4.วิธีการแก้ปัญหา โดยกำหนดระยะเวลาในการแก้ปัญหาเป็น 3 ระยะคือ ระยะสั้น ทำได้ทันที ระยะกลาง ใช้เวลา 6- 12 เดือน และระยะยาวเป็นการแก้ปัญหาที่ต้องดำเนินการให้เป็นผลสำเร็จในระยะเวลามากกว่า 1ปี
การแก้ปัญหาในระยะสั้น เป็นการแก้ปัญหาอย่างเร่งด่วนทันเวลา ได้แก่ การแก้ปัญหาที่ต้นเหตุที่ทำให้เกิดปัญหา
เนื่องจากต้นเหตุแห่งปัญหาในระบบ 30 บาท ก็คือพ.ร.บ.หลักประกันสุขภาพแห่งชาติพ.ศ. 2545และคณะกรรมการหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ ที่บริหารกองทุนผิดพ.ร.บ.หลักประกันสุขภาพหลายมาตรา จนทำให้เกิดมหันตภัยต่างๆดังกล่าวแล้ว การจะยุติปัญหาก็ต้องแก้ไขการบริหารกองทุนของคณะกรรมการหลักประกันสุขภาพแห่งชาติโดยทันทีดังนี้
1.คณะกรรมการหลักประกันสุขภาพแห่งชาติต้องพูดความจริงกับประชาชนว่า 30 บาทให้การรักษาแค่ไหน โดยคณะกรรมการหลักประกันสุขภาพแห่งชาติและสปสช. ควรทำความเข้าใจที่ถูกต้องกับสังคมและประชาชนคือ ควรเริ่มการพูดความจริงแก่ประชาชนว่างบประมาณในการจ่ายค่าบริการสาธารณสุขไม่เพียงพอที่จะให้ประชาชนได้รับ “การรักษาทุกโรค” ได้ จะสามารถทำได้โดยต้อง “เพิ่มเงินเข้าสู่ระบบให้มากขึ้น” ซึ่งจะใช้เงินจากงบประมาณแผ่นดิน หรือประชาชนจะต้องมีส่วนร่วมในการ “รักษาสุขภาพของตนเองและครอบครัว” ก็คงต้องร่วมกันตัดสินใจบนฐานข้อมูลที่แท้จริง
ทั้งนี้เนื่องจากงบประมาณที่รัฐบาลจัดสรรมาเป็นค่าเหมาจ่ายรายหัวนั้น มีไม่เพียงพอที่จะให้การรักษาประชาชนทุกคนอย่างมีคุณภาพมาตรฐานได้ จึงควรให้การรักษาเฉพาะ “ผู้ยากไร้” ตามที่กำหนดไว้ในมาตรา 51ของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พ.ศ. 2550 เท่านั้น(3) ที่จะได้รับการรักษาฟรี ประชาชนที่มีรายได้เหนือระดับ “ความยากจน” ควรจะต้อง “มีส่วนร่วมจ่าย”ตามความเหมาะสม ทั้งนี้ เพื่อให้โรงพยาบาลมีงบประมาณในการจัดซื้อยา เวชภัณฑ์และเครื่องมือแพทย์ ที่เหมาะสมในการรักษาผู้ป่วยตามมาตรฐานการแพทย์ที่ดี
1.2 คณะกรรมการหลักประกันสุขภาพแห่งชาติต้องปรับเปลี่ยนการส่งงบประมาณรายหัวให้แก่โรงพยาบาลหรือสถานบริการอย่างรวดเร็วทันเวลาและถูกต้องเต็มจำนวน โดยคณะกรรมการหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ ต้องเร่งรีบพัฒนาระบบการส่งงบประมาณจากสปสช.ให้แก่สถานพยาบาลให้ตรงไปตรงมา สุจริต โปร่งใสและทันเวลา ให้มีการจ่ายเงินตามงบประมาณรายหัวให้แก่โรงพยาบาลโดยไม่ต้องไปแบ่งแยกงบประมาณเป็นหลายส่วน เหมือนที่เป็นในปัจจุบันนี้ เนื่องจากไม่ถูกต้องตามที่บัญญัติไว้ในพ.ร.บ.หลักประกันสุขภาพแห่งชาติพ.ศ. 2545 และมีผลทำให้โรงพยาบาลได้รับเงินไม่เพียงพอต่อการใช้จ่ายในการให้บริการประชาชน ทั้งนี้เพื่อแก้ให้โรงพยาบาลมีงบประมาณในการจัดหายา เวชภัณฑ์ อุปกรณ์และเครื่องมือแพทย์ เพื่อใช้ในการบริการสาธารณสุขแก่ประชาชนอย่างมีมาตรฐาน สามารถป้องกันความเสียหาย ช่วยให้ประชาชนมีความปลอดภัย และมีสุขภาพดี
