แสดงกระทู้

This section allows you to view all posts made by this member. Note that you can only see posts made in areas you currently have access to.


Messages - patchanok3166

หน้า: 1 ... 15 16 [17] 18 19 20
241
ไม่มีคนไทยคนไหนไม่เคยกิน “หมูกรอบ” กันอย่างแน่นอน เพราะหมูกรอบใส่อะไรก็อร่อย ทั้งกระเพราหมูกรอบ ข้าวหน้าหมูกรอบ ก๋วยจั๊บน้ำข้นใส่หมูกรอบ คะน้าหมูกรอบ และอีกสารพัด แต่เชื่อไหมคะว่าเจ้าหมูกรอบแสนอร่อยเหล่านี้ เป็นสาเหตุของโรคร้ายนับสิบที่พร้อมจะคร่าชีวิตของคุณไปได้ทุกเมื่อ



หมูกรอบ อร่อยดี แต่มีโทษ (เพียบ)

เพราะกว่าจะเป็นหมูกรอบของแต่ละร้านนั้น ผ่านกรรมวิธีในการทำอยู่หลายขั้นตอน แล้วแต่ละสูตรของแต่ละที่ แต่อย่างน้อยวัตถุดิบหลักคือ หมูสามชั้น ที่นอกจากจะมีไขมันสูงด้วยตัวของมันเองแล้ว ยังต้องเอาไปทอดในน้ำมันอีกต่างหาก อย่างนี้จะไม่ให้อ้วนได้อย่างไรกันล่ะ


น้ำมันที่ใช้ทอดหมู ส่วนใหญ่เลือกใช้น้ำมันหมู น้ำมันปาล์ม ที่ถึงแม้จะเหมาะสมต่อการประกอบอาหารทอด แต่สารพิษที่เกิดจากการทอดนานๆ ซ้ำๆ ก็ทำให้เสี่ยงต่อโรคมะเร็งได้

นอกจากนี้ความเค็มที่มาจากการหมักหมู ก็เป็นสาเหตุสำคัญของโรคต่างๆ อีกมากมาย เช่น โรคไตอย่างที่ใครหลายๆ คนเข้าใจว่ามาจากการกินเค็มมากเกินไป ความดันโลหิตสูง และอื่นๆ


15 โรคร้ายที่มาพร้อมกับ “หมูกรอบ”

1. โรคอ้วน ลงพุง

2. กล้ามเนื้อหัวใจทำงานผิดปกติ

3. ความดันโลหิตสูง

4. เบาหวาน

5. โรคไต

6. สมองเสื่อม

7. หลอดเลือดหัวใจและสมองตีบ

8. โรคระบบทางเดินหายใจ

9. มะเร็งปอด

10. มะเร็งเม็ดเลือดขาว

11. มะเร็งกระเพาะอาหาร

12. มะเร็งกระดูก

13. มะเร็งตับ

14. มะเร็งเต้านม

15. มะเร็งปากมดลูก


ทานหมูกรอบอย่างไรให้ปลอดภัย

ไม่ใช่ว่าจะไม่ให้ทานหมูกรอบเลยนะคะ เรายังสามารถทานได้ แต่ควรบริโภคในปริมาณที่เหมาะสม ไม่มากจนเกินไป ไม่บ่อยจนเกินไป เช่นอาทิตย์ละ 1-2 ครั้ง ทานอาหารอย่างอื่นร่วมด้วย เช่น ผักต่างๆ ธัญพืชที่มีกากใยสูง และผ่านกรรมวิธีในการปรุงจำพวก ต้ม นึ่ง แทนการผัด ทอด และที่สำคัญคือหมั่นออกกำลังกายเป็นประจำ เพื่อสุขภาพที่ดี ได้ทานของอร่อยแต่สุขภาพยังแข็งแรงปลอดภัยดีค่ะ ไม่ยากเลยเชื่อเรา


08 พ.ค. 61  โดย sanook.com

242
แกงส้มดอกแค มีใครไม่เคยกินไหม? ถ้ายังรีบไปลองเลยแล้วจะติดใจ ด้วยความเข้มข้นของน้ำแกงส้มที่เผ็ดร้อนคู่กับดอกแครสหวานอมขมนิดๆ เคล้ารวมกันกับเนื้อสัตว์ กินพร้อมกับข้าวสวยร้อนๆ บอกเลยว่า อร่อยเกินคำบรรยาย เริ่มอยากกินแล้วล่ะสิ แต่ก่อนที่จะไปกิน  Sanook! Health มีคุณประโยชน์จากแกงส้มดอกแคมาบอกให้รู้กัน


แกงส้มเป็นอาหารพื้นบ้านที่อยู่คู่กับคนไทยมาเนิ่นนาน นอกจากดอกแคแล้วยังสามารถใส่ผักอื่นลงไปแทนได้เช่นกัน ไม่ว่าจะเป็น แกงส้มผักบุ้ง แกงส้มชะอมทอด หรือจะเป็นแกงส้มผักรวมก็อร่อยและมีประโยชน์ไม่แพ้กัน สำหรับ แกงส้มดอกแค ดอกแคเป็นพืชที่เติบโตได้ง่ายในเขตร้อนชื้น  โตเร็ว ปลูกได้ทุกที เพราะฉะนั้นถ้าบ้านใครมีพื้นที่จะปลูกต้นแคก็ไม่เลวเลยนะ ถ้าคิดเมนูไม่ออก เดินไปเด็ดดอกแคหลังบ้านก็ได้เมนูแสนอร่อยแล้ว


ทางแพทย์แผนไทย แกงส้มดอกแคถือว่ามีสรรพคุณเป็นยาแก้ไข้หัวลม แต่ยังมีประโยชน์นอกเหนือจากนั้นด้วย

คุณประโยชน์ของแกงส้มดอกแค :

1. ดอกแค รสหวานอมขม แก้ไข้หัวลม

2. น้ำแกงส้ม รสเผ็ดร้อน ช่วยย่อยอาหารและขับลมในกระเพาะ

3. มะขามเปียก รสเปรี้ยว ลดความร้อนในร่างกาย แก้ท้องผูก ขับเสมหะ

4. สร้างภูมิคุ้มกันให้ร่างกาย รักษาอาการหวัด

5. รสเผ็ดและเปรี้ยวของแกงส้ม ช่วยบำรุงธาตุน้ำและลม

6. ดอกแคมีวิตามินเอ ช่วยบำรุงสายตา

7. ดอกแคช่วยให้ขับถ่ายดีขึ้น รักษาอาการท้องผูก

8. เจริญอาหาร เนื่องด้วยรสขมของดอกแคจะล้างเมือกในช่องปาก ทำให้อยากอาหารมากขึ้น

 

แกงส้มดอกแค นอกจากจะอร่อยและมีประโยชน์หลากหลายแล้ว ยังจัดว่าเป็นเมนูอาหารคลีนด้วยนะ เพราะฉะนั้นคนที่ลดน้ำหนักอยู่ ลองหันมากินเมนูนี้ เพื่อเพิ่มรสชาติให้กับตัวเองบ้างก็ได้นะ ยังไงก็ผอมแน่นอน  คอนเฟิร์ม!

06 พ.ค. 61    โดย Sanook Health

243
โรงพยาบาลรามาธิบดี รักษาธาลัสซีเมียด้วยการบำบัดยีนสำเร็จเป็นครั้งแรกของโลก ชี้ อาจเป็นจุดเริ่มต้นในการรักษาโรคทางพันธุกรรมอื่น ๆ

  โรคธาลัสซีเมียเป็นโรคทางพันธุกรรมที่เกิดความผิดปกติกับเม็ดเลือดแดง ทำให้การสร้างฮีโมโกลบินในเม็ดเลือดแดงลดน้อยลง ส่งผลให้ร่างกายรู้สึกอ่อนเพลีย เหนื่อยง่าย ซีด ปัจจุบันพบคนไทยป่วยโรคนี้มากถึง 200,000-300,000 คน ขณะที่ข้อมูลจากกระทรวงสาธารณสุขเคยพบว่า คนไทยมียีนโรคธาลัสซีเมียแฝงในตัวมากกว่า 22 ล้านคน และส่วนใหญ่ไม่รู้ตัว ซึ่งการรักษานั้น ผู้ป่วยจะต้องถ่ายเลือดและให้ยาขับเหล็กตลอดชีวิต แต่ล่าสุด โรงพยาบาลรามาธิบดี มหาวิทยาลัยมหิดล ได้วิจัยพบวิธีรักษาโรคธาลัสซีเมียโดยไม่ต้องถ่ายเลือด และสามารถทำสำเร็จเป็นครั้งแรกในโลก


ทั้งนี้ ศ. นพ.สุรเดช หงส์อิง หัวหน้าโครงการโรคมะเร็งในเด็ก และอาจารย์แพทย์สาขาวิชาโลหิตวิทยาและมะเร็งวิทยา ภาควิชากุมารเวชศาสตร์ คณะแพทยศาสตร์โรงพยาบาลรามาธิบดี มหาวิทยาลัยมหิดล ได้กล่าวถึงความสำเร็จในการรักษาโรคธาลัสซีเมียให้หายขาด ผ่านเฟซบุ๊ก Rama Lounge ว่า โรคธาลัสซีเมีย เป็นโรคทางพันธุกรรมที่มีโอกาสน้อยมากที่จะรักษาให้หายขาดได้ จะต้องรักษาแบบประคับประคองอาการไปตลอดชีวิตด้วยการถ่ายเลือดและให้ยาขับเหล็ก

          ส่วนอีกวิธีการหนึ่งก็คือ การปลูกถ่ายเซลล์ต้นกำเนิด หรือสเต็มเซลล์จากผู้บริจาคที่มีสุขภาพดีและสามารถเข้ากับผู้ป่วยได้ ซึ่งจะได้จากพี่น้องของผู้ป่วยเอง หรือผู้บริจาคจากสภากาชาดไทย แต่ก็มีเพียงร้อยละ 25 เท่านั้นที่สามารถหาผู้บริจาคที่เหมาะสมได้ และระหว่างการรักษามักมีภาวะแทรกซ้อน อาจส่งผลให้ผู้ป่วยมีอายุขัยลดลง

