ไทยพับลิก้า: เป็นเพราะอาชีพหมอแตกต่างจากอาชีพอื่นๆ การรักษามันผิดถูกได้ไหม เพราะคนไข้ที่เป็นโรคเดียวกัน ก็รักษาได้ผลไม่เหมือนกัน
เราบอกว่า คนไข้ไออย่างเดียว อาจจะเป็นมะเร็งก็ได้ อาจจะเป็นวัณโรคก็ได้ อาจจะเป็นปอดบวมก็ได้ หลอดลมอักเสบก็ได้ เพราะมันมีตั้งหลายโรค จากการไอเหมือนกัน เพราะฉะนั้น จะบอกว่าดูปุ๊บ วินิจฉัยได้เลย หรือเอ็กซเรย์อย่างเดียวแล้วจะบอกได้เลย เป็นไปไม่ได้ คนที่ฟ้องและการพิพากษาไม่เข้าใจ
โรคอย่างเดียวกัน อาการไม่เหมือนกันในต่ละคน และโรคอย่างเดียวกัน ให้ยาอย่างเดียวกัน บางคนรักษาหาย บางคนไม่หาย บางคนหายเร็ว บางคนหายช้า เพราะฉะนั้น จะให้เป๊ะๆ เลยไม่ได้ การวินิจฉัยไม่สามารถบอกได้ตอนแรก มีโอกาสเป็นได้หลายโรค ต้องดูไประยะหนึ่งถึงจะรู้ ที่บอกว่าทำไมไม่รู้ตั้งแต่วันแรกก็เพราะบอกไม่ได้ ก็ต้องให้ยาทุกตัว ทุกโรคที่เป็นไปได้ ความเสียหายก็เกิดขึ้นแล้ว ทำให้เชื้อดื้อยา ทำให้ใช้ยาเยอะ โอกาสแพ้ยาก็เพิ่มขึ้น เหล่านี้คือคนไม่เข้าใจว่าผลกระทบเป็นอย่างไร
ไทยพับลิก้า: ประเด็นนี้หมอต้องสื่อสารให้ประชาชนเข้าใจ
ผมว่าคนเข้าใจ แต่มีคนยุว่าฟ้องแล้วได้เงิน มีบางกลุ่มที่ยุให้ฟ้อง อย่างกรณีน้องหมิว โรงพยาบาลจ่ายให้แล้ว 500,000 บาท แต่กลุ่มที่ยุให้ฟ้องเขาต้องการ 15 ล้านบาท โรงพยาบาลจ่ายให้ 5 แสนบาท เพราะเขาเป็นโรคอยู่ ทำให้เขาปัญญาอ่อน จริงๆ ต้องป้องกัน หากรู้ว่าคนในบ้านเป็นวัณโรค ถ้าพ่อแม่เป็นในบ้านต้องให้ยาป้องกันไว้ก่อน ต้องเอาเด็กมาตรวจ ขนาดเด็กไม่เป็นโรคเราต้องให้ยากินป้องกันไว้ก่อน ถ้าเป็นไปแล้วแก้ยาก ความเสียหายเกิดขึ้นแล้ว หากไม่เข้าใจแล้วไปโทษหมอรักษา มันสะเทือนทั้งประเทศเลย
ไทยพับลิก้า: อนาคตระบบสาธารณสุขไทยจะเป็นอย่างไร
