This section allows you to view all posts made by this member. Note that you can only see posts made in areas you currently have access to.
Topics - story
หน้า: 1 ... 484 485 [486] 487 488 ... 535
7276
« เมื่อ: 09 กรกฎาคม 2011, 01:44:13 »
ฉบับที่ 127 วันที่ 8 กรกฎาคม 2554
เพื่อนแพทย์ที่รัก : 1. การเลือกตั้ง สส.ก็ผ่านไปเรียบร้อยแล้วครับ พวกที่ชอบเพื่อไทยก็ถูกใจ พวกที่ชอบประชาธิปัตย์ ก็ไม่ถูกใจ แต่มันก็เป็นเรื่องปรกติของประชาธิปไตยครับ 1 คน เท่ากับ 1 เสียง เสียงมากกว่าเกินครึ่งก็ชนะขาดแน่นอน ถ้าไม่ถูกใจก็รอว่า กกต.จะประกาศอย่างไร ประกาศแล้วยังชนะขาดอีกก็คงต้องรอการเลือกตั้งคราวหน้าครับ ซึ่งสำหรับเพื่อนแพทย์นั้นก็เช่นเดิมครับ อย่าเอาจริงเอาจังในเรื่องนี้เลยครับเดี๋ยวจะทะเลาะกัน ทางที่ดีถ้ามีทั้ง 2 ฝ่ายอย่าคุยกัน ถ้าทุกคนเป็นฝ่ายเดียวกันก็คุยกันให้สนุกไปเลยครับ
2. ขณะนี้ กกต.ยังไม่ได้ประกาศ แต่เท่าที่ผมมีข้อมูล ผมอยากขอแสดงความเสียใจกับแพทย์ผู้ที่ไม่ได้เป็น สส.ทุกคนครับ และขอให้มีกำลังใจในครั้งต่อ ๆ ไปด้วยครับ สำหรับเพื่อนแพทย์ที่ได้รับเลือกเป็น ส.ส. (ยังไม่ได้ประกาศโดย กกต.) เท่าที่ผมตรวจสอบได้มีดังนี้ครับ
สส.แบบบัญชีรายชื่อ : นพ.เหวง โตจิราการ พรรคเพื่อไทย, นพ.เชิดชัย ตันติศิรินทร์ พรรคเพื่อไทย, นพ.บุรณัชย์ สมุทรักษ์ พรรคประชาธิปัตย์,
สส.แบบแบ่งเขต : นพ.สมารถ ม่วงศิริ พรรคประชาธิปัตย์ กทม., นพ.เธียรชัย สุวรรณเพ็ญ พรรคประชาธิปัตย์ จ.นครสวรรค์, นพ.ชลน่าน ศรีแก้ว พรรคเพื่อไทย จ. น่าน, นพ.สุรวิทย์ คนสมบูรณ์ พรรคเพื่อไทย จ.นครพนม, นพ.วรรณรัตน์ ชาญนุกูล พรรคชาติพัฒนาเพื่อแผ่นดิน จ. นครราชสีมา, นพ.ปรีชา มุสิกุล พรรคประชาธิปัตย์ จ.กำแพงเพชร, นพ. นิยม วิวรรธนดิฐกุล พรรคเพื่อไทย จ.แพร่, นพ.บัญญัติ เจตนจันทร์ พรรคประชาธิปัตย์ จ. ระยอง, นพ. สุกิจ อัตโถปกรณ์ พรรคประชาธิปัตย์ จ. ตรัง, นพ.วรงค์ เดชกิจวิกรม พรรคประชาธิปัตย์ จ.พิษณุโลก อย่างไรก็ตามถ้าผมตกหล่น ส.ส.ที่เป็นแพทย์ท่านใดก็ต้องขอโทษอย่างมากด้วยครับ ผมขอฝากความหวังไว้กลับเพื่อน ๆ ที่เป็น ส.ส.เหล่านี้โดยฝากเพื่อนแพทย์ให้อยู่ในความดูแลด้วยนะครับ
3. เราจะมีรัฐบาลใหม่ มี ครม.ใหม่ และมี รมต.สาธารณสุข รมช.สาธารณสุข ท่านใหม่ ซึ่ง ณ.เวลาขณะนี้ยังไม่ทราบ แต่คงทราบเท่าที่ นสพ.เก็งมานะครับ ซึ่งผมคิดว่าคงจะได้เวลาแล้วครับที่ทางกระทรวงสาธารณสุขจะได้ทบทวนว่าการผลักดันร่าง พรบ.คุ้มครองผู้เสียหาย โดยที่ได้รับการต่อต้านจากแพทย์ทั่วประเทศ โดยเฉพาะอย่างยิ่งแพทย์สังกัดสาธารณสุข ที่เป็นผู้ปฏิบัติงานดูแลผู้ป่วยโรคหนักที่เป็นผู้ป่วยใน และยาก ๆ จากโรงพยาบาลศูนย์ และ โรงพยาบาลทั่วไป ซึ่งร่าง พรบ.คุ้มครองฉบับนี้ผ่านมติ ครม.โดยการนำเสนอของ รมต.สาธารณสุข จึงเป็นเรื่องโกลาหลที่พวกแพทย์ต้องมาต่อสู้เรื่องร่าง พรบ.ฉบับนี้ ตั้งกรรมการไปเยอะแยะมาก ไปพบท่าน รมต.สาธารณสุข ไปพบท่านนายกรัฐมนตรี ไปพบวิปรัฐบาล ฯลฯ ซึ่งเป็นประเด็นแห่ง ความแตกแยกเป็นอย่างสูง จนกลายเป็นว่าแพทย์กระทรวงสาธารณสุขก็ต่อสู้กับกระทรวงสาธารณสุขในเรื่อง ร่างพรบ. คุ้มครองฯ ฉบับนี้
4. ในโอกาสที่เปลี่ยน ครม.ใหม่ เปลี่ยน รมต.ใหม่ ซึ่งเป็นธรรมชาติอยู่แล้วที่ไม่ต้องการสานต่อทุก ๆ เรื่องที่อดีตรัฐบาลได้กระทำอยู่ และเป็นชนวนของการทะเลาะเบาะแว้ง ผมอยากจะเสนอกระทรวงสาธารณสุข โดยความเห็นของแพทย์ส่วนใหญ่ โดยเฉพาะแพทย์ของกระทรวงสาธารณสุข ช่วยกันฝังกลบร่าง พรบ.คุ้มครองฉบับนี้เสีย โดยไม่นำมาพูดกันอีกเลย แล้วเราก็จะลืมกันไปเลย
5. อย่างไรก็ดีถ้ารัฐบาลอยากจะช่วยเหลือผู้ป่วย ก็ขยายมาตรา ๔๑ ให้ครอบคลุมประชากรทั้ง 64 ล้านคน และให้เงินช่วยเหลืออย่างเดิม แต่ถ้ารัฐบาลคิดว่ามันน้อยเกินไป ก็จะเพิ่มเท่าไรก็ได้ ตามกำลังทรัพย์ของรัฐบาล เพราะผมมีโอกาสดูแลมาตรา ๔๑ มาจนบัดนี้ 4 พันกว่าราย 7 ปีกว่าแล้วครับ
รัก และ ห่วงใย นายแพทย์เอื้อชาติ กาญจนพิทักษ์
7277
« เมื่อ: 07 กรกฎาคม 2011, 21:58:23 »
เมื่อเวลา 09.30 น.ที่ห้องประชุมโรงแรมยะลาปาร์ควิว อ.เมือง จ.ยะลา นายแพทย์สวัสดิ์ อภิวัจนีวงศ์ สาธารณสุขจังหวัดยะลา เปิดเผยภายหลังร่วมงานมหกรรมวิชาการสาธารณสุข 54 ผลผลิต ทางวิชาการ พัฒนางานด้านสาธารณสุข เพื่อสุขภาพคนยะลาว่า ในส่วนของรัฐบาลใหม่ ที่กำลังจะมีรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข ท่านใหม่นั้น สิ่งที่ทางพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้หวังให้รัฐบาลใหม่ ให้ความสำคัญคือ มาตรการในการรักษาความปลอดภัยของบุคลากรสาธารณสุข ซึ่งปัจจุบันนี้บุคลากรทางสาธารณสุขในพื้นที่ยังต้องเดินทางไปกลับ ที่ในส่วนนี้ยังไม่ได้รับการดูแลอย่างเต็มที่เท่าที่ควร ส่วนเรื่องที่สองก็คือความมั่นคงในชีวิตของบุคลากรทางสาธารณสุข เช่นเรื่องสถานที่ศึกษาของบุตร ที่ยังขาดแคลน ทำให้บุคลากรส่วนหนึ่งต้องส่งบุตรหลานไปศึกษายังต่างจังหวัด ซึ่งเป็นปัญหาในการรับส่ง นอกจากนั้นในเรื่องค่าตอบแทนทั้งเป็นตัวเงิน และไม่ใช่ตัวเงิน เพราะปัจจุบันค่าตอบแทนของบุคลากรในพื้นที่ 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ เมื่อเทียบกับที่อื่น ค่าตอบแทนที่ได้รับก็ไม่ได้แตกต่างกัน “ สำหรับบุคลากรในพื้นที่ด้านสาธารณสุข ที่ยังเป็นที่ต้องการคือนักกายภาพบำบัด ที่ขณะนี้มีไม่เพียงพอ เนื่องจากความไม่ปลอดภัย ความทั้งค่าตอบแทน ที่ไม่ได้แตกต่างจากโรงพยาบาลเอกชน ทำให้บุคลากรส่วนนี้หันไปอยู่กับโรงพยาบาลเอกชนในพื้นที่นอก 3 จังหวัดภาคใต้มากกว่า สำหรับแพทย์และพยาบาลในพื้นที่ขณะนี้ ก็ถือว่ายังไม่มีปัญหาขาดแคลนแต่อย่างใด มีเพียงทางด้านประสาทศัลยศาสตร์ ที่ยังไม่เพียงพอ เนื่องจากพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้ แพทย์ทางด้านประสาทและศัลยศาสตร์ จะมีความสำคัญมากกว่าสาขาอื่น ”นายแพทย์สาธารณสุขจังหวัดยะลา กล่าว นายแพทย์สวัสดิ์ ยังกล่าวอีกว่า สำหรับปัญหาพยาบาล 3 พันคน ที่จบการศึกษาตามโครงการพยาบาล 3 พันคนนั้น โดยพบว่าบางส่วนยังไม่ได้มาตรฐานนั้น ขณะนี้ตนเองอยากให้พี่น้องประชาชนมีความมั่นใจ เนื่องจากในช่วงแรกๆที่เพิ่งจบมานั้น ก็คงเป็นเรื่องปกติ ที่หลายคนยังไม่มีความชำนาญ แต่ในขณะนี้ได้มีการจัดพี่เลี้ยงประกบการทำงาน 1 ต่อ1 เพื่อเสริมสร้างประสบการณ์ทำงานให้พยาบาลกลุ่มนี้ ซึ่งเชื่อว่าภายใน 6 เดือนหลังจากนี้ กลุ่มพยาบาล 3 พันคน ก็จะมีประสิทธิภาพ และมาตรฐานเท่าเทียมกับพยาบาลรุ่นพี่ ก็อยากให้พี่น้องประชาชนในพื้นที่มีความมั่นใจในมาตรฐานได้
เนชั่นทันข่าว 7 กค. 2554
7278
« เมื่อ: 07 กรกฎาคม 2011, 21:55:39 »
กรมสุขภาพจิต เผย ผลสำรวจระดับไอคิวนักเรียนไทย 3 สังกัด “สาธิต-สพฐ.-คกก.ส่งเสริมการศึกษาเอกชน” จำนวนกว่า 7.2 หมื่นคน ทึ่ง! เกือบร้อยละ 50 มีไอคิวต่ำกว่า 100 ขณะกลุ่มสติปัญญาบกพร่องไอคิวต่ำกว่า 70 สูงถึงร้อยละ 6.5 เมื่อเทียบกับมาตรฐานสากลคือ ขณะข้อมูลรายภาคพบ กทม.ไอคิวสูงสุด ขณะอีสานยังน่าห่วงไอคิวเฉลี่ยแค่ 95.99 ย้ำยังตามหลังสิงค์โปร์-ฮ่องกง-เกาหลี-ญี่ปุ่น เร่งส่งเสริมสร้างโภชนาการ-พัฒนาการเรียนรู้ วันนี้ (7 ก.ค.) นพ.อภิชัย มงคล อธิบดีกรมสุขภาพจิต กระทรวงสาธารณสุข (สธ.) เป็นประธานในการแถลงข่าวผลสำรวจสถานการณ์ระดับสติปัญญาเด็กนักเรียนไทยร่วมกับทีมสำรวจสถิติระดับไอคิว (IQ) ครั้งใหญ่ปี 2554 ในกลุ่มตัวอย่างจำนวนกว่า 7,2780 รายใน 3 สังกัด คือ สังกัดสำนักงานคณะกรรมการอุดมศึกษา (สาธิต) สังกัดสำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมการศึกษาเอกชน สังกัดกรุงเทพมหานคร และสังกัดสำนักงานคณะกรรมการศึกษาขั้นพื้นฐาน (สพฐ.) เพื่อรณรงค์ให้ทุกฝ่ายมีส่วนในการสนับสนุนการสร้างโภชนาการที่มีการเพิ่มโอดีนเพื่อเพิ่มระดับไอคิว และพัฒนาการทางการเรียนรู้ให้แก่เด็กนักเรียนไทย ให้เท่าทันประเทศอื่นๆ ในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้
