เลขาคสช.เผย มติสมัชชาสุขภาพแห่งชาติหนุนพ.ร.บ.คุ้มครองผู้เสียหายจากการรักษา วอนกลุ่มแพทย์ที่ค้าน ให้ยึดคำสอนพระราชบิดา ศึกษาร่างกม.ให้ถ่องแท้ เพราะมีคุณต่อทั้งแพทย์และผู้ป่วย
เมื่อวันที่ ๒๘ ก.ค.๒๕๕๓ ที่สำนักงานคณะกรรมการสุขภาพแห่งชาติ (สช.) นายแพทย์อำพล จินดาวัฒนะ เลขาธิการคณะกรรมการสุขภาพแห่งชาติ (คสช.) แถลงว่า จากการที่รัฐบาลโดยกระทรวงสาธารณสุข เสนอร่างพ.ร.บ.คุ้มครองผู้เสียหายจากการรับบริการสาธารณสุขเข้าสู่การ พิจารณาของครม. ซึ่งครม.ให้ความเห็นชอบส่งให้สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาพิจารณาเสร็จเรียบ ร้อย และครม.ให้ความเห็นชอบส่งเข้าสู่ขั้นตอนนิติบัญญัติเมื่อวันที่ ๗ เมษายน ๒๕๕๓ เพื่อให้สภาพิจารณาตราเป็นกฎหมายนั้น ปรากฏว่ามีกลุ่มแพทย์และบุคคลากรด้านสาธารณสุขส่วนหนึ่งออกมาเคลื่อนไหวคัด ค้านร่างพ.ร.บ.ฉบับนี้ โดยให้เหตุผลว่าจะกระทบต่อการประกอบวิชาชีพนั้น
นายแพทย์อำพลกล่าวว่า ร่างพ.ร.บ.ฉบับนี้มีกระบวนการยกร่างมานานกว่า ๓ ปี เริ่มจากการศึกษาข้อมูลทางวิชาการโดยสถาบันวิจัยระบบสาธารณสุข(สวรส.) มีการยกร่างพ.ร.บ.โดยรับฟังความเห็นจากหลายฝ่ายในสังคม จากนั้นกระทรวงสาธารณสุขจึงรับเป็นเจ้าภาพเสนอกฎหมายเข้าสู่ขั้นตอนปกติ ซึ่งร่างกฎหมายฉบับนี้ที่ผ่านการพิจารณาของสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาแล้วมี ๕๐ มาตรา วัตถุประสงค์หลักคือ จัดให้มีกองทุน เพื่อให้ความช่วยเหลือแก่ผู้ป่วยและญาติกรณีที่ได้รับผลกระทบจากการรักษาพยาบาล โดยไม่ต้องรอพิสูจน์ว่าใครผิดใครถูก เพื่อเป็นการเยียวยาผลกระทบที่เกิดขึ้น ไม่ว่าจะเป็นการเสียชีวิต พิการ หรือเกิดปัญหาแทรกซ้อนจากการรักษาพยาบาล ทำให้แพทย์และผู้ป่วยและญาติไม่ต้องเผชิญหน้าหรือต้องฟ้องร้องกัน ซึ่งต้องใช้เวลานานและเป็นทุกข์ด้วยกันทุกฝ่าย
การมีกองทุนนี้ เป็นการขยายการช่วยเหลือตามมาตรา ๔๑ของพ.ร.บ.หลักประกันสุขภาพแห่งชาติที่ปัจจุบันก็ใช้อยู่แล้ว แต่จะสามารถเพิ่มเพดานการช่วยเหลือในวงเงินที่สูงขึ้น และครอบคลุมประชาชนทุกคน ไม่ว่าจะรักษาในสถานพยาบาลของรัฐหรือเอกชนก็ได้ จะเกิดผลดีก็คือ ทำให้การฟ้องร้องทางแพ่งเพื่อเรียกค่าเสียหายลดน้อยลง เพราะการชดเชยจากกองทุนนี้จะทำให้ผู้ป่วยและญาติพอใจมากขึ้น และเมื่อรับเงินชดเชยและทำสัญญาประนีประนอมยอมความกันแล้ว หากมีการฟ้องคดีอาญาต่อแพทย์ ศาลสามารถนำหลักฐานนี้มาพิจารณาเพื่อที่จะไม่ลงโทษหรือลดโทษให้อีกก็ได้ ถ้าศาลพิจารณาว่าแพทย์มีความผิด ซึ่งตรงนี้จะเป็นผลดีต่อแพทย์โดยตรง