อย่างไรก็ตาม ที่ผ่านมาเคยมีความพยายามรักษาโรคธาลัสซีเมียด้วยการตัดยีน หรือยีนเทอราปี แต่ยังไม่ประสบความสำเร็จ จนกระทั่งล่าสุด โรงพยาบาลรามาธิบดี ได้ร่วมมือกับนักวิจัยจาก University of Paris และทีมแพทย์จากสหรัฐอเมริกา Harvard Medical School นำสเต็มเซลล์ของผู้ป่วยมาตัดต่อยีน ซึ่งเป็นยีนใหม่ที่ได้จากการสร้างขึ้นมาในหลอดทดลอง โดยทดลองในผู้ป่วย 22 ราย เป็นคนไทย 4 ราย พบว่าหลังการรักษาแล้ว ผู้ป่วยไม่ต้องเข้ารับการถ่ายเลือดอีก และสามารถใช้ชีวิตประจำวันได้อยางปกติสุข ถือเป็นการประสบความสำเร็จครั้งแรกของโลก

          ทั้งนี้ ศ. นพ.สุรเดช ระบุว่า ความสำเร็จตรงนี้ถือเป็นจุดเริ่มต้นที่น่าจะมีโอกาสขยายไปยังการรักษาโรคที่เกิดจากพันธุกรรมอื่น ๆ ได้ เช่น โรคมะเร็ง ตอนนี้ก็มีการตัดต่อยีนของเซลล์เม็ดเลือดขาวไปฆ่าเซลล์มะเร็ง แต่ปัญหาคือไม่มีทุนวิจัยจริงจัง หากจะทำให้สำเร็จต้องทำให้เป็นเรื่องระดับชาติ

06  พ.ค  61   โดย เดลินิวส์ื       

244
รพ.สมเด็จพระยุพราชสระแก้ว แถลงเสียใจเหตุการณ์เด็ก 1 ขวบเสียชีวิต ปมห้องฉุกเฉินปิด พร้อมยอมรับความผิดพลาดที่เกิดขึ้น


        เมื่อวันที่ 5 พฤษภาคม 2561 เว็บไซต์ 77 ข่าวเด็ด รายงานว่า นพ.อภิรัต กตัญญุตานนท์ นายแพทย์สาธารณสุขจังหวัดสระแก้ว และ นพ.ภูวดล กิตติวัฒนาสาร ผู้อำนวยการโรงพยาบาลสมเด็จ พระยุพราชสระแก้ว ร่วมกันแถลงข่าวถึงกรณีที่ นายพรชัย ทัดละมัย อายุ 33 ปี และนางสุพรรษา สีชมพู อายุ 30 ปี พ่อและแม่ของ ด.ญ.ญานิศา ทัดละมัย หรือ น้องกวาง อายุ 1 ขวบ ร้องเรียนว่า นำตัวลูกสาวมารักษาที่โรงพยาบาล เมื่อวันที่ 4 พฤษภาคมที่ผ่านมา เวลา 05.00 น. แต่เจ้าหน้าที่ไม่รับรักษา อ้างว่าแผนกฉุกเฉินปิดทำการแล้ว จนสุดท้ายลูกสาวเสียชีวิต

        โดย นพ.ภูวดล กล่าวว่า คนไข้รายนี้มารดาพามาตรวจรักษาที่ห้องฉุกเฉินครั้งแรก เมื่อวันที่ 3 พฤษภาคม เวลา 14.00 น. ด้วยอาการไข้สูง หนาวสั่น อาเจียน และถ่ายท้อง ทางแพทย์วินิจฉัยว่า ลำไส้อักเสบ รักษาโดยการให้ยาลดไข้ ยาแก้อาเจียนและเกลือแร่ไปรับประทาน เช็ดตัวลดไข้จนอาการดีขึ้น และกลับไปรักษาตัวต่อที่บ้าน


        ต่อมา วันที่ 4 พฤษภาคม เวลาประมาณ 06.10 น. มารดาได้พาเด็กมาที่ห้องฉุกเฉิน พบพนักงานที่ห้องฉุกเฉิน ได้พูดคุยกับมารดาทำให้เข้าใจว่า ห้องฉุกเฉินปิดทำการ เปิดบริการอีกครั้งตอน 07.00 น. ดังนั้นมารดาจึงได้อุ้มเด็กไปรับบริการที่ตึกผู้ป่วยนอก กระทั่งเวลา 07.02 น. อาการเด็กไม่ดีขึ้น มารดาจึงอุ้มกลับมาตรวจที่ห้องฉุกเฉิน พบว่า เด็กตัวเขียว ชีพจรเบา ตัวลาย มีภาวะขาดน้ำ แพทย์จึงช่วยด้วยการให้น้ำเกลือและยาปฏิชีวนะ ใส่ท่อช่วยหายใจ ซึ่งหลังใส่ท่อ หัวใจเด็กหยุดเต้น ต้องช่วยฟื้นคืนชีพมาเป็นช่วง ๆ ทั้งหมด 3 ครั้ง และเสียชีวิตเวลา 09.35 น.


        ทั้งนี้จากเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น โรงพยาบาลรู้สึกเสียใจอย่างมากและน้อมรับความผิดพลาด จะนำไปแก้ไขให้เกิดการพัฒนาที่ดียิ่งขึ้น พร้อมกับขออภัยที่การสื่อสารหรือระบบของโรงพยาบาลยังไม่ดีพอ รวมถึงการสื่อสารที่คลาดเคลื่อน จริง ๆ แล้วห้องฉุกเฉินไม่ได้ปิด ผู้ป่วยฉุกเฉินมา สามารถเข้าห้องได้เลย



        ด้าน นพ.อภิรัต กล่าวว่า ทางสาธารณสุขจังหวัดสระแก้ว จะดำเนินการสอบข้อเท็จจริง หากมีความผิดจะลงโทษตามระเบียบราชการ


06.พ.ค 61  โดย 77  ข่่าวเด็ด

245
หลายคนอาจจะยังมีความเชื่อผิดๆ ว่าการอดอาหาร “มื้อเย็น” เป็นวิธีหนึ่งที่จะทำให้ลดน้ำหนักได้อย่างรวดเร็ว แต่ทราบหรือไม่ว่านั่นคือวิธีที่ผิด เพราะนอกจากจะทำให้ร่างกายได้รับสารอาหารไม่เต็มที่แล้ว วิธีนี้ยังทำร้ายร่างกายทางอ้อมและทำให้อ้วนมากกว่าเดิมอีกด้วย



งดมื้อเย็นส่งผลเสียต่อสุขภาพอย่างไร?

การอดอาหารเย็น หรือรับประทานเพียง 2 มื้อต่อวัน แล้วไม่ทานอะไรเลยจนถึงเวลาเข้านอน ถือว่าเป็นช่วงเวลาที่ร่างกายอดอาหารนานเกินไป อาจจะทำให้เกิดผลเสียต่อสุขภาพอื่นๆ ตามมาได้ เช่น โรคกระเพาะอาหาร เพราะหากกระเพาะหลั่งน้ำย่อยออกมาในเวลาเย็น แล้วภายในกระเพาะอาหารไม่มีอาหารให้ย่อยเลย ทำให้สิ่งที่น้ำย่อยจะย่อยนั่นก็คือตัวกระเพาะอาหาร ทั้งนี้อาจส่งผลให้เป็นแผลในกระเพาะอาหารในระยะยาวได้

อีกทั้งการอดอาหารเย็นยังทำให้ขาดสารอาหาร ซึ่งใครที่งดอาหารเย็นมักจะขาดวิตามินและเกลือแร่ได้ง่ายกว่าคนทั่วไป เว้นแต่ว่าคุณจะรับประทานอย่างเพียงพอแล้วในมื้อเช้า และมื้อกลางวัน

นอกจากนี้แล้ว การอดอาหารเย็นยังอาจส่งผลให้ท้องไส้ปั่นป่วนจนนอนไม่หลับ แถมยังส่งผลให้ร่างกายอ่อนเพลีย เนื่องจากได้รับพลังงานไม่เพียงพอและระดับน้ำตาลในเลือดต่ำเกินไป ทั้งนี้ยังส่งผลเสียต่อระบบขับถ่ายในระยะยาวอีกด้วย



อดอาหารเย็นทำให้อ้วนขึ้น?

จริงอยู่ที่ว่าการอดอาหารเย็นสามารถทำให้น้ำหนักลดลงได้ แต่รู้หรือไม่ว่าหากเรากลับไปกินเหมือนเดิม จะส่งผลให้อ้วนมากขึ้นกว่าเดิม เพราะเนื่องจากเมื่อเรากินน้อย ร่างกายก็จะปรับตัวโดยการลดใช้พลังงานและลดการเผาผลาญลงเพื่อให้ดำรงชีวิตอยู่รอดได้ ทั้งนี้จึงทำให้ระบบการเผาผลาญของร่างกายต่ำลง ทำงานได้ช้าลง ระบบการย่อยอาหารแปรปรวน ซึ่งหากเรากลับไปกินเหมือนเดิมก็จะยิ่งทำให้อ้วนขึ้นง่าย หรือไม่ก็เกิดโยโย่เอฟเฟกต์ตามมาได้นั่นเอง

สำหรับคนที่ต้องการลดความอ้วนไม่จำเป็นต้องอดอาหารมื้อเย็น แต่ให้หันมาปรับเปลี่ยนอาหารและควรคำนึงถึงพลังงานรวมที่ได้รับในแต่ละวันแทน จำไว้ว่าเอาเข้าก็ต้องเอาออก ดังนั้นหมั่นออกกำลังกายร่วมด้วยจะดีที่สุด



เคล็ดลับทานมื้อเย็นอย่างไรไม่อ้วน

- ไม่ควรงดมื้อเย็นโดยเด็ดขาด ซึ่งช่วงเวลาที่เหมาะสมในการรับประทานมื้อเย็น คือ ไม่ควรน้อยกว่า 3-4 ชั่วโมงก่อนเข้านอน หรือเป็นไปได้ไม่ควรเกิน 18.00-19.00 น. จะดีที่สุด เพราะหากรับประทานหลังจากนี้อาหารจะย่อยไม่ทันก่อนเราเข้านอน จะส่งผลให้เกิดการสะสมพลังงานในรูปของไขมัน นอนหลับได้ยากขึ้น เนื่องจากร่างกายจะต้องย่อยอาหาร

