ผู้เขียน หัวข้อ: การเอาเปรียบทางสุขภาพที่สหรัฐฯกระทำต่อคนทั่วโลก  (อ่าน 1328 ครั้ง)

seeat

  • Sr. Member
  • ****
  • กระทู้: 470
    • ดูรายละเอียด


ตลอดระยะประวัติศาสตร์ยุคใกล้อเมริกาสร้างความเจ็บปวดและขมขื่นให้กับประเทศเล็กประเทศน้อยมาเสมอ วิลเลียม บลูม อดีตข้าราชการกระทรวงต่างประเทศสหรัฐฯ ผู้ลาออกจากราชการด้วยความไม่เห็นด้วยในนโยบายการเมืองของรัฐบาลกล่าวว่า สหรัฐฯได้แทรกแซงประเทศต่างๆมาแล้วมากกว่า 25 ประเทศ ได้แก่ จีน อิตาลี กรีซ ฟิลิปปินส์ เกาหลีใต้ แอลเบเนีย เยอรมนี อิหร่าน กัวเตมาลา ซีเรีย จอร์แดน เลบานอน อินโดนีเซีย กายาน่า เวียดนาม กัมพูชา ซาอีร์ บราซิล สาธารณรัฐโดมินิกัน คิวบา ชีลี นิการากัว เกรนาดา ลิเบีย ปานามา อัฟกานิสถาน เอลซาวาดอ เฮติ ฯลฯ ระยะอันใกล้สหรัฐฯยังเข้าไปยุ่มย่ามทั้งในอียิปต์ ยูเครน และกำลังยุ่มย่ามเข้ามาในประเทศไทยอีกด้วย

ทีนี้ลองมาดูมิติทางสังคมและสุขภาพบ้าง วิถีชีวิตแบบเสพกินและบริโภคนิยมของอเมริกันก่อให้เกิดความฟุ้งเฟ้อ หนี้สินครัวเรือนและหนี้สินประชาชาติเพิ่มทวีขึ้น ญี่ปุ่นหลังแพ้สงครามถูกทำให้เป็นแบบอเมริกัน(Americanization) ผลวิจัยของนักวิจัยชื่อคากาว่า ติดตามแนวโน้มการกินอาหารของคนญี่ปุ่นที่เปลี่ยนไปจากปีค.ศ.1950 ถึง 1975 พบว่าคนญี่ปุ่นดื่มนมวัวเพิ่มขึ้น 15 เท่าตัว และกินเนื้อสัตว์เพิ่มขึ้น 7.8 เท่าตัว ผลก็คือผู้หญิงญี่ปุ่นป่วยเป็นโรคมะเร็งปอด มะเร็งลำไส้ใหญ่ และมะเร็งเต้านมเพิ่มขึ้น 300%

หลังสงครามโลกครั้งที่ 2 สหรัฐอเมริกาส่งเสริมการผลิตน้ำมันถั่วเหลืองและต้องการตัดคู่แข่งคือน้ำมันมะพร้าวจากประเทศเอเชียแปซิฟิก บริษัทน้ำมันถั่วเหลืองยักษ์ใหญ่ของสหรัฐฯได้ว่าจ้างนักวิจัยชื่ออาร์เรนส์ เอาน้ำมันมะพร้าวทำฮัยโดรจีเนตให้ผิดธรรมชาติ กลายเป็นน้ำมันอิ่มตัวไปทั้งหมดเป็นน้ำมันทรานส์(trans fat) แล้วนำไปเลี้ยงหนูทดลองจนเกิดอาการของโรคหัวใจหลอดเลือด จากนั้นเอาไปป้อนให้ชนเผ่าบันตูในแอฟริกา โดยให้กินน้ำมันชนิดนี้คนละ 100 กรัมต่อวัน(1/2 ถ้วย) ก็พบว่าทำให้คอเลสเตอรอลสูงและหลอดเลือดแข็งตัวกันถ้วนทั่ว ชนเผ่านี้น่าจะเป็นมนุษย์กลุ่มแรกที่ถูกป้อนน้ำมันทรานส์ จนไขมันเลือดสูงและเส้นเลือดอุดตันจากการวิจัยที่ไร้มนุษยธรรมดังกล่าว จากนั้นบริษัทน้ำมันถั่วเหลืองของสหรัฐฯก็ประโคมข่าวว่าน้ำมันมะพร้าวก่อให้เกิดโรคหัวใจหลอดเลือด แล้วผลักดันน้ำมันถั่วเหลืองเข้าสู่ตลาดโลก ความกลัวน้ำมันมะพร้าวยังแฝงฝังอยู่ในความเชื่อของผู้คนตราบเท่าทุกวันนี้