โดยนายณรงค์ฤทธิ์ อัศวเรืองพิภพ อาจารย์ประจำวิชาสถิติ คณะพาณิชยศาสตร์และการบัญชี จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย กล่าวว่า จากการสำรวจสำรวจในครั้งนี้ พบว่า ค่าเฉลี่ยระดับไอคิวของเด็กนักเรียนไทยในภาพรวมระดับประเทศอยู่ที่ 98.59 จากค่าเฉลี่ยปกติอยู่ที่ 90 - 109 โดยผลนี้ถือว่าเป็นระดับสติปัญญาที่อยู่ในเกณฑ์ปกติแต่ค่อนไปทางต่ำ ทั้งนี้ หากแยกเป็นรายภาคเรียงลำดับจากมากไปน้อย ได้แก่ กรุงเทพมหานครมีไอคิวเฉลี่ย 104.5 ภาคกลางเฉลี่ย 101.29 ภาคเหนือเฉลี่ย 100.11 ภาคใต้ไอคิวเฉลี่ย 96.85 และภาคตะวันออกเฉียงเหนือเฉลี่ย 95.99 นายณรงค์ฤทธิ์ กล่าวด้วยว่า เมื่อดูในภาพรวมของประเทศ พบว่า มีเด็กเกือบครึ่งหนึ่งหรือร้อยละ 48.5 มีปัญหาระดับสติปัญญาอยู่ในเกณฑ์ต่ำกว่า 100 ซึ่งเป็นเกณฑ์ระดับสากลที่จะต้องพัฒนาให้ได้ รวมทั้งพบว่ามีเด็กกลุ่มที่มีปัญหาระดับสติปัญญาบกพร่อง คือไอคิวต่ำกว่า 70 อยู่ถึงร้อยละ 6.5 เมื่อเทียบกับมาตรฐานสากล คือ ไม่ควรเกินร้อยละ 2 “สำหรับ 10 อันดับจังหวัดที่มีนักเรียนซึ่งมีไอคิว เฉลี่ยสูงกว่าปกติ ได้แก่ 1.นนทบุรีอยู่ที่ 108.91 2.ระยองเฉลี่ย 107.52 3.ลำปางเฉลี่ย 106.62 4.กรุงเทพฯ เฉลี่ย104.50 5.ชลบุรีเฉลี่ย 103.92 6.สมุทรสาครเฉลี่ย 103.73 7.ตราดเฉลี่ย 103.51 8.ปทุมธานีเฉลี่ย103.34 9.พะเยาเฉลี่ย 103.32 และ 10.ประจวบคีรีขันธ์ เฉลี่ย 103.17” นายณรงค์ฤทธิ์ กล่าว นายณรงค์ฤทธิ์ กล่าวด้วยว่า สำหรับ10 อันดับจังหวัดที่มีนักเรียนไอคิวเฉลี่ยต่ำกว่าปกติ ได้แก่ 1.นราธิวาส เฉลี่ยที่ 88.07 2.ปัตตานีเฉลี่ยที่ 91.06 3.ร้อยเอ็ดเฉลี่ยอยู่ที่ 91.65 4.อุบลราชธานี เฉลี่ยอยู่ที่ 93.51 5.สกลนคร เฉลี่ยที่ 93.74 6.กาฬสินธุ์ เฉลี่ยที่ 93.78 7.กระบี่ เฉลี่ยที่ 93.85 8.หนองบัวลำภู เฉลี่ยที่ 94.06 9.กำแพงเพชรเฉลี่ยที่ 95.22 และ 10.มหาสารคามเฉลี่ยที่ 95.28 โดยยังพบว่า เด็กนักเรียนไทยเพศหญิงมีไอคิวเฉลี่ยสูงกว่านักเรียนชาย และนักเรียนในเขตเมืองสูงกว่านักเรียนในเขตอื่นๆ ส่วนนักเรียนสังกัดสำนักงานคณะกรรมการอุดมศึกษา (สาธิต) มีไอคิวสูงกว่านักเรียนสังกัดสำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมการศึกษาเอกชน สังกัดกรุงเทพมหานคร และสังกัดสำนักงานคณะกรรมการศึกษาขั้นพื้นฐาน (สพฐ.) โดยมีไอคิว 113.70, 106.35, 101.96 และ 97.59 ตามลำดับ ด้านนพ.อภิชัย มงคล อธิบดีกรมสุขภาพจิตกล่าวว่า การวิจัยครั้งนี้เป็นการสำรวจทั่วประเทศเป็นครั้งแรกที่ทำการสำรวจกลุ่มตัวอย่างขนาดใหญ่ที่เป็นตัวแทนในระดับประเทศ ระดับภาค และระดับจังหวัด สำรวจเด็กนักเรียน 6-15 ปี ที่กำลังศึกษาอยู่ในระดับประถมศึกษาปีที่ 1-6 และมัธยมศึกษาปีที่ 1-3 ในโรงเรียนสังกัดสำนักงานคณะกรรมการศึกษาขั้นพื้นฐาน (สพฐ.) สำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมการศึกษาเอกชน สำนักงานคณะกรรมการอุดมศึกษา (สาธิตและราชภัฏ) และสังกัดกรุงเทพมหานคร ทั้ง 76 จังหวัดทั่วประเทศ จากการสุ่มตัวอย่าง 7-19 โรงเรียนต่อจังหวัด จำนวนนักเรียนประมาณ 851 - 1,163 คน ต่อจังหวัดซึ่งสามารถเป็นตัวแทนภาพในระดับจังหวัดได้ โดยมีค่าความคลาดเคลื่อนในระดับจังหวัดไม่เกินร้อยละ 2.8 และเป็นตัวแทนภาพในระดับประเทศ ที่มีค่าความคลาดเคลื่อนจากความเป็นจริงไม่เกินร้อยละ 0.33 “โดยระดับไอคิวของเด็กนักเรียนไทยครั้งนี้ ยังถือว่าต่ำกว่าประเทศในแถบภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ อย่างสิงค์โปร์ ญี่ปุ่น ฮ่องกง เกาหลี และต่ำกว่าประเทศเพื่อนบ้านอย่างมาเลเซียเล็กน้อย ดังนั้น จึงเป็นสัญญาณว่าประเทศไทยควรมีการเร่งกระตุ้นให้ทุกฝ่ายเห็นความสำคัญของการพัฒนาไอคิว ไม่ว่าจะเป็นเรื่องของการรณรงค์ให้มีการเพิ่มสารไอโอดีนในอาหารที่จำเป็น เพื่อสร้างโภชนาการที่ดีซึ่งขณะนี้ สธ.เร่งดำเนินการอยู่ในส่วนของการแจกไอโอดีน และการเติมสารในเครื่องปรุงอาหาร ซึ่งในอนาคตคงต้องประสานงานกับหน่วยงานอื่น อาทิ กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ กระทรวงอุตสาหกรรม เพื่อขอความร่วมมือในการออกกฎหมายที่ชัดเจน เพื่อควบคุมให้ผู้ประกอบการมีการเติมสารไอโอดีนลงในผลิตภัณฑ์อาหารสัตว์ และอาหารต่าง รวมทั้งควบคุมอุตสาหกรรมเกลือและวัตถุปรุงรสอื่นๆ ให้มีส่วนผสมของไอโอดีนในปริมาณที่เหมาะสมด้วย” นพ.อภิชัย กล่าว อธิบดีกรมสุขภาพจิต กล่าวต่อว่า นอกจากการสร้างโภชนาการที่ดีแล้วการพัฒนาระองค์ความรู้ก็เป็นเรื่องจำเป็น เช่น ผู้ปกครองควรที่จะฝึกให้เด็กมีการอ่านเสริมสร้างจินตนาการ เรียนรู้จังหวะดนตรี และเล่นกีฬาออกกำลังกาย ช่วยส่งเสริมความฉลาดทางสติปัญญา หรือควรมีการกระตุ้นการเรียนรู้ในวิธีการมีปฏิสัมพันธ์กับธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมก็ล้วนมีผลทั้งสิ้น
ASTVผู้จัดการออนไลน์ 7 กรกฎาคม 2554
7279
« เมื่อ: 07 กรกฎาคม 2011, 21:53:52 »
ประธาน สผพท.วอน รัฐบาลเพื่อไทย ปรับแก้บทบาท สปสช.ติง ระบบ 30 บาท หากนำกลับมาใช้เป็นปัญหาในการบริการสาธารณสุข แนะบริหารนโยบายด้านสุขภาพเน้นการป้องกันดูแลตนเองเป็นหลัก พญ.เชิดชู อริยศรีวัฒนา ประธานสหพันธ์ผู้ปฏิบัติงานด้านการแพทย์ และสาธารณสุขแห่งประเทศไทย (สผพท.) กล่าวว่า เนื่องจาก ประเทศไทยจะมีการจัดตั้งรัฐบาลใหม่ และมีการกล่าวถึงกรณีที่อาจจะมีการนำ 30 บาทกลับมาใช้ ซึ่งเป็นปัญหาในระบบการบริหารจัดการด้านการเงินของโรงพยาบาลของรัฐบาล ที่ให้บริการสาธารณะด้านสาธารณสุขแก่ประชาชนทั่วไป ซึ่งยังมีปัญหาการขาดแคลนงบประมาณของโรงพยาบาลที่ดูแลรักษาประชาชน รัฐบาลใหม่จึงควรแก้ไขปัญหาการขาดแคลนงบประมาณ ต้องจัดการให้สำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ ทำหน้าที่ “ผู้ซื้อบริการจริงๆ” ไม่ใช่เอาเงินไปบริหารจัดการหรือทำโครงการต่างๆ หรือจัดซื้อจัดจ้างเอง ซึ่งผิดหลักการตาม พ.ร.บ.หลักประกันสุขภาพแห่งชาติ (สปสช.) พญ.เชิดชู กล่าวด้วยว่า ดังนั้น จึงมีข้อเสนอให้รัฐบาลใหม่ปรับปรุงแก้ไขบทบาทของสำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ (สปสช.) ให้ทำหน้าที่ ผู้ “ซื้อบริการ” จริงๆ สปสช.ต้องจ่ายเงินให้โรงพยาบาล เต็มตามที่ได้รับงบประมาณเหมาจ่ายรายหัวจากรัฐบาล และเห็นควรให้แยกเงินเดือน และค่าตอบแทนบุคลากรออกจากงบประมาณเหมาจ่ายรายหัว ในการรักษาผู้ป่วย เพื่อจะได้มีเงินเพียงพอในการดูแลรักษาประชาชน การขาดแคลนงบประมาณของโรงพยาบาล ทำให้ประชาชนไม่ได้รับความสะดวกในการรักษาความเจ็บป่วย ผู้ป่วยไม่มีเตียงนอนพักรักษาตัวอย่างพอเพียง ขาดยาที่เหมาะสม เสียเวลารอนานในการไปโรงพยาบาล เนื่องจากประชาชนเจ็บป่วยมากขึ้น ไปโรงพยาบาลมากขึ้น ทำให้บุคลากรทางการแพทย์มีเวลาดูแลผู้ป่วยแต่ละคนน้อยลง เพราะต้องรีบเร่งให้บริการผู้ป่วยเป็นจำนวนมากเกินกำลังเจ้าหน้าที่ เป็นสาเหตุให้ประชาชนเสียเวลารอนาน และเสี่ยงต่ออันตรายจากการทำงานอย่างรีบเร่งของบุคลากร “ รัฐบาลใหม่ควรดำเนินการในการส่งเสริมให้ประชาชนมีความสามารถในการ “สร้างสุขภาพ ป้องกันโรค และสามารถดูแลรักษาสุขภาพจากการเจ็บป่วยเบื้องต้นได้เอง” เพื่อลดภาระ การพึ่งพิงโรงพยาบาล ซึ่งจะช่วยให้บุคลากรทางการแพทย์ได้ทำการตรวจรักษาผู้ป่วยที่ไปโรงพยาบาลได้ อย่างมีมาตรฐาน ประชาชนก็จะได้รับความสะดวกและปลอดภัยในการไปรับบริการทางการแพทย์ที่โรง พยาบาลของรัฐบาล” พญ.เชิดชู กล่าวและว่า ภารกิจของรัฐบาลใหม่ในการแก้ไขปัญหาของประชาชนให้ลุล่วงได้ จำเป็นต้องมีการพัฒนาปรับเปลี่ยนระบบการบริหารราชการกระทรวงสาธารณสุข และผู้บริหารระดับสูงของกระทรวงสาธารณสุข ให้สามารถทำงานเพื่อตอบสนองความต้องการของประชาชนและรัฐบาล ที่ต้องการมุ่งเน้นการแก้ปัญหาความเดือดร้อนของประชาชนด้านสุขภาพให้มีประสิทธิภาพ