-หลีกเลี่ยงอาหารไขมันสูง อาหารย่อยยาก เช่น ของมัน ของทอด เนื้อสัตว์ติดมัน อาหารที่มีคอเลสเตอรอลสูง และขนมหรือของหวานทุกชนิด

- ให้หันมาเลือกรับประทานอาหารที่ให้พลังงานต่ำ อาหารที่ย่อยง่าย ควรเน้นไปที่โปรตีน วิตามิน และแร่ธาตุ มีไขมันและแป้งบ้างเล็กน้อย และควรหลีกเลี่ยงอาหารที่มีรสจัดเพราะอาจส่งผลให้เกิดอาการกรดไหลย้อนได้

-ไม่แนะนำให้ทานผักหรือผลไม้สดในขณะท้องว่างช่วงเย็น เพราะอาจจะทำให้เกิดอาการท้องอืดได้

-ก่อนรับประทานอาหารควรดื่มน้ำให้ได้ 2-4 แก้ว เพราะจะทำให้รู้สึกอิ่มและทานอาหารได้น้อยลง




เผยแพร่: 30 เม.ย. 2561  โดย: MGR Online

246
ผู้ป่วยมะเร็งบุก สธ. พ้อประกาศผลวิจัยสมุนไพร “หมอแสง” ไม่ช่วยยับยั้งมะเร็ง ทำลายความหวังผู้ป่วย ยันอาการดีขึ้นหลังรับสมุนไพรหมอแสง หวั่นหยุดแจกยา ชีวิตคนไทยจะเป็นอย่างไร


วันนี้ (26 เม.ย.) เมื่อเวลา 15.30 น. ผู้แทนศูนย์วุฒิอาสา ธนาคารสมอง จ.นนทบุรี นำโดย น.ส.รัตนลักษณ์ มนัสวานิช กรรมการศูนย์ฯ และ นายวิจิตร สุวรรณมาตร์ ประธานคณะอนุกรรมการด้านคมนาคมและขนส่ง ศูนย์วุฒิอาสาธนาคารสมอง และผู้แทนศูนย์ประมาณเกือบ 10 คน เดินทางมายังกรมการแพทย์แผนไทยและการแพทย์ทางเลือก เพื่อร้องขอความรับผิดชอบ ภายหลังกระทรวงสาธารณสุข (สธ.) เปิดเผยผลวิจัยประสิทธิภาพสมุนไพรสูตร นายแสงชัย แหเลิศตระกูล หรือหมอแสง ว่า ไม่ช่วยยับยั้งมะเร็ง แต่ไม่พบผู้บริหารคนใด


นายวิจิตร กล่าวว่า สธ. ประกาศผลการตรวจสอบเช่นนี้ว่าไม่สามารถยับยั้งมะเร็งได้ ส่งผลต่อจิตใจของผู้ป่วยมาก เหมือนหมดความหวังลงในการรับสมุนไพรตัวนี้เลย โดยตนเป็นผู้ป่วยมะเร็งต่อมลูกหมาก มารักษาด้วยการรับสมุนไพรหมอแสง ซึ่งช่วยลดความทรมานมาก มีความสุขกับการได้รับยา ซึ่งถามว่าไปรักษาแพทย์แผนปัจจุบันก็ไม่หายเช่นกัน เนื่องจากกลุ่มนี้เป็นกลุ่มที่ป่วยระยะสุดท้ายแล้ว รักษาไม่หาย ซึ่งการที่ สธ. ออกมาประกาศแบบนี้ แล้วชีวิตคนไทยจะเป็นอย่างไร


ผู้สื่อข่าวถามว่า สธ. ไม่ได้ห้ามแจก แต่หมอแสงจะหยุดแจกเอง นายวิจิตร กล่าวว่า เพราะ สธ. ไปทำเขาก่อน เขาจึงจะหยุดแจก คนป่วยเมื่อสิ้นศรัทธา สิ้นความหวังแล้ว เขาจะไปไหน เขามีความหวัง ตรงนี้เป็นการทำลายความหวัง อย่างไรก็ตาม อยากให้ สธ. เปิดเผยผลการตรวจให้ชัดเจน ไม่ใช่ออกมาพูดแบบนี้ ควรมีพยานออกมาพูด มีหลักฐาน มีผลออกมาชัดเจนมากกว่านี้ ที่สำคัญ ตรงนี้เป็นแพทย์แผนไทย เป็นภูมิปัญญาของไทย แต่ทำไมถึงไม่สนับสนุนแบบนี้เหมือนไปทำลายภูมิปัญญาแพทย์พื้นบ้านของเรา


นพ.วินัย วิริยกิจจา อดีตปลัด สธ. ในฐานะรองประธานกรรมการศูนย์วุฒิอาสาธนาคารสมอง กล่าวว่า เรื่องแพทย์แผนไทย สมุนไพรต่างๆ ถือเป็นความหวัง และหลายอย่างเป็นภูมิปัญญาที่ช่วยคนไทยมานาน การพิจารณาขึ้นทะเบียนต่างๆ ควรแยกออกจากสำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา (อย.) เนื่องจากดูแต่แพทย์แผนปัจจุบัน ไม่ได้ดูเรื่องนี้ เรื่องนี้ควรให้คณะกรรมการเฉพาะดูแล



เผยแพร่: 26 เม.ย. 2561   โดย: MGR Online

247
สธ. ขยายศูนย์ปลูกถ่ายอวัยวะและดวงตา และทีมผ่าตัดในโรงพยาบาลศูนย์ ครอบคลุม 87% รพ.ทั่วไป 54% พร้อมชวนประชาชนบริจาคอวัยวะและดวงตา ช่วยชีวิตผู้ป่วยที่รอการผ่าตัดปลูกถ่ายเกือบ 20,000 ราย


นพ.มรุต จิรเศรษฐสิริ รองปลัดกระทรวงสาธารณสุข (สธ.) ให้สัมภาษณ์ว่า กระทรวงสาธารณสุข ได้ร่วมมือกับสภากาชาดไทย และภาคีเครือข่าย ดำเนินการปลูกถ่ายอวัยวะ เพื่อเป็นทางรอดทางเดียวของผู้ป่วยโรคหัวใจ ตับ ปอดวายระยะสุดท้าย แก้ปัญหาความพิการของดวงตา โดยเฉพาะการปลูกถ่ายไต ที่สามารถช่วยผู้ป่วยโรคไตวายเรื้อรังระยะสุดท้ายให้มีอัตราการเจ็บป่วย และเสียชีวิตต่ำกว่าการฟอกเลือดหรือล้างไตทางช่องท้อง ในปี 2560 สามารถช่วยผู้ป่วยที่รอรับการปลูกถ่ายอวัยวะ ได้รับการปลูกถ่ายเพิ่มขึ้นจาก 512 ราย ในปี 2559 เป็น 670 ราย เพิ่มการปลูกถ่ายไตจาก 414 ราย ในปี 2559 เป็น 543 ราย และปลูกถ่ายกระจกตาได้ 1,082 ดวงตา ยังคงมีผู้รอรับการปลูกถ่ายอวัยวะ 5,851 ราย และรอรับการปลูกถ่ายกระจกตาอีก 12,042 ราย


นพ.มรุต กล่าวต่อว่า ในปี 2561 สธ. ได้เร่งขยายศูนย์รับบริจาคอวัยวะและดวงตา ให้ครอบคลุมโรงพยาบาลศูนย์และโรงพยาบาลทั่วไป ขณะนี้ดำเนินการแล้วในโรงพยาบาลศูนย์ร้อยละ 87 โรงพยาบาลทั่วไปร้อยละ 54 และโรงพยาบาลชุมชนขนาดใหญ่ 7 แห่ง พร้อมทั้งจะพัฒนาทีมผ่าตัดนำอวัยวะออก ในส่วนภูมิภาค (Regional Harvesting Team) ให้ได้เขตสุขภาพละ 1 ทีม โดยได้อบรมบุคลากรที่เกี่ยวข้องแล้ว 11 เขต พัฒนาศูนย์ปลูกถ่ายไต (Kidney Transplan
 Center) 1 แห่งในพื้นที่เขตสุขภาพที่ 3 จัดอบรมพยาบาลผู้ประสานงานการรับบริจาคและปลูกถ่ายอวัยวะ ทุกเขตสุขภาพ และอบรมเครือข่ายรับบริจาคอวัยวะ 4 ภาค

“สิ่งสำคัญคือ การรณรงค์ประชาชนให้สนใจที่จะบริจาคอวัยวะและดวงตาเพิ่มมากขึ้น ได้ตั้งเป้าหมายในปี 2561 ให้มีจำนวนผู้ยินยอมบริจาคจากผู้ป่วยสมองตายเป็น 0.4 ต่อ 100 จำนวนผู้เสียชีวิตในโรงพยาบาล และผู้ยินยอมบริจาคดวงตาจากผู้ป่วยสมองตาย 1.2 ต่อ 100 จำนวนผู้เสียชีวิตในโรงพยาบาล และจะให้เพิ่มขึ้นทุกปี เพื่อต่อชีวิตให้กับผู้รอรับการปลูกถ่ายอวัยวะที่ยังมีอยู่เป็นจำนวนมาก” นพ.มรุต กล่าว



เผยแพร่: 29 เม.ย. 2561  โดย: MGR Online

248
อย. ยกเลิกให้ทะเบียนอัตโนมัติ “เครื่องสำอาง - อาหารเสริม” ผ่านระบบออนไลน์ เพิ่มเจ้าหน้าที่คัดกรอง เร่งออกกฎกระทรวงมาตรฐานโรงงานผลิตเครื่องสำอาง หลัง ก.ย. ยื่นผลิตเครื่องสำอางต้องเป็นโรงงานมาตรฐานตามฐานข้อมูล อย. พร้อมร่วมสภาอุตฯ แก้ปัญหาโลโก้ อย. ปลอม เล็งทำสำนวนร่วม ตร. เอาผิดคนเอี่ยว “เมจิกสกิน - ลีน” โทษสูงสุด ขู่ดารารีวิวสินค้าทำคนตาย เอาผิดถึงขั้นจำคุกด้วย การันตีเองต้องรับผิดชอบคำพูด

จากกรณีการจับกุมผลิตภัณฑ์สุขภาพผิดกฎหมาย “เมจิกสกิน” และ “Lyn” ทำให้เกิดกระแสวิพากษ์วิจารณ์ถึงความไม่น่าเชื่อถือของเลข อย. เนื่องจากเป็นผลิตภัณฑ์ที่มีเลข อย. อยู่ในระบบจริง แต่ไม่ได้ผลิตตามสูตรหรือสถานที่ที่จดแจ้งไว้กับ อย.