1.3คณะกรรมการหลักประกันสุขภาพแห่งชาติต้องยุติโครงการที่คิดขึ้นเอง ให้ทำงานเฉพาะตามที่เป็นหน้าที่ที่บัญญัติไว้ในพ.ร.บ.หลักประกันสุขภาพแห่งชาติเท่านั้น โดยยุติโครงการที่สปสช.วางแผนเอง (Vertical Program) เนื่องจากเป็นการกระทำที่ผิดไปจากพ.ร.บ.หลักประกันสุขภาพแห่งชาติ และเป็นสาเหตุให้มีการให้งบประมาณแก่สถานพยาบาลเอกชนในการทำงานเฉพาะกิจ และทำให้รพ.ที่รักษาผู้ป่วยทั่วไปประสบปัญหาเงินไม่พอใช้ในการรักษาผู้ป่วยจนถึงขาดสภาพคล่องทางการเงิน
1.4 คณะกรรมการหลักประกันสุขภาพแห่งชาติต้องจัดให้มีการประชุมรับฟังความเห็นจากผู้ให้บริการและผู้รับบริการโดยด่วน ตามที่บัญญัติไว้ในพ.ร.บ.หลักประกันสุขภาพแห่งชาติพ.ศ. 2545 มาตรา 18(13) เพื่อให้สปสช.รับรู้ถึงปัญหาความขาดแคลนที่โรงพยาบาลส่วนมากเผชิญอยู่ ทั้งนี้เพื่อกำหนดค่าใช้จ่ายในการให้บริการสาธารณสุขแก่หน่วยบริการอย่างเหมาะสมเพียงพอต่อการบริการสาธารณสุขแก่ประชาชน และให้สปสช.ได้ทำความเข้าใจกับประชาชนที่มารับบริการให้รู้ถึงสภาพที่แท้จริงของงบประมาณที่ใช้ในการรักษา
1.5 ต้องมีการกำหนดขอบเขตการบริการสาธารณสุขว่าระบบ 30 บาทจะให้บริการแค่ไหน อย่างไรแก่ประชาชน ไม่ใช่บอกว่ารักษาทุกโรคแต่ให้งบประมาณไม่พอที่จะรักษาทุกโรคจริง คณะกรรมการหลักประกันสุขภาพแห่งชาติต้องกำหนดว่างบประมาณที่มีอยู่นี้ สามารถครอบคลุมการรักษาได้แค่ไหน อย่างไร และบอกให้ประชาชนได้ทราบขอบเขตของการรักษาตามความเป็นจริง ในกรณีที่ต้องใช้ยาที่มีประสิทธิผลที่สูงกว่านี้ ประชาชนที่ยากจน จะต้องได้รับยาที่เหมาะสม โดยมีกองทุนพิเศษช่วยจ่ายค่ายาเพิ่มขึ้น ในขณะที่ประชาชนที่ไม่ยากไร้ต้องร่วมจ่ายค่ายาตามสัดส่วนที่พอทำได้ ต้องให้ประชาชนร่วมรับรู้ว่า “ของถูกๆ ฟรีๆ ดีๆ” นั้นไม่มีในโลกนี้ กล่าวคือจะต้องมีผู้รับผิดชอบในการจ่ายเงินเสมอ
1.6 กำหนดให้ประชาชน “มีส่วนร่วม” ในการรับผิดชอบดูแลสุขภาพตนเอง ด้วยการกำหนดจำนวนการมาโรงพยาบาล มีระบบนัดหมายตามความเหมาะสม และส่งเสริมให้ประชาชนปรับเปลี่ยนพฤติกรรมให้ส่งเสริมการมีสุขภาพดี (Health Promoting Behavior) เพื่อลดจำนวนการเจ็บป่วยและการไปใช้บริการสาธารณสุข