ASTVผู้จัดการออนไลน์ 6 กรกฎาคม 2554
7280
« เมื่อ: 06 กรกฎาคม 2011, 23:41:42 »
บทความพิเศษ: เบื้องลึกที่ควรรู้ แนวปฏิบัติแพทยสภา มาตรา 12
จากกรณีที่คณะอนุกรรมการบริหาร แพทยสภา ได้ออกแนวทางปฏิบัติของแพทย์ หลังมีการประกาศใช้กฎกระทรวงว่าด้วยการกำหนดหลักเกณฑ์และวิธีการดำเนินการตา มหนังสือแสดงเจตนาไม่ประสงค์จะรับบริการสาธารณสุขที่เป็นไปเพียงเพื่อยืดการตายในวาระสุดท้ายของชีวิต หรือเพื่อยุติการทรมานจากการเจ็บป่วย พ.ศ.2553 ที่อาศัยอำนาจตามมาตรา 12 แห่งพระราชบัญญัติสุขภาพแห่งชาติ พ.ศ.2550 โดยมีผลบังคับใช้อย่างสมบูรณ์ตั้งแต่ที่ 20 พฤษภาคม พ.ศ.2554 ที่ผ่านมา ผู้เขียนในฐานะหนึ่งในผู้ร่วมจัดทำกฎหมายดังกล่าว ขอเรียนให้ทราบว่า ประเด็นกฎหมายที่เป็นข้อกังวลของแพทยสภาทั้ง 6 นั้น ไม่ว่าจะเป็น 1.แพทย์ผู้เกี่ยวข้องต้องแน่ใจว่าหนังสือแสดงเจตนาฯ กระทำโดยผู้ป่วยขณะมีสติสัมปชัญญะ 2.หนังสือแสดงเจตนาฯ ควรได้รับการพิสูจน์ว่ากระทำโดยผู้ป่วยจริง 3.ในกรณีที่ยังไม่สามารถพิสูจน์ "ความจริงแท้" ของหนังสือแสดงเจตนาฯ ให้รักษาผู้ป่วยตามมาตรฐานวิชาชีพ 4.การวินิจฉัยวาระสุดท้ายของชีวิต ให้อยู่ในดุลยพินิจของแพทย์ผู้เกี่ยวข้องในภาวะวิสัยและพฤติการณ์ในขณะนั้น 5.ไม่แนะนำให้มีการถอดถอนการรักษาที่ได้ดำเนินการอยู่ก่อนแล้ว และ 6.กรณีมีความขัดแย้งกับญาติผู้ป่วย เรื่อง "ความจริงแท้" ของหนังสือแสดงเจตนาฯ แนะนำให้ญาติผู้ป่วยใช้สิทธิทางศาล ได้ผ่านการพูดคุย ผ่านการประชุมของนักกฎหมายกับแพทย์ จนเกิดความเข้าใจร่วมกัน ซึ่งไม่มีประเด็นที่ต้องกังวลว่าจะถูกฟ้องร้องจากการปฏิบัติตามกฎหมายดังกล่าว อย่างไรก็ตาม เมื่อมีข้อสงสัยจากคนบางกลุ่ม จึงขอนำประเด็นข้อสงสัยเหล่านั้นมาชี้แจงเพื่อความเข้าใจที่ถูกต้องอีกครั้ง หนึ่ง ดังนี้ 1.สิทธิการทำหนังสือแสดงเจตนาไม่ประสงค์จะรับบริการ สาธารณสุข ตามที่บัญญัติไว้ในมาตรา 12 แห่งพระราชบัญญัติสุขภาพแห่งชาติ พ.ศ.2550 เป็นการฆ่าตัวตาย ใช่หรือไม่ สิทธิการทำหนังสือแสดงเจตนาไม่ประสงค์จะรับบริการสาธารณสุข (Living will) มิใช่การให้สิทธิแก่ผู้ใดที่จะฆ่าตัวตาย เพราะกฎหมายระบุไว้ชัดเจนว่า เป็นกรณีการปฏิเสธการรับบริการในวาระสุดท้ายของชีวิตเท่านั้น เพราะเมื่อถึงเวลาที่ชีวิตเดินทางมาถึงจุดที่ไม่อาจรักษาโรคให้หายได้และจะต ้องจากไป ก็ขอจากไปตามวิธีธรรมชาติ อย่าเหนี่ยวรั้งหรือพยายามที่จะฝืนความตายด้วยวิธีการต่างๆ เช่น การใส่ท่อช่วยหายใจ การเจาะคอ การปั๊มหัวใจ เป็นต้น คำสั่งเช่นนี้ ในต่างประเทศเรียกว่า Living will คือ เจตนาที่แสดงไว้เมื่อครั้งชีวิตยังปกติ เพราะหากว่าชีวิตอยู่ในวาระสุดท้าย ย่อมไม่สามารถแสดงเจตนาได้ 2.การทำ Living will เป็น Mercy killing หรือการการุณยฆาต ใช่หรือไม่ คำตอบทางกฎหมายคือ ไม่ใช่ การุณยฆาตเป็นการเร่งการตายที่เรียกว่า Active Euthanasia ซึ่งตามกฎหมายทำไม่ได้ แต่การทำ Living will เป็นเรื่องที่ผู้ป่วยขอตายตามวิธีธรรมชาติ เป็นกรณีที่เรียกว่า Passive Euthanasia ซึ่งในแง่กฎหมาย จริยธรรม ถือว่ากระทำได้ตามความประสงค์ของผู้ป่วย 3.การทำตามความประสงค์ดังกล่าว แพทย์จะถูกกล่าวหาว่าทอดทิ้งผู้ป่วยหรืองดเว้นการปฏิบัติหน้าที่หรือไม่ ในประเด็นดังกล่าว หากไม่เข้าใจในหลักกฎหมาย และไม่เข้าใจในแนวปฏิบัติที่ถูกต้องของแพทย์ ก็เป็นไปได้ที่เกิดความกังวลข้างต้น และในการประกอบวิชาชีพเวชกรรมนั้น แม้ผู้ป่วยจะอยู่ในวาระสุดท้ายที่ไม่อาจรักษาให้หายได้และจะต้องตายจากไป ก็ยังต้องได้รับการดูแลอยู่ คือมิได้หมายความว่าผู้ป่วยจะถูกทอดทิ้ง แพทย์ยังคงดูแลเหมือนเดิมหรืออาจดูแลมากกว่าเดิมอีก โดยผ่านการรักษาแบบประคับประคอง (Palliative care) เพื่อบรรเทาอาการที่ทุกข์ทรมานหรือระงับปวดแก่ผู้ป่วย เพื่อให้เขาจากไปอย่างสงบ เพียงแต่ไม่ใช้เครื่องมือต่างๆ มายืดความตายเท่านั้น เพราะฉะนั้นไม่มีประเด็นเลยที่จะกล่าวหาว่า แพทย์งดเว้นการปฏิบัติหน้าที่ เพราะทั้งหมดเป็นความต้องการของผู้ป่วยเอง
4.ประเด็นที่เป็นข้อสงสัยตามมาก็คือ อย่างไรที่เรียกว่า "วาระสุดท้ายของชีวิต"
ในเรื่องนี้กฎหมายนิยามได้เพียงกรอบโดยทั่วไป แต่วาระสุดท้ายของชีวิตในแต่ละโรคแต่ละกรณี แพทย์จะวินิจฉัยตามหลักวิชา ซึ่งเมื่อผู้ป่วยไม่รู้สึกตัว แพทย์ก็จะสื่อความเข้าใจกับญาติ หากญาติเห็นด้วยกับข้อวินิฉัยของแพทย์ ก็สามารถทำตามรายละเอียดใน Living will ได้ แต่หากญาติไม่เห็นด้วยและอยากเหนี่ยวรั้งชีวิตต่อไปอีกระยะหนึ่ง แพทย์สามารถปฏิบัติได้ 2 ทาง กล่าวคือ หากแพทย์เห็นความจำเป็นและเหตุผลของญาติ ก็สามารถทำตามที่ญาติต้องการได้ หรือแพทย์อาจทำตามคำสั่งใน Living will และหากแพทย์ทำตามคำสั่งใน Living will ในมาตรา 12 วรรคสาม ก็ได้บัญญัติไว้แล้วว่า การกระทำนั้นไม่เป็นความผิด "ส่วนกรณีที่ผู้ป่วยได้เขียน Living will ไว้แล้วว่า ไม่ต้องการให้เจาะคอหรือทำอะไรในวาระสุดท้ายของชีวิต และญาติก็ไม่ได้ขอร้องให้ทำอะไรต่อ แต่ทางสถานพยาบาลฝืนทำ ซึ่งอาจเป็นไปได้ในโรงพยาบาลเอกชนประเภทที่มุ่งค้ากำไรจากความเจ็บป่วยของเพื่อนมนุษย์ การกระทำเช่นนี้แหละที่จะมีปัญหากฎหมายตามมา การทำความเข้าใจกับญาติโดยการพูดความจริง คือจริยธรรมแห่งวิชาชีพที่พึงปฏิบัติด้วยวิธีการที่เหมาะสม" 5.แพทย์มีหน้าที่ต้องไปตรวจสอบหรือไม่ว่า Living will หรือหนังสือแสดงเจตนาไม่ประสงค์จะรับบริการสาธารณสุขที่เป็นไปเพียงเพื่อยืด การตายในวาระสุดท้ายของชีวิต หรือเพื่อยุติการทรมานจากการเจ็บป่วย เป็นของจริงหรือของปลอม การตั้งข้อสังเกตในประเด็นดังกล่าวของแพทยสภา เหมือนทำให้เรื่องที่ไม่เป็นปัญหากลายเป็นปัญหา ยิ่งแพทยสภาได้ออกแนวทางไว้ว่า "ในกรณีที่มีความขัดแย้งกับญาติผู้ป่วย เกี่ยวกับเรื่อง "ความแท้จริง" ของหนังสือแสดงเจตนาฯ แนะนำให้ญาติผู้ป่วยใช้สิทธิทางศาล" การออกแนวปฏิบัติเช่นนี้ เป็นการสร้างภาระและความเสี่ยงแก่แพทย์มากขึ้น เพราะการระบุว่าแพทย์ผู้เกี่ยวข้องต้องแน่ใจว่าหนังสือกระทำโดยผู้ป่วยขณะมี สติสัมปชัญญะนั้น ทำให้แพทย์ต้องไปตรวจสอบความถูกต้องของหนังสือแสดงเจตนา นับว่าเป็นการดึงเรื่องทางกฎหมายมาทำความยุ่งยากในเวชปฏิบัติ ทั้งที่ความสุจริตใจของแพทย์เป็นเรื่องที่อธิบายเรื่องต่างๆ ได้อยู่แล้ว และการที่แนะนำให้ญาติผู้ป่วยไปใช้สิทธิทางศาลในการฟ้องร้อง ถือว่าเป็นแนวทางที่น่ากลัวมาก กล่าวคือ เมื่อมีปัญหาแทนที่จะพูดคุยกัน กลับแนะนำให้ไปฟ้องศาลแทน กลายเป็นคู่กรณีกันไป ซึ่งจะทำให้เป็นปัญหามากขึ้น "ต้องบอกสังคมให้รับรู้ว่าแนวปฏิบัติ 6 ข้อของแพทยสภา ก็ไม่ได้ทำเป็นประกาศของแพทยสภาอย่างแท้จริง เป็นการออกแนวทางลอยๆ หากแพทย์ปฏิบัติตามและเกิดปัญหาตามมา ซึ่งแนวทางดังกล่าวจะไม่สามารถคุ้มครองผู้ปฏิบัติตามได้เลย" จึงเป็นเรื่องน่าสงสัยมากว่าแนวทางปฏิบัติเช่นนี้ออกมาได้อย่างไร เพื่อคนกลุ่มใด แนวทางดังกล่าวนอกจากออกมาโดยไม่เข้าใจในหลักกฎหมายแล้ว ยังเป็นการนำแนวคิดทางกฎหมายที่คลาดเคลื่อน ไปทำให้เกิดปัญหาในเวชปฏิบัติและทำลายจริยธรรมที่ครูบาอาจารย์ทางการแพทย์ได้สอนไว้ถึงบทบาทของแพทย์ในแนวทางแห่งวิชาชีพว่า ให้สร้างความสัมพันธ์ที่ดีกับผู้ป่วยและญาติ เมื่อมีข้อสงสัยก็จะต้องพูดคุยกัน มิใช่แนะนำให้ญาติไปใช้สิทธิทางศาล.