วันนี้ (30 เม.ย.) นพ.วันชัย สัตยาวุฒิพงศ์ เลขาธิการคณะกรรมการอาหารและยา (อย.) แถลงข่าวถึงกรณีดังกล่าวว่า ทั้ง 2 ผลิตภัณฑ์เป็นผลจากระบบเฝ้าระวังของ อย. ร่วมกับเครือข่าย ซึ่งเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นถือว่ากระทบกับความเชื่อมั่นของผลิตภัณฑ์ที่วางจำหน่ายในท้องตลาด อย่างไรก็ตาม ต้องชี้แจงว่าผลิตภัณฑ์สุขภาพส่วนใหญ่ยังคงปฏิบัติตตามกฎหมาย แต่ที่เป็นปัญหาจะมี 2 กลุ่มหลักๆ คือ 1. เข้ามาขออนุญาตอย่างถูกต้องกับ อย. แต่ผู้ที่ไม่สุจริตก็จะเอาเลข อย. ที่ได้ไปผลิตสินค้าที่ไม่มีคุณภาพ เช่น ไม่ผลิตตามสถานที่แจ้งหรือเติมสารหรือลดสารที่ไม่เป็นไปตามสูตรที่แจ้งไว้กับ อย. และ 2. กลุ่มที่ลักลอบผลิตอยู่แล้ว แอบเปิดโรงงาน วัตถุดิบไม่ได้คุณภาพ ซึ่งขณะนี้มีการหารือร่วมกับสภาอุตสากรรมกลุ่มเครื่องสำอาง กลุ่มเสริมอาหาร และมูลนิธิเพื่อผู้บริโภค เพื่อหามาตรการร่วมกันในการทำให้ระบบคุ้มครองผู้บริโภคเข้มแข็งขึ้น ซึ่งมีหลายข้อเสนอ เช่น เพิ่มโทษทางกฎหมาย การทบทวนการยื่นผ่านระบบออนไลน์ หรือ E-Submission เนื่องจากบางส่วนมองว่าทำให้คนไม่สุจริตได้เลข อย.ง่ายในการไปทำสินค้าไม่ได้มาตรฐาน

นพ.วันชัย กล่าวว่า ในส่วนของ อย. เองจะเพิ่มมาตรการภายใต้หลักการไมให้กระทบผู้ประกอบการที่ดี มี 3 เรื่องหลักๆ คือ 1. เพิ่มเจ้าหน้าที่ในการคัดกรองการยื่นขออนุญาตทางระบบ E-Submission ซึ่งที่ผ่านมาหากยื่นตรงตามหลักเกณฑ์ก็จะออกใบอนุญาตหรือเลข อย. แบบอัตโนมัติ โดยตั้งแต่ ก.ย. 2560 ได้ยกเลิกการให้ทะเบียนอัตโนมัติแล้ว และหลังจากนี้ จะเพิ่มเจ้าหน้าที่ในการคัดกรองอีก ใช้เวลาไม่เกิน 3 วัน เช่น ตั้งชื่อไม่เหมาะสม อ้างสรรพคุณไม่เหมาะสม ก็จะกรองออก และเมื่อมีข้อสงสัยเพิ่มเติมก็จะจับตามองผลิตภัณฑ์นั้นๆ

2. การออกกฎกระทรวงสาธารณสุข ภายใต้ พ.ร.บ. เครื่องสำอาง พ.ศ. 2558 ในการกำหนดมาตรฐานสถานที่ผลิตเครื่องสำอาง ซึ่งขณะนี้อยู่ระหว่างรอรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุขลงนาม ซึ่งจะออกมาบังคับใช้ในช่วง มิ.ย. นี้ โดยจะมีเจ้าหน้าที่ทั้งจากส่วนกลางและภูมิภาคออกไปตรวจสอบตัวโรงงานทั้งหมด คาดว่า ใช้เวลา 3 เดือนจึงแล้วเสร็จ ในการขึ้นทะเบียนมาตรฐานโรงงานทุกระดับ ทั้งระดับเล็ก เช่น เป็นบ้านคน ซึ่งต้องมีห้องผลิต 2 ห้อง ในการผลิต ชั่ง ผสม บรรจุ การผลิตได้มาตรฐานก็ถืองว่าผ่าน ไปจนถึงระดับโรงงานอุตสาหกรรม ซึ่งการขอจดแจ้งผลิตเครื่องสำอางก็ต้องขออนุญาตผลิตจากสถานที่ผลิตที่เราขึ้นทะเบียนว่าได้มาตรฐานเท่านั้น ซึ่งจะเป็นการช่วยขจัดสินค้าด้อยคุณภาพออกไปจากตลาด ส่วนอาหารเสริมนั้นมีมาตรฐานสถานที่ผลิตตามกฎหมายอยู่แล้ว ทำให้ก่อนขอเลข อย. ให้ผลิตภัณฑ์ ต้องยื่นตรวจสอบโรงงานผลิตก่อน แต่ก็มักพบปัญหาตอนผลิตจริง บางส่วนจะแอบลอบใส่สารอื่นนอกเหนือจากที่จดแจ้งไว้

นพ.วันชัย กล่าวว่า และ 3. สร้างเครือข่ายผู้บริโภคในการร่วมตรวจสอบ โดยเฉพาะผลิตภัณฑ์ที่แอบผลิต เนื่องจากเจ้าหน้าที่ อย. เองมีน้อย อย่างเจ้าหน้าที่ออกตรวจเครื่องสำอางของส่วนกลางมีแค่ 60 คน ส่วนของอาหารมีเพียง 8 คน ขณะที่เครื่องสำอางมีในระบบถึง 7 แสนรายการ เสริมอาหารมีในระบบกว่า 3 หมื่นรายการ และคนที่ตั้งใจทำผิดคงไม่ได้มาบอกก่อนว่าจะแอบผลิตหรือตั้งโรงงานตรงไหน จะเจอก็ตอนวางจำหน่ายแล้ว พลังของผู้บริโภค ทั้งประชาชน สื่อมวลชน เพจต่างๆ ก็จะช่วยตรงนี้ได้ โดยแจ้งเบาะแสหรือตรวจสอบเลข อย. ได้ผ่านสายด่วน 1556 ผ่านไลน์ “FDAThai” ผ่านแอปพลิเคชัน “oryor smart application” และเว็บไซต์ อย.

“ทั้งกรณีเมจิกสกิน และ Lyn อย. จะร่วมกับพนักงานสอบสวนในการทำข้อมูลเพื่อดำเนินคดีสูงสุด ตั้งข้อหาหนักที่สุดเพื่อให้เข็ดหลาบ ก็คือ โทษจำคุก นอกจากนี้ จะประสาน กสทช. ในการอำนวยความสะดวกให้ อย. เข้าไปตรวจสอบโฆษณาทุกชิ้น ซึ่งหากพบว่าไม่เหมาะสม กสทช. จะระงับทันที และในอนาคตจ่อขึ้นแบล็กลิสต์ผู้ประกอบการที่ทำผิดซ้ำๆ ไม่ให้ยื่นขอเลข อย. ได้อีก” นพ.วันชัย กล่าว

นพ.วันชัย กล่าวว่า สำหรับการรีวิวสินค้าของศิลปินดารา ย้ำว่า ถือเป็นการโฆษณาชัดเจน คนที่จะรีวิวต้องตรวจสอบให้ชัดเจน เพราะจะดูแค่ว่ามี อย. อย่างเดียวไม่ได้ เนื่องจากอย่างที่บอกว่ามีบางส่วนแม้จะขอเลข อย. จริง แต่ตอนผลิตไม่ได้ทำตามที่จดแจ้งไว้ ลอบใส่สารอันตรายอื่น ดังนั้น ขอแนะนำว่า หากได้รับการติดต่อให้มารีวิว ไม่ว่าจะเป็นอาหารเสริมหรือเครื่องสำอาง ให้ติดต่อมายัง อย. ก่อน โดยอาจมาติดต่อเองหรือต้นสังกัดเข้ามาติดต่อก็ได้ว่า สินค้าตัวนี้ถูกกฎหมายหรือไม่ และใช้คำพูดตามที่เจ้าของสินค้าส่งมาให้แบบนี้ได้หรือไม่ ซึ่งจะช่วยป้องกันในการกระทำผิดกฎหมาย เพราะในส่วนของอาหารเสริมจำเป็นที่จะต้องขออนุญาตโฆษณาก่อน ซึ่งการเข้ามาติดต่อว่าจะโฆษณาด้วยคำพูดเช่นนี้ตามเจ้าของสินค้าส่งมา จะได้ช่วยป้องกันไม่ให้เกิดการโฆษณาเกินจริง ทั้งอาหารเสริมและเครื่องสำอาง

“การจับกุมผลิตภัณฑ์เมจิกสกิน และ Lyn ถือเป็นการทลายสินค้าครั้งใหญ่ในรอบหลายปีของ อย. ซึ่งปรากฏการณ์ครั้งนี้ถือเป็นโอกาสในการจัดระเบียบผู้มีชื่อเสียงในสังคมที่จะทำการรีวิว และทำให้ผู้บริโภคสินค้าเกิดความตื่นตัว โดยจะดำเนินการส่งหนังสือเตือนให้ระมัดระวังในการโฆษณาไปยังต้นสังกัดที่มีศิลปินดาราอีกครั้งหนึ่งภายใน พ.ค. นี้ ซึ่ง อย. เคยส่งไปแล้วครั้งหนึ่งเมื่อปลายปี 2560 แต่ไม่ได้รับความสนใจ ซึ่งครั้งนี้จะส่งไปใหม่ เพราะกำลังอยู่ในความสนใจ เชื่อว่าโฆษณาเกินจริงจะหายไป” นพ.วันชัย กล่าวและว่า สำหรับหลังจากขอจดแจ้งและผลิตแล้ว อย.ก็จะมีระบบออกสุ่มตรวจผลิตภัณฑ์ด้วย