ตอนนี้ประชาชนโยนความรับผิดชอบเรื่องสุขภาพทั้งหมดไปให้รัฐบาล ไม่ดูแลตนเอง ให้หมอรักษา บอกว่าเป็นหน้าที่ของหมอตามนโยบายรัฐบาล สุขภาพตัวเองแต่ให้เป็นหน้าที่คนอื่นดูแล แล้วหมอจะรับผิดชอบอย่างไร ให้ยากินก็ไม่ทำตาม ถ้าหากประชาชนมีส่วนร่วมด้วย ต้องจ่ายเงินบางส่วน ประชาชนก็ระวังดูแลตัวเอง ไม่ให้ป่วย แต่ปัจจุบันเขาไม่เดือดร้อนเพราะรักษาฟรี แล้วจะเรียกร้องมากขึ้น เพราะไม่ใช่ความรับผิดชอบของเขา บอกว่าคุณหมอมีหน้าที่รับผิดชอบ ถ้าทำไม่ดีเขาจะเล่นงานคุณ (หมอ) เพราะคุณมีหน้าที่รับผิดชอบสุขภาพเขา หากเขารับผิดชอบตัวเขาเอง เขาจะกล้าฟ้องใครไหม เขาจะกล้าฟ้องตัวเองไหม
ไทยพับลิก้า: หมอฟ้องคนไข้ได้ไหม ที่ไม่ดูแลตัวเอง
คนไข้ไม่ได้ทำตามที่หมอบอก เมืองไทยไม่มีทำโทษ จริงๆ หน้าที่ประชาชนต้องดูแลสุขภาพตนเองด้วย รัฐธรรมนูญยังไม่ใส่เรื่องนี้เลย เพราะการป้องกันไม่ให้ป่วยสำคัญที่สุด เมื่อป่วยมาแล้ว หมอมีหน้าที่ช่วย คือช่วยให้ตายช้าลง หรือให้เจ็บปวดน้อยลง แต่คุณต้องไม่เป็นอะไรเลย ปลอดภัยที่สุด แต่ของไทยไม่ใช่อย่างนี้ รัฐบาลบอกว่าเป็นหน้าที่ของรัฐบาลดูแลให้หมด เป็นประเทศเดียวในโลกที่ให้ฟรีหมดทุกอย่าง
สหรัฐอเมริกา คนแก่อายุ 65 ที่บอกว่ารักษาฟรี ต้องจ่ายค่ายาร่วมด้วยอย่างน้อย 30% แคนาดา บอกว่ารักษาฟรี หมอรักษาให้ฟรี แต่ค่ายาต้องจ่ายเอง ของเราฟรีหมดทุกอย่าง เอายาไปทิ้งพรุ่งนี้มาเอาใหม่ได้
ไทยพับลิก้า: ทำไม สปสช. บอกว่าประเทศอื่นเขาเอาไทยเป็นตัวอย่าง
ต่างประเทศชม เพราะเขาบอกเราเก่งจริงๆ ทำได้อย่างไร เขารวยกว่ายังทำไม่ได้เลย ไม่รู้ว่าเขารวยหรือเขาประชด อเมริกา อังกฤษ รวยกว่าตั้งเยอะยังทำไม่ได้ คนไทยทำได้อย่างไร หารู้ไม่ว่าเรากำลังเจ๊งอยู่
ไทยพับลิก้า: สรุปว่าระบบรักษาฟรีเรากำลังเจ๊ง
เราเจ๊งอยู่ และเราจะพังไปเรื่อยๆ
ไทยพับลิก้า: ผลกระทบจริงๆ อยู่ตรงไหน
โรงพยาบาลรัฐหลายโรงกำลังแย่ อีกไม่นานอาจจะพังทั้งระบบ ที่ฝรั่งชม เป็นมารยาทของเขา ชมแล้วทำให้เราหลงว่าเรื่องจริง คิดว่าเราแน่ แต่หารู้ไม่ว่าเรากำลังพัง ถามว่าที่เขาชม มีใครทำตามประเทศไทยไหม ไม่มีใครทำแบบไทย ประเทศจีนยังต้องจ่ายร่วม ไทยเข้าใจผิดไปอ้างว่าทั่วโลกชม แน่นอน ชมว่าทำได้ แต่ทำได้อย่างไรนั้น หากเขาชมจริง เขาคงต้องทำตามเมืองไทยแล้ว ตอนนี้คนเจ๊งคือโรงพยาบาลเจ๊งแทน ดูข้อมูลจากกระทรวงสาธารณสุขได้