แต่ถ้าคณะกรรมการหลักประกันสุขภาพไม่ยอมทำตามการแก้ไขที่เสนอนไปนี้ คณะรัฐมนตรีสามารถแก้ไขการบริหารงานของคณะกรรมการหลักประกันสุขภาพแห่งชาติได้ทันที ตามมติครม.เมื่อวันที่ 7 กันยายน 2547 ข้อ 12 (4)
สำหรับหน่วยงานอื่นๆนอกเหนือจากสปสช.คงยังไม่สามารถที่จะแก้ปัญหาในระยะสั้นๆได้ทันที คงต้องวางแผนแก้ปัญหาในระยะกลางและระยะยาวต่อไป
การแก้ปัญหาในระยะกลาง (ภายในเวลา 6-12 เดือน)
1.การแก้ปัญหาเกี่ยวกับระบบหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ รัฐบาลโดยรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุขควรดำเนินการผ่านคณะกรรมการหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ ดังนี้คือ
1.1 การจัดให้มีการรับฟังความคิดเห็น จากประชาชน และผู้ให้บริการ การแก้ปัญหาในระยะกลางนั้น ควรจะมีการจัดรับฟังความคิดเห็นจากผู้ให้บริการและผู้รับบริการ ตามที่กำหนดไว้ในมาตรา 18 (13) ของพ.ร.บ.หลักประกันสุขภาพแห่งชาติ พ.ศ. 2545 ซึ่งคณะกรรมการหลักประกันสุขภาพแห่งชาติไม่เคยทำเลย โดยเฉพาะอย่างยิ่งการกำหนดค่าใช้จ่ายเพื่อบริการสาธารณสุขที่หน่วยบริการจะได้รับจากกองทุนตามมาตรา 46 นั้นได้กำหนดไว้ว่าต้องผ่านความคิดเห็นตามมาตรา 18(13) แต่คณะกรรมการหลักประกันสุขภาพแห่งชาติไม่เคยปฏิบัติมาก่อนเลย ซึ่งทำให้เกิดปัญหาหน่วยบริการไม่ได้รับเงินเพียงพอต่อการจัดบริการเพื่อประชาชน และต้องอาศัยราคาที่กำหนดตามบทบัญญัติในมาตรา46 วรรค 2แห่งพระราชบัญญัติหลักประกันสุขภาพแห่งชาติพ.ศ. 2545อีกด้วย
1.2.การจัดสัมมนาระดมความคิดเห็นเพื่อช่วยกัน “ออกแบบ” ระบบการประกันสุขภาพ และการรับบริการสาธารณสุข ควรเปิดการรับฟังความคิดเห็นจากประชาชน บุคลากรสาธารณสุข พรรคการเมือง นักเศรษฐศาสตร์ ผู้เชี่ยวชาญการเงินการคลัง และผู้เชี่ยวชาญด้านการแพทย์และสาธารณสุข เพื่อให้ได้รับข้อมูลที่ถูกต้อง ตามความจริงที่เป็นอยู่ ไม่ใช่รับฟังจากกลุ่มบุคคลในสวรส.(และองค์กรลูก) สสส. สช. และสปสช.ทั้งนี้เพื่อร่วมกัน “ออกแบบ” ระบบการบริการสาธารณสุข (Healthcare Reform) ให้เหมาะสมมีคุณภาพมาตรฐาน ทันสมัย เพื่อพัฒนาคุณภาพการบริการสาธารณะด้านสาธารณสุขอย่างต่อเนื่อง เพื่อสุขภาพและคุณภาพชีวิตที่ดีของประชาชน
2.การแก้ปัญหาของกระทรวงสาธารณสุขอาจไม่สามารถแก้ปัญหาในระยะสั้นๆได้ทันที ทั้งนี้ก็เนื่องจากปัญหาของกระทรวงสาธารณสุขนั้นมักหมมมานานและพอกพูนขึ้นอีกตลอดเวลา ไม่ว่าจะเป็นการบริหารงบประมาณ บุคลากร และการพัฒนาอาคารสถานที่ อุปกรณ์ เทคโนโลยีและระบบบริการสาธารณสุข ซึ่งผู้เขียนได้เคยเสนอการแก้ไขในส่วนของกระทรวงสาธารณสุขไว้ดังนี้ (5)
