เวทีสัมมนากฎหมายขอใช้สิทธิ์การตาย แพทย์รุมถล่ม สช. อ่วม ชี้ต้องยกเลิกกฎหมายเพราะมีช่องโหว่เพียบ นิยามการใช้สิทธิ์ขอตายไม่ชัด และใครจะชี้ขาดการคาดการณ์การตายได้ ด้านแพทยสภาออกโรงไม่เห็นด้วย เหตุกลัวหมอโดนฟ้อง แนะแนวทางปฏิบัติ 6 ข้อ คณะที่กรรมการสิทธิ์ชี้ต้องติดตามการดำเนินการ 1-2 ปี
ที่รัฐสภามีการสัมมนาเรื่อง "เจตนารมณ์การขอใช้สิทธิ์การตายในวาระสุดท้ายของชีวิต : ผลกระทบต่อผู้ป่วยและแพทย์" ศ.นพ.วิรัติ พาณิชย์พงษ์ ประธานคณะอนุกรรมการตรวจสอบการ ใช้บังคับกฎหมายในวิชาชีพเวช กรรม กล่าวว่า การใช้สิทธิ์ปฏิเสธ การรักษาตามมาตรา 12 พ.ร.บ. สุขภาพแห่งชาติ พ.ศ.2550 ยังมีความสับสนหลายประการ ผู้ปฏิบัติงานและประชาชนไม่เข้า ใจจึงเป็นที่มาของการสัมมนาในวันนี้
นพ.อำพล จินดาวัฒนะ เลขาธิการคณะกรรมการสุขภาพแห่งชาติ (สช.) กล่าวว่า สิทธิ์ในการปฏิเสธการรักษาทุกคนมีอยู่แล้ว ก่อนที่จะมีมาตรา 12 การเขียนหนังสือแสดงเจตนาไม่ประสงค์จะรับบริการจะเขียนอย่างไรก็ได้ ไม่ต้องมีแบบฟอร์ม เขียนที่ไหนก็ได้ และแพทย์ไม่ต้องไปพิสูจน์ว่าปลอมหรือไม่ปลอม เพราะไม่ใช่พินัยกรรม
นพ.วิสุทธิ์ ลัจฉเสวี ผู้ช่วยเลขาธิการแพทยสภา กล่าวว่า อยากถามว่าใครเคยตาย และใครเคยพูดคุยกับคนที่ตายไปแล้วบ้าง ถ้าไม่เคยแล้วทำไมจึงรู้จักจิตใจคนไข้ก่อนตายว่าจะต้องตายอย่างมีศักดิ์ศรี แล้วมาออกกฎหมายในสิ่งที่ไม่รู้จริง ขัดหลักกฎหมาย อันตรายมาก เพราะจะนำมาซึ่งการทำหนังสือโดยสำคัญผิดในข้อเท็จจริงทั้งที่ไม่รู้ว่าตัวเองจะตายอย่างไร แพทย์และบุคลากรทางการแพทย์มีปัจจัยเสี่ยงทั้งสิ้น เรื่องนี้เป็นการุณยฆาตอย่างชัดเจน
"กม.ฉบับนี้ไม่มีสภาพบังคับ ดังนั้นไม่จำเป็นต้องปฏิบัติตาม หากจะให้เดินหน้าต่อไป ต้อง มีหน่วยงานกลางที่รับผิดชอบ คือ สช. ที่ต้องเก็บรวบรวมหนังสือแสดง เจตนาด้วย" นพ.วิสุทธิ์กล่าว
นายเดชอุดม ไกรฤทธิ์ สมา ชิกวุฒิสภา กล่าวว่า เราเขียนกฎ หมายบนข้อเท็จจริงที่ไม่แน่นอน ขอยกตัวอย่างหลานไปเรียนที่ออสเตรเลีย แพทย์บอกว่ารักษาไม่ได้แล้ว จะถอดเครื่องช่วยหายใจออก แต่น้องสาวตน แม่ของเด็กไม่อยากเสียลูกไป ก็เลยบินไปรับตัวมารักษาในประเทศไทยโดยเช่าเครื่องบิน 7.5 แสนบาทกลับมา ณ วันนี้หลานตนสามารถเดินได้ ดังนั้นกรณีนี้อยากถามว่าวาระสุดท้ายของชีวิตคืออะไร เพราะในกว่า 100 ประเทศไม่มีใครกล้านิยามเรื่องนี้