ก่อนหน้านี้โรงพยาบาลเอกชนที่เคยเข้าร่วมรับคนไข้ สปสช. ที่เคยเข้าไปก็ออกหมดแล้ว เหลือแต่คลินิก โรงเรียนแพทย์ยังไม่เข้าร่วม สปสช. เลยทำให้โชคดีไปที่ยังมีโรงพยาบาลที่มีคุณภาพดีรักษาอยู่ ถ้าเข้าไปทั้งหมดก็เจ๊งทั้งประเทศเลย แต่นี่ก็ยังเหลือโรงพยาบาลโรงเรียนแพทย์อยู่
ไทยพับลิก้า: คนต่างจังหวัดไม่มีทางเลือก
ตอนนี้โรงพยาบาลศูนย์ในจังหวัดต่างๆ ก็พยายามหารายได้จากการเปิดคลินิกนอกเวลา เพื่อหารายได้มาชดเชย ไม่งั้นอยู่ไม่ได้ ที่เขาบอกว่าทุกคนเข้าถึงการรักษาพยาบาล เขาเน้นคนยากจน คนห่างไกล คนที่เข้าถึงแล้วไม่ต้องไปยุ่ง แต่ของเราไปยุ่งทุกคน รวมทั้งเศรษฐีด้วย ให้เขาด้วย จริงๆ ต้องช่วยคนที่ช่วยตัวเองไม่ได้ ห่างไกล ยากจน คนที่ช่วยตัวเองได้แล้วไม่ต้องช่วย นี่ให้ทุกคนเลย เศรษฐีเส้นสายก็เยอะ มาแย่งใช้ เพราะเป็นสิทธิของข้าพเจ้า ในเมื่อให้สิทธิเขา เขามีเงินซื้อเหล้า บุหรี่ได้ ซื้อเครื่องสำอางแพงๆ ซื้อได้ แต่ซื้อยาแก้ไข้ไม่ได้ เพราะเป็นสิทธิของข้าพเจ้า
ดังนั้น หลักการต้องช่วยคนที่ช่วยตัวเองไม่ได้ ต้องเข้าไปช่วย เราจะไม่ให้คนยากจนเพราะความเจ็บป่วย ทุกคนต้องร่วมจ่ายเริ่มต้น เพื่อจะได้ระมัดระวังตัวเอง แต่ก็มีกรอบอยู่ว่า ถึงแค่ไหนไม่ต้องจ่าย เพราะคุณไม่แกล้งป่วยอยู่แล้ว เมืองนอกให้จ่ายร่วม แต่มีเพดานอยู่ทุกคน และเขาจับให้ทุกคนเสียภาษีหมด เก็บมาก่อน สิ้นปีคืนให้หากไม่ถึงเกณฑ์ เพื่อจะได้มีข้อมูล ใครไม่เคยเสียภาษีก็เบิกไม่ได้ รายได้คุณน้อยก็คืนให้ แต่บ้านเราคนไม่เสียภาษีเยอะมาก ไม่มีข้อมูลคนรายได้น้อย
คนไข้เองก็แย่ลง คุณภาพการรักษาจะลดลง แล้วหมอก็จะไม่ทำ อัตราตายก็จะสูงขึ้น จะมีการส่งต่อมากขึ้น แม้จะมีการส่งต่อแต่การไปเยี่ยมเยียนก็ลำบาก แทนที่จะอยู่ใกล้บ้าน รัฐบาลเสียเงินไปเยอะกับการสร้างห้องผ่าตัดตามโรงพยาบาลชุมชน ทำไปแล้วไม่ได้ใช้ สูญเสียทรัพยากร เป็นที่เก็บของ เสียหาย แล้วหมอที่ผลิตมาใช้เงินมหาศาล ลาออกไปก็เสียหาย เปลี่ยนอาชีพไปเยอะ