เพื่อครอบครองตลาดโลกทางด้านเกษตรกรรม บริษัทยักษ์ใหญ่บริษัทหนึ่งของสหรัฐฯผู้ผลิตพืชจีเอ็มโอ(GMOs)พยายามเผยแพร่พันธุ์พืชดังกล่าวไปทั่วโลก ประเทศไหนยังต่อต้านก็ได้ดำเนินการลักลอบหรือร่วมมืออย่างลับๆกับข้าราชการของประเทศนั้นแอบปลูกพืชจีเอ็มโอสอดแทรกเข้าไป ทั้งๆที่ละเมิดกฎหมายของประเทศเหล่านั้น จนพืชพันธุ์พื้นเมืองของหลายประเทศรวมทั้งประเทศไทยด้วย กำลังประสบปัญหาการปนเปื้อนจากพืชจีเอ็นโอ และมีความเป็นไปได้สูงที่จะก่อให้เกิดปัญหาทางสุขภาพแก่ประชากรของแต่ละประเทศในระยะยาว

สหรัฐฯคือเจ้าแห่งกิจการค้ายาในขอบเขตทั่วโลก บริษัทค้ายายักษ์ใหญ่ได้ใช้เล่ห์เพทุบายหลายประการส่งเสริมการบริโภคยาโดยขาดความจำเป็นในหลายๆกรณี เริ่มต้นจากบริษัทเมอร์คผู้ค้ายาลดไขมันสแตตินตั้งแต่ค.ศ.1987 ต่อมาก็ยาลิปิเตอร์ของไฟเซอร์ซึ่งเป็นบรรษัทที่ใหญ่ที่สุดในโลก ยอดขายยานี้ราว 2 แสนล้านดอลล่าห์ต่อปี กลเม็ดของการเพิ่มยอดขายของยาลดไขมันอยู่ที่การกำหนด “ค่าปกติของคอเสเตอรรอล” ซึ่งจะกำหนดโดยคณะกรรมการชุดหนึ่งด้านการใช้ยาในสหรัฐฯ

หลายคนคงจำได้ว่าเมื่อก่อนนี้ระดับคอเลสเตอรอลที่ปกติอยู่ที่ 250 มก./ดล. แต่ต่อมาด้วยการ “ทำใต้โต๊ะ” ของบริษัทยาที่ให้กับคณะกรรมการดังกล่าว จึงมีการกำหนดค่านิยามใหม่เมื่อปีค.ศ.2001 ไว้ที่ 200 มก./ดล. ผลก็คือคนทั่วโลกที่มีระดับคอเลสเตอรอลในระหว่าง 200-250 มก./ดล. เมื่อวันก่อนยังเป็นคนสุขภาพปกติ ก็กลายเป็นผู้ป่วยด้วยโรคไขมันเลือดสูงภายในชั่วข้ามคืนเดียว ยาลดไขมันจึงกลายเป็นยาที่มียอดขายสูงสุดในประวัติศาสตร์ของมนุษยชาติ ปัจจุบันความจริงก็ปรากฏขึ้น บริษัทเมิร์ค/เชอริงเพลายอมรับว่า ยาซีเทีย((Zetia) ของบริษัทตนเองซึ่งขายดีติดอันดับหนึ่งไม่อาจพิสูจน์ได้ว่า ผู้ที่กินยาดังกล่าวจะลดโอกาสเกิดโรคหัวใจได้แต่อย่างใด แท้จริงการใช้ยาลดไขมันก็เป็น “วิทยาศาสตร์จอมปลอมที่ก่อกระแสการต่อต้านคอเลสเตอรอล(the bad science that create cholesterol con)” เท่านั้นเอง แต่พวกเขาก็ยังคงกวาดเงินจากคนทั่วโลกโดยแพทย์ส่วนใหญ่รวมทั้งผู้ป่วยอีกจำนวนมหาศาลก็ยังไม่ทราบความจริงข้อนี้

นอกจากยาลดไขมันจะไม่เกิดประโยชน์ในการลดโรคหัวใจแล้วยังเกิดโทษอีกหลายประการ ที่สำคัญคือยาลดไขมันมีกลไกอยู่ที่การเพิ่มปุ่มรับ(receptor) บนเซลล์ตับให้จับคอเลสเตอรอลเข้าสู่ตับให้มากขึ้น ดังนั้นไขมันในเลือดจึงเพียงแต่ถูกย้ายที่จากในเลือดให้ไปสะสมอยู่ในตับ ซึ่งเท่ากับการกลบเกลื่อนปัญหาเหมือนกวาดขยะไปซุกไว้ใต้พรม ด้วยเหตุนี้การกินยาลดไขมันไปนานๆจึงเสี่ยงต่อโรคไขมันพอกตับ ตับอักเสบและตับแข็ง นี่คือ “อุบายขายโรค” ที่กระทำโดยบริษัทขายยาของสหรัฐอเมริกาโดยมีคนไทยและคนทั่วโลกตกเป็นเหยื่อ