ศาสตราจารย์แสวง บุญเฉลิมวิภาส ที่ปรึกษาศูนย์กฎหมายสุขภาพและจริยศาสตร์ คณะนิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ หนังสือพิมพ์ไทยโพสต์ -- เสาร์ที่ 2 กรกฎาคม 2554
7281
« เมื่อ: 06 กรกฎาคม 2011, 23:27:30 »
สธ.สั่ง รพ.ทั่วประเทศประเมินผลจำนวนผู้ติดเชื้อ เสียชีวิต และค่าใช้จ่ายที่ต้องเสียไปปีละกว่า 4 พันล้านบาท จากสาเหตุการติดเชื้อใน รพ. กลับมาพิจารณาใน 1 เดือน เพื่อวางแผนป้องกันและแก้ไข ตั้งเป้าทั่วประเทศลดการติดเชื้อแค่ 1% แม้ทำได้ยาก นพ.ไพจิตร์ วราชิต ปลัดกระทรวงสาธารณสุข (สธ.) ให้สัมภาษณ์กับสื่อมวลชนถึงสถานการณ์และการป้องกัน ควบคุมการติดเชื้อใน รพ. ว่า จากการประชุมหารือร่วมกับคณะกรรมการป้องกันควบคุมการติดเชื้อใน รพ. พบว่าจากการติดตามสถานการณ์ในช่วงระยะ 8 ปีที่ผ่านมา พบการติดเชื้อใน รพ.ทั่วประเทศคิดเป็นร้อยละ 5 ขณะที่ทั่วโลกก็พบการติดเชื้อใน รพ. คิดเป็นร้อยละ 5 เช่นกัน โดยเฉพาะในห้องผ่าตัด แม้เชื้อที่พบใน รพ.ส่วนมากจะเป็นเชื้อที่ไม่อันตราย แต่มีผลกับผู้ที่มีร่างกายอ่อนแอ ปลัด สธ. กล่าวต่อว่า ทั้งนี้ ตนได้สั่งการให้คณะกรรมการป้องกันควบคุมการติดเชื้อใน รพ. ที่เป็นศูนย์กลางในการติดตามปัญหาดังกล่าวอยู่แล้ว รวบรวมสถิติการติดเชื้อใน รพ.ในปัจจุบันคิดเป็นร้อยละเท่าใด มีเสียชีวิตจำนวนกี่ราย และค่าใช้จ่ายเรื่องการใช้ยาต้านจุลชีพในกรณีดังกล่าวคิดเป็นเท่าไหร่ ภายในระยะเวลา 1 เดือน ก่อนจะนำกลับมาประมวลผลและพิจารณาหาแนวทางป้องกันที่สอดคล้องกับสถานการณ์ในปัจจุบันมากที่สุด นพ.ไพจิตร์กล่าวต่อว่า สมมติถ้าผู้ป่วยในทั่วประเทศ 10 ล้านคน มีการติดเชื้อร้อยละ 5 เท่ากับผู้ป่วยติดเชื้อเป็นจำนวน 5 แสนรายต่อปี และใน 5 แสนราย อาจมีผู้เสียชีวิตถึงร้อยละ 10 ดังนั้นประเด็นคือว่า เมื่อทำไปแล้วต้องมาทบทวนหาดูว่า 1.ข้อมูลที่ผ่านมาข้อเท็จจริงมีผู้ติดเชื้อใน รพ.จริงๆ คิดเป็นร้อยละเท่าใด ป่วยกี่ราย ติดเชื้อใน รพ.เสียชีวิตกี่ราย เสียค่าใช้จ่ายเรื่องการใช้ยาต้านจุลชีพประมาณการปีละ 4 พันล้าน ข้อเท็จจริงเท่าไหร่กันแน่ นอกจากนี้ยังมีค่าใช้จ่ายอื่นๆ ตามมาด้วยหากว่าผู้ป่วยนอนใน รพ.เป็นเวลานาน ซึ่งโดยมาตรฐานแล้ว รพ.ศูนย์ไม่เกิน 5 วัน รพ.ทั่วไปไม่เกิน 3 วัน รพ.ชุมชนไม่ควรเกิน 2 วัน เพราะฉะนั้นถ้าใครนอน รพ.เฉลี่ยเกิน 5 วัน แสดงว่ามีปัญหาเชิงประสิทธิภาพ การติดเชื้อ การรักษา นี่เป็นวิธีประเมินคร่าวๆ เสร็จแล้วก็จะบอกว่าถ้านอน รพ.มาก ค่าใช้จ่ายก็จะสูง "วิธีการป้องกันที่ง่ายๆ คือ เวลาที่ญาติมาเยี่ยมผู้ป่วย โดยเฉพาะที่ห้องผ่าตัดควรล้างมือให้สะอาด สวมถุงมือ และใช้ผ้าปิดจมูกเพื่อป้องกันการแพร่เชื้อโรคสู่ผู้ป่วย อีกทั้งในส่วนของ รพ.จะต้องหมั่นทำความสะอาดพื้น เตียงผู้ป่วย และอุปกรณ์ต่างๆ โดยใช้น้ำยาฆ่าเชื้อ โดยส่วนตนแล้วไม่อยากให้มีการติดเชื้อใน รพ.เลย ซึ่งความจริงแล้วมีความเป็นไปได้ยากมาก จึงตั้งความหวังว่าจะมีการติดเชื้อใน รพ.เพียง 1% แต่ก็ยังถือว่ามีความเป็นไปได้ยากอีกเช่นกัน".
ไทยโพสต์ 6 กรกฎาคม 2554
7282
« เมื่อ: 05 กรกฎาคม 2011, 20:52:02 »
กรมวิทยาศาสตร์การแพทย์ เผยผลการตรวจ อาหารนำเข้า และเครื่องดื่มที่มีพืช ผัก ผลไม้ผสม ระหว่างเดือน ม.ค.53 - ม.ค.54 จำนวน 426 ตัวอย่าง พบอะฟลาท็อกซินเกินมาตรฐาน อาจก่อให้เกิดโรคมะเร็ง นพ.นิพนธ์ โพธิ์พัฒนชัย รองอธิบดีกรมวิทยาศาสตร์การแพทย์ เปิดเผยว่า กรมวิทยาศาสตร์การแพทย์ โดย สำนักคุณภาพและความปลอดภัยอาหาร (สคอ.) ได้ตรวจวิเคราะห์สารพิษจากเชื้อราอะฟลาท็อกซินในตัวอย่างอาหารนำเข้า ที่เก็บและส่งตรวจ โดยกองงานด่านอาหารและยา สำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา ระหว่างเดือนมกราคม 2553 ถึงเดือนมกราคม 2554 จำนวน 426 ตัวอย่าง ได้แก่ ถั่วลิสง เมล็ดเกาลัด ถั่วขาว เมล็ดมะม่วงหิมพานต์ เมล็ดถั่วลันเตา ถั่วเขียว ถั่วเหลือง ถั่วแดง อัลมอนด์ ถั่วมาคาเดเมีย เมล็ดแตงโม ถั่วพิตาชิโอ ถั่วปากอ้า เมล็ดงา เมล็ดข้าวโพดดิบ เมล็ดข้าวโพดสำหรับทำ ป๊อปคอร์น ข้าวหอมมะลิ ข้าวไรย์ ข้าวบาร์เลย์ พริกแห้ง พริกป่น อบเชย พริกไทย เมล็ดผักชี โป๊ยกั๊ก กระเทียม ชอกโกแลต ขนมแครกเกอร์ แป้งถั่วเหลือง อาหารเช้าซีเรียล เครื่องดื่มที่มีพืช ผัก ผลไม้ผสม และชา ตรวจพบถั่วลิสงมีอะฟลาท็อกซินปนเปื้อนเกินเกณฑ์มาตรฐาน ตามประกาศกระทรวงสาธารณสุขที่กำหนดให้มีปนเปื้อนได้ไม่เกิน 20 ไมโครกรัมต่อกิโลกรัม จำนวน 4 ตัวอย่าง คิดเป็นร้อยละ 0.9 ของตัวอย่างที่วิเคราะห์ทั้งหมด และคิดเป็นร้อยละ 6.7 ของตัวอย่างถั่วลิสงที่ส่งตรวจทั้งหมด 60 ตัวอย่าง รองอธิบดีกรมวิทยาศาสตร์การแพทย์กล่าวต่ออีกว่า เนื่องจากสภาพภูมิอากาศ ของประเทศไทยเป็นแบบร้อนชื้น ทำให้มีโอกาสที่จะเกิดเชื้อราได้ง่าย อีกทั้งสารพิษอะฟลาท็อกซินไม่สามารถทำลายได้ด้วยความร้อนหรือการชะล้าง ดังนั้น ผู้บริโภคต้องเลือกซื้ออาหารโดยการสังเกตว่าไม่มีเชื้อรา รอยกัดแทะ ของแมลงหรือสัตว์ ในส่วนการเก็บรักษา ก็เป็นสิ่งสำคัญ ควรเก็บอาหารในที่มิดชิด ไม่มีความชื้นสูง ไม่ให้เกิดไอน้ำในบรรจุภัณฑ์ ก็จะช่วยป้องกันการเกิดเชื้อรา ซึ่งเป็นสาเหตุให้เกิดสารพิษจากเชื้อราอะฟลาท็อกซินได้ นายมงคล เจนจิตติกุล ผู้อำนวยการสำนักคุณภาพและความปลอดภัยอาหาร กรมวิทยาศาสตร์การแพทย์ กล่าวเพิ่มเติมว่า อะฟลาท็อกซิน (aflatoxin) เป็นสารพิษที่เกิดจาก เชื้อราสายพันธุ์แอสเปอร์จิลลัส ฟลาวัช (Aspergillus flavus) และแอสเปอร์จิลลัส พาราซิติคัส (Aspergillus paraciticus) เชื้อราสายพันธุ์นี้เจริญเติบโตได้ดีในภูมิอากาศแบบร้อนชื้น ในสภาวะที่เหมาะสม คือ ความชื้นร้อยละ 18-30 อุณหภูมิ 43-63 องศาเซลเซียส หากร่างกายได้รับสารนี้จะสามารถสะสมพิษได้ ซึ่งจะมีผลต่อตับ ทำให้เกิด จนถึงระดับ ที่ทำให้เกิดอันตรายจะส่งผลต่อตับ เช่น ทำให้เกิดโรคตับแข็ง ตับอักเสบ เลือดออกในตับ เซลล์ตับถูกทำลาย และอาจก่อให้เกิดมะเร็งตับได้ และหากได้รับปริมาณที่สูงในครั้งเดียว จะมีผลให้เปิดอาการคลื่นไส้อาเจียน ปวดท้อง ปอดบวม ชัก หมดสติและอาจทำให้เสียชีวิตได้ อัลฟาท็อกซินมักพบในพืชตระกูลถั่ว โดยเฉพาะถั่วลิสงและผลิตภัณฑ์จากถั่วลิสง นอกจากนี้ยังพบในอาหารแห้งหลายชนิด เช่น พริก ข้าวโพด กระเทียม หัวหอม เป็นต้น อย่างไรก็ตามผู้บริโภคควรเลือกบริโภคอาหารแห้งที่ใหม่จากฤดูกาลเก็บเกี่ยว หลีกเลี่ยงอาหาร ที่เก่าเก็บหรือเลือกรับประทานอาหารสด เช่น พริกสดแทนพริกแห้ง หรือกำจัดเปลือก ในการประกอบอาหาร เช่น ถั่วคั่วให้กำจัดเปลือกที่ร่อนออก
ASTVผู้จัดการออนไลน์ 5 กรกฎาคม 2554
7283
« เมื่อ: 05 กรกฎาคม 2011, 20:49:01 »