ด้าน ศ.นพ.อำนาจ กุสลานันท์ นายกแพทยสภา กล่าวว่า แพทยสภาได้ออกแนวทางปฏิบัติของแพทย์ เมื่อได้รับหนังสือแสดงเจตนาไม่ประสงค์จะรับบริการสาธารณสุขที่เป็นไปเพื่อยืดการตายในวาระสุดท้ายของชีวิต ดังนี้ 1.เมื่อได้รับหนังสือแสดงเจตนาฯ แพทย์ผู้เกี่ยวข้องต้องแน่ใจว่าหนังสือดังกล่าวเป็นหนังสือที่กระ ทำโดยผู้ป่วยขณะมีสติสัมปชัญญะ เช่น หนังสือแสดงเจตนาฯ ที่กระ ทำโดยอยู่ในความรู้เห็นของแพทย์ เช่นนี้แล้วให้ปฏิบัติตามความประสงค์ของผู้ป่วย ยกเว้นกรณีข้อ 6 2.หนังสือแสดงเจตนาฯ นอก จากข้อ 1 ควรได้รับการพิสูจน์ ว่ากระทำโดยผู้ป่วยจริง 3.ในกรณี ที่ยังพิสูจน์ไม่ถึง "ความจริงแท้ของ หนังสือแสดงเจตนาฯ" นี้ ให้ดำเนิน การรักษาผู้ป่วยตามมาตรฐานวิชาชีพเวชกรรม 4.การวินิจฉัยวา ระสุดท้ายของชีวิตให้อยู่ในดุลพินิจของแพทย์ที่เกี่ยวข้องในภาวะวิสัยและพฤติการณ์ในขณะนั้น 5.ไม่แนะนำให้มีการถอดถอน (with draw) การรักษาที่ได้ดำเนินการอยู่ก่อนแล้ว 6.ในกรณีที่มีข้อขัดแย้ง กับญาติผู้ป่วยเกี่ยวกับเรื่อง "ความ จริงแท้ของหนังสือแสดงเจตนาฯ ดังกล่าว แนะนำให้ญาติผู้ป่วยใช้สิทธิ์ทางศาล
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า พล.ต.ต. นพ.อรรถพันธ์ พรมณฑารัตน์ รองนายแพทย์ใหญ่ รพ.ตำรวจ ได้สอบถามที่ประชุมว่ามีใครไม่เห็นด้วยกับเรื่องนี้และต้องการยกเลิกบ้าง และต้องการให้นำผลจากที่ประชุมไปเสนอผู้เกี่ยวข้อง ปรากฏว่ามีแพทย์หลายคนยกมือไม่เห็นด้วยจำนวนมาก
ด้าน พล.ต.อ.วันชัย ศรี นวลนัด กรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ ระบุว่า หนังสือแสดงเจตนาฯ ถือเป็นพยานในคดีหากมีการฟ้องร้อง ถ้าไม่มีหนังสือดังกล่าวอาจใช้อ้างอิงอะไรไม่ได้ และบุคคลที่จะใช้สิทธิ์ต้องเป็นเจ้าตัวที่มีหลักฐาน ลายมือ และทำตามขั้นตอนที่กฎหมายระบุไว้เท่านั้น ผู้อื่นจะมาแสดงเจต นาฯ แทนไม่ได้ อย่างไรก็ตาม เนื้อหาในกฎหมายมีส่วนที่น่ากังวลเกี่ยวกับนิยามของการไม่ประสงค์จะรับบริการสาธารณสุขที่เป็นไปเพียงเพื่อยืดการตายในวาระสุดท้ายของชีวิต ซึ่งวาระสุดท้ายของชีวิตนั้นเป็นการคาดการณ์ล่วงหน้าที่อาจไม่เป็นเช่นนั้นได้ เมื่อถึงเวลาจริง คนที่จะมาชี้ขาดวาระตรงนี้ได้ต้องเป็นแพทย์เท่านั้น อย่างไรก็ตาม ยังมีข้อสงสัยว่าการยื่นหนังสือแสดงเจตนาฯ เป็นการยื่นก่อนรักษาหรือเข้ารับการรักษาแล้วค่อยยื่น การดำเนินงานเรื่องนี้ควรมีการตั้งกลุ่มขึ้นมาเพื่อระดมสมองโดยเฉพาะด้านกฎหมาย ควรมีการติดตามการดำเนินงานเรื่องนี้ต่อไปอีก 1-2 ปี.
