ผู้เขียน หัวข้อ: เตือนอันตรายจากแดด เสี่ยงเป็น'ฮีสโตรก'เสียชีวิตได้ง่าย  (อ่าน 1330 ครั้ง)

story

  • Staff
  • Hero Member
  • ****
  • กระทู้: 9760
    • ดูรายละเอียด
กรมควบคุมโรค เตือนประชาชนระวังอากาศร้อนต่อเนื่องหลายวัน เสี่ยงอันตราย 4 โรคสำคัญ จากการสัมผัสแสงแดดโดยตรง โดยเฉพาะ "โรคลมแดด" หรือ "ฮีสโตรก" เสี่ยงเสียชีวิตมากสุด...

เมื่อวันที่ 19 เม.ย. ดร.นพ.พรเทพ ศิริวนารังสรรค์ อธิบดีกรมควบคุมโรค กล่าวว่า แม้ขณะนี้ประเทศไทยจะเข้าสู่ฤดูร้อน แต่พบว่าอากาศมีความเปลี่ยนแปลงได้ตลอดเวลา เพราะบางครั้งอาจเกิดพายุฝน ทำให้อากาศเย็นลง และสลับอากาศร้อนถึงร้อนจัด กรมควบคุมโรคจึงมีความห่วงใยในสุขภาพของประชาชน เพราะอากาศที่ร้อนจัดในช่วงนี้ อาจจะมีโอกาสร้อนต่อเนื่องติดต่อกันอีกหลายวัน ซึ่งอากาศที่ร้อนถึงร้อนจัดในบางช่วงเวลานั้น พบว่า แต่ละวันอุณหภูมิช่วงกลางวันเวลาประมาณ 13.00 น. ถึง 16.00 น. จะเป็นช่วงที่อุณหภูมิอากาศร้อนที่สุด โดยเฉพาะเวลาประมาณ 14.00 น. จะเป็นช่วงเวลาที่ร้อนที่สุดของวัน ประชาชนอาจได้รับความร้อนมากจนเกินไป และเกิดภาวะขาดน้ำ เสี่ยงต่อการป่วยด้วย 4 โรคสำคัญ ได้แก่
1. โรคลมแดดหรือฮีสโตรก (Heat Stroke)
2. โรคเพลียแดด (Heat Exhaustion)
3. โรคตะคริวแดด (Heat Cramps) และ
4. ผิวหนังไหม้แดด (Sunburn)
ที่อันตรายถึงขั้นเสียชีวิต คือโรคลมแดด

อธิบดีกรมควบคุมโรค กล่าวว่า อาการสำคัญของแต่ละโรคมีดังนี้

1. โรคลมแดดหรือฮีสโตรก อาการที่สังเกตง่าย คือ ผิวหนังจะแดงร้อน และแห้ง ไม่มีเหงื่อ หากวัดปรอททางปาก อุณหภูมิจะสูงเกิน 40 องศาเซลเซียส หรือ 103 องศาฟาเรนไฮต์ ผู้ป่วยจะชีพจร เต้นแรงและเร็ว มีอาการคลื่นไส้ สับสน ไม่รู้สึกตัว ในการช่วยเหลือเบื้องต้น ให้นำผู้ป่วยเข้าที่ร่มทันที และใช้ผ้าชุบน้ำเย็นเช็ดตัว หรือแช่ตัวในน้ำเย็น ในรายที่มีอาการหนัก อาจจะใช้ผ้าชุบน้ำเย็นห่อตัวไว้ และรีบนำส่งโรงพยาบาลทันที ไม่เช่นนั้นอาจเสียชีวิตได้

2. โรคเพลียแดด จะมีอาการเหงื่อออกมาก หน้าซีด ปวดหัว วิงเวียน คลื่นไส้หรืออาเจียน ผู้ป่วยจะมีอาการเหนื่อย อ่อนแรง หรือเป็นลม ผู้ป่วยประเภทนี้ จะมีอุณหภูมิในร่างกายสูงกว่า 37 องศาเซลเซียส แต่ไม่เกิน 40 องศาเซลเซียส ในการช่วยเหลือคนที่เป็นโรคเพลียแดด ให้ดื่มน้ำเย็น ที่ไม่มีแอลกอฮอล์ผสม ให้พัก อาบน้ำ หรือเช็ดตัวด้วยน้ำเย็น หากเป็นไปได้ให้อยู่ในสถานที่ที่มีเครื่องปรับอากาศ เพื่อลดอุณหภูมิร่างกาย และสวมเสื้อผ้าที่เบาสบาย อาการก็จะดีขึ้นเรื่อยๆ และเป็นปกติได้เอง