รองเลขาธิการ สปสช.ย้ำ ผู้ป่วยระยะสุดท้ายที่แสดงเจตนาไม่ประสงค์จะรับบริการสาธารณสุขที่เป็นเพียงการยืดการตายในภาวะสุดท้ายของชีวิต ถ้าเป็นผู้ป่วยในระบบบัตรทองและได้รับความเสียหายจากการใช้บริการสาธารณสุขก็ยังคงได้รับเงินช่วยเหลือเบื้องต้นตาม ม.41 แห่งพระราชบัญญัติหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ พ.ศ.2545 ได้ ไม่ถูกตัดสิทธิเพราะเป็นคนละเรื่องกัน นพ.ประทีป ธนกิจเจริญ รองเลขาธิการ สปสช.ชี้แจงว่า ตามที่กระทรวงสาธารณสุขได้ออกประกาศกระทรวงตามมาตรา 12 แห่ง พ.ร.บ.สุขภาพแห่งชาติ พ.ศ.2550 ว่าด้วยสิทธิการตายในระยะสุดท้ายของการรักษาพยาบาลและมีข่าวทำให้เกิดความเข้าใจผิดว่า ผู้ป่วยที่มีหนังสือแสดงเจตนาไม่ประสงค์จะรับบริการสาธารณสุขที่เป็นเพียงการยืดการตายในภาวะสุดท้ายตามประกาศกระทรวงสาธารณสุขดังกล่าวจะไม่ได้รับสิทธิรับเงินช่วยเหลือเบื้องต้นช่วยเหลือตามมาตรา 41 ของ สปสช.นั้นไม่เป็นความจริง เพราะหนังสือแสดงเจตนาไม่รับการรักษาเป็นคนละเรื่องกันและไม่มีผลทำให้สิทธิตามมาตรา 41 ถูกตัดทอนหรือไม่ได้รับเงินช่วยเหลือแต่อย่างไร เพราะมาตรา 41 ของในพระราชบัญญัติหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ (สปสช.) นั้น ต้องการช่วยเหลือผู้ป่วยในระบบบัตรทองทุกคน ที่ได้รับความเสียหายจากการใช้บริการโดยไม่ต้องพิสูจน์ ใครถูก ใครผิด ต้องการเยียวยาช่วยเหลือบรรเทาความเดือดร้อน ทำให้ผู้ป่วย ญาติและเจ้าหน้าที่ ผู้ให้บริการมีความเข้าใจ เห็นอกเห็นใจกันมากขึ้น ซึ่งจะนำไปสู่การลดการฟ้องร้องกันทางศาล เป็นผลดีทั้งกับผู้ป่วยและหมอพยาบาลผู้ให้การรักษา “เรื่องการใช้สิทธิการตายในภาวะสุดท้ายของชีวิต เป็นเรื่องสิทธิของผู้ป่วยตาม พ.ร.บ. สุขภาพแห่งชาติตามมาตรา 12 ไม่เกี่ยวกับมาตรา 41 พระราชบัญญัติหลักประกันสุขภาพแหงชาติ พ.ศ.2545 ซึ่งเป็นกฎหมายคนละฉบับกัน” รองเลขาธิการ สปสช.กล่าวย้ำ
ASTVผู้จัดการออนไลน์ 5 กรกฎาคม 2554
7284
« เมื่อ: 04 กรกฎาคม 2011, 21:58:37 »
อภ.ร่วม สปสช.ขยายส่งน้ำยาล้างไตถึงบ้านผู้ป่วยทั่วประเทศกว่า 7,700 ราย ที่ร่วมโครงการ คาดปี 55 มี รพ.แจ้งร่วมโครงการอีก 50 แห่ง นพ.วิทิต อรรถเวชกุล ผู้อำนวยการองค์การเภสัชกรรม (อภ.) เปิดเผยว่า โรคไต ที่จำเป็นต้องล้างไตด้วยเครื่องไตเทียมนั้นกำลังประสบปัญหาเรื่องจำนวนเครื่องไม่เพียงพอกับจำนวนผู้ป่วย ทำให้มีใช้จ่ายสูงและไม่สะดวก ดังนั้น อภ.จึงเกิดความร่วมกับสำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ (สปสช.) เพื่อช่วยเหลือผู้ป่วยโรคไตให้สามารถล้างไตด้วยตนเองได้ที่บ้านแทนที่จะต้องเดินทางมาล้างไตที่โรงพยาบาล โดยองค์การเภสัชกรรมทำหน้าที่จัดหาน้ำยาล้างไต บริหารจัดส่งถึงบ้านผู้ป่วยให้ได้ตามเวลา โดย คณะรัฐมนตรี (ครม.) ได้มีมติให้ทำโครงการส่งเสริมการล้างไตด้วยตนเองขึ้นเมื่อเดือนมกราคม 2551 แรกเริ่มทีเดียวมีโรงพยาบาลเข้าร่วมโครงการฯ ราว 20 กว่าแห่ง เมื่อผลการรักษาผู้ป่วยได้ผลดีเป็นที่ยอมรับจากแพทย์ส่งผลให้ปัจจุบันมีโรงพยาบาลประจำจังหวัด กว่า 112 แห่ง เข้าร่วมโครงการ มีผู้ป่วยโรคไตที่องค์การเภสัชกรรมต้องจัดส่งน้ำยาล้างไตถึงบ้านรวมประมาณ 7,700 กว่าราย กระจายอยู่ทั่วประเทศทุกภูมิภาค นพ.วิทิต กล่าวต่อว่า ในแต่ละวันผู้ป่วย 1 คน ต้องใช้น้ำยาล้างไต 4 ถุง คิดเป็น 120 ถุง/คน/เดือน ขณะนี้องค์การเภสัชกรรมจึงมีหน้าที่บริหารจัดการในการจัดส่งน้ำยาล้างไตแก่ผู้ป่วยจำนวน 924,000 ถุง/เดือน คิดเป็นน้ำหนักรวม 1,848,000 กก.และปี 2555 มีโรงพยาบาลชุมชนแจ้งความประสงค์เข้าร่วมโครงการอีก 50 แห่ง
ASTVผู้จัดการออนไลน์ 4 กรกฎาคม 2554
7285
« เมื่อ: 04 กรกฎาคม 2011, 21:56:13 »
“หมออรพรรณ์” เผยล่ารายชื่อเสนอปรับแก้ กฎหมายเกี่ยวกับระบบ สธ.ได้ 5 หมื่นคนแล้ว หวังอ้อนรัฐบาลใหม่ช่วยขับเคลื่อน ด้านภาคประชาชนวอนแก้เรื่องความเหลื่อมล้ำ พญ.อรพรรณ์ เมธาดิลกกุล รองประธานสหพันธ์ผู้ปฏิบัติงานด้านการแพทย์และสาธารณสุขแห่งประเทศไทย (สผพท.) ในฐานะหัวหน้าคณะทำงานเข้าชื่อเสนอกฎหมายสาธารณสุข 2553 เปิดเผยว่า จากกรณีที่ระบบสาธารณสุขไทย ประสบกับปัญหาหลายด้านนั้น ทำให้บุคคลากรด้านสาธารณสุข(สธ.)หลายคนเห็นควรให้มีการเปลี่ยนแปลงกฎหมาย 3 กลุ่ม ได้แก่ ร่าง พ.ร.บ.ระเบียบข้าราชการสาธารณสุข และบุคลากรสาธารณสุข ซึงเป็นการแยกตัวบุคลากรสาธารณสุข ออกจากกพ.โดยมีมีคณะกรรมการข้าราชการสาธารณสุข หรือ ก.สธ.ขึ้นมาแทน , ร่าง พ.ร.บ.จัดบริการสาธารณะด้านสาธารณสุข เช่น ให้สำนักงานหลักประกันสุขภาพชาติอยู่ในสังกัด สธ.เป็นต้น และ ร่าง พ.ร.บ.ยกเลิกกฎหมายอันเกี่ยวกับบริการสาธารณะด้านสาธารณสุขและกฎหมายบางฉบับที่ไม่เหมาะสมกับการบริหารราชการแผ่นดิน ซึ่งขณะนี้ได้ดำเนินการแจกแบบฟอร์มเข้าสื่อ เพื่อเสนอกฎหมายอย่างต่อเนื่อง ตั้งแต่วันที่ 17 มิ.ย. 2553 โดยขณะนี้รวบรวมรายชื่อได้ราง 5 หมื่นรายชื่อ โดยตั้งใจไว้ว่าจะดำเนินการให้ได้ราว 1 แสนรายชื่อ “อย่างไรก็ตาม ในการเกิดขึ้นของรัฐบาลใหม่นั้น เชื่อว่า บุคลากรสาธารณสุขทุกท่านคงจะไม่อยากเผชิญกับปัญหาเดิมๆ ทั้งเรื่องของโครงสร้างการเงินการคลังที่ระส่ำระส่าย ส่งผลกระทบต่อความเป็นอยู่ของบุคลากร และสภาพคล่องทางการเงิน ของสถานบริการพยาบาล ดังนั้นสิ่งแรกที่อยากให้รัฐบาลใหม่เร่งแก้ปัญหาก็คือ เร่งปฏิรูประบบการสาธารณสุขโดยเร็ว” พญ.อรพรรณ์ กล่าว ด้าน น.ส.สารี อ๋องสมหวัง เลขาธิการมูลนิธิเพื่อผู้บริโภค กล่าวว่า ในฐานะตัวแทนภาคประชาชน อยากให้รัฐบาลใหม่เร่งสนับสนุน พ.ร.บ.ที่เป็นธรรมต่อผู้บริโภค หลักๆ ได้แก่ พ.ร.บ.องค์กรอิสระเพื่อผู้บริโภค พ.ศ..... พ.ร.บ. คุ้มครองผู้เสียหายจากการรับบริการสาธารณสุข พ.ศ....เพื่อสร้างความสัมพันธ์อันดีระหว่างบุคคลากร สธ.และผู้ป่วย รวมทั้งเร่งดำเนินการเรื่องการปรับระบบบริการสุขภาพอย่างเท่าเทียม โดยเฉพาะที่กำลังเป็นปัญหาเรื่องความเหลื่อมล้ำใน 3 ระบบ คือ ระบบหลักประกันสุขภาพถ้วนหน้า ระบบสวัสดิการข้าราชการ และระบบประกันสังคม “แม้ว่าที่รัฐบาลใหม่ที่กำลังจะก้าวขึ้นมา คือ ผู้ริเริ่มโครงการ 30 บาทรักษาทุกโรคก็ตาม แต่หากได้นั่งตำแหน่งผู้บริหารประเทศจริงๆ ควรมีการไตร่ตรองเรื่องของความเท่าเทียมด้วย เพราะทุกวันนี้ปัญหาความเหลื่อมล้ำในการรับบริการสาธารณสุขเป็นที่ถกเถียงกันมาก” นส.สารี กล่าว เลขาธิการมูลนิธิเพื่อผู้บริโภค กล่าวต่อว่า นอกจากนี้ เรื่องนโยบายด้านการบริการสุขภาพสำหรับผู้สูงอายุนั้นก็มีการกล่าวถึงอย่างมาก ดังนั้น จึงควรมีการเพิ่มบำนาญแก่ประชาชนผู้สูงอายุบ้าง
ASTVผู้จัดการออนไลน์ 4 กรกฎาคม 2554
7286
« เมื่อ: 03 กรกฎาคม 2011, 23:46:16 »
กรมควบคุมโรคเตือนประชาชนต้องไม่ประมาท เพราะการระบาดของโรคไข้หวัด 2009 ยังไม่หมดไป แต่มีแนวโน้มการระบาดในลักษณะเป็นกลุ่มก้อนมากขึ้น เร่งรณรงค์แนะนำประชาชนให้มีพฤติกรรมสุขภาพที่ถูกสุขลักษณะ เน้นกลุ่มเสี่ยงควรฉีดวัคซีนป้องกันไว้ก่อน ย้ำหากมีการจัดกิจกรรมที่ต้องรวมตัวกันของคนหมู่มากภายในพื้นที่จำกัด หรือในสถานศึกษาต้องเตรียมพร้อมป้องกันล่วงหน้า
น.พ.สุวรรณชัย วัฒนายิ่งเจริญชัย รองอธิบดีกรมควบคุมโรค กล่าวถึงสถานการณ์โรคไข้หวัดใหญ่หลังการระบาดครั้งใหญ่เมื่อปี 2552 ว่า ในภาพรวมมีแนวโน้มลดลงโดยในปี 2553 พบว่ามีผู้ป่วยไข้หวัดใหญ่จำนวน 112,750 ราย เป็นเชื้อไข้หวัดใหญ่สายพันธุ์ A (H1N1) จำนวน 16,455 ราย มีผู้เสียชีวิต 169 ราย ในจำนวนนี้ เป็นผู้เสียชีวิตที่ยืนยันว่าเป็นเชื้อ A (H1N1) 150 ราย และในปี 2554 จากข้อมูลการเฝ้าระวังของสำนักระบาดวิทยา (ตั้งแต่วันที่ 1 มกราคม-28 พฤษภาคม 2554) พบผู้ป่วยไข้หวัดใหญ่สะสมจำนวน 11,422 ราย ตรวจพบเป็นเชื้อ A (H1N1) จำนวน 551 ราย จำนวนผู้เสียชีวิตสะสม 6 ราย ทั้งหมดยืนยันว่าเป็นเชื้อไข้หวัดใหญ่ชนิด A (H1N1) ซึ่งจากสถิติตัวเลขที่พบเมื่อเปรียบเทียบถือว่ามีแนวโน้มลดลง แต่มีข้อที่น่าสังเกตก็คือการแพร่ระบาดของโรคยังไม่หมดไปและพบว่ามีการเปลี่ยนรูปแบบของการระบาดเป็นลักษณะของกลุ่มก้อนมากขึ้น
