ที่ผ่านมา คำฟ้องร้องหรือคำกล่าวหาต่อแพทย์ในประเด็นที่เกี่ยวข้องกับการประกอบวิชาชีพเวชกรรมมักเป็นไปใน
เรื่องของการกล่าวหาในลักษณะดังต่อไปนี้
- ทอดทิ้ง ไม่ดูแลผู้ป่วย
- ละเลย ไม่สนใจไม่ใส่ใจในสิ่งที่ผู้ป่วยต้องการบอกกล่าวต่อแพทย์
- ประมาทหรือละเลยมาตรการที่มีผลต่อความปลอดภัยในชีวิตหรือร่างกายของผู้ป่วย
- การปฎิเสธการพูดคุย การให้คำอธิบายถึงปัญหาที่เกิดขึ้นระหว่างการรักษา
ปัญหาดังกล่าวข้างต้นมักลงเอยด้วยการกล่าวหาแพทย์ในประเด็นจริยธรรม หรือฟ้องร้องต่อศาลในความผิดอาญา
ฐานประมาททำให้ผู้อื่นได้รับบาดเจ็บ หรือ ฟ้องความผิดฐานแพ่งในประเด็นละเมิดและเรียกค่าชดเชยในรูปของสินไหม
มีกรณีฟ้องร้องแพทย์และกระทรวงสาธารณสุขในความผิดทางแพ่งว่าด้วยละเมิดคดีหนึ่งที่น่าสนใจและน่าจะเป็น
อุทธาหรณ์ให้ผู้ประกอบวิชาชีพเวชกรรมพึงสังวรณ์ว่า แม้จะให้การรักษาเต็มที่ แต่ก็ยังสามารถถูกฟ้องร้องว่า “ใช้เครื่องมือ
ทางการแพทย์ที่ไม่เหมาะสม” ทำให้เกิดความเสียหาย
คำฟ้องโดยย่อโจทก์ฟ้องแพทย์ กระทรวงสาธารณสุขร่วมกับกระทรวงศึกษาธิการ และ “สำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ”
เป็นจำเลยในความผิดฐานละเมิด โดยมีใจความโดยย่อดังนี้
โจทก์คลอดก่อนกำหนด (ผู้ปกครองเป็นผู้ใช้อำนาจฟ้องแทน) มีน้ำหนักแรกคลอด 1,030 กรัม ในสถานพยาบาลของกระทรวงสาธารณสุข ซึ่งเป็นคู่สัญญาของสำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ ด้วยเหตุที่คลอดก่อนกำหนดและมีน้ำหนักตัวน้อย จึงต้องอยู่ในตู้อบ ระหว่างนั้นแพทย์ตรวจพบว่า จอประสาทตาของโจทก์มีปัญหาและแนะนำให้ย้ายไปที่โรงเรียนแพทย์ที่อยู่ในความรับผิดชอบของกระทรวงศึกษาธิการ จักษุแพทย์ที่โรงเรียนแพทย์ตรวจพบว่ามีปัญหาของจอประสาทตาในระดับ 3 ต้องรักษาด้วยการยิงด้วยเลเซอร์ แต่เนื่องจากเครื่องเสีย จึงให้การรักษาด้วยเครื่องจี้เย็นแทน หลังการจี้เย็นทำให้โจทก์ตาบวมช้ำทั้งสองข้าง มีเลือดออกในตาดำและวุ้นลูกตา ปอดไม่ทำงานหายใจลำบากต้องใช้เครื่องช่วยหายใจ ใช้เวลารักษาในโรงพยาบาลนานเดือนเศษ และแพทย์ให้ข้อมูลว่า จอประสาทตาทั้งสองข้างของโจทก์หลุดลอกหมด ต้องส่งไปผ่าตัดในกรุงเทพมหานคร แต่บิดาโจทก์ไม่พาโจทก์ไปรักษาต่อเพราะเห็นว่าบอบช้ำมากแล้ว แต่นำพาโจทก์กลับไปยังรพ.เดิมที่ทำคลอดให้ แพทย์แจ้งว่าตาบอดสนิทไม่มีทางรักษาได้อีกต่อไป
โจทก์เห็นว่าแพทย์ในสถานพยาบาลทั้งสองแห่งประมาทไม่ใช้ความระมัดระวังในการรักษาตามควรทำให้ตาบอดสนิททั้งสองข้าง โดยบรรยายฟ้องเพิ่มเติมว่า เมื่อเครื่องเลเซอร์เสีย ก็ควรส่งไปรักษาต่อที่อื่น แต่กลับไปใช้เครื่องจี้เย็นซึ่งมีอันตรายและมีผลข้างเคียงมากกว่า อีกทั้งการรักษาก็ควรทำทีละข้าง ไม่สมควรทำทั้งสองข้างพร้อมกัน ทำให้ตาทั้งสองบอดสนิทโดยไม่มีโอกาสแก้ไขใดๆ จึงฟ้องร้อง แพทย์และหน่วยงานของ กระทรวงสาธารณสุข และ กระทรวงศึกษาธิการในฐานะตัวการ และฟ้องร้องสำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติในฐานะตัวแทน (คู่สัญญาของหลักประกันสุขภาพ)ให้ชดใช้เงินทั้งหมด 13,000,000 บาท
ข้อน่าสังเกตในคำบรรยายฟ้องคือ โจทก์เพิ่งทราบตัวแพทย์ผู้รักษาเมื่อเกิน 4 ปีเศษผ่านไปนับจากวันเริ่มให้การรักษาจึงได้ไปแจ้งความที่สถานีตำรวจในข้อหาประมาทเป็นเหตุให้ผู้อื่นได้รับอันตรายสาหัสไว้ด้วย