3. โรคตะคริวแดด มักพบในผู้ที่ทำงานกลางแดด หรือออกกำลังกายหักโหมขณะที่มีอากาศร้อน จะมีอาการปวดกล้ามเนื้อ หน้าท้อง แขน ขา มีอาการเกร็ง ผู้ป่วยต้องหยุดออกกำลังกาย หรือหยุดใช้แรงทันที เมื่ออาการดีขึ้นแล้ว ไม่ควรออกกำลังกายซ้ำภายใน 2-3 ชั่วโมง ให้ดื่มน้ำผลไม้หรือเครื่องดื่มที่มีเกลือแร่ หากเป็นไปได้ให้อยู่ในที่ที่มีเครื่องปรับอากาศ หากอาการไม่ดีขึ้นใน 1 ชั่วโมง ให้รีบไปพบแพทย์

4. ผิวหนังไหม้แดด เป็นอาการที่เบาที่สุด ผิวหนังจะเป็นรอยแดง ปวดแสบปวดร้อนเล็กน้อยหลังถูกแดด ซึ่งโดยทั่วไปอาการจะหายได้เองภายใน 1 สัปดาห์ ในการดูแลหากผิวหนังไหม้แดด ขอให้หลีกเลี่ยงการออกแดดซ้ำ และประคบด้วยความเย็น เช่นผ้าเย็น กระเป๋าน้ำแข็ง ถุงเจลแช่เย็น และทาโลชั่นให้ความชุ่มชื้นบริเวณที่เป็นรอยไหม้ หากมีตุ่มพุพองขึ้นห้ามเจาะ เพราะจะทำให้อักเสบได้

ดร.นพ.พรเทพ กล่าวต่อไปว่า ผู้ที่เป็นกลุ่มเสี่ยง 6 กลุ่ม ได้แก่
1. เด็กแรกเกิดถึงอายุ 4 ขวบ
2. ผู้สูงอายุตั้งแต่ 65 ปีขึ้นไป
3. ผู้ที่เป็นโรคอ้วนหรือมีน้ำหนักตัวมาก
4. คนป่วยหรือผู้ทานยาเป็นประจำ
5. ผู้ที่ต้องทำงานหรือออกกำลังกายกลางแจ้งเป็นเวลานานๆ และ
6. ผู้ที่ดื่มสุราหรือเบียร์ในขณะที่มีสภาพอากาศร้อน

คำแนะนำสำหรับป้องกันอันตรายจากอากาศร้อน คือ เตรียมสภาพร่างกายให้พร้อม ด้วยการออกกำลังกายเป็นประจำ หลีกเลี่ยงการอยู่กลางแดดในวันที่อากาศร้อนจัด ดื่มน้ำสะอาดให้เพียงพอ อย่างน้อยวันละ 6-8 แก้ว หรือประมาณวันละ 2 ลิตร สวมใส่เสื้อผ้าที่มีสีอ่อน ไม่หนา น้ำหนักเบา และสามารถระบายความร้อนได้ดี ใช้โลชั่นกันแดดที่มีค่า SPF 15 ขึ้นไปก่อนออกแดด 30 นาที เด็กเล็กหรือคนชราที่ช่วยเหลือตัวเองได้น้อยควรดูแลเป็นพิเศษโดยจัดให้อยู่ในสภาพแวดล้อม หรือห้องที่ระบายอากาศได้ดี อย่าเพิกเฉยต่อความรู้สึกร้อนหรือเหนื่อยเกินไปของเด็กและคนชรา อย่าปล่อยให้เด็กหรือคนชราอยู่ในรถที่ปิดสนิทตามลำพัง หลีกเลี่ยงการกินยาแก้แพ้ ลดน้ำมูก โดยเฉพาะก่อนการออกกำลังกายหรืออยู่กลางแดดเป็นเวลานานๆ และหลีกเลี่ยงเครื่องดื่มที่มีแอลกอฮอล์ทุกชนิด เนื่องจากฤทธิ์ของแอลกอฮอล์ จะทำให้หลอดเลือดใต้ผิวหนังขยายตัว ผนวกกับอากาศที่ร้อนอบอ้าว