การผลิตหมอ 6 ปี ใช้เงินอย่างน้อยปีละ 300,000 บาท หลายคนบอกว่าเขายินดีจ่ายเอง อย่ามาบังคับเขา ตอนนี้บังคับ ให้ใช้ทุน คนก็ไปเรียนแพทย์เอกชนเยอะขึ้น จ่ายแล้ว อิสระ ไม่ต้องใช้ทุน ไม่มีใครอยากมีพันธะ ต้องไปอยู่ต่างจังหวัด คนไทยเรียนแพทย์ 6 ปี ต้องไปใช้ทุน 3 ปี จึงจะมาเป็นแพทย์ประจำบ้าน ก็ 9 ปีแล้ว ถ้าไม่ใช้ทุนปรับ 400,000 บาท มาตรการนี้ทำไปแล้วหมออยู่ต่างจังหวัดเยอะขึ้นไหม พอใช้ทุนครบปุ๊บทุกคนลาออกหมด เราทำมา 40 ปี หมอออกหมดเหมือนเดิม แสดงว่าวิธีนี้ไม่ได้ผล เอกชนทำไมมีหมอลาออกไปอยู่ หมอไปเอง เหมือนอเมริกัน เมื่อก่อนเกณฑ์ทหารไปรบ เอาเด็กที่เรียนไม่ดีไปรบ ตายเยอะแยะ ตอนหลังเลิกเกณฑ์ทหาร ใช้อาสาสมัคร เพราะเงินเดือนดี มีการเทรนความรู้ด้านต่างๆ คนแย่งกันเข้า ใช้วิธีการทางบวก
ไทยพับลิก้า: ตอนนี้ทางแพทยสภาทำอะไรบ้างเพื่อแก้ปัญหาเรื่องนี้
ตอนนี้เราดูเรื่องการเรียนการสอน จากการฟ้องร้อง ปัญหาอันหนึ่งคือการสื่อสาร ไม่ได้มีการสอนหมอถึงวิธีการคุยกับคนไข้ หมออธิบายไม่เป็น ระหว่างหมอกับคนไข้ ญาติ ต้องคุยกันอย่างไร และต้องบันทึกเป็นหลักฐานอย่างไร ไม่อย่างนั้นฟ้องมาจะแพ้ ต่อให้คุณพูดทั้งชั่วโมงแต่คุณไม่ได้บันทึกไว้ คนไข้ก็บอกว่าไม่ได้พูด ไม่มีหลักฐาน เมืองนอก คุย 5 นาที แต่เขียน 15 นาที ฝรั่งคุยนิดเดียวเขียนเยอะ เพื่อเกิดเรื่องจะได้ป้องกันได้
แต่บ้านเราทำไม่ได้ เพราะคนไข้เยอะ เขียนไม่ทัน ของฝรั่งตรวจครบ 20 คนเลิกตรวจ แต่ของไทยต้องตรวจให้หมด มี 100-200 คนต้องตรวจให้หมด ไม่ตรวจเอาเรื่อง เราตามใจคนไข้ แต่ฝรั่งบอกคุณไปหาหมอเมืองนอก ถ้าไม่นัดไม่มีทาง ยกเว้นฉุกเฉิน ของไทยไม่ต้องนัดไปได้ตลอดเวลา ต้องได้ตรวจด้วย ถ้าไม่ตรวจเอาเรื่อง ซึ่งเราใช้วิธีเอาใจคนไข้ ทำได้ทุกอย่าง หมอต้องรับใช้
เวลาคุยจะน้อยลง ยิ่งคนไข้มาก คุณภาพก็ลดลง ปัญหายิ่งจะมากขึ้น เราก็ต้องสอนเรื่องการสื่อสาร การบันทึก
นอกจากนี้ เรื่องความปลอดภัย ที่จะทำให้ผู้ป่วยไม่มีปัญหาแทรกซ้อน จะเน้นพวกนี้มากขึ้น