การระบาดในลักษณะเป็นกลุ่มก้อน มักจะพบในสถานที่ที่มีคนอยู่รวมกันเป็นจำนวนมาก เช่น ในค่ายทหาร สถานที่ทำงานที่มีลูกจ้างอยู่รวมกันมากๆ ในสถานศึกษา โดยเฉพาะในช่วงนี้ที่มหาวิทยาลัยหลายแห่งมีกิจกรรมรับน้องหรือซ้อมเชียร์ ก็อาจเป็นแหล่งที่เกิดการระบาดของโรคได้ หากมีการรวมตัวกันของคนหมู่มากภายในพื้นที่จำกัด เช่น การแสดงมหรสพ การประชุมขนาดใหญ่ การแข่งขันกีฬา งานนิทรรศการ งานแต่งงาน งานรื่นเริง งานบุญ หรือกิจกรรมอื่นๆ ในช่วงที่มีการระบาดของไข้หวัดใหญ่ กิจกรรมดังกล่าวมีโอกาสที่จะเป็นแหล่งแพร่กระจายเชื้อโรค และผู้เข้าร่วมกิจกรรมมีความเสี่ยงที่จะติดโรค ไม่ว่าจะเป็นสถานที่กลางแจ้งหรือในร่ม ผู้จัดงานหรือเจ้าภาพที่มีกิจกรรมการรวมตัวของคนหมู่มาก ควรมีการให้ข้อมูลคำแนะนำการป้องกันการแพร่กระจายเชื้อโรคแก่กลุ่มเป้าหมายที่จะมาร่วมงานหรือกิจกรรมเป็นการล่วงหน้า มีป้ายคำแนะนำ หรือหน่วยบริการให้คำแนะนำ ผู้ที่มีอาการป่วยคล้ายไข้หวัดใหญ่บริเวณทางเข้างาน จัดอ่างล้างมือพร้อมสบู่ กระดาษทิชชู ในห้องน้ำให้พอเพียง จัดให้มีผู้ทำความสะอาดอุปกรณ์ และบริเวณที่มีผู้สัมผัสปริมาณมาก เช่น ราวบันได ลูกบิดประตู ห้องน้ำ ด้วยน้ำผงซักฟอก หรือน้ำยาทำความสะอาดทั่วไป อย่างสม่ำเสมอและบ่อยกว่าในภาวะปกติ จัดหาหน้ากากอนามัยสำหรับผู้มีอาการคล้ายไข้หวัดใหญ่ที่มีความจำเป็นต้องอยู่ร่วมกิจกรรม ส่วนในสถานศึกษา ควรจัดให้มีระบบการ คัดกรองเด็กป่วย หากพบว่ามีนักเรียน หรือนิสิต นักศึกษาป่วย ควรพิจารณาปิด/เปิดสถานศึกษา เพื่อการชะลอการระบาดของโรคและการแพร่กระจายเชื้อ โดยใช้ดุลพินิจร่วมกันระหว่างเจ้าหน้าที่สาธารณสุขในพื้นที่ ผู้บริหารสถานศึกษา และคณะกรรมการสถานศึกษา รวมทั้งเครือข่ายผู้ปกครอง ให้นักเรียน นิสิต นักศึกษาที่มีอาการป่วยคล้ายไข้หวัดใหญ่ เช่น มีไข้ ไอ เจ็บคอ มีน้ำมูก ปวดเมื่อยตามร่างกาย ฯลฯ ให้หยุดเรียนและพักผ่อนที่บ้าน
ส่วนมาตรการในการเฝ้าระวังโรคไข้หวัดใหญ่ 2009 หลังการระบาดครั้งใหญ่ กรมควบคุมโรคได้ดำเนินการในด้านต่างๆ ได้แก่ 1.การเฝ้าระวังโรคทางเดินหายใจ เช่น ไข้หวัดใหญ่ ปอดบวม เน้นผู้ป่วยที่ระบาดเป็นกลุ่มก้อน ผู้ป่วยอาการรุนแรง และผู้ป่วยเสียชีวิต ต้องมีการสอบสวนทุกราย การเฝ้าระวังในกรณีดื้อยา การกลายพันธุ์ เพราะจะส่งผลให้เกิดการเปลี่ยนแปลงทางระบาดวิทยา กำหนดจุดเฝ้าระวังกระจายทั่วประเทศ 2.การป้องกันด้วยการฉีดวัคซีน โดยให้ความสำคัญกับกลุ่มเสี่ยง 6 กลุ่ม คือ ผู้สูงอายุ ผู้มีโรคประจำตัวเรื้อรัง หญิงตั้งครรภ์ เด็กเล็กอายุตั้งแต่ 6 เดือน-2 ปี กลุ่มคนอ้วน ผู้พิการทางสมอง (บุคลากรทางการแพทย์และสาธารณสุขซึ่งเป็นอีกหนึ่งกลุ่มที่ควรได้รับการฉีดวัคซีนด้วยเช่นกัน) รวมทั้งให้ประชาชนตระหนักถึงการป้องกันโรคติดเชื้อระบบทางเดินหายใจ 3.การกวดขันเรื่องการวินิจฉัยโรคและการรักษาผู้ป่วยจะต้องได้รับยาต้านไวรัสภายใน 48 ชั่วโมง เพราะสิ่งที่พบในผู้ป่วยที่เสียชีวิตคือผู้ป่วยได้รับยาต้านไวรัสช้าเกินกว่าที่กำหนด
การฉีดวัคซีนป้องกันไข้หวัดใหญ่นับเป็นวิธีที่ได้ผลดี สามารถลดอัตราการติดเชื้อ ลดอัตราการนอนโรงพยาบาล ลดโรคแทรกซ้อน ลดการหยุดงานหรือหยุดเรียน ซึ่งกรมควบคุมโรคและสำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ ได้ร่วมกันดำเนินงานฉีดวัคซีนไข้หวัดใหญ่ตามฤดูกาลให้กับประชาชนกลุ่มเป้าหมายมาตั้งแต่ปี พ.ศ.2551 และในปี 2554 นี้ ได้กำหนดแนวทางการให้บริการวัคซีนไข้หวัดใหญ่ตามฤดูกาล และจะมีการรณรงค์ระหว่างวันที่ 1 มิถุนายน-31 สิงหาคม 2554 ประชาชนกลุ่มเสี่ยงที่มีความประสงค์จะรับการฉีดวัคซีนป้องกันโรคไข้หวัดใหญ่ประจำฤดูกาล สามารถขอรับการฉีดวัคซีนได้ฟรี! ที่โรงพยาบาลของรัฐบาลทุกแห่ง
การป้องกันโรคไข้หวัดใหญ่ประชาชนต้องไม่ประมาท เพราะเห็นว่ายังไม่เกิดการระบาด ต้องหมั่นใส่ใจดูแลสุขภาพของตนเอง และคนใกล้ชิดอย่างสม่ำเสมอ รู้จักป้องกันตนเอง ด้วยการมีพฤติกรรมสุขภาพที่ถูกต้อง กินร้อน ช้อนกลาง ล้างมือ ส่วนผู้ป่วยที่มีอาการไข้ มีน้ำมูก เจ็บคอ ไอ ให้พักรักษาตัวอยู่ที่บ้าน สวมหน้ากากอนามัยป้องกันไม่ให้แพร่เชื้อสู่ ผู้อื่นก็จะสามารถควบคุมการระบาดของโรคให้อยู่ในวงจำกัดได้ รองอธิบดีกล่าวทิ้งท้าย...
บ้านเมือง -- อาทิตย์ที่ 3 กรกฎาคม 2554
7287
« เมื่อ: 03 กรกฎาคม 2011, 23:43:03 »
เอเอฟพี - มุขมนตรีรัฐเบงกอลตะวันตกของอินเดียสั่งสอบหาความจริงเป็นการด่วน กรณีทารกแรกเกิดเสียชีวิตปริศนาในโรงพยาบาลเด็กแห่งหนึ่ง 17 ราย ขณะเดียวกัน วันนี้ (30) กลุ่มพ่อแม่ผู้หัวใจสลายก่อเหตุปะทะกับเจ้าหน้าที่ตำรวจ หลังปักหลักประท้วงและพยายามบุกรุกโรงพยาบาลดังกล่าว ในช่วง 36 ชั่วโมงมีเด็กแรกเกิดเสียชีวิตถึง 17 รายในโรงพยาบาลเด็กของรัฐบาล ณ เมืองโกลกาตา เมือเอกของรัฐเบงกอลตะวันตก “เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นเป็นเรื่องที่แสนเศร้า” มามาตา บาเนร์จี มุขมนตรีรัฐเบงกอลตะวันตก กล่าว “เราได้สั่งตรวจสอบหาความจริงการตายปริศนานี้แล้ว” วันนี้ ประชาชนประมาณ 400 คน ร่วมกับกลุ่มพ่อแม่ของเด็กทารกที่เสียชีวิต ชุมนุมประท้วงบริเวณหน้าโรงพยาบาลที่เกิดเหตุ ก่อนปะทะกับเจ้าหน้าที่ตำรวจที่มีไม้ตะบองเป็นอาวุธ ทั้งนี้ โรงพยาบาลเด็กประจำเมืองโกลกาตาดังกล่าวสามารถรองรับเด็กได้เต็มที่ 360 ราย ทว่าในความเป็นจริงโรงพยาบาลต้องดูแลเด็กจำนวนมากเกินความสามารถ อันเป็นผลให้เด็กทารก และเด็กเล็กบางรายต้องนอนหลับบนพื้น เนื่องจากมีเตียงพยาบาลไม่เพียงพอ มรินัล คานที ชัตโตปัธยาย ผู้อำนวยการโรงพยาบาล ยอมรับว่าเด็กทารกเสียชีวิตจำนวนมากในระยะเวลาสั้นๆ ถือเป็นเรื่องผิดปกติ แต่ปฏิเสธว่าไม่ใช่ความผิดของทางโรงพยาบาล “พวกเด็กๆ มาถึงโรงพยาบาลในสภาพอาการร่อแร่อยู่ก่อนแล้ว บางรายมีน้ำหนักแรกเกิดน้อย บางรายมีภาวะโลหิตเป็นพิษและหายใจไม่ออกขั้นวิกฤต” ผู้อำนวยการชัตโตปัธยาย แก้ต่าง “เราพยายามช่วยชีวิตพวกเด็กๆ เต็มที่แล้ว แต่ความพยายามของเราก็สูญเปล่า”
ASTVผู้จัดการออนไลน์ 30 มิถุนายน 2554
7288
« เมื่อ: 01 กรกฎาคม 2011, 18:49:49 »
แพทยสภารุกหนัก เตรียมฟ้องร้องศาลปกครอง ยกเลิก ม.12 สิทธิการตาย ชี้ กม.ช่องโหว่เพียบ อาจเข้าข่ายหมอเจตนาฆ่าคนไข้ แม้มีบทบัญญัติยกเว้นโทษให้ แต่ถือว่าขัดกับหลักกฎหมายอาญา กมธ.สาธารณสุขระบุ อาจเคลมประกันไม่ได้ "เลขาธิการ สช." ไม่ออกความเห็นยันเป็น กม. ยึดประโยชน์ประชาชนเป็นที่ตั้ง
เมื่อวันที่ 30 มิ.ย. 2554 ศ.คลินิค นพ.อำนาจ กุสสลานันท์ นายกแพทยสภา แถลงว่า ภายหลังจากออกกฎกระทรวง ม.12 เรื่อง การทำหนังสือแสดงเจตนาไม่ประสงค์จะรับบริการสาธารณสุขที่เป็น ไปเพื่อยืดการตายในวาระสุดท้ายของชีวิตนั้น แพทยสภาได้มีการออก แนวปฏิบัติ 6 ข้อ ส่งให้กับแพทย์ทั่วประเทศ ดังนี้
1.เมื่อได้รับหนังสือแสดงเจตนาฯ แพทย์ผู้เกี่ยวข้องต้องแน่ใจว่าหนังสือดังกล่าวเป็นหนังสือแสดงเจตนาฯ ที่กระทำโดยผู้ป่วยขณะที่มีสติสัมปชัญญะ เช่น หนังสือแสดงเจตนาฯ ที่กระทำโดยอยู่ในความรู้เห็นของแพทย์ เช่นนี้ แล้วให้ปฏิบัติตามความประสงค์ของผู้ป่วย ยกเว้นกรณีตามข้อ 5