2.1จัดสรรงบประมาณให้กระทรวงสาธารณสุขตามภารกิจที่รับผิดชอบ เริ่มจากการแยกงบประมาณเงินเดือน/ค่าตอบแทน และงบประมาณในการก่อสร้างและพัฒนาอาคารสถานที่ แยกต่างหากจากงบประมาณเหมาจ่ายรายหัว และควรควบคุมสปสช.ให้จ่ายเงินให้แก่โรงพยาบาลตามที่ได้รับมาจริง โดยกำหนดงบประมาณตามความจำเป็นของภาระงาน และเพียงพอต่อการพัฒนาคุณภาพของงาน ได้รับงบประมาณในการบริหารงานอย่างเหมาะสม รวมทั้งได้รับงบประมาณเงินเดือนและค่าตอบแทนบุคลากร ตามความเหมาะสมเพียงพอ ทั้งนี้ เพื่อจะได้สามารถพัฒนาระบบบริการสาธารณสุขได้อย่างต่อเนื่อง สามารถพัฒนาอาคารสถานที่ รวมทั้งจัดให้มีอุปกรณ์ทางการแพทย์ และเทคโนโลยีให้เหมาะสมกับภาระงาน
2.2 การเพิ่มบุคลากรให้เหมาะสมกับภาระงาน ต้องกำหนดจำนวนบุคลากรให้สามารถทำงานได้ตามมาตรฐานวิชาชีพ ไม่ว่าจะเป็นบุคลากรตามสายวิชาชีพ หรือฝ่ายสนับสนุนบริการ
2.3 กำหนดค่าตอบแทนและความก้าวหน้าในวิชาชีพ ตามระบบคุณธรรม ควรปรับปรุงอัตราเงินเดือนและค่าตอบแทนบุคลากรให้เหมาะสมกับภาระงาน ให้มีความมั่นคงและความก้าวหน้าในการทำงานตามสายงานวิชาชีพ ความเชี่ยวชาญ หรือสายงานเฉพาะ และจ่ายค่าตอบแทนการทำงานด้วยความเหมาะสม/เป็นธรรม มีการเลื่อนระดับเข้าสู่ตำแหน่งงานที่สูงขึ้นตามระบบคุณธรรม
3.การแก้ปัญหาเกี่ยวกับผู้ปฏิบัติงานในการให้บริการสาธารณสุข (Healthcare Personnel)
3.1 เพิ่มจำนวนผู้ปฏิบัติงานให้มีจำนวนเพียงพอกับภาระงาน เพื่อให้สามารถปฏิบัติงานตามมาตรฐานวิชาชีพหรือสาขาอาชีพอย่างดีที่สุด มีเวลาที่จะอธิบายให้ผู้ป่วยและญาติมีความเข้าใจและสามารถให้ความร่วมมือในการรักษาตัวได้อย่างถูกต้องเหมาะสม ทั้งนี้เพื่อพัฒนาคุณภาพของงานบริการประชาชน ให้ประชาชนมีความสะดวกและปลอดภัย
3.2 ผู้ปฏิบัติงานควรได้รับค่าตอบแทนที่เหมาะสมกับภาระงานและความรับผิดชอบ
3.3 ผู้ปฏิบัติงานควรมีเวลาทำงานและเวลาพักผ่อนที่เหมาะสม เพื่อความปลอดภัยของผู้ป่วยและคุณภาพชีวิตที่ดีของบุคลากรเช่นเดียวกัน ทั้งนี้เพื่อพัฒนางานบริการสาธารณะด้านสาธารณสุข ให้มีมาตรฐานเหมือนๆกับในภาคเอกชน
4.การแก้ปัญหาที่เกี่ยวกับประชาชน