ผู้สื่อข่าวถามว่า จำเป็นต้องเพิ่มโทษหรือไม่ นพ.วันชัย กล่าวว่า คิดว่าควรเพิ่มโทษ แต่การแก้กฎหมายต้องใช้เวลา อย่างไรก็ตาม ตัวบทกฎหมายปัจจุบันมีปรับตั้งแต่ 5 พันบาทถึงแสนบาท จำคุกตั้งแต่ 6 เดือน ถึง 2 - 3 ปี สิ่งที่ทำได้เลย คือ จะหาข้อมูลและสินค้าที่มีผลกระทบสูง จะทำสำนวนร่วมกับตำรวจตั้งข้อหาสูงสุดที่กฎหมายมีในปัจจุบันให้เข็ดหลาบ โดยเฉพาะกรณีดาราที่รีวิวสินค้าแล้วสินค้านั้นไปทำให้ผู้อื่นถึงแก่ความตาย ส่วนการจะสังเกตดาราคนดังในเรื่องของการรีวิวนั้น หากยิ่งรีวิวหลายตัวให้น่าสงสัย โดยเฉพาะเครื่องสำอาง เพราะหนึ่งคนคงไม่มีใครใช้หลายตัว

ผู้สื่อข่าวถามว่าขณะนี้เครื่องหมาย อย. ยังคงเชื่อถือได้หรือไม่ นพ.วันชัย กล่าวว่า เครื่องหมาย อย. เป็นที่เชื่อถือมานาน ประเทศโดยรอบก็เชื่อถือ แต่จาการที่เศรษฐกิจขยายตัว มีผู้ประกอบการไม่สุจริตมากขึ้นถือโอกาสเอาเครื่องหมาย อย. ไปหลอกลวง เครือข่ายสังคตมต้องช่วยกันให้เครื่องหมาย อย. เป็นเครื่องหมายที่มีคุณภาพ เป็นสมบัติสังคมร่วมกัน ไม่ให้เอาไปใช้ในทางที่ผิด ต้องทำให้ปลอมยากมากขึ้น ซึ่งทางสภาอุตสาหกรรมได้หารือว่าจะเข้ามาช่วย อย. ในการทำให้ตรา อย. ปลอมได้ยากที่สุด เพื่อไม่ให้เอาไปใช้หลอกคนอื่น ซึ่งยังไม่สามารถเปิดเผยรายละเอียดได้ แต่อยู่ระหว่างดำเนินการให้เร็วที่สุด

เมื่อถามถึงสินบนนำจับสินค้าผลิตภัณฑ์สุขภาพผิดกฎหมาย นพ.วันชัย กล่าวว่า ขอให้ประชาชนร่วมกันแจ้งเข้ามา เพราะหากมีการจับกุมและศาลพิจารณาตัดสินคดีแล้วสั่งปรับกี่บาท ซึ่งเงินค่าปรับนั้นจะแบ่งเป้น 80% ให้แก่ผู้มีส่วนเกี่ยวข้องทั้งคนแจ้งเบาะแส เจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้องกับการจับกุม โดยผู้แจ้งเบาะแสจะได้รับสินบนนำจับ 1 ใน 4 ของ 80% นี้ ส่วนอีก 20% จะเข้าเป็นรายได้แผ่นดิน

เมื่อถามถึงผลิตภัณฑ์ Lyn ที่พบข้างผู้เสียชีวิตในจังหวัดปราจีนบุรี เป็นล็อตเดียวกับที่ตรวจสอบที่ จ.ชลบุรีหรือไม่ นพ.วันชัย กล่าวว่า ดูจากเลขแล้วเป็นล็อตเดียวกับที่ประกาศที่ชลบุรี ส่วนขั้นตอนการเก็บผลิตภัณฑ์ก็พยายามตามเก็บอยู่ อย่างไรก็ตาม ซึ่งหลังจากพบว่าสินค้าผิดกฎหมายจะมีการประกาศไว้ในเว็บไซต์ อย. ซึ่งสามารถตรวจสอบได้ ดังนั้น ผู้บริโภคสำคัญเมื่อทราบว่าเป็นผลิตภัณฑืที่ผิดกฎหมายแล้ว หากพบเห็นใครขายหรือวางอยู่ในท้องตลาดขอให้รีบแจ้ง อย. เพื่อจัดการให้หมด ส่วนผลิตภัณฑ์ Lyn นั้น ขอประกาศเลยว่าห้ามรับประทานทั้งหมด



30 เม.ย. 256  โดย: MGR Online

249
สภาการพยาบาลออกประกาศเตือน “พยาบาล” ทั่วประเทศ โฆษณา รีวิว หรือชักชวนให้ซื้อสินค้า ภายใต้เครื่องแบบ สัญลักษณ์ หรือแสดงตนว่าเป็นพยาบาล เข้าข่ายผิดจริยธรรมตามข้อบังคับ ด้าน สธ. เตือนบุคลากรสาธารรสุขโฆษณาผลิตภัณฑ์สุขภาพภายใต้เครื่องแบบ มีโทษทางวินัยด้วย


จากกรณีการจับกุมผลิตภัณฑ์เมจิกสกิน และ Lyn ทำให้มีการวิพากษ์วิจารณ์อย่างมากถึงบุคลากรทางการแพทย์บางส่วน ทั้งแพทย์ พยาบาล เภสัชกร ทันตแพทย์ ฯลฯ ที่มีการโฆษณาขายสินค้าหรือรีวิวผลิตภัณฑ์สุขภาพต่างๆ โดยทางแพทยสภาเตรียมเรียกสอบจริยธรรม นพ.ปิยะพงษ์ โหวิไลลักษ์ ที่ทำการโฆษณาสินค้าเครือข่ายเมจิกสกิน


ผู้สื่อข่าวรายงานว่า สภาการพยาบาล ซึ่งดูแลสมาชิกพยาบาลทั่วประเทศ ได้ออกประกาศสภาการพยาบาล ลงวันที่ 30 เม.ย. 2561 เรื่อง สภาการพยาบาลถึงเพื่อนสมาชิก ระบุว่า จากข่าวในสื่อสังคมออนไลน์และสื่อต่างๆ เกี่ยวกับผู้ประกอบวิชาชีพด้านสุขภาพทำการโฆษณา หรือขายสินค้าโดยอ้างอิงสรรพคุณที่เกี่ยวข้องกับสุขภาพ ทำให้สภาการพยาบาลรู้สึกห่วงใยสมาชิกผู้ประกอบวิชาชีพการพยาบาลและการผดุงครรภ์เป็นอย่างมาก


อยากขอให้ช่วยกันบอกต่อและตักเตือนผู้ใต้บังคับบัญชา พี่ๆ น้องๆ ในวิชาชีพ ว่า การโฆษณาสินค้า โดยใช้เครื่องแบบหรือสัญลักษณ์ของพยาบาล หรือแสดงตนว่าเป็นผู้ประกอบวิชาชีพการพยาบาลและการผดุงครรภ์ ทำการชักชวนและแนะนำให้ผู้ป่วยหรือผู้อื่นใช้ หรือซื้อผลิตภัณฑ์ เพื่อผลประโยชน์แห่งตน อาจเข้าข่ายกระทำความผิดทางจริยธรรมตามข้อบังคับสภาการพยาบาล ว่าด้วยการรักษาจริยธรรมแห่งวิชาชีพการพยาบาลและการผดุงครรภ์ พ.ศ.2550 และความผิดตามประมวลกฎหมายอาญาได้ โดยจะอ้างว่าไม่ทราบข้อกฎหมายหรือข้อบังคับของสภาการพยาบาลไม่ได้


นพ.โอภาส การย์กวินพงศ์ รองปลัดกระทรวงสาธารณสุข (สธ.) กล่าวว่า ขณะนี้มีการโฆษณาผลิตภัณฑ์สุขภาพ เครื่องสำอาง ทางเว็บไซต์โดยใช้บุคคลที่มีชื่อเสียง บุคคลที่น่าเชื่อถือ หรือเจ้าหน้าที่ทางการแพทย์เข้าไปเกี่ยวข้อง ซึ่งตามกฎระเบียบข้าราชการพลเรือน เจ้าหน้าที่ไม่สามารถโฆษณาหรือเป็นแบบการโฆษณาผลิตภัณฑ์สุขภาพหรือการบริการ โดยเฉพาะการใส่เครื่องแบบหรือชุดที่แสดงให้เห็นว่าเป็นเจ้าหน้าที่กระทรวงสาธารณสุข จึงขอให้ระมัดระวังการให้ข้อมูลหรือรีวิวสินค้า ในรูปแบบโฆษณาแฝงทางเว็บไซต์ออนไลน์ หรือออฟไลน์ ซึ่งการใช้ตำแหน่งหน้าที่โฆษณาผลิตภัณฑ์อาหารเสริมอาจผิดวินัยข้าราชการพลเรือน


“กรณีอาศัยหรือยอมให้ผู้อื่นอาศัยตำแหน่งหน้าที่ราชการของตนหาประโยชน์แก่ตนเองหรือผู้อื่นโดยมิชอบตามมาตรา 83(3) และอาจเป็นความผิดทางวินัย กรณีข้าราชการกระทำการหรือยอมให้ผู้อื่นกระทำการหาผลประโยชน์ซึ่งอาจทำให้เสื่อมเสียเกียรติศักดิ์ของตำแหน่งหน้าที่ราชการของตน ทำให้ประชาชนไม่ศรัทธาและไม่ให้ความร่วมมือกับทางราชการตามมาตรา 83(5) แห่ง พ.ร.บ. ระเบียบข้าราชการพลเรือน พ.ศ. 2551 โดยจะต้องให้กลุ่มเสริมสร้างวินัยและระบบคุณธรรมพิจารณาเป็นกรณีไป ทั้งนี้ ขอเตือนประชาชนให้เลือกซื้อสินค้าจากแหล่งที่เชื่อถือได้ และตรวจสอบความน่าเชื่อถือจากสายด่วน อย. 1556 , Oryor Smart Application ,Line : FDAthai หรือเว็บไซต์ fda.moph.go.th สำหรับบริการสุขภาพและคลินิกทุกประเภทให้ตรวจสอบที่กรมสนับสนุนบริการสุขภาพที่ 02-193-7000” นพ.โอภาส กล่าว




เผยแพร่: 1 พ.ค. 2561 โดย: MGR Online

250
นายกสภาเภสัชกรรม ออกประกาสเตือน “เภสัชกร” โฆษณา รีวิว ผลิตภัณฑ์สุขภาพผิดกฎหมาย เข้าข่ายผิดจริยธรรม หากตรวจพบพร้อมเอาโทษทางจริยธรรมอย่างเด็ดขาด