คำแก้ฟ้องของจำเลยจำเลยทั้งสามร่วมกันแก้ฟ้องโดยย่อดังนี้
- คำฟ้องของโจทก์เคลือบคลุม เพราะไม่ได้บรรยายฟ้องว่าใครกระทำละเมิดต่อโจทก์อย่างไร วันเวลาใด และคดีก็ขาดอายุความไปแล้ว
- การผ่าตัดคลอดมิใช่สาเหตุที่ทำให้ตาบอด แต่จอประสาทตาที่ผิดปกตินั้นเกิดจากภาวะคลอดก่อนกำหนด
- จำเลยที่หนึ่งซึ่งขึ้นกับกระทรวงสาธารณสุข ให้การว่าโจทก์มีน้ำหนักแรกคลอดเพียง 990 กรัมและได้ทำหน้าที่รักษาเต็มที่แล้วตั้งแต่ภายหลังคลอด ก็นำเข้าตู้อบ รักษาโรคแทรกซ้อนของการคลอดก่อนกำหนดอย่างสุดความสามารถ ทั้งการให้เลือด การช่วยการหายใจเมื่อตัวเขียว การรักษาภาวะติดเชื้อ อีกทั้งยังเป็นผู้ส่งโจทก์ไปพบจักษุแพทย์เพื่อตรวจคัดกรองปัญหาเรื่องจอประสาทตาของเด็กที่คลอดก่อนกำหนด ซึ่งพบได้เป็นประจำเมื่อตรวจพบและไม่สามารถรักษาได้ก็ทำการส่งต่อผู้ป่วยตามขั้นตอน
- จำเลยที่สองซึ่งขึ้นกับกระทรวงศึกษาธิการ ได้ให้การรักษาเต็มที่แล้ว การรักษาด้วยเลเซอร์หรือเครื่องจี้เย็นนั้นได้ผลเทียบเท่ากันตามเอกสารอ้างอิงที่ได้นำมาใช้เป็นพยาน
- ความรุนแรงของโรคในระดับ 3 โซน 2 360 องศาร่วมกับมีเส้นเลือดจอประสาทตาคดเคี้ยวทั้งสองข้างนั้น ถือเป็นภาวะเร่งรีบในการให้การรักษาภายใน 72 ชั่วโมง หากช้าไปตาอาจบอดได้ จึงได้อธิบายวิธีการรักษาด้วยเครื่องมือทั้งสอง รวมทั้งข้อดีข้อเสียแล้ว แม้ว่าเครื่องเลเซอร์จะเสีย แต่การใช้เครื่องจี้เย็นก็ถือเป็นมาตรฐานได้ อีกทั้งไม่ใช่ว่าผู้ป่วยทุกรายจะต้องใช้แต่เครื่องเลเซอร์
- การรอรักษาทีละข้างนั้น จะทำให้โรคลุกลามและไม่ทันต่อการรักษา จนนำไปสู่อาการตาบอดได้
- ดังนั้นคำให้การของพยานโจทก์ (ซึ่งมิใช่จักษุแพทย์ และเป็นแพทย์ที่ประกอบวิชาชีพด้วยการทำศัลยกรรมความงาม) ที่กล่าวว่าแพทย์รักษาผิดเพราะใช้เครื่องมือไม่เหมาะสม และให้การรักษาตาทั้งสองข้างพร้อมกัน จึงเป็นคำให้การที่ผิดไปจากความเป็นจริงตามมาตรฐานวิชาชีพ
- จำเลยร่วม อีกท่านซึ่งเป็น “แพทย์ประจำบ้าน” ในสาขาจักษุวิทยา อยู่ระหว่างการเรียน ไม่ได้รับผิดชอบในการรักษา
จึงขอให้ยกฟ้อง
- เมื่ออนุญาตให้กลับได้หลังการรักษานานเดือนเศษ แพทย์ก็ได้นัดตรวจตามปกติ ระหว่างการตรวจตามนัดก็พบว่าการรักษาที่ผ่านมาไม่ได้ผล หากจะต้องผ่าตัดก็ขอให้ไปรับคำแนะนำในเรื่องการรักษาต่อที่กรุงเทพ เพราะมีผู้เชี่ยวชาญกว่าอยู่
- จำเลยที่สามคือ “สำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ” มิได้มีนิติสัมพันธ์โดยตรงในการรักษาโจทก์ มิได้เป็นผู้ก่อความเสียหาย เป็นเพียงผู้จัดสรรงบประมาณแผ่นดินไปให้ จำเลยมีหน้าที่เพียงกำกับดูแลหน่วยบริการให้เป็นไปตามมาตรฐานการให้บริการสาธารณสุข หากพบว่าผู้รับบริการไม่ได้รับความสะดวกตามสมควรหรือตามสิทธิ หรือมีการเรียกเก็บค่าบริการโดยไม่มีสิทธิเรียกเก็บ จำเลยที่สามก็จะตั้งคณะกรรมการสอบสวน ดังนั้นจำเลยที่สองจึงมิได้อยู่ในฐานะตัวแทนของจำเลยที่สาม จำเลยที่สามจึงไม่ต้องร่วมรับผิดใดๆ โจทก์ไม่มีอำนาจเรียกร้องเอากับจำเลยที่สาม (ให้ไปเรียกร้องยังจำเลยทั้งสอง?)
นพ.เมธี วงศ์ศิริสุวรรณ (พ.บ., ประสาทศัลยศาสตร์, น.บ.)
(มีต่ออีก...)