4.1 ประชาชนได้รับความรู้ความเข้าใจและมีความสามารถในการส่งเสริมสุขภาพ ป้องกันโรค และสามารถรักษาพยาบาลขั้นต้นแก่ตนเองและครอบครัว เพื่อลดภาระการไปใช้บริการสาธารณสุขเท่าที่จำเป็น โดยต้องกำหนดให้หน่วยงานที่มีหน้าที่ส่งเสริมสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ มีบทบาทในการช่วยเหลือประชาชนให้ปรับเปลี่ยนพฤติกรรมที่ส่งเสริมสุขภาพและป้องกันโรคและการเจ็บป่วยได้ และสามารถทำการปฐมพยาบาลแก่ตนเองและสมาชิกในครอบครัวได้ ปรับเปลี่ยนพฤติกรรมในการดูแลรักษาสุขภาพ และไปใช้บริการสาธารณสุขเมื่อจำเป็น เพื่อให้บุลากรสาธารณสุขมีเวลาทำงานตามมาตรฐานในกรณีผู้ป่วยที่จำเป็นในการรักษา
4.2 ประชาชนให้ความร่วมมือในการรักษาสุขภาพดีขึ้น
3.การแก้ปัญหาระยะยาว เป็นการวางแผนการแก้ปัญหาที่ต้องใช้เวลาดำเนินการมากกว่า 1 ปีขึ้นไป ได้แก่
3.1 ปัญหาจากระบบหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ ควรพิจารณาแก้ไขพ.ร.บ.หลักประกันสุขภาพแห่งชาติ พ.ศ.2545 และพ.ร.บ.ต่างๆที่เกี่ยวข้อง ไม่ว่าจะเป็น สวรส. สสส. สช. และสปสช.เพื่อให้รัฐบาลสามารถควบคุมและตรวจสอบการบริหารจัดการในการบริการสาธารณะด้านสาธารณสุข และการประกันสุขภาพให้เหมาะสม มีประสิทธิภาพ เพื่อให้มีความเหมาะสมกับงบประมาณแผ่นดิน สามารถตรวจสอบการใช้เงินให้สุจริต โปร่งใส และเกิดประสิทธิภาพ โดยสามารถปกป้องคุ้มครองประชาชน ให้ได้รับการบริการดูแลรักษาสุขภาพที่มีมาตรฐาน มีสุขภาพและคุณภาพชีวิตที่ดี โดยบุคลากรได้รับความคุ้มครองตามที่บัญญัติไว้ในมาตรา 81(2) ของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พ.ศ. 2550 และที่สำคัญที่สุดก็คือระบบบริการทางการแพทย์และสาธารณสุขไทยก็ยังมีการพัฒนาอย่างต่อเนื่อง สามารถก้าวทันต่อการพัฒนาทางการแพทย์และสาธารณสุขในประเทศที่พัฒนาแล้วทั่วโลก
ควรมีการกำหนดมาตรฐานการรักษาที่ครอบคลุมในระบบหลักประกัน ส่วนที่ไม่ครอบคลุมนั้นจะกำหนดให้ประชาชนมีส่วนร่วมจ่ายหรือไม่อย่างไรให้ชัดเจน ทั้งนี้ เพื่อให้เงินงบประมาณในระบบมีเพียงพอต่อการให้บริการสาธารณสุขที่มีมาตรฐาน
และควรมีการประเมินผลการบริการสาธารณสุขให้ครอบคลุมทุกประเด็น ทั้งนี้เพื่อให้ประชาชนได้รับการบริการด้านสุขภาพที่มีมาตรฐาน มีความปลอดภัย มีสุขภาพและคุณภาพชีวิตที่ดี
3.2 ปัญหาในส่วนกระทรวงสาธารณสุข ควรแยกการบริหารงานบุคคลของกระทรวงสาธารณสุขออกจากกพ. เพื่อจะได้กำหนดตำแหน่ง และความก้าวหน้าในวิชาชีพได้อย่างเหมาะสม ได้รับเงินเดือนและค่าตอบแทนตามภาระงานและความรับผิดชอบ เพื่อให้บุคลากรยังทำงานบริการประชาชน ไม่ลาออกไปจากราชการ เพื่อสามารถพัฒนาคุณภาพมาตรฐานการบริการสาธารณสุขได้อย่างต่อเนื่อง