ไทยโพสต์ -- เสาร์ที่ 11 มิถุนายน 2554
..........................
สช.ชี้ การใช้สิทธิการตายเป็นเพียงประกาศ ไม่ใช่กม.บังคับ ด้านแพทยสภาอัด เอาคนไม่รู้มาออกกม.
“หมอแสวง” ชี้ชัด ประกาศสิทธิการตายเป็นเนื้อหาตามหลักการกฎหมาย ไม่ใช่บังคับ ด้าน“หมอวิสุทธิ์” อัดยับ หากสช. สนับสนุน ต้อง รับผิดชอบการดำเนินการตามกฎหมาย ตัวแทน สธ.เสนอย้ำนิยาม “วาระสุดท้าย” ให้ชัด เพื่อความเข้าใจตรงกัน ขณะที่ คณะอนุกรรมการบริหาร แพทยสภา เตรียมแจกแนวทางการปฏิบัติของแพทย์หลังได้รับหนังสือแดงสิทธิการตายต่อสมาชิกแพทย์
วันนี้ (10 มิ .ย.) ที่อาคารรัฐสภา มีการจัดการประชุมสัมมนาจัดเวทีสัมมนาเรื่อง “เจตนารมณ์การขอใช้สิทธิการตายในวาระสุดท้ายของชีวิต: ผลกระทบต่อผู้ป่วยและแพทย์” เพื่ออภิปรายถึง “เจตนารมณ์และผลกระทบของกฎกระทรวงกำหนดหลักเกณฑ์และวิธีการดำเนินการตามหนังสือแสดงเจตนาไม่ประสงค์จะรับบริการสาธารณสุข ที่เป็นไปเพียงเพื่อยืดการตายในวาระสุดท้ายของชีวิต หรือยุติการทรมานจากการเจ็บป่วย พ.ศ.2553 ตามมาตรา 12 แห่งพ.ร.บ.สุขภาพแห่งชาติ พ.ศ.2550” และ “ประเด็นความเสี่ยงของแพทย์เมื่อละเว้นการช่วยชีวิตผู้ป่วยที่ใช้สิทธิตาย”โดย
นพ.อำพล จินดาวัฒนะ เลขาธิการคณะกรรมการสุขภาพแห่งชาติ(สช.) กล่าวว่า ประกาศดังกล่าวไม่ใช่กฎหมายบังคับใช้ เป็นเพียงแนวทางการดำเนินการตามมาตรา 12 ที่ระบุให้ทราบถึงการดำรงของสิทธิที่มีอยู่เท่านั้น ดังนั้น การออกประกาศ จึงเป็นการกำหนดแนวทางการปฏิบัติที่เกี่ยวข้องกับการดูแลผู้ป่วยระยะสุดท้ายให้ชัดเจนยิ่งขึ้น ซึ่งไม่ได้หมายความว่าแพทย์จะไม่ทำการรักษาผู้ป่วยที่แสดงสิทธิ แพทย์ยังคงรักษาด้วยมาตรฐานวิชาชีพต่อไป จัดเป็นเพียงแนวทางเท่านั้น แต่ต้องทำควบคู่กับการพูดคุยกับญาติพี่น้องของผู้ป่วยด้วย ไม่ใช่ยึดแต่หนังสืออย่างเดียว ดังนั้น ไม่ต้องกังวลว่าแพทย์จะถูกฟ้องร้อง เพราะอย่างไรเสียสุดท้ายก็ต้องพูดคุยกับญาติ
ศ.แสวง บุญเฉลิมวิภาส อาจารย์ประจำคณะนิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ กล่าวว่า ประกาศดังกล่าวไม่เป็นผลกระทบต่อแพทย์ เพราะไม่มีผลบังคับตามกฎหมาย เป็นเพียงการใช้เจตนารมณ์ส่วนหนึ่ง โดยมาเขียนให้เห็นเป็นตัวอักษร และสช.ก็ดำเนินการตามสิทธิที่พึงมีอยู่แล้ว แต่สิทธิในการเลือกใช้เจตนาดังกล่าวเป็นสิทธิของผู้ป่วย ซึ่งหากแพทย์มีความคลางแคลงใจว่าเป็นหนังสือปลอมหรือไม่ ก็อาจตรวจสอบโดยการสอบถามกับญาติก่อนปฏิบัติตาม