วันนี้ (2 พ.ค.) ภก.นิลสุวรรณ ลีลารัศมี นายกสภาเภสัชกรรม ลงนามในประกาศสภาเภสัชกรรมที่ 12/2561 เรื่อง การกระทำที่เข้าข่ายเป็นการโฆษณาหรือการทำ “รีวิว” ผลิตภัณฑ์สุขภาพที่ผิดกฎหมายทางสื่อต่างๆ ใจความว่า ตามที่ปรากฏเป็นข่าวว่า มีผู้ประกอบวิชาชีพเภสัชกรรมได้มีการกระทำที่เข้าข่ายเป็นการโฆษณาหรือการทำ “รีวิว” ผลิตภัณฑ์สุขภาพที่ผิดกฎหมายทางสื่อต่างๆ ทำให้กลุ่มประชาชนผู้บริโภคเข้าใจผิด ส่งผลเสียต่อสุขภาพของผู้บริโภคทั่วไปนั้น การกระทำดังกล่าว นอกจากจะเป็นการกระทำความผิดตาม พ.ร.บ. ยา พ.ศ. 2510 พ.ร.บ. อาหาร พ.ศ. 2522 และ พ.ร.บ. ว่าด้วยการกระทำความผิดเกี่ยวกับคอมพิวเตอร์ พ.ศ. 2550 แล้ว ยังถือเป็นการกระทำความผิดทางจรรยาบรรณแห่งวิชาชีพเภสัชกรรมภายใต้ข้อบังคับสภาเภสัชกรรมว่าด้วยจรรยาบรรณฯ พ.ศ. 2538 และฉบับที่ 2 พ.ศ. 2546 อีกด้วย


สภาเภสัชกรรมมีความกังวลต่อสมาชิกผู้ประกอบวิชาชีพเภสัชกรรม ขอให้ช่วยกันส่งข่าวว่า การกระทำดังกล่าว อาจเข้าข่ายการกระทำความผิดต่อจรรยาบรรณได้ ซึ่งหากสภาเภสัชกรรมตรวจพบการกระทำผิดในลักษณะดังกล่าวแล้ว สภาเภสัชกรรมจะต้องดำเนินการทางจรรยาบรรณฯ ต่อสมาชิกผู้ประกอบวิชาชีพเภสัชกรรมที่มีส่วนเกี่ยวข้องอย่างเด็ดขาด จึงประกาศมาให้ทราบโดยทั่วกัน


นอกจากนี้ ในประกาศยังระบุถึงกรอบหรือเกณฑ์การกระทำที่เข้าข่ายการกระทำความผิดของผู้ประกอบวิชาชีพเภสัชกรรมโดยสังเขป โดยระบุว่า ข้อบังคับสภาเภสัชกรรม ว่าด้วยจรรยาบรรณแห่งวิชาชีพเภสัชกรรม พ.ศ. 2538 ข้อ 9 ผู้ประกอบวิชาชีพเภสัชกรรมต้องไม่หลอกลวงหรือให้คำรับรองอันเป็นเท็จ หรือให้ความเห็นโดยไม่สุจริตในเรื่องใดๆ ภายใต้อำนาจหน้าที่แก่สาธารณชนหรือผู้มารับบริการ ให้หลงเข้าใจผิดเพื่อประโยชน์ของตน ข้อ 15 ผู้ประกอบวิชาชีพเภสัชกรรมต้องไม่โฆษณา ใช้ จ้าง หรือยินยอมให้ผู้อื่นโฆษณาการประกอบวิชาชีพเภสัชกรรม ความรู้ความชำนาญในการประกอบวิชาชีพเภสัชกรรมของตน หรือ ของผู้อื่น


ข้อบังคับสภาเภสัชกรรม ว่าด้วยจรรยาบรรณแห่งวิชาชีพเภสัชกรรม (ฉบับที่ 2) พ.ศ. 2546 ข้อ 30 ผู้ประกอบวิชาชีพที่เป็นผู้ให้ความรู้เรื่องยาและผลิตภัณฑ์สุขภาพ ในลักษณะต่างๆ และโดยสื่อต่างๆ ต้องพึงระวังมิให้การกระทำดังกล่าวของตน หรือให้ผู้อื่นนำการกระทำดังกล่าวไปทำให้เข้าใจว่า ส่งเสริมหรือสนับสนุน ผลิตภัณฑ์ใดผลิตภัณฑ์หนึ่งที่เกี่ยวกับเรื่องที่ให้ความรู้นั้น




เผยแพร่: 2 พ.ค. 2561    โดย: MGR Online

251
 เชื่อได้เลยว่า หลายๆ คน คงจะชอบเล่นโทรศัพท์ก่อนนอน อยู่ไม่มากก็น้อย อาจจะเป็นเพราะว่าความเคยชิน ต้องการอัปเดตอะไรบางอย่าง หรืออะไรก็ตามแต่ แต่ทราบหรือไม่ว่า พฤติกรรมดังกล่าว อาจจะก่อให้เกิดโรคต่างๆ อาทิ โรคเบาหวาน หรือ โรคความดันโลหิตสูง ได้


โดยข้อมูลดังกล่าว ทางแพทย์หญิงพรรณพิมล วิปุลากร รองปลัดกระทรวงสาธารณสุข และโฆษกกระทรวงสาธารณสุข ได้เปิดเผยว่า การเล่นโทรศัพท์มือถือก่อนนอนนั้น จะมีแสงสีฟ้า หรือ Blue Light ที่ส่งผลกระทบในการผลิตสารเมลาโทนิน (Melatonin) ซึ่งเป็นสารที่ควบคุมการหลับและการตื่น ดังนั้น การเล่นโทรศัพท์ก่อนนอนมากกว่า 2 ชั่วโมง จะส่งผลให้เกิดการนอนไม่หลับ หรือ หลับไม่สนิทได้ เนื่องจากการได้รับแสงสีฟ้าในเวลากลางคืน จะทำให้สมองคิดว่าช่วงเวลาดังกล่าว ยังคงเป็นเวลากลางวัน ซึ่งจะทำให้นอนหลับไม่เพียงพอ และส่งผลกระทบต่อสายตาอีกด้วย


ซึ่งผลกระทบที่เกิดจากนอนไม่หลับ หรือ พักผ่อนไม่เพียงพอ นั้น ก็มีหลายปัจจัยเช่นกัน ได้แก่ ร่างกายอ่อนล้าในตอนกลางวัน ระบบความจำมีปัญหา รวมไปถึงเสี่ยงต่อการเกิดอุบัติเหตุอันเป็นอันตรายต่อชีวิตและทรัพย์สินของทั้งตนเองและผู้อื่นด้วย อาทิเช่น การวูบหลับในขณะใช้รถใช้ถนน หรือใช้เครื่องจักร อีกทั้งยังทำให้ระบบเผาผลาญในร่างกายทำงานไม่เต็มที่ อาจทำให้เกิดโรคเบาหวาน โรคหัวใจ โรคความดันโลหิตสูง หรือเกิดภาวะอ้วนตามมา รวมไปถึงเสี่ยงในการใช้สารเสพติดหรือแอลกอฮอล์เพื่อช่วยในการนอนหลับอีกด้วย



โดยแพทย์หญิงพรรณพิมล ได้กล่าวเพิ่มเติมอีกว่าเพื่อสุขภาพที่ดีควรงดเล่นโทรศัพท์มือถือก่อนเข้านอนอย่างน้อย 1 ชั่วโมง เพื่อให้ร่างกายได้ปรับการทำงานของดวงตาเข้าสู่พักผ่อน ซึ่งหากมีความจำเป็นที่จะต้องใช้โทรศัพท์มือถือก่อนนอน ควรใช้อุปกรณ์ที่สามารถป้องกันแสงสีฟ้า เช่น แผ่นกรองแสงถนอมสายตาจากแสงสีฟ้า หรือ แอพลิเคชั่นที่ช่วยตัดแสงสีฟ้า เป็นต้น เพื่อถนอมสายตาและทำให้นอนหลับได้ดีนั่นเอง





 26 เม.ย. 2561 โดย: MGR Online

252
หนุ่มๆ สาวๆ เคยไหมครับ ดื่มหนักไปหน่อย พอตื่นเช้ามามึนตึบ วินเวียน บางครั้งหนักกว่านั้นถึงขั้นลุกไม่ขึ้นกันเลย อาการแบบนี้มาจากการผลของการดื่มแอลกอฮอล์ หรือเรียกว่าอาการ แฮงค์ นั่นเอง


วันนี้สำหรับใครที่แฮงค์บ่อยๆ เรามีอาหารที่สามารถบรรเทาอาการเมาค้างได้มาฝาก ลองไปหากินกันดูนะครับ ดื่มครั้งต่อไปจะได้แฮงค์น้อยลง


1.สตรอเบอร์รี่

ไม่ต้องเป็นสตรอเบอร์รี่ลูกโตๆ นำเข้าจากต่างประเทศก็ได้ เอาที่หาซื้อง่ายๆ ด้วยรสชาติเปรี้ยวๆ หวานๆ และวิตามินซี ที่อยู่ในสตรอเบอร์รี่ จะทำให้อาการเมาค้างของคุณทุเราลงได้ แต่หากไม่อยากกินแบบสดๆ เอาไปปั่นทำเป็นสมูทตี้ก็จะดีไม่น้อย ยิ่งผสมน้ำกีวีเข้าไปด้วย เขาว่ากันว่าสูตรนี้จะแก้เมาได้ดีมากๆ เลย


2..เครื่องดื่มวิตามิน

เครื่องดื่มประเภทนี้เดี๋ยวนี้หาซื้อได้ง่ายมากมีทั้งในร้านขายยาและร้านสะดวกซื้อ หากคุณรู้ตัวว่าจะต้องออกไปลั่นลาควรหาซื้อมาดื่มไว้ก่อนนะครับครับ เพราะเครื่องดื่มชนิดนี้จะมีวิตามินบีและวิตามินซี ซึ่งมีส่วนช่วยลดอาการแฮงก์และอาการปวดหัวได้


