบประมาณและ 5. ต้องมีการติดตามประเมินผลการทำงานเพื่อหาผู้ที่รับผิดชอบและให้การทำงานมีประสิทธิภาพมากขึ้น

อย่างไรของตาม Phillip ให้ความเห็นว่าการแก้ปัญหาการทำแท้งไม่ปลอดภัยแม้จะมีกฎหมายอนุญาตให้ทำแท้งได้ แต่ยังช่วงรักษาชีวิตของผู้หญิงที่ตั้งครรภ์ไม่พึงประสงค์ได้น้อยกว่าการวางแผนครอบครัว ซึ่งจากข้อมูลการแก้ปัญหาการทำแท้ง พบว่า การวางแผนครอบครัวสามารถช่วยชีวิตผู้หญิงได้ถึง 107,000 คนหรือ 30% และการยุติการตั้งครรภ์ หรือการทำแท้งอย่างปลอดภัยช่วงได้เพียง 46,000 คน หรือ 13% โดยจากตัวอย่างของการวางแผนครอบครัวและการคุมกำเนิด ในสหรัฐอเมริกาและรัฐแคลิฟอเนีย เมื่อปี 2553 พบว่าอัตราการตั้งครรภ์ลดลงและอัตราการทำแท้งก็ลดลงไปด้วย

ขณะที่ Hamid  Rashwan ผู้แทนจากประเทศอังกฤษกล่าวถึงภาพรวมวิวัฒนาการการทำแท้งของกฎหมายอังกฤษว่า กฎหมายการอนุญาตทำแท้งมีมานานแล้ว โดยในปี 2510 มีการร่างกฎหมายชื่อว่าAbortion Act และในปี 2511 ได้ประกาศใช้เพื่อช่วยลดจำนวนการตายของผู้หญิงที่ทำแท้งอย่างไม่ปลอดภัย จนอาจจะส่งผลต่อสุขภาพหรือเกิดโรคแทรกซ้อน ทำให้เรื่องของการทำแท้งเป็นเรื่องที่ถูกกฎหมาย โดยกำหนดให้ผู้หญิงที่สามารถทำแท้งได้ต้องมีอายุครรภ์ไม่เกิน 28 สัปดาห์

จากนั้นในปี 2533 มีการแก้ไขกฎหมายให้ลดอายุครรภ์ลงเหลือ  24 สัปดาห์ หากอายุครรภ์เกินแต่มีความจำเป็นต้องทำแท้ง กฎหมายจะยกเว้นให้เฉพาะกรณีที่ผู้หญิงมีปัญหาด้านสุขภาพ หรือพบว่าทารกในครรภ์มีความผิดปกติรุนแรง โดยเปลี่ยนชื่อของกฎหมายเป็น The Human Fertilisation and Embryology Act 2533 ซึ่งหลังจากมีกฎหมายถูกต้องแล้วพบว่าประเทศอังกฤษมีประชากรผู้หญิงที่ทำแท้งจำนวน 196,082 ครั้ง เป็นชาวอังกฤษ 189,931 คน แต่ก่อนมีกฎหมายกลับมีผู้หญิงทำแท้งไม่ปลอดภัยสูงเป็น 2 เท่าของผู้ที่ทำแท้งอย่างถูกกฎหมาย

กรุงเทพธุรกิจ 25 มกราคม 2556

6915
ท่ามกลางวิถีการดำเนินชีวิตของคนไทยที่เปลี่ยนแปลงไป มีความเร่งรีบในชีวิตประจำวัน ต้องการสินค้าที่ตอบสนองความต้องการได้รวดเร็วยิ่งขึ้น เทคโนโลยีที่เข้ามามีบทบาททุกอณูของชีวิต ระบบสาธารณสุขของไทยที่ดีขึ้น ส่งผลให้ประชากรมีอายุยืนขึ้น

ทั้งหมดนี้ล้วนเป็นปัจจัยที่ทำให้เกิดกระแสสุขภาพของคนไทยใหม่ๆ รวมทั้งโอกาสของการดำเนินธุรกิจในอนาคต