รวมทั้งหมอต้องเรียนกฎหมายด้วย เมื่อก่อนไม่ต้องเรียน อบรมผู้เชี่ยวชาญให้มีมากขึ้น เพื่อปัญหาจะได้น้อยลง แต่สวนทางกับรัฐบาลที่อยากให้มีหมอทั่วไปมากขึ้น แต่เราดูแล้ว ประชาชนและศาลอยากให้มีหมอเชี่ยวชาญ เมื่อทุกคนต้องการความเชี่ยวชาญก็ต้องไปเชี่ยวชาญ
ส่วนเรื่องการฟ้องร้อง ถ้าหมอผิดเราก็ว่าตามการตัดสิน แต่ที่หมอไม่ผิด มาตัดสินผิด เดือดร้อน เราก็เจรจากับทางศาลให้อบรมผู้เชี่ยวชาญ อบรมหมอให้เป็นพยานศาล ให้ศาลปรึกษา เพราะมีมาตรฐานอ้างอิงอยู่แล้ว สามารถใช้ได้เลย มันเป็นเรื่องวิชาการ ต้องให้มีที่ปรึกษาให้ศาล ให้มีการแลกความรู้ระหว่างผู้พิพากษากับแพทย์ ให้รู้ว่าแพทย์คิดอย่างไร และเราก็อยากได้ศาลที่เชี่ยวชาญทางการแพทย์ด้วย
นอกจากนี้ แพทยสภากำลังจะให้การรักษาพยาบาลออกจากคดีผู้บริโภคไปเป็นคดีแพ่ง เหตุผลเพราะคนไข้ไม่ใช่ผู้บริโภค การบริโภคคือการซื้อขายของ แต่คนไข้มาด้วยโรค ซึ่งเราไม่ได้เป็นคนทำให้เกิดโรคด้วย และอย่างที่บอก สินค้าบริโภคเป็นการพูดถึงสิ่งไม่มีชีวิต รถยนต์ บ้าน อาการมันตายตัวเปลี่ยนอุปกรณ์ก็ใช้ได้ แต่คนไข้ ไออย่างเดียวสามารถเป็นได้ไม่รู้กี่โรค เป็นได้หมด โรคเดียวกันก็อาการไม่เหมือนกัน และเรามีเรื่องจริยธรรมควบคุมอยู่ ถ้าเป็นรถยนต์บอกว่ารุ่นเก่าไม่มีอะไหล่ ซ่อมไม่ได้ แต่คนไข้บอกว่าโรคนี้รักษาไม่ได้ ไม่รักษา ไม่ได้ ก็ต้องรักษา หรือมากลางคืน ปิดร้านไม่ทำ แต่นี่คนไข้มากลางคืน เราต้องรักษา ถ้าไม่รักษาเราผิดจริยธรรม ไม่เหมือนกัน
และคดีผู้บริโภค คนไข้สามารถฟ้องได้ โดยไม่ต้องวางเงิน อายุความยาว หลังจากรู้แล้วยาว 10 ปี ถ้าเป็นคดีแพ่ง 3 ปี
คดีผู้บริโภค คนไข้สามารถฟ้องได้โดยไม่ต้องเสียอะไร ฟ้องแพ้ก็ไม่โดนปรับเงิน แต่หมอต้องเป็นคนอธิบาย จะบอกว่าได้อย่างไร เพราะมันไม่ใช่โรคของเรา มันเป็นโรคของคุณ คนไข้มีแต่เสมอตัวกับได้ หมอมีแต่เสียกับเสีย หากถูกฟ้องต้องเสียค่าทนาย ถึงคุณชนะก็ต้องเสียเงิน แพ้ก็เสียมากขึ้น คนไข้มีแต่ได้อย่างเดียว แล้วยุติธรรมไหม ไม่ยุติธรรมที่เอาเรื่องนี้มาใช้กับหมอ ทั่วโลกไม่มีใครใช้คดีผู้บริโภค มีแต่เมืองไทย