จะเห็นได้ว่า การบริการสาธารณะด้านสาธารณสุข เป็นงานที่ต้องทำต่อเนื่องตลอดเวลา 24 ชั่วโมงในทุกๆวัน เป็นงานด่วนและฉุกเฉินไม่สามารถเก็บงานไว้ในลิ้นชักเพื่อทำทีหลังได้ และเป็นงานที่เสี่ยงอันตราย มีชีวิตและสุขภาพของผู้ป่วยเป็นเดิมพัน การจะจำกัดตำแหน่งของจำนวนบุคลากร(ตามที่ก.พ.ทำอยู่) จึงทำให้มีปัญหาบุคลากรน้อย ทำให้ไม่สามารถทำงานตามมาตรฐานได้
ข้อเสนอให้แก้ปัญหาการบริหารงานบุคคล จึงควรแยกออกจากก.พ.มาบริหารเองเป็น ก.สธ. (คณะกรรมการข้าราชการสาธารณสุข)เพื่อให้สามารถกำหนดตำแหน่งบุคลากรได้อย่างเหมาะสม เพื่อให้บริการสาธารณสุขมีคุณภาพมาตรฐาน เพื่อความสะดวกและปลอดภัยของประชาชน
3.3 พัฒนาระบบการให้บริการเพื่อความสะดวกรวดเร็วและมีประสิทธิภาพ เช่น ในโรงพยาบาลที่ให้การบริการสาธารณสุขแก่ประชาชน ควรมีการนัดเวลารับบริการ เพื่อให้ประชาชนไม่ต้องเสียเวลารอนานในการไปรับบริการ ทำให้บุคลากรทางการแพทย์มีเวลาที่จะทำงานได้อย่างมีคุณภาพ เพื่อให้ประชาชนได้รับความสะดวก และปลอดภัย พัฒนาระบบการส่งผู้ป่วยต่อไปเพื่อรับการปรึกษาอย่างรวดเร็ว ปลอดภัย และเหมาะสม
3.4 ในด้านประชาชน ควรดำเนินการผลักดันนโยบาย “การสร้างสุขภาพ” มากกว่า “การซ่อมสุขภาพ” ให้ได้ผลอย่างเป็นรูปธรรม เพื่อลดความเจ็บป่วยของประชาชน
ควรกำหนดได้ว่าประชาชนที่มีรายได้เท่าไร นับว่าเป็นประชาชนที่ยากจน และประชาชนที่ไม่ยากจนควรมีส่วนร่วมจ่ายเงินในการไปรับบริการจากโรงพยาบาล ทั้งนี้ เพื่อที่จะทำให้มีเงินในระบบมากขึ้น ประชาชนจะได้รับยาที่มีคุณภาพ ไม่ต้องให้แพทย์สั่งยาได้เพียงไม่กี่ชนิดที่เป็นยาเก่าๆล้าสมัยแล้วเท่านั้น และประชาชนมีส่วนร่วมรับผิดชอบในการดูแลสุขภาพ มีสุขภาพดีดโยลดการพึ่งพาโรงพยาบาลลงได้
ข้อเสนอต่างๆเหล่านี้ สามารถทำได้จริง ถ้ารัฐบาลผู้รับผิดชอบในการบริหารประเทศ จะเปิดใจกว้าง รับฟังความเห็นที่แตกต่างจากเดิม เพื่อประโยชน์สุข สุขภาพ และคุณภาพชีวิตที่ดีของประชาชนทุกคน
เอกสารอ้างอิง
1.บทความเรื่อง “ปาหี่ปฏิรูปประเทศ 1,000 ล้านบาท วารสารผู้จัดการสุดสัปดาห์ ปีที่ 2 ฉบับที่ 60 วันที่ 27พ.ย. – 3 ธ.ค. 53
2.
http://www.manager.co.th/QOL/ViewNews.aspx?NewsID=95500001167143.รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2550
4.มติครม. 7 ก.ย. 47 ข้อ 12
http://www.eppo.go.th/admin/cab/cab-2547-09-07.html#125.
http://www.thaitrl.org/index.php?option=com_content&task=view&id=1490&Itemid=56 ข้อเสนอในการแก้ปัญหาและปรับโครงสร้างกระทรวงสาธารณสุขและสปสช.
พญ.เชิดชู อริยศรีวัฒนา
ประธานสหพันธ์ผู้ปฏิบัติงานด้านการแพทย์และสาธารณสุขแห่งประเทศไทย (สผพท.)
24 กันยายน 2555