3.ช็อคโกแลต

ถ้าที่บ้านบังเอิญไม่มีผลไม้ติดไว้เลย แต่มีช็อกโกแลต คุณสามารถแก้แฮงค์ ได้ด้วยช็อกโกแลตนี่ล่ะครับ เพราะด้วยคุณสมบัติทำให้สมองตื่นตัว กระฉับกระเฉง เมื่อกินเข้าไปก็เลยฟินเบาๆ อ๋อ เกือบลืมบอกไป ถ้าไม่อยากมานั่งแก้แฮงค์หลังปาร์ตี้หนักๆ ลองทาน ช็อกโกแลตปิดท้ายดูสิครับ เขาว่ามันช่วยให้ไม่แฮงค์ได้ดี


4.ขนมปังโฮลวีตหรือซีเรียล

ขนมปังโฮลวีต เป็นขนมปังที่อุดมไปด้วยธัญพืชนานาชนิด ถ้ากินยามเช้าหลังจากที่แฮงค์ จะช่วยดูดซึมแอลกอฮอล์ในร่างกายได้เป็นอย่างดี แต่ถ้าไม่มีขนมปังโฮลวีต ลองมองหาซีเรียลธัญญาหารมากินกับนมไขมันต่ำ ก็ถือเป็นการให้พลังงานที่ดีแก่ร่างกาย เพราะบ้างครั้งเรามึนเพราะร่างกายต้องการอาหารนั่นเอง


5.แตงโม

ผลไม้ที่เหมาะๆ สุดในหน้าร้อนแบบนี้ หาซื้อก็ง่ายมีทั้งที่ตลาด และซุปเปอร์มาเก็ต ใครรู้ตัวว่ายังไงก็ต้องไปปลดปล่อยนอกบ้าน ซื้อมาติดตู้เย็นไว้เลยนะครับ เพราะแตงโม มีสารสำคัญที่ชื่อ Citrulline ในเนื้อ และในเม็ด มีสรรพคุณ ช่วยแก้กระหายน้ำและ ถอนพิษสุรา ร้อนๆ มึนๆ ดับด้วย แตงโมแช่เย็นครับ


6.น้ำสมุนไพรไทย

ถ้าเกิดอาการคลื่นเหียนอยากอาเจียน ลองชงน้ำขิงดื่มดู เดี๋ยวนี้เขามีขิงผงสำเร็จรูปขายกัยเยอะแยะ นอกจากนี้น้ำกระเจี๊ยบ สมุนไพรของไทยเรานี่ก็ช่วยได้ ดื่มน้ำกระเจี๊ยบเย็นๆ รสเปรี้ยวชุ่มฉ่ำ ช่วยให้ร่างกายสดชื่นได้ไม่ยาก หรือถ้ายังไม่หายล่ะก็แนะนำ น้ำเก็กฮวย ถ้าโลกหมุน ปวดและวิงเวียนศีรษะ เพราะเก็กฮวยมีสรรพคุณช่วยลด อาการปวดเวียนได้



25 เม.ย. 61  โดย Sanook.com

253
 หมอมะเร็งจุฬาฯ จี้ สธ.บอกผลวิจัย "สมุนไพร" สูตรแสงชัยให้ชัด ช่วยคุณภาพชีวิตดีขึ้นอย่างไร หวั่นสังคมเข้าใจคลาดเคลื่อน แจงวิจัยในหลอดทดลองฆ่าเซลล์มะเร็งไม่ได้ ไม่มีประโยชน์ที่จะวิจัยในมนุษย์ต่อ ห่วงกรมแพทย์แผนไทยฯ ให้ใบรับรองหมอพื้นบ้าน ทั้งที่ยังไม่รู้ผลของสมุนไพร และยังให้แจกต่อทั้งที่รู้ว่าไม่ได้ผล


จากกรณีผลวิจัยประสิทธิภาพของสมุนไพรสุตรหมอแสง หรือนายแสงชัย แหเลิศตระกูล จ.ปราจีนบุรี โดยพบว่า ไม่มีผลในการยับยั้งเซลล์มะเร็ง 7 ชนิดในระดับหลอดทดลอง ซึ่งนายแสงชัยยืนยันจะเดินหน้าแจกสมุนไพรต่อไป และไม่มีการชี้แจงต่อประชาชน โดยอ้างว่าจะประชาชนอยากรู้ว่าจะแจกสมุนไพรต่อหรือไม่มากกว่าอยากรู้ผลวิจัย


วันนี้ (25 เม.ย.) รศ.นพ.วิโรจน์ ศรีอุฬารพงศ์ หัวหน้าศูนย์ความเป็นเลิศทางการแพทย์ โรคมะเร็งครบวงจร โรงพยาบาลจุฬาลงกรณ์ ในฐานะอุปนายกสมาคมมะเร็งวิทยาสมาคมแห่งประเทศไทย กล่าวว่า กระทรวงสาธารณสุข (สธ.) ควรต้องประกาศให้ชัดเจนว่าไม่ได้ผล คือ ไม่ได้ผล เพราะหากบอกว่ามีผลในเรื่องของคุณภาพชีวิตก็ต้องมีผลในเรื่องการศึกษาหรือเปรียบเทียบให้ชัดว่า ส่งผลต่อคุณภาพชีวิตอย่างไร เพื่อให้สาธารณะทราบข้อเท็จจริงอย่างแท้จริง เช่น มีการเปรียบเทียบระหว่างกินกับไม่กิน ผลเป็นอย่างไร ส่วนที่ระบุว่า อาจทำให้มีผลต่อสภาพจิตใจ ทำให้มีกำลังใจ นั่นก็เป็นอีกส่วนหนึ่ง แต่อย่าลืมว่าเซลล์มะเร็งไม่ได้ตายหรือหายไป ดังนั้น การจะมาพูดว่าทำให้คุณภาพชีวิตดีขึ้นก็ต้องพูดให้ชัดเจน ไม่เช่นนั้นสังคมอาจเข้าใจคลาดเคลื่อน


"การจะพูดว่าอาการดีขึ้นจากการรับประทานสมุนไพรนั้น วัดได้ยาก หากไม่มีผลการศึกษาที่ชัดเจน เพราะอาจเป็นผลดีที่สืบเนื่องจากการรักษาของแพทย์แผนปัจจุบันอยู่แล้ว หรือคนไข้เพิ่งผ่านการรักษาจนจบคอร์ส ทั้งการฉายแสง การทำคีโมบำบัด และเมื่อมารับประทานสมุนไพรก็อาจดีขึ้น เนื่องจากฟื้นตัวแล้ว ตรงนี้จึงบอกไม่ได้ว่า เป็นผลดีจากอะไรกันแน่ ซึ่งกรณีที่นายแสงชัยบอกว่า หลายคนกินแล้วดีขึ้น ก็ต้องมีตัวชี้วัดว่าดีเพราะอะไร" รศ.นพ.วิโรจน์กล่าว


ผู้สื่อข่าวถามถึงกรณีนายแสงชัยจะยังแจกสมุนไพรต่อไป เพราะเป็นแค่การวิจัยในหลอดทดลอง ไม่ได้ทดลองในมนุษย์ รศ.นพ.วิโรจน์ กล่าวว่า หลักของการศึกษาวิจัยต้องเริ่มจากหลอดทดลองในห้องปฏิบัติการ หากไม่ส่งผลใดๆ ก็จบ เพราะหากไม่ส่งผลแล้วก็ไม่จำเป็นต้องศึกษาวิจัยในมนุษย์ หรือที่เรียกว่าในระดับคลินิก แต่หากส่งผลดีก็จะวิจัยต่อในมนุษย์ และการจะทดสอบในมนุษย์ก็ต้องผ่านคณะกรรมการจริยธรรมในมนุษย์ด้วย แต่สำหรับนายแสงชัยไม่ได้มีตรงนี้ และพฤติกรรมการแจกสมุนไพร แม้จะบอกว่าเป็นแคปซูล ไม่ได้บอกว่าเป็นยา แต่พฤติกรรมมีการแจก และยังจดรายละเอียดผู้ป่วย ซึ่งพฤติกรรมเหมือนหมอ แต่ไม่มีใบประกอบโรคศิลปะ แบบนี้ไม่ถูกต้อง ที่สำคัญกรมการแพทย์แผนไทยและการแพทย์ทางเลือก กลับให้ใบรับรองหมอพื้นบ้านถึงจะบอกว่า แค่รับรองภูมิปัญญา แต่ก็ต้องพิจารณาเป็นรายกรณี ดูความเหมาะสมหรือไม่ เพราะกรณีนี้มีการแจก มีคนไปต่อคิวรับจำนวนมาก และไม่มีทางทราบเลยว่า ใครรับประทานไปแล้วผลหลังจากนั้นจะเป็นอย่างไร


“เรื่องนี้ต้องมีหน่วยงานรับผิดชอบ อย่าง สธ.ถือเป็นหน่วยงานหลักในการดูแลเรื่องนี้ และควรต้องมีข้อบังคับ หรือกฎหมายอะไรหรือไม่ มิเช่นนั้น ในอนาคตก็จะมีเคสแบบนี้เกิดขึ้นอีก มีคนไปรอรับคิวสมุนไพร หรืออะไรก็ตามที่อาจบอกว่ารักษาโรคนั้นโรคนี้ได้ ยิ่งโรคมะเร็งยิ่งน่ากลัว และพอเขามาขอยื่นใบรับรอหมอพื้นบ้านก็ให้หมด และพอตรวจสอบสารออกฤทธิ์แล้วไม่พบประสิทธิภาพ แต่ก็ยังให้แจกต่อไปอีก แบบนี้ความเสี่ยงก็อยู่ที่ประชาชน ซึ่งเรื่องนี้ต้องมีการควบคุมให้ดีหรือไม่" รศ.นพ.วิโรจน์ กล่าว




25 เม.ย. 2561  โดย: MGR Online

254
“กาแฟ” ถือได้ว่าเป็นเครื่องดื่มชนิดหนึ่งที่นิยมดื่มกันทั่วโลก เนื่องจากดื่มแล้วจะช่วยให้กระชุ่มกระชวย กระปรี้กระเปร่า ตื่นตัว แต่ในทางกลับกันหากดื่มมากเกินไปอาจทำให้ร่างกายสูญเสียแร่ธาตุที่จำเป็นเหล่านี้…