เริงฤทธิ์ จินดาพร ผู้อำนวยการวางแผนและพัฒนาธุรกิจ มายด์แชร์ กล่าวถึง 8 เทรนด์สุขภาพของคนไทยในปีนี้ที่ได้จากผลศึกษา"เฮลท์ แอนด์ เวลล์เนส 2013" ว่า เทรนด์แรกที่เกิดขึ้น คือ ความอ้วนกลายเป็นปัญหาที่พบทั่วไปสำหรับคนไทยและคาดว่าปี 2558 ประเทศไทยจะมีผู้มีปัญหาความอ้วนเพิ่มขึ้นเป็น 24 ล้านคน จากเมื่อปี2553 มีคนอ้วน22 ล้านคน

แนวโน้มดังกล่าวจะส่งผลให้เกิดธุรกิจใหม่ๆ ที่เจาะกลุ่มคนอ้วน อาทิ "แดนซ์ ยัวร์แฟต ออฟ" รายการแข่งขันเต้นของคนอ้วนหรือกระทั่งการขยายธุรกิจสถาบันลดน้ำหนักสู่ต่างจังหวัดเพิ่มขึ้น จากเดิมจะกระจุกอยู่ในกรุงเทพฯ โดยการทำตลาดคนอ้วน คอนเซปต์สินค้าต้องง่าย สบาย เพราะพฤติกรรมนี้จะยอมแลกกับความอร่อย และเพื่อนเป็นผู้กระตุ้นการซื้อสินค้า แบรนด์จึงต้องวางตำแหน่งเป็นเพื่อนเช่นกัน

สำหรับเทรนด์ที่ 2 ความเครียดที่กลายเป็นปัญหาที่น่ากังวลกว่าความอ้วน จากผลสำรวจไทยเป็นประเทศที่มีผู้บริหารมีความเครียดอยู่ในอันดับ 5 จาก 39 ประเทศ มี กรีซเป็นอันดับ 1 ตามด้วยจีน ไต้หวัน เวียดนามและไทย โดยมาจากปัญหาการเงิน หน้าที่การงาน ความไม่แน่นอนการเมือง ปัญหาครอบครัว และสิ่งแวดล้อม

ขณะเดียวกันยังพบว่า เด็กวัยรุ่นไทยมีความเครียด โดยจากการวิจัยของสำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ(สสส.) เมื่อปลายปีที่ผ่านมามีวัยรุ่นกว่า 1 ล้านคน รู้สึกซึมเศร้าอย่างไม่มีสาเหตุ และกว่าครึ่งล้านคนมีความเครียดสูงจนเกิดอาการปวดท้อง อาเจียน และ 1 ใน 3 ของเด็กวัยรุ่นใช้ยาลดน้ำหนัก และทำศัลยกรรมความงามเพื่อให้ผอมและดูสวยงาม

"พฤติกรรมของกลุ่มคนเครียดจะหมกมุ่นแต่ยอมจ่ายเงินเพิ่มขึ้น หากสินค้าใช้แล้วได้ผลดี การทำตลาดของสินค้าต้องสร้างแบรนด์เป็นผู้เชี่ยวชาญ มีความน่าเชื่อถือของสินค้า"เทรนด์ที่ 3 กลุ่มผู้สูงอายุจะเป็นกลุ่มหลักในกระแสสุขภาพเพราะคนไทยมีแนวโน้มอายุยืนขึ้น อีก 8 ปีไทยจะก้าวสู่สังคมผู้สูงอายุพลังการซื้อจะอยู่ที่กลุ่มนี้ เพราะเป็นผู้ที่มีกำลังการซื้อสูง การตัดสินใจซื้อง่าย ต้องการสุขภาพที่ดี

กลุ่มสินค้าเพื่อสุขภาพจะเติบโตจาก6.1 หมื่นล้านบาทเป็น 7.7 หมื่นล้านบาทในอีก3 ปีข้างหน้านี้ โดยจะมีแคมเปญการตลาดเจาะกลุ่มเบบี้ บูมเมอร์ สิ่งที่น่าจับตา คือ ธุรกิจเกี่ยวกับสุขภาพ เช่น โรงพยาบาล การดูแลสุขภาพ อาหารเสริม ประกัน คาดว่ามูลค่าธุรกิจเติบโตสูงถึง 20-30% และในปี 2563 ตลาดต้องการนักกายภาพบำบัด นักประชาสงเคราะห์ เพื่อดูแลผู้สูงอายุถึง4 หมื่นคน