2. หนังสือแสดงเจตนาฯ นอกเหนือจากข้อ 1 ควรได้รับการพิสูจน์ว่ากระทำโดยผู้ป่วยจริง
3. ในกรณีที่ยังพิสูจน์ไม่ได้ถึง "ความจริงแท้" ของหนังสือแสดงเจตนาฯ นี้ ให้ดำเนินการรักษาผู้ป่วยตามมาตรฐานวิชาชีพเวชกรรม
4.การวินิจฉัยวาระสุดท้ายของชีวิตให้อยู่ในดุลย พินิจของแพทย์ที่เกี่ยวข้องในภา วะวิสัยและพฤติการณ์ในขณะนั้น
5.ไม่แนะนำให้มีการถอดถอน (with draw) การรักษาที่ได้ดำเนินอยู่ก่อนแล้ว
6.ในกรณีที่มีความขัดแย้งกับญาติผู้ป่วยเกี่ยวกับเรื่อง "ความจริงแท้" ของหนังสือแสดงเจตนาฯ
นายกแพทยสภา กล่าวต่อ ว่า ที่ผ่านมา แพทยสภาได้รับข้อร้องเรียนจากแพทย์ และประชาชน รวมถึงข้อสรุปจากการสัมมนากรรมา ธิการวุฒิสภา เมื่อวันที่ 10 มิ.ย.2554 ต่อการทำหนังสือไม่ขอรับสิทธิการรักษาดังกล่าว โดยที่ประ ชุมมีมติเสนอให้แพทยสภาเป็นตัว แทนในการดำเนินฟ้องร้องต่อศาลปกครอง เพื่อให้ยกเลิกข้อบังคับใน กฎกระทรวงฉบับนี้ โดยจะนำข้อเสนอดังกล่าวเข้าสู่ที่ประชุมคณะกรรมการแพทยสภาวันที่ 14 ก.ค.นี้ เพื่อหาข้อยุติว่าจะดำเนินการอย่าง ไร หากที่ประชุมมีมติให้ฟ้องร้องทาง แพทยสภาก็จะเร่งดำเนินตาม มติก่อนจะแจ้งให้กระทรวงสาธารณสุข (สธ.) ทราบอีกครั้ง แต่หากที่ประชุมมีมติไม่ดำเนินการฟ้องร้องจะมีการ เพิ่มมาตรการที่เข้มข้น และศักดิ์ สิทธิ์มากกว่าแนวปฏิบัติที่ออกไป
ต่อข้อถามว่า ล่าสุด สธ.เตรียม แต่งตั้งคณะทำงานดำเนินการตาม กฎกระทรวงกำหนดแล้ว ทางแพทย สภาจะเข้าร่วมหารือด้วยหรือไม่ นา ยกแพทยสภา กล่าวว่า กฎกระทรวงฯ ไม่ได้ตั้งแพทยสภาเป็นกรรมการด้วย ดังนั้น เราต้องดำเนินการในส่วนของเราไป แต่แนวคิดก็คงจะเหมือน กัน เบื้องต้นเราจะต้องดำเนินการตามแนวปฏิบัติ 6 ข้อ ที่กล่าวไว้ข้างต้น แต่หากพิจารณาแล้วเห็นว่ายังไม่ฟ้อง อาจจะมีการออกเป็นแนวปฏิบัติที่เข้มข้นและศักดิ์สิทธิ์มากกว่านี้
นพ.โชติศักดิ์ เจนพานิชย์ ผู้ช่วยเลขาธิการแพทยสภา กล่าวว่า โดยส่วนตนเห็นว่า แนวปฏิบัติข้อที่ 5 จากทั้งหมด 6 ข้อนั้น เป็นส่วนที่มีความสำคัญที่สุด เพราะระบุไม่ให้ถอดเครื่องช่วยหายใจหรือยุติการรักษา เพราะหากพิสูจน์ได้ภายหลังว่าหนังสือแสดงเจตนาไม่ใช้สิทธิการรักษาเป็นหนังสือเท็จ หรือมีความเห็นต่างของญาติ อาจจะนำไปสู่การฟ้องร้องได้ ซึ่งการฟ้องร้องจะมีความแตกต่าง จากเมื่อก่อนที่เข้าข่ายการ กระทำการโดยประมาทเป็นเหตุให้ผู้อื่นถึงแก่ความตายเท่านั้น แต่หากแพทย์ถอดเครื่องช่วยหายใจตามหนังสือฯ จะกลายเป็นการเจตนาฆ่าผู้อื่นโดยไตร่ตรองไว้ก่อน มีโทษหนักถึงขั้นประหารชีวิต ซึ่งเป็นเรื่องที่ยอมไม่ได้ นอกจากนี้ ในประเด็นที่ระบุว่าผู้กระทำการรักษาตามหนังสือดังกล่าวจะได้รับการยกเว้นโทษทั้งปวงนั้น จากการหารือแล้ว เห็นว่าเป็นกฎกระทรวงที่ขัดกับกฎหมายอื่นที่มีอยู่ เพราะฉะนั้นคงเป็นไปไม่ได้ที่จะนำกฎกระทรวงฉบับนี้ไปยกเว้นความผิดทางอาญา
ศ.นพ.วิรัติ พาณิชย์พงษ์ รองประธานกรรมาธิการสาธารณสุข วุฒิสภา กล่าวว่า จากการสัมมนาเมื่อวันที่ 10 มิ.ย.ที่ผ่านมา ประเด็นสำคัญคือเรื่องสิทธิการตายคืออะ ไร ซึ่งวาระสุดท้ายของแต่ละคนไม่เหมือนกัน อีกทั้งวิทยาการทางการแพทย์ที่ใช้ในการรักษาก็แตกต่างกัน ดังนั้นจึงกำหนดไม่ได้ว่าใครถึง วาระสุดท้ายของชีวิตแล้ว เป็นเรื่อง ที่ผู้ป่วยและญาติต้องตกลงกัน นอก จากนี้ การทำหนังสือแสดงเจตนาใน การรักษาพยาบาลฯ จะทำให้ผู้ป่วย เสียสิทธิในหลายด้านเช่น
1.หากผู้ ป่วยถือสิทธิบัตรทอง จะเสียสิทธิเรียก ร้องค่าเสียหายตามมาตรา 40 ของ พ.ร.บ.หลักประกันสุขภาพแห่งชาติ
2.อาจจะเสียสิทธิในการได้รับค่าทดแทนประกันชีวิต เพราะการแสดงเจตนารมณ์ดังกล่าวถือว่าเป็นการเจตนาฆ่าตัวตาย
3.ในส่วนของแพทย์ หากไม่มีความรู้ทางด้านกฎหมายอย่างชัดเจนแล้ว การกระทำการใดๆ อาจจะเป็นการทำผิดกฎหมายอื่นๆ อีกได้
ด้าน นพ.อำพล จินดาวัฒนะ เลขาธิการสำนักงานคณะกรรมการสุขภาพแห่งชาติ (สช.) กล่าวว่า ตนยังไม่เห็นมติที่ประชุมคณะกรรมการแพทยสภา แต่คิดว่าเป็นความเห็นของคณะแพทย์กลุ่มหนึ่ง จึงไม่สามารถให้ความเห็นอะไรได้ แต่ทั้งหมดนี้ ตนยืนยันว่าการออกกฎกระทรวงฉบับนี้เป็นการดำเนินการตาม กฎหมายโดยยึดประโยชน์ของประชาชนเป็นที่ตั้ง รวมถึงแพทย์ พยาบาลที่ดำเนินการเรื่องนี้ยังไม่เห็นปัญหาที่เกิดจากกฎหมายฉบับนี้แต่อย่างใด
"ผมนั่งอยู่ตรงนี้ได้รับการประสานโดยตลอดจากทั้งแพทย์ พยาบาล ว่าเป็นเรื่องที่ดี ซึ่งในส่วนของ รพ.เองก็มีการพัฒนาระบบมารองรับเรื่องนี้อยู่ด้วย และก็มีประชาชนติดต่อเข้ามาขอข้อมูล แบบฟอร์มด้วย จึงไม่ทราบว่าตรงนั้นคิดอะไร และจะมีประโยชน์มากกว่าอย่างไร" เลขาธิการ สช.กล่าว.
ไทยโพสต์ 1 กรกฎาคม 2554
7289
« เมื่อ: 30 มิถุนายน 2011, 22:38:37 »
แพทยสภาเตรียมดันวาระ “สิทธิการตาย” เข้าที่ประชุมบอร์ดใหญ่ 14 ก.ค.เตรียมเสนอประเด็นเรื่องการฟ้องศาลปกครองล้มกฎกระทรวงแสดงเจตนาฯ ตามข้อเสนอของแพทย์บางกลุ่ม ด้าน ส.ว.กรรมาธิการการสาธารณสุขชี้ หากดำเนินการจริง ผู้ป่วยบัตรทองเสียสิทธิ ม.41 พ.ร.บ.หลักประกันสุขภาพฯ เพราะไม่ได้เสียหายจากการบริการสาธารณสุข แต่เป็นการยินยอม จากกรณีสำนักงานคณะกรรมการสุขภาพแห่งชาติ (สช.) ได้ออกประกาศกระทรวงทำหนังสือแสดงเจตนาไม่ประสงค์จะรับบริการสาธารณสุขที่ เป็นไปเพียงเพื่อยืดการตายในวาระสุดท้ายของชีวิต หรือยุติการทรมานจากการเจ็บ ป่วย พ.ศ.2553 ซึ่งเป็นไปตามมาตรา 12 แห่งพระราชบัญญัติ (พ.ร.บ.) สุขภาพแห่งชาติ พ.ศ.2550 ได้ก่อให้เกิดฝ่ายที่ไม่เห็นด้วย ขณะที่ทางด้านกระทรวงสาธารณสุข(สธ.) ได้ตั้งคณะทำงานการดำเนินการตามหนังสือดังกล่าว ไม่ให้กระทบต่อแพทย์และบุคลากร สธ.นั้น ล่าสุด วันนี้ (30 มิ.ย.) ศ.คลินิก นพ.อำนาจ กุสลานันท์ นายกแพทยสภา แถลงข่าวหลังการประชุมกรรมการบริหาร ถึงกรณีดังกล่าวว่า เนื่องจากมีทั้งฝ่ายสนับสนุนและฝ่าย ที่ผ่านมาคณะกรรมาธิการสาธารณสุข(กมธ.สธ.)ได้จัดสัมมนาระดมความคิดเห็น เกี่ยวกับเรื่องนี้ และได้ข้อสรุปให้แพทยสภา ซึ่งเป็นตัวแทนวิชาชีพแพทย์ทำหน้าที่ดำเนินการหาความชัดเจนเกี่ยวกับเรื่อง นี้ เนื่องจากมีแพทย์หลายฝ่าย กังวลถึงการบังคับใช้แนวทางการแสดงสิทธิดังกล่าว เพราะอาจเข้าข่ายละเว้นการปฏิบัติหน้าที่ของแพทย์ในการดูแลรักษาผู้ป่วย และยังขัดต่อจริยธรรมแพทย์ ที่สำคัญ กฎกระทรวงดังกล่าวยังออกเกินกว่าเจตนารมณ์ของมาตรา 12 พ.ร.บ.สุขภาพแห่งชาติ ที่กำหนด ดังนั้น เมื่อคณะกรรมาธิการสาธารณสุขมีความประสงค์ต้องการความชัดเจน จากการประชุมของกรรมการบริหารจึงมีความเห็นว่าจะนำเรื่องดังกล่าว เข้าสู่ที่ประชุมคณะกรรมการแพทยสภาในวันที่ 14 กรกฎาคม 2554 เพื่อพิจารณาถึงการเคลื่อนไหว ซึ่งเบื้องต้นอาจดำเนินการฟ้องศาลปกครองให้เพิกถอนกฎกระทรวงดังกล่าว ศ.นพ.วิรัติ พาณิชย์พงษ์ สมาชิกวุฒิสภา และรองประธานกรรมาธิการสาธารณสุข กล่าวว่า ที่ต้องระวัง คือ การพิจารณาถึงวาระสุดท้ายของชีวิต เนื่องจากหากญาติไม่เข้าใจจะนำปัญหามาสู่แพทย์ และเกิดเป็นประเด็นฟ้องร้องได้ ขณะเดียวกันการทำหนังสือแสดงเจตนาฯ อาจส่งผลเสียต่อผู้ป่วยสิทธิหลักประกันสุขภาพถ้วนหน้าหรือบัตรทอง เนื่องจากการแสดงเจตนาดังกล่าว ถือเป็นการเสียสิทธิในการรับเงินค่าชดเชยตามมาตรา 41 ของพ.ร.บ.หลักประกันสุขภาพแห่งชาติ พ.ศ.2545 ทำให้ไม่สามารถรับเงินกรณีเกิดความเสียหายจากการรักษาจำนวน 2 แสนบาททันที อีกทั้งกรณีผู้ทำประกันชีวิตอาจไม่ได้รับเบี้ยประกัน เนื่องจากอาจเข้าข่ายการฆ่าตัวตาย สิ่งเหล่านี้เป็นสิทธิที่ผู้ป่วยอาจเสียไปด้วย ศ.นพ.วิรัติ กล่าวด้วยว่า ในส่วนผลกระทบทางการแพทย์ คือ หากแพทย์ไม่รู้กฎหมายและไปดำเนินการจะถูกข้อหา เจตนาฆ่า ซึ่งมีความผิดทางออาญาและมีสิทธิได้รับโทษขั้นสูงสุดถึงการประหารชีวิต สิ่งเหล่านี้เป็นช่องโหว่ทางกฎหมาย เพราะเมื่อทำตามกฎหมายหนึ่งก็อาจไปก้าวล่วงกฎหมายหนึ่งด้วย ดังนั้น การจะดำเนินการตามสิทธิการตายได้ จะต้องไม่มีช่องโหว่เรื่องดังกล่าว
