ติดกระดุมเสื้อผิดตั้งแต่ พรบ. หลักประกันสุขภาพ
เมื่อเราติดกระดุมเสื้อผิดตั้งแต่เม็ดแรกแล้ว เม็ดต่อไปก็ต้องผิดบิดเบี้ยว เสียรูปทรงทั้งตัว เช่นเดียวกับประเทศของเรา ที่ตั้งต้นจะคุ้มครองดูแลผู้เสียหายจากการรับบริการสาธารณสุข ด้วยมาตรา 41 แห่งพ.ร.บ หลักประกันสุขภาพ แต่กีดกันความคุ้มครองการชดเชย ค่าเสียหายให้ได้แต่เฉพาะประชาชนผู้ถือบัตรทองเท่านั้น
เงินเหมาจ่ายเป็นรายหัวที่รัฐมอบให้สำนักงานหลักประกันสุขภาพ (สปสช.) จ่ายให้แก่โรงพยาบาลทั้งประเทศ ที่ให้บริการประชาชนผู้ถือบัตรทองนั้น จะถูกหักกันไว้ร้อยละ 1 เพื่อจ่ายให้แก่ผู้เสียหายจากการรับบริการทางการแพทย์ ในวงเงินไม่เกิน 2 แสนบาท ตามมาตรา 41ดังกล่าว โดยไม่ต้องพิสูจน์ว่าใครผิดใครถูก จึงเข้าลักษณะการจ่ายให้เป็นสวัสดิการสงเคราะห์(welfare)จากรัฐ
จากสถิติที่ผ่านมาพบว่ามีผู้เสียหายจำนวนไม่มาก จากจำนวนผู้ถือบัตรทองทั้งประเทศประมาณ 47.7 ล้านคน เงินตามมาตรา 41 มีเหลืออยู่กว่า 5,400 ล้านบาท ดังนั้นถ้าจะขยายความคุ้มครอง และเพิ่มจำนวนเงินก็น่าจะกระทำได้ง่ายกว่าร่างกฎหมายใหม่
ประเทศที่ใช้ระบบรัฐสวัสดิการ เช่น สวีเดน เป็นต้นแบบของเรื่องนี้ แต่ต้องวิเคราะห์ว่าเขาเก็บภาษีรายได้มากกว่า ร้อยละ 60 และเก็บภาษีมูลค่าเพิ่มร้อยละ 25 และ มีระบบเยียวยาผู้เสียหายจากการรักษาพยาบาล ในวงเงินที่มีเพดานตามระดับของความรุนแรงที่เกิดขึ้น โดยหวังว่าจะลดการฟ้องร้องแต่ข้อเท็จจริงกลับพบว่าผู้ขอใช้สิทธิ (claim) มากขึ้นๆ ทุกๆปี
การที่ประเทศไทยจะตามอย่างโดยยก(ร่าง) พรบ. คุ้มครองผู้เสียหายจากการรับบริการสาธารณสุข พ.ศ.... ขึ้นมาเตรียมเข้าวาระของการบังคับใช้ ความแตกต่างกันในบริบททั้งปวง เช่น จำนวนประชากร เศรษฐกิจ การศึกษาจำนวนบุคลากรทางการแพทย์ ไม่เพียงพอและ ฯลฯ ทั้งมวล จึงก่อให้เกิดปัญหามีทั้งผู้สนับสนุน และฝ่ายค้าน ทั้งๆ ที่บุคลากรทางการแพทย์และประชาชนส่วนใหญ่ของประเทศ ก็ยังไม่ทราบรายละเอียดโดยชัดเจน เกิดความสับสนทางสังคม สมควรที่รัฐจะต้องประชาสัมพันธ์แนวกว้าง และทำประชาพิจารณ์ให้ชัดๆก่อนที่เรื่องจะบานปลาย
ในเมื่อทุกฝ่ายต่างเห็นด้วยกับเจตนารมณ์ของพรบ.ฉบับนี้ และยินดีที่จะสนับสนุนให้มีการคุ้มครองดูแล แต่เมื่อยึดหลักกันคนละวิธีการจึงยืดหยุ่นกันไม่ได้ ฝ่ายหนึ่งเสนอกฎหมาย เก็บเงินตั้งกองทุน แต่อีกฝ่ายหนึ่งเสนอการขยายความคุ้มครองจากระบบประกันสุขภาพ
เมื่อพิจารณาโดยสรุปพบว่า (ร่าง)พรบ.ฉบับนี้จะมีการเก็บเงินจากสถานพยาบาลทุกแห่งทุกระดับเข้ากองทุน คือ เมื่อประชาชนไปใช้บริการผู้ป่วยนอกก็จะเก็บหัวละ 5 บาท ถ้าเป็นผู้ป่วยในนอนโรงพยาบาลเก็บหัวละ 80 บาท สถิติคร่าวๆ จากระทรวงสาธารณสุขรายงานว่ามีผู้ใช้บริการผู้ป่วยนอก ปี 2552 ปีปีละประมาณ 140 ล้านครั้ง ผู้ป่วยใน 10 ล้านครั้ง หากพรบ.