สำหรับเทรนด์ที่ 4 จะเกิดแนวโน้มประชากรโสดอยู่คนเดียว และดูแลตัวเองเพิ่มขึ้น จากการศึกษาพบว่า 37% ของคนไทยมีสถานะโสด หย่า และม่าย และ 45% ไม่มีลูก ส่งผลให้คนไทยหันมาใส่ใจการเป็นอยู่ในรูปแบบที่ต้องการของตัวเองมากขึ้น เอื้อต่อธุรกิจคอนโดมิเนียม กลุ่มอสังหาริมทรัพย์ ให้เติบโตเพิ่มขึ้น

และจากพฤติกรรมการใช้ชีวิตแบบคนเมือง ต้องการความสวยความงาม ทำให้เกิดเทรนด์ที่ 5 คือ กระแสความงามและสุขภาพดีแบบไม่ต้องรอซึ่งเป็นเทรนด์ที่เกิดขึ้นทั่วโลกถือว่าเป็นยุคทองของความงามแบบสั่งซื้อได้ไม่ต้องรอ และสวยทันตา ธุรกิจความงามและศัลยกรรมใบหน้า โดยเฉพาะศัลยกรรมเกาหลีเกิดขึ้นเป็นดอกเห็ด มีการจัดทริปเพื่อบินไปผ่าตัดหรือกระทั่งการผ่าตัดในไทย

"การทำตลาดกลุ่มทำศัลยกรรมหรือความงาม การใช้เซเลบริตีเป็นกุญแจแห่งความสำเร็จ เพราะเป็นผู้ที่ทรงอิทธิพลและมีผลต่อการตัดสินใจสูง แต่สินค้าต้องทำให้สวยเร็ว ง่าย สะดวก มีนวัตกรรมแปลกใหม่"

นอกจากนี้ พบว่าคนไทยหันไปให้ความสนใจกับผลิตภัณฑ์จากธรรมชาติมากขึ้น จึงเกิดเทรนด์ที่ 6 คือ สูงสุดคืนสู่สามัญส่งผลให้ตลาดสมุนไพรจากโอท็อปมูลค่าเพิ่มจาก 1.2 หมื่นล้านบาทเป็น 1.4 หมื่นล้านบาทในปี 2558 ในแง่การทำตลาดสินค้าต้องผลิตจากธรรมชาติ และได้รับการยอมรับจากผู้เชี่ยวชาญว่าปลอดภัยและได้ผลเทรนด์ที่ 7 ผลิตภัณฑ์เสริมสุขภาพจะเข้าใกล้ผลิตภัณฑ์ที่เราใช้ชีวิตประจำวันซึ่งที่ผ่านมาจะพบว่า เครื่องดื่มต่างๆผสมวิตามินเข้าไปกับผลิตภัณฑ์ อาทิ ฟังก์ชันนอลดริงก์หลากหลายแจ้งเกิดในตลาด การทำตลาดกลุ่มนี้การสื่อสารแบรนด์ต้องมีนวัตกรรมใหม่ๆ

ทั้งนี้ ผลจากการที่คนไทยใช้อินเทอร์เน็ต 22 ล้านคน และเข้าอินเทอร์เน็ตผ่านโทรศัพท์มือถือ50% ดังนั้นจึงเกิดเทรนด์ที่ 8 เทคโนโลยีเอื้อต่อการรักษาสุขภาพที่ดีของประชากรด้วยตัวเองโดยคนไทยเข้าถึงข้อมูลเกี่ยวกับสุขภาพได้ง่าย ออนไลน์จึงเป็นอีกช่องทางหนึ่งสำหรับการจำหน่ายสินค้าเพื่อสุขภาพจากเดิมการซื้อสินค้าทางออนไลน์จะเป็นกลุ่มอาหาร การกิน

อย่างไรก็ตาม จากพฤติกรรมของผู้บริโภคที่มีความหลากหลาย ดังนั้นแม้จะเกิด 8 เทรนด์สุขภาพคนไทย นักการตลาดต้องศึกษาถึงความต้องการ การสื่อสารช่องทางการตลาดหรือกระทั่งใครเป็นผู้ทรงอิทธิพลสำหรับคนกลุ่มนี้ เพราะนั่นจะทำให้แบรนด์หรือสินค้าชิงชิ้นเค้กมูลค่าอันมหาศาล 7.7 หมื่นล้านบาทในปี 2559

โพสต์ทูเดย์  25 มกราคม 2556

หน้า: 1 ... 459 460 [461] 462 463 ... 653