นอกจากนี้ยังมีระบบที่เป็นทางเลือกโดยความสมัครใจสำหรับผู้ป่วยและญาติสามารถ ร้องขอให้มีการไกล่เกลี่ยระหว่างผู้ป่วย ญาติ และแพทย์ผู้เกี่ยวข้อง เพื่อสร้างความเข้าใจที่ดีต่อกันเกี่ยวกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น อันจะทำให้ทั้งสองฝ่ายเกิดสัมพันธภาพที่ดีต่อกัน และจะลดการฟ้องร้องกันลงได้อีกด้วย จะทำให้ระบบบริการสาธารณสุขมีความเป็นหัวใจมนุษย์มากยิ่งขึ้น
“ที่ประชุมสมัชชาสุขภาพแห่งชาติ เมื่อเดือนธันวาคม ๒๕๕๑ ที่มีผู้เข้าร่วมประชุมจากเครือข่ายภาคีทุกจังหวัดทั่วประเทศ เครือข่ายภาคประชาชน เครือข่ายภาควิชาชีพและวิชาการ เครือข่ายภาครัฐ จำนวน ๑๘๐กลุ่มเครือข่าย กว่า ๑,๐๐๐คน ได้เคยมีมติสนับสนุนให้รัฐบาลเร่งผลักดันกฎหมายนี้ให้ออกมาใช้โดยเร็ว เพราะจะช่วยทำให้สัมพันธภาพระหว่าผู้ป่วย ญาติ และแพทย์พยาบาลดีขึ้น เพราะมีกองทุนกลางเข้ามาช่วยเหลือกรณีเกิดผลกระทบจากการรักษาพยาบาล ไม่ว่าจะเกิดจากสาเหตุใดก็ตาม ซึ่งในการรักษาพยาบาล มีโอกาสเกิดได้เสมอๆอยู่แล้ว ไม่ว่าแพทย์จะให้การดูแลดีที่สุดเพียงใดแล้วก็ตาม อีกทั้งการมีกองทุนนี้จะทำให้ผู้เสียหายได้รับการเยียวยาช่วยเหลือจากสังคมอย่างรวดเร็ว ทันท่วงที จะทำให้การฟ้องร้องทางแพ่งและทางอาญาลดน้อยตามไปด้วย”
นายแพทย์อำพลกล่าวเสริมด้วย ว่า “ในฐานะที่ผมดูแลองค์กรที่มีหน้าที่ประสานความร่วมมือและความเข้าใจของทุกฝ่ายในสังคมเกี่ยวกับงานด้านสุขภาพ ผมขอเรียนว่า หากได้ศึกษาวัตถุประสงค์หลักและสาระสำคัญของร่างพ.ร.บ.ฉบับนี้อย่างละเอียด ถี่ถ้วนแล้ว จะพบว่าเป็นกฎหมายที่มีคุณต่อทั้งประชาชนและต่อแพทย์ ไม่ได้มีผลกระทบเสียหายต่อการประกอบวิชาชีพแพทย์และสาธารณสุขอื่นๆดังที่มีแพทย์บางกลุ่มออกมาคัดค้าน ตรงกันข้าม หากมีกฎหมายฉบับนี้ จะทำให้สถานการณ์ความสัมพันธ์ระหว่างผู้ป่วยกับแพทย์ดีขึ้นและเย็นขึ้น การฟ้องร้องจะลดน้อยลง เหมือนอย่างที่ประเทศสวีเดนที่มีการใช้กฎหมายทำนองนี้มาก่อน และจะไม่เป็นเหมือนประเทศสหรัฐอเมริกาที่มีการฟ้องร้องกันมากมาย เพราะไม่มีระบบการช่วยเหลือเยียวยาที่ดีเช่นนี้
ผมขอวิงวอนให้เพื่อนแพทย์และเพื่อนผู้ประกอบวิชาชีพสาธารณสุขอื่นๆ ที่ยังคงยึดมั่นอยู่ในคำสอนของสมเด็จพระราชบิดาที่ให้ยึดประโยชน์ของเพื่อนมนุษย์เป็นที่หนึ่ง ได้ศึกษาทำความเข้าใจร่างพ.ร.บ.ฉบับนี้ให้ถ่องแท้ แล้วจะพบว่า แทนที่จะออกมาค้านตามๆกันไป ท่านควรจะรีบออกมาสนับสนุนด้วยซ้ำไป”
วันพุธที่ 28 กรกฏาคม 2010