ASTVผู้จัดการออนไลน์ 30 มิถุนายน 2554
7290
« เมื่อ: 30 มิถุนายน 2011, 22:36:47 »
คลังทำหนังสือด่วน ส่งถึง รพ.ชี้ อนุมัติเบิกจ่ายยาข้อเสื่อมได้แบบมีเงื่อนไข เน้นย้ำห้ามจ่ายโดยตรง ผอ.รพ.รามาฯ เห็นด้วย ขณะที่ กก.1 รายในชุดทำงานขอถอนตัว จากกรณีปลัดกระทรวงการคลังประกาศชัดว่าจะมีการเบิกจ่ายยาบรรเทาอาการข้อเสื่อม (กลูโคซามีน) โดยมีข้อแม้ว่าการเบิกจ่ายยาต้องอยู่ภายใต้การประเมินอย่างรัดกุมของแพทย์ผู้เชี่ยวชาญเท่านั้น โดยการเบิกจ่ายต้องเป็นไปตามเงื่อนไขที่กำหนด คือ ให้ใช้ในเวลาจำกัด 3 เดือน แล้วให้แพทย์ผู้เชี่ยวชาญประเมินว่า มีประโยชน์ต่อผู้ป่วยหรือไม่ หากมีจึงให้ใช้ต่ออีก 3 เดือน แล้วต้องหยุดการใช้ยาก่อน 3 เดือน เพราะหากใช้ต่อเนื่องจาก 6 เดือนจะส่งผลเสียต่อสุขภาพ ส่วนในกรณีที่ใช้ 3 เดือนแรกแล้วแพทย์ประเมิน พบว่า ไม่เกิดประโยชน์ต่อผู้ป่วยก็ต้องหยุดใช้ยาทันที ส่งผลให้เกิดทั้งกระแสเห็นด้วยและคัดค้าน ขณะที่กลุ่มสิทธิสวัสดิการข้าราชการที่มีปัญหาข้อเสื่อมต่างเฝ้ารออย่างใจจดใจจ่อ วานนี้ (29 มิ.ย.) ผู้สื่อข่าวรายงานว่า กระทรวงการคลัง ลงนามโดย น.ส.สุภา ปิยะจิตติ รองปลัดกระทรวงการคลัง ในฐานะหัวหน้ากลุ่มภารกิจด้านรายจ่ายและหนี้สิน ได้ทำหนังสือด่วนที่สุด ที่ กค 0422.2/ว.62 ลงวันที่ 28 มิถุนายน 2554 เรื่อง การเบิกค่ายากลูโคซามีนซัลเฟต หนังสือส่งถึงปลัดกระทรวง อธิบดี เลขาธิการ ผู้อำนวยการ อธิการบดี ผู้ว่าการตรวจเงินแผ่นดิน ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ ผู้ว่าราชการจังหวัด ผู้อ ำนวยการสถานพยาบาลของทางราชการ และสถานพยาบาลที่กระทรวงการคลังกำหนด โดยหนังสือระบุถึงกรณีการกำหนดให้กลุ่มยาบรรเทาอาการข้อเสื่อมที่ออกฤทธิ์ช้า (กลูโคซามีน คอนดรอยตินซัลเฟต และไดอะเซอเรน) ทุกรูปแบบ และกลุ่มยาฉีดเข้าข้อบรรเทาอาการข้อเสื่อม(ไฮยาลูโรแนนและอนุพันธ์) เป็นรายการยาที่ห้ามเบิกจ่ายจากระบบสวัสดิการข้าราชการนั้น ล่าสุด กระทรวงการคลังพิจารณาแล้ว ดังนี้ 1.คณะกรรมการบริหารระบบสวัสดิการรักษาพยาบาลข้าราชการได้มีการแต่งตั้งคณะอนุกรรมการเฉพาะกิจเพื่อพิจารณาหาข้อสรุปเกี่ยวกับประสิทธิผลและความคุ้มค่าของกลุ่มยาบรรเทาอาการข้อเสื่อม ซึ่งคณะอนุกรรมการเฉพาะกิจฯ ได้พิจารณาดังนี้ 1.1 กลุ่มยากลูโคซามีนฯ ไม่ใช่ยาที่ใช้ป้องกันโรคข้อเข่าเสื่อม แต่เป็นยาที่ใช้เพื่อบรรเทาอาการปวด ซึ่งอาจมีประโยชน์ต่อผู้ป่วยโรคข้อเข่าเสื่อมบางกลุ่ม โดยต้องมีการกำหนดเงื่อนไขในการใช้ และวิธีการบริหารจัดการ ดังนั้น กรมบัญชีกลางและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องควรร่วมกันศึกษาความคุ้มค่าและวางแนวทางการบริหารจัดการ การควบคุมกำกับการใช้ยาที่สามารถปฏิบัติได้จริง โดยให้ดำเนินการให้แล้วเสร็จใน 1 เดือน และนำข้อสรุปเสนอคณะกรรมการบริหารระบบสวัสดิการรักษาพยาบาลข้าราชการพิจารณา 1.2 คณะอนุกรรมการบางท่าน เห็นว่า ในระหว่างรอผลการศึกษา กระทรวงการคลังควรทบทวนคำสั่งห้ามเบิกจ่ายยา โดยการผ่อนคลายให้เบิกจ่ายได้ตามเงื่อนไขข้อบ่งชี้ที่ราชวิทยาลัยแพทย์ออร์โธปิดิกส์แห่งประเทศไทยกำหนด เพื่อบรรเทาความเดือดร้อนของผู้ป่วยสิทธิดังกล่าวที่ต้องใช้ยา ทั้งนี้ นำไปสู่ข้อ 2.กระทรวงการคลังเห็นสมควรผ่อนคลายให้ผู้มีสิทธิสามารถเบิกจ่ายยาดังกล่าวได้ตามเงื่อนไข ดังนี้ 2.1 ค่ายาที่เบิกได้นั้นต้องเป็นการสั่งใช้ยาตามแนวทางกำกับการใช้ยากลูโคซามีนซัลเฟตของราชวิทยาลัยแพทย์ออร์โธปิดิกส์ฯ 2.2. ห้ามสถานพยาบาลเบิกค่ายาดังกล่าวในระบบเบิกจ่ายตรงกับกรมบัญชีกลาง และให้สถานพยาบาลออกใบเสร็จรับเงินค่ายาดังกล่าว เพื่อผู้มีสิทธินำไปยื่นขอเบิกจากส่วนราชการต้นสังกัด 2.3 ให้แพทย์ผู้ทำการรักษาที่สามารถสั่งใช้ยาตามแนวทางดังกล่าว เป็นผู้ออกหนังสือรับรองการใช้ยากลูโคซามีนฯ ซึ่งเป็นยานอกบัญชียาหลักแห่งชาติแทนคณะกรรมการแพทย์ของสถานพยาบาลได้ 2.4 กรณีที่กรมบัญชีกลางตรวจสอบพบว่าสถานพยาบาลมีการสั่งจ่ายยาไม่เป็นไปตามแนวทางจะดำเนินการเรียกคืนเงินค่ายาดังกล่าว 3.การเบิกจ่ายค่ายา ให้ส่วนราชการตรวจสอบคำขอเบิกเงินค่ารักษาพยาบาล และหลักฐานประกอบการเบิกจ่ายให้ถูกต้อง และให้ส่วนราชการผู้เบิกจัดทำรายงานการเบิกจ่ายเงินค่ายากลูโคซามีนฯประจำเดือนส่งให้กรมบัญชีกลางพร้อมสำเนา ใบเสร็จรับเงินและสำเนาหนังสือรรับรองการใช้ยา ภายในวันที่ 15 ของเดือนถัดไป รศ.นพ.ธันย์ สุภัทรพันธุ์ ผู้อำนวยการโรงพยาบาลรามาธิบดี กล่าวว่า ทางโรงพยาบาลเพิ่งได้รับหนังสือดังกล่าว และได้เรียกประชุมทีมแพทย์ เพื่อรับทราบเงื่อนไขที่กำหนด ซึ่งหลักๆ คือ 1.ต้องสั่งยาตามข้อกำหนดของราชวิทยาลัยออร์โธปิดิกส์ฯ 2.ต้องให้ผู้ป่วยเบิกจ่ายไปก่อน โดยโรงพยาบาลไม่สามารถเบิกจ่ายตรงได้ 3.แพทย์ที่จะสั่งจ่ายยากลุ่มนี้จะต้องเป็นแพทย์เฉพาะทาง 3 ด้าน คือ 1.อายุรแพทย์โรคข้อ 2.แพทย์เวชศาสตร์ฟื้นฟู 3.แพทย์ออร์โธปิดิกส์ สำหรับกรณีคนไข้ที่จะมีสิทธิรับยานี้ สิ่งสำคัญต้องเป็นผู้ป่วยข้อเข่าเสื่อมที่มีอาการในระยะปานกลาง ไม่ใช่สาหัส ซึ่งแพทย์จะต้องทำการวินิจฉัย และมีใบสั่งยามาแล้ว และต้องมีอายุตั้งแต่ 56 ปีขึ้นไป อีกทั้ง อาการป่วยต้องไม่ได้เกิดจากอุบัติเหตุ เว้นแต่ข้อเสื่อมเพราะความชราเท่านั้น ทั้งนี้ หนังสือดังกล่าวจะมีผลบังคับใช้ตั้งแต่วันที่ 30 มิถุนายน 2554 เป็นต้นไป “การตัดสินใจของกรมบัญชีกลางครั้งนี้ ถือว่าดี และรอบคอบ ถือว่าเป็นธรรมกับข้าราชการที่ป่วยด้วยอาการข้อเสื่อม หลังจากนี้ในยาอื่นๆที่เล็งว่าจะยกเลิกอีก 8 ตัว อยากให้กรมบัญชีกลางพิจารณาในลักษณะคล้ายกันด้วยเช่นกัน คือ เน้นความคุ้มค่า ควบคู่ไปกับความจำเป็นต้องใช้ แต่หนังสือดังกล่าวยังไม่ใช่ประกาศตายตัว เพราะยังต้องรอการพิจารณาความคุ้มค่า และวิธีการบริหารจัดการจากคณะอนุกรรมการฯ พิจารณาอีก 1 เดือน ซึ่งไม่รู้ว่าจะเปลี่ยนแปลงหรือไม่ แต่โดยส่วนตัวเห็นว่าข้อกำหนดนี้ดีแล้ว” รศ.นพ.ธันย์ กล่าว แหล่งข่าวจากคณะกรรมการบริหารระบบสวัสดิการรักษาพยาบาลข้าราชการ ระบุว่า จากปัญหาดังกล่าวที่มีทั้งกลุ่มเห็นด้วย และไม่เห็นด้วยในการทบทวนประกาศ และมีมติให้สามารถเบิกยากลุ่มข้อเสื่อม ล่าสุดมีกระแสข่าวว่า นพ.ยศ ตีระวัฒนานนท์ หัวหน้าโครงการประเมินเทคโนโลยีและนโยบายด้านสุขภาพ กระทรวงสาธารณสุข ในฐานะ 1 ในคณะกรรมการชุดนี้ได้ถอนตัวออกแล้ว แต่คณะกรรมการหลายท่านยังไม่ห็นหนังสือยืนยันที่ชัดเจน โดยผู้สื่อข่าวพยายามติดต่อขอสัมภาษณ์ แต่ไม่สามารถติดต่อได้ เนื่องจาก นพ.ยศ ติดภารกิจไปที่ต่างประเทศ
ASTVผู้จัดการออนไลน์ 30 มิถุนายน 2554
หน้า: 1 ... 484 485 [486] 487 488 ... 535
|