ด้าน นพ.วิสุทธิ์ ลัจฉเสวี ผู้ช่วยเลขาธิการแพทยสภา กล่าวว่า ผู้ที่ออกกฎหมายคิดเอาเองหรือไม่ว่าผู้ป่วยในวาระสุดท้ายมีความทุกข์ ทรมาน และมีความประสงค์จะตาย เพราะแพทย์คนที่ออกกฎหมายนี้ไม่เคยอยู่กับผู้ป่วยที่กำลังจะเสียชีวิต แต่กลับไปร่วมมือกับนักกฎหมายออกกฎหมายนี้ออกมา จึงถือได้ว่าเป็นการออกกฎหมายโดยที่ไม่รู้ข้อเท็จจริง ซึ่งการออกกฎหมายโดยที่ไม่รู้ข้อเท็จจริงถือว่าไม่ถูกต้อง ทั้งนี้การออกกฎหมายโดยการคิดเอาเองถือว่าอันตรายมากและเมื่อกฎหมายนี้ได้ออกมาแล้ว หากแพทย์ปฏิบัติตามหรือไม่ปฏิบัติตาม แพทย์ก็ถือว่าอยู่ในสภาวะเสี่ยงทั้งสิ้น และเรื่องนี้ไม่สามารถหลีกเลี่ยงได้ว่าจะเป็นการการุณยฆาต อย่างไรก็ตามหากจะดำเนินการตามกฎหมายตนอยากเสนอให้ สช. จะต้องเป็นผู้รับผิดชอบการดำเนินการตามกฎหมายนี้ทั้งหมด รวมทั้งต้องเป็นผู้รับรอง ตรวจสอบหนังสือแสดงเจตนาฯด้วย เพราะอาจเข้าข่ายความผิดตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 157 ผู้ใดเป็นเจ้าพนักงาน ปฏิบัติหรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบ เพื่อให้เกิดความเสียหายแก่ผู้หนึ่งผู้ใด หรือปฏิบัติหน้าที่โดยทุจริต ต้องระวางโทษจำคุกตั้งแต่ 1 ปี-10 ปี หรือปรับตั้งแต่ 2 พันบาทไปจนถึง 2 หมื่นบาท มาตรา 291 กระทำโดยประมาทเป็นเหตุให้ผู้อื่นถึงแก่ความตาย
นพ.ทรงยศ ชัยชนะ สาธารณสุขนิเทศก์เขต 1 ผู้แทนปลัดกระทรวงสาธารณสุข(สธ.) กล่าวว่า หัวใจสำคัญอยู่ที่คำนิยามของ “วาระสุดท้าย” แม้ว่าสิทธิการรับบริการสาธารณสุขจะเป็นสิทธิของผู้ป่วย แต่วาระสุดท้ายเป็นหน้าที่ของแพทย์ต้องวินิจฉัย แต่เข้าใจว่า แพทย์อาจกังวลว่า ตัวเองจะมีความผิดจากการตัดสินใจว่า ผู้ป่วยอยู่ในวาระสุดท้ายหรือไม่ ประเด็นนี้อาจถูกญาติโจมตีได้ แม้ว่าประกาศนี้จะไม่มีบทลงโทษใดๆทางกฎหมายก็ตาม แต่เพื่อความชัดเจนและเข้าใจตรงกันระหว่าง แพทย์ ญาติ และตัวผู้ป่วย สธ.เห็นว่าควรทำให้ทุกฝ่ายเกิดความกระจ่างของคำนิยามนี้ก่อน