ในด้านอาหารการกิน สหรัฐฯคือต้นแบบของอาหาร “แดกด่วน” น้ำอัดลมคือแบบอย่างของเครื่องดื่มทำลายสุขภาพ นอกจากความหวานแล้วยังอุดมด้วยฟอสฟอรัสเพื่อรักษาความเป็นฟองฟู่ประกายในขวด เมื่อกินฟอสฟอรัสเข้าไปมากร่างกายต้องใช้แคลเซียมจากกระดูกให้ละลายออกมาจับกันเป็นแคลเซียมฟอสเฟตเพื่อขับทิ้งทางปัสสาวะ น้ำอัดลมจึงเป็นเหตุของโรคกระดูกพรุน ในอีกด้านหนึ่งอลูมิเนียมที่ใช้เคลือบกระป๋องน้ำอัดลมคือที่มาของสารโลหะหนัก เป็นเหตุหนึ่งของโรคไขมันเลือดสูง แถมเสี่ยงต่ออัลไซเมอร์

ฟาสต์ฟูดแบบอเมริกันคือสาเหตุสำคัญของการเกิดโรคอ้วน ไขมันเลือดสูง เบาหวาน โรคหัวใจ หลอดเลือดสมอง รวมทั้งมะเร็งด้วย สาเหตุเพราะฟาสต์ฟู้ดเป็นอาหารที่ไม่ได้สัดส่วน และยังมีปัญหาน้ำมันทอดซ้ำเกิดอนุมูลอิสระ บริษัทฟาสต์ฟู้ดอเมริกันในประเทศคือตัวการหนึ่งที่ทำให้น้ำมันทอดซ้ำกระจายออกไปสู่ปากท้องของประชาชนไทย เรื่องมีอยู่ว่าสถาบันวิจัยวิทยาศาสตร์แห่งชาติของไทยได้ค้นพบวิธีทำไบโอดีเซล ผู้อำนวยการสถาบันดังกล่าวจึงไปติดต่อขอซื้อน้ำมันที่เหลือจากการทอดไก่ทอดและเฟรนช์ไฟรด์จากบริษัทฟาสต์ฟู้ด 2 บริษัทใหญ่ที่อยู่ตามศูนย์การค้า เพื่อนำมาใช้ทำไบโอดีเซล แทนที่จะทิ้งไปเปล่าๆ จากนี้เองจึงได้พบความจริงว่า พวกเขาไม่ได้ทิ้งน้ำมันใช้แล้วเหล่านั้นอันอุดมด้วยอนุมูลอิสระไปเลย แต่แอบขายไปให้แม่ค้าตลาดล่างที่ทำอาหารประเภททอดๆทั้งหลาย และอีกส่วนหนึ่งขายต่อไปให้กับโรงงานทำก๋วยเตี๋ยว กลับมาสู่ปากท้องของผู้บริโภคอีกครั้งหนึ่ง เรื่องของน้ำมันทอดซ้ำนี้ถ้าเป็นประเทศในยุโรปจะมีกฎหมายห้ามนำกลับมาใช้ในห่วงโซ่อาหารของมนุษย์ ดังนั้นบริษัทไก่ทอดและแฮมเบอร์เกอร์ของอเมริกันที่เข้าไปในยุโรปจะไม่สามารถขายน้ำมันทอดซ้ำไปให้แก่ผู้บริโภคได้ แต่ในประเทศไทยอาศัยที่เราไม่มีกฎหมายควบคุม บริษัทอเมริกันเหล่านี้จึงเอาเปรียบคนไทยขายน้ำมันทอดซ้ำให้กลับสู่ปากท้องของคนไทยอีกครั้งหนึ่ง ทั้งๆที่ตัวเองก็รู้ว่าน้ำมันทอดซ้ำก่อให้เกิดโรคหลายอย่างรวมทั้งมะเร็งด้วย

เหล่านี้คือความเลวร้ายและเอารัดเอาเปรียบของสหรัฐฯและบริษัทสัญชาติอเมริกันที่กระทำต่อประชาชนประเทศต่างๆ รวมทั้งประชาชนคนไทยด้วย ถึงเวลาหรือยังที่คนไทยควรจะทำประการใดประการหนึ่งเพื่อเป็นการตอบโต้สหรัฐอเมริกา?

นพ.บรรจบ ชุณหสวัสดิกุล