คดีผู้บริโภคมาใช้ขายของ ขายบ้าน ขายอาหาร ขายรถยนต์ อาหาร เราทำอาหารดีอย่างไร มีระบบความสะอาดอย่างไร อธิบายได้ แต่หมออธิบายอย่างไร เราไม่ได้ขายโรค และโรคเราไม่ได้เป็นคนสร้าง เราไม่ได้ขายโรคคุณ เราบริบาลผู้ป่วย เราไม่ได้บริการผู้ป่วย เรามีบริบาลผู้ป่วยหนัก ไม่เคยมีหอบริการผู้ป่วยหนัก เราไม่ได้ขายบริการ ดังนั้น คดีผู้บริโภคมันไม่ใช่ ต้องเป็นคดีแพ่ง แต่ผู้พิพากษาบอกว่าคุณรับเงินก็ต้องเป็นบริการ การดูแค่รับเงินอย่างเดียวไม่ได้
ไทยพับลิก้า: แก้กฎหมายนี้ยากไหม
รัฐบาลมองว่าต้องแก้ เราเสนอไปแล้ว แต่ที่สำคัญที่สุดต้องให้ความรู้ประชาชน ผู้พิพากษา ประชาชนไม่เข้าใจ เช่น กรณีบอกว่าหมอผ่าสมองแล้วลืมปิดกะโหลก ไม่ใช่ ถ้าเลือดออกในสมอง เขาไม่ปิด เดี๋ยวเลือดออกมันขยายออก ถ้าขยายไม่ได้ก็ตายเลย ต้องให้สมองยืดหยุ่นได้ เขาไม่ได้ลืม แล้วบอกว่าอย่า เดี๋ยวจิ้มไปโดนสมอง ไม่มีทาง เนื้อเราหนาจะตาย หากจำเป็นจริงๆ เอากระโหลกเทียมใส่ให้ ปลอดภัยกว่า แต่ชาวบ้านไม่รู้ก็ฟ้อง
บางทีก็มาฟ้องว่าหมอไม่ได้โกนขน เมื่อก่อนต้องโกน แต่เดี๋ยวนี้เขาเลิกโกน เพราะโกนแล้วถ้าถลอก ติดเชื้อได้ แต่คนไข้ไม่รู้ ก็ฟ้อง
หรือกรณีมีผังผืด กรณีคนไข้ผ่ามดลูก ถูกกระเพาะปัสสาวะ ถามว่าคนไข้เคยผ่าตัดมดลูกไหม เขาบอกว่าเคยผ่ามดลูกมาสองครั้ง ซึ่งคนที่เคยผ่าเวลาผ่าเสร็จ หายแล้วจะมีแผลเป็นยึดเต็มไปหมด พอเป็นเนื้องอกในมดลูก เลือดออกไม่หยุด หมอก็ต้องเอาออก แต่มดลูกมีผังพืดเต็ม ติดกระเพาะปัสสาวะแน่น เวลาเลาะก็มีโอกาสโดนกระเพาะปัสสาวะได้ คนไข้ไม่ยอม ซึ่งกรณีแบบนี้ อนาคตต่อไป หากคนไข้ไม่ยอม หากผ่าไม่ได้ จะได้ไม่ผ่า ซึ่งถ้าไม่ผ่าคนไข้ตายแน่ เพราะตกเลือดตาย ผ่าเพื่อช่วยคุณ แต่หมอตาย เรียกค่าเสียหาย 10 ล้าน หมอผ่าประกันสังคมได้หัวละ 2,000 บาท คุณรักษาผ่าตัดจ่ายหลายแสน คุณจะเอาอีก 10 ล้าน หมอโรงพยาบาลรัฐเลยลาออกกันหมด ไม่คุ้มแล้ว
นี่คือผลกระทบที่เกิดขึ้นของระบบสาธารณสุขไทยในขณะนี้
9 สิงหาคม 2016
http://thaipublica.org/2016/08/somsak-lolekha/