1.แคลเซียม

การดื่มกาแฟมากเกินไปจะทำให้สูญเสียแคลเซียมได้ เพราะเนื่องจากแคลเซียมจะถูกขับออกไปพร้อมกับปัสสาวะที่เป็นผลจากฤทธิ์ของคาเฟอีน และหากยิ่งได้รับคาเฟอีนมากจะทำให้สูญเสียมวลกระดูกมากตามไปด้วย ซึ่งนักวิชาการได้สำรวจผู้ดื่มกาแฟ โดยพบว่ามีบุคคลจำนวน 90% ดื่มกาแฟแล้วจะมีการขับถ่ายแคลเซียมออกมากับปัสสาวะเป็น 1 เท่าของผู้ที่ไม่ได้ดื่มกาแฟ และยิ่งในผู้หญิงที่หมดประจำเดือนด้วยแล้ว หากดื่มกาแฟมากเกินไปจะยิ่งทำให้เป็นโรคกระดูกผุได้ง่าย ทั้งนี้ควรรับประทานอาหารที่มีแคลเซียมเสริมให้กับร่างกายเป็นประจำ

อาหารที่มีแคลเซียมสูง ได้แก่ บรอกโคลี, คะน้า, ข้าวโอ๊ต, ปลา, เต้าหู้, ถั่วขาว, ถั่วแระ, เมล็ดงา, อัลมอนด์, นมถั่วเหลือง, นมจืด เป็นต้น



2.แมกนีเซียม

คนที่ดื่มกาแฟหรือเครื่องดื่มที่มีคาเฟอีนเป็นประจำจะกระตุ้นให้ไตขับแมกนีเซียมออกจากร่างกายในปริมาณมาก ซึ่งแมกนีเซียมมีความจำเป็นต่อการทำงานของเส้นประสาท และกล้ามเนื้อ ถ้าหากร่างกายขาดแมกนีเซียมจะทำให้นอนหลับยาก สมาธิสั้น เป็นตะคริว ตาหรือกล้ามเนื้อใบหน้ากระตุก ไม่สามารถบังคับอวัยวะต่างๆ ให้เคลื่อนไหวตามต้องการได้ เนื่องจากมีการผิดปกติของระบบประสาท กล้ามเนื้อ ระบบทางเดินอาหารและการย่อยผิดปกติ เลือดแข็งตัวช้า ระดับแคลเซียมในเลือดต่ำ ฯลฯ เป็นต้น

อาหารที่มีแมกนีเซียมสูง ได้แก่ ข้าวกล้อง, ปลาทู, กล้วย, อัลมอนด์, อะโวคาโด, โยเกิร์ตไม่มีไขมัน


3.สังกะสี

การดื่มกาแฟมากเกินไปจะมีผลต่อการดูดซึมธาตุสังกะสี เนื่องจากคาเฟอีนจะมีผลต่อการดูดซึมและขัดขวางการดูดซึมของแร่ธาตุดังกล่าวได้ ซึ่งหากร่างกายขาดสังกะสีมักจะแสดงออกมาด้วยอาการทางผิวหนัง เช่น ผิวหยาบกร้าน ผิวแห้งลอกไม่มีความชุ่มชื้น ขนตามร่างกายร่วง ผิวหนังเป็นรอยเขียวฟกช้ำได้ง่าย มีการอักเสบระคายเคืองที่ผิวหนัง และยิ่งผู้หญิงที่อยู่ในช่วงให้นมบุตรการขาดธาตุสังกะสีจะส่งผลไปถึงการเจริญเติบโตที่ผิดปกติของลูกน้อยได้



โดยในแต่ละวัยควรได้รับสังกะสี ดังนี้

-เด็กอายุระหว่าง 1-10 ปี ควรได้รับวันละ 10 มิลลิกรัม
-เด็กวัยรุ่นอายุ 11-22 ปี ควรได้รับ 15 มิลลิกรัม
- ผู้ใหญ่อายุ 23-51 ปี ควรได้รับวันละ 15 มิลลิกรัม
-หญิงตั้งครรภ์และให้นมบุตร ควรได้รับวันละ 20-25 มิลลิกรัม



อาหารที่มีธาตุสังกะสีสูง ได้แก่ เนื้อสัตว์, ตับ, อาหารทะเลโดยเฉพาะหอยนางรม เป็นต้น


4.ธาตุเหล็ก

เป็นแร่ธาตุที่จำเป็นต่อร่างกายอย่างยิ่ง มีความสำคัญต่อการผลิตเฮโมโกลบินส่วนประกอบที่สำคัญของเม็ดเลือดแดง, ไมโอโกลบินที่เป็นเม็ดสีแดงในกล้ามเนื้อ และเอนไซม์บางชนิด ซึ่งหากร่างกายขาดธาตุเหล็กจะส่งผลให้อ่อนเพลีย เหนื่อยง่าย ปวดศีรษะ หน้ามืด วิงเวียน ตัวซีด ใจสั่นได้ง่าย นำไปสู่โรคโลหิตจางได้ เป็นต้น โดยกาแฟเป็นส่วนหนึ่งที่ทำให้การดูดซึมธาตุเหล็กลดลงได้ถึง 35%

อาหารที่มีธาตุเหล็กสูง ได้แก่ เครื่องในสัตว์, อาหารทะเล, ไข่แดง, เนื้อสัตว์ต่างๆ โดยเฉพาะเนื้อแดง, ถั่วเมล็ดแห้งต่างๆ, ธัญพืชต่างๆ เช่น ข้าวโอ๊ต จมูกข้าวสาลี, ผักใบเขียวเข้ม เช่น คะน้า ตำลึง ผักโขม ผักบุ้ง บรอกโคลี หน่อไม้ฝรั่ง เป็นต้น

หมายเหตุ

-หากคุณเป็นบุคคลหนึ่งที่ติดกาแฟอย่าลืมทานอาหารที่มีแร่ธาตุข้างต้นเสริมเข้าไปอย่างเด็ดขาด!
-การดื่มกาแฟในปริมาณที่ไม่มากเกินจนไป คือต้องดื่มไม่เกินวันละ 1-2 แก้ว (โดย 1 แก้ว = 150 มิลลิลิตร มีคาเฟอีน 80 มิลลิกรัม)
- ต้องได้รับคาเฟอีนเข้าสู่ร่างกายน้อยกว่า 200 มิลลิกรัมต่อวัน






23 เม.ย. 2561   โดย: MGR Online

255
สถาบันโรคผิวหนัง กรมการแพทย์ เผยโรคท้าวแสนปมเป็นโรคที่ถ่ายทอดทางพันธุกรรม ไม่ใช่โรคติดต่อ สามารถอยู่ร่วมกับผู้ป่วยได้ตามปกติ วอนสังคมอย่ารังเกียจ ควรให้กำลังใจเพื่อให้ผู้ป่วยดำเนินชีวิตในสังคม ได้อย่างปกติ


แพทย์หญิงมิ่งขวัญ วิชัยดิษฐ ผู้อำนวยการสถาบันโรคผิวหนัง กรมการแพทย์ กล่าวว่า โรคท้าวแสนปมเป็นโรคทางพันธุกรรมที่เกิดขึ้นได้บ่อย พบอัตราการเกิดโรคจากประชาชน 2,500 คน พบผู้ป่วยได้ 1 คน ซึ่งทั้งผู้หญิงและผู้ชายมีโอกาสการเกิดโรคเท่ากัน โดยมีอาการก้อนขึ้นตามผิวหนัง อาจมีขนาดเล็กหรือใหญ่มาก ร่วมกับมีปานสีน้ำตาลขนาดค่อนข้างใหญ่ และรักแร้ตกกระ



โรคท้าวแสนปมก่อให้เกิดภาวะแทรกซ้อนกับอวัยวะต่างๆ ได้หลายอวัยวะ เช่น กระดูกสันหลัง ระบบตา ระบบข้อ โรคไต ความดันโลหิตสูง มะเร็ง อาการทางประสาท เช่น ลมชัก ปัจจุบันยังไม่มีการรักษาโรคท้าวแสนปมที่ได้ผลดี จะเน้นการรักษาตามอาการและเฝ้าระวังภาวะแทรกซ้อนเป็นหลัก ได้แก่ การตรวจทางจักษุวิทยา การตรวจคัดกรองมะเร็ง และการตรวจวัดความดันโลหิตทุกปี สำหรับการรักษาก้อนตามผิวหนังจะขึ้นกับตำแหน่งและจำนวนก้อนที่เป็น หากเป็นก้อนเดี่ยวหรือมีจำนวน ไม่มากและอยู่ในบริเวณที่ผ่าตัดได้ แพทย์จะพิจารณารักษาด้วยวิธีการผ่าตัดออก แต่มีโอกาสกลับเป็นซ้ำอีก โรคนี้ไม่ใช่โรคติดต่อขอให้ประชาชนอย่างได้รังเกียจ ควรให้กำลังผู้ป่วยเพื่อให้สามารถดำเนินชีวิตในสังคมได้ตามปกติ


ดร.นายแพทย์เวสารัช เวสสโกวิท ที่ปรึกษาผู้อำนวยการด้านวิชาการ สถาบันโรคผิวหนัง กรมการแพทย์ ให้ข้อมูลเพิ่มเติมว่าโรคท้าวแสนปมเกิดจากการกลายพันธุ์ในยีน การกลายพันธุ์จะทำให้โปรตีนที่มีหน้าที่ควบคุมเกี่ยวกับเนื้อเยื่อของเส้นประสาทผิดปกติทำให้เกิดการเจริญเติบโตของเนื้อเยื่อตามแนวเส้นประสาท และเกิดการ กดทับเส้นประสาท อาจมีอาการเจ็บ การรับรู้การสัมผัส หรือการเคลื่อนไหวที่ผิดปกติ โรคท้าวแสนปมมีการถ่ายทอดพันธุกรรมแบบเด่น คือ หากผู้ป่วยมีบุตร บุตรจะมีโอกาสเป็นโรคเดียวกันได้ถึงร้อยละ 50 นอกจากนี้ยังสามารถพบได้จากความผิดปกติของยีนในร่างกาย ซึ่งไม่ได้รับมาจากบิดามารดาโดยตรง ถึงร้อยละ 50 ของผู้ป่วยทั้งหมด




21 เม.ย. 61 ข้อมูล :สำนักสารนิเทศ สำนักงานปลัดกระทรวงสาธารณสุข

หน้า: 1 ... 15 16 [17] 18 19 20