นี้ผ่านจะมีเงินกองทุนมหาศาลกว่า 1,500 ล้านบาทต่อปี และถ้ามากเกินกว่าการใช้จ่ายแล้ว ก็ไม่ต้องส่งเข้าคลังเข้าประเทศด้วย ภาคประชาชนคงต้องเหนื่อยกับการตรวจสอบการใช้เงินของกองทุนกองใหญ่ ที่ใช้เงินฟุ่มเฟือยแบบถูกกฎหมาย ตามที่ปรากฎในระบบบริหารกองทุนบางกองทุนในปัจจุบันนี้ มีข้อสงสัยว่าสำนักงานหลักประกันสุขภาพ ทำโครงการที่ครอบคลุมประชากรทั้งประเทศหลายโครงการ เช่น การตรวจมะเร็งปาดมดลูก การรักษาต้อกระจก การส่งเสริมสุขภาพ ฯลฯ แต่ทำไมการคุ้มครองแก่ประชาชนที่ได้รับความเสียหายจากการรักษา ที่มีจำนวนเรื่องเพียงน้อยนิด แถมยังใช้เงินที่กันไว้ไม่หมด ถึงจะครอบคลุมประชากรทั้งประเทศไม่ได้ ถ้าคิดว่าเป็นประชาชนเหมือนกัน โดยไม่คิดว่าใครเป็นผู้รักษา –ใครเป็นผู้ใช้บริการ แต่เป็นการคุ้มครองสาธารณะ ที่รัฐให้ประชาชนโดยเสมอภาคกันอีกทั้งผู้รักษาพยาบาลก็ไม่ได้เจตนา ประชาชนก็ไม่อยากเอาผิดกับผู้รักษาพยาบาล รัฐบาลจะมีบารมีในประชานิยมอย่างถูกต้องที่สุดใน เมื่อรับภาระหน้าที่นี้ไว้เอง
ทฤษฎีตาข่ายความคุ้มครองทางสังคม(Social Safety net)ในหลักรัฐประศาสนศาสตร์ ถ้ามองประเด็นระบบการสาธารณสุข โครงการบัตรทองคือตาข่ายพื้นฐาน ที่จะต้องรองรับการดูแลประชาชนทุกคน (Universal coverage)ให้เท่าเทียมกันในความอยู่รอดปลอดภัยโดยไม่ต้องเกี่ยงงอนว่า ใครมีสิทธิอื่นอยู่หรือไม่ รัฐต่างหากที่ต้องพยายามให้ประชาชน เข้าระบบประกันสุขภาพแบบมีการจ่ายเงินสมทบหรือเบี้ยประกัน ให้มากที่สุดและเพิ่มเติมให้ ถ้าสิทธิของบัตรทอง(ฟรี)มีมากกว่า ภาระงบประมาณค่ารักษาพยาบาลด้วยการสงเคราะห์ด้วยบัตรทอง ก็จะลดลง ประชาชนได้ร่วมรับผิดชอบตนเองและสังคมร่วมกัน ถ้าพอมีและให้ฟรีเฉพาะคนยากไร้(จริงๆ) ในบ้านเมืองเรา อารยประเทศล้วนใช้หลักการนี้จัดสวัสดิการทั้งสิ้น
ข้อเสนอของฝ่ายค้าน พ.ร.บ คือ ให้ขยายความคุ้มครองมาตรา 41 ให้ครอบคลุมคนทั้งประเทศแ ละปรับมาตรฐานของวงเงินการจ่าย ให้เป็นไปตามการประเมินความเสียหายที่เกิดขึ้นกับผู้ป่วย ให้มีกรอบการพิจารณาให้ความช่วยเหลือด้วยเงิน (cash)จำนวนหนึ่งและเพิ่มระบบการช่วยเหลือระยะยาว (long term)ที่ไม่ใช่ตัวเงิน เช่น การดูแลรักษาพยาบาลต่อเนื่องเป็นพิเศษหากผู้เสียหายยังมีชีวิตอยู่
การปล่อยให้เรียกร้องเป็นเงินก้อนมหาศาลคราวเดียว (10-100ล้านทำเอาขวัญของผู้ให้การรักษาพยาบาลกระเจิงกันหมดทั้งประเทศ) ไม่น่าจะหลักประกันได้ว่าผู้เสียหายจะได้รับการดูแลโดยตลอด
จากภาระงานที่มากมายมหาศาลในสัดส่วนผู้ป่วยกับผู้ให้บริการ รัฐต้องผลิตกำลังคนทางการแพทย์เพิ่มขึ้น ทุกวันนี้ทำงาน 90 - 120 ชั่วโมง/สัปดาห์ พยาบาลขึ้นเวร 30 -40 เวรต่อเดือน แต่มีเรื่องผิดพลาดน้อยมาก น่าจะให้กำลังใจโดยรัฐควรแก้ไของค์ประกอบอื่นๆให้พร้อมก่อนเช่น ชั่วโมงการทำงาน ค่าตอบแทนตามภาระงานหนัก การสนับสนุนการผลิตบุคลากรทางการแพทย์ให้เพิ่มขึ้น เยียวยาประชาชนเมื่อเหตุเกิดโดยสุดวิสัย ถ้า จะเอาอย่างประเทศสวีเดนดังกล่าวเราต้องพร้อมกว่านี้
วรอย่ามองว่ากองทุนหรือเงินเท่านั้นจะแก้ไขปัญหาเชิงระบบ ชาติเราคงได้ติดกระดุมเสื้อให้ถูกในระบบหลักประกันสุขภาพ เข้ากระแสที่สุดกับการ “ปฏิรูปประเทศไทยยุครัฐบาลอภิสิทธิ์” ปลดกระดุมผิดออก เริ่มกันใหม่ก็ยังไม่สาย.....
พ.ต.ท หญิง ฐิชาลักษณ์ ณรงค์วิทย์
thichaluck@hotmail.com