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า คณะอนุกรรมการบริหาร แพทยสภา ได้ออกแนวทางการปฏิบัติของแพทย์ เมื่อได้รับหนังสือดังกล่าว ประกอบด้วย 6 ข้อ ดังนี้
1.เมื่อได้รับหนังสือแสดงเจตนาฯ แพทย์ผู้เกี่ยวข้องต้องแน่ใจว่าหนังสือดังกล่าวเป็นหนังสือแสดงเจตนาฯ ที่กระทำโดยผู้ป่วยขณะที่มีสติสัมปชัญญะ เช่น หนังสือแสดงเจตนาฯ ที่กระทำโดยอยู่ในความรู้เห็นของแพทย์ เช่นนี้แล้วให้ปฏิบัติตามความประสงค์ของผู้ป่วย ยกเว้นกรณีตามข้อ 6
2.หนังสือแสดงเจตนาฯ นอกเหนือจากข้อ 1 ควรได้รับการพิสูจน์ว่ากระทำโดยผู้ป่วยจริง
3.ในกรณีที่ยังพิสูจน์ไม่ได้ถึง“ความจริงแท้”ของหนังสือแสดงเจตนาฯ นี้ ให้ดำเนินการรักษาผู้ป่วยตามมาตรฐานวิชาชีพเวชกรรม
4.การวินิจฉัยวาระสุดท้ายของชีวิตให้อยู่ในดุลยพินิจของแพทย์ที่เกี่ยวข้องในภาวะวิสัยและพฤติการณ์ในขณะนั้น
5.ไม่แนะนำให้มีการถอดถอน ( withdraw ) การรักษาที่ได้ดำเนินอยู่ก่อนแล้ว และ
6. ในกรณีที่มีความขัดแย้งกับญาติผู้ป่วย เกี่ยวกับเรื่อง“ความจริงแท้”ของหนังสือแสดงเจตนาฯ ดังกล่าว แนะนำให้ญาติผู้ป่วยใช้สิทธิทางศาล
นายเดชอุดม ไกรฤทธิ์ สมาชิกวุฒิสภา กล่าวว่า เราเขียนกฎหมายบนข้อเท็จจริงที่ไม่แน่นอน ขอยกตัวอย่างหลานไปเรียนที่ออสเตรเลีย แพทย์บอกว่ารักษาไม่ได้แล้ว จะถอดเครื่องช่วยหายใจออก แต่น้องสาวตน แม่ของเด็กไม่อยากเสียลูกไป ก็เลยบินไปรับตัวมารักษาในประเทศไทยโดยเช่าเครื่องบิน 7.5 แสนบาทกลับมา ณ วันนี้หลานตนสามารถเดินได้ ดังนั้นกรณีนี้อยากถามว่าวาระสุดท้ายของชีวิตคืออะไร เพราะในกว่า 100 ประเทศไม่มีใครกล้านิยามเรื่องนี้ อีกทั้งบิดาของตนนอนรักษาใน รพ.ตัวดำแล้ว ลูกสาวที่เป็นแพทย์บอกว่าตัวดำไม่ไหวแล้ว ตนก็ได้เรียกพี่น้องทั้งหมดมาพร้อมหน้ากัน และในฐานะพี่คนโตเป็นคนกดเครื่องช่วยหายใจให้หยุดทำงาน แต่ถ้าเป็นแพทย์คนไหนไม่มีใครกล้าทำ
ด้าน ศ.นพ.อำนาจ กุสลานันท์ นายกแพทยสภา กล่าวว่า แพทยสภาได้ออกแนวทางปฏิบัติของแพทย์ เมื่อได้รับหนังสือแสดงเจตนาไม่ประสงค์จะรับบริการสาธารณสุขที่เป็นไปเพื่อยืดการตายในวาระสุดท้ายของชีวิต ดังนี้ 1.เมื่อได้รับหนังสือแสดงเจตนาฯ แพทย์ผู้เกี่ยวข้องต้องแน่ใจว่าหนังสือดังกล่าวเป็นหนังสือที่กระทำโดยผู้ป่วยขณะมีสติสัมปชัญญะ เช่น หนังสือแสดงเจตนาฯ ที่กระทำโดยอยู่ในความรู้เห็นของแพทย์ เช่นนี้แล้วให้ปฏิบัติตามความประสงค์ของผู้ป่วย ยกเว้นกรณีข้อ 6 2.หนังสือแสดงเจตนาฯ นอกจากจากข้อ 1 ควรได้รับการพิสูจน์ว่ากระทำโดยผู้ป่วยจริง 3.ในกรณีที่ยังพิสูจน์ไม่ถึง “ความจริงแท้ของหนังสือแสดงเจตนาฯ” นี้ ให้ดำเนินการรักษาผู้ป่วยตามมาตรฐานวิชาชีพเวชกรรม 4.การวินิจฉัยวาระสุดท้ายของชีวิตให้อยู่ในดุลพินิจของแพทย์ที่เกี่ยวข้องในภาวะวิสัยและพฤติการณ์ในขณะนั้น 5.ไม่แนะนำให้มีการถอดถอน ( withdraw) การรักษาที่ได้ดำเนินอยู่ก่อนแล้ว 6.ในกรณีที่มีข้อขัดแย้งกับญาติผู้ป่วย เกี่ยวกับเรื่อง “ความจริงแท้ของหนังสือแสดงเจตนาฯ ดังกล่าว แนะนำให้ญาติผู้ป่วยใช้สิทธิ์ทางศาล
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า พล.ต.ต.นพ.อรรถพันธ์ พรมณฑารัตน์ รองนายแพทย์ใหญ่ รพ.ตำรวจ ได้สอบถามที่ประชุมว่ามีใครไม่เห็นด้วยกับเรื่องนี้และต้องการยกเลิกบ้าง และต้องการให้นำผลจากที่ประชุมไปเสนอผู้เกี่ยวข้อง ปรากฏว่ามีแพทย์หลายคนยกมือไม่เห็นด้วยจำนวนมาก
ด้าน พล.ต.อ.วันชัย ศรีนวลนัด กรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ ระบุว่า หนังสือแสดงเจตนาฯ ถือเป็นพยานในคดีหากมีการฟ้องร้อง ถ้าไม่มีหนังสือดังกล่าวอาจใช้อ้างอิงอะไรไม่ได้ และบุคคลที่จะใช้สิทธิ์ต้องเป็นเจ้าตัวที่มีหลักฐาน ลายมือ และทำตามขึ้นตอนที่กฎหมายระบุไว้เท่านั้น ผู้อื่นจะมาแสดงเจตนาฯ แทนไม่ได้ อย่างไรก็ตาม เนื้อหาในกฎหมายมีส่วนที่น่ากังวลเกี่ยวกับนิยามของการไม่ประสงค์จะรับบริการสาธารณสุขที่เป็นไปเพียงเพื่อยืดการตายในวาระสุดท้ายของชีวิต ซึ่งวาระสุดท้ายของชีวิตนั้นเป็นการคาดการณ์ล่วงหน้าที่อาจไม่เป็นเช่นนั้นได้ เมื่อถึงเวลาจริง คนที่จะมาชี้ขาดวาระตรงนี้ได้ต้องเป็นแพทย์เท่านั้น อย่างไรก็ตาม ยังมีข้อสงสัยว่าการยื่นหนังสือแสดงเจตนาฯ เป็นการยื่นก่อนรักษาหรือเข้ารับการรักษาแล้วค่อยยื่น
"การดำเนินงานเรื่องนี้ควรมีการตั้งกลุ่มขึ้นมาเพื่อระดมสมองโดยเฉพาะด้านกฎหมาย ควรมีการติดตามการดำเนินงานเรื่องนี้ต่อไปอีก 1-2 ปี ส่วนที่กังวลเรื่อง ม.12 นั้น ผมเห็นว่าถ้าหากการดำเนินการไม่ได้เป็นการยืดเวลา เป็นวาระสุดท้ายของชีวิต และหนังสือแสดงเจตนาถูกต้อง แพทย์ก็จะได้รับการคุ้มครอง".
ASTVผู้จัดการออนไลน์ 11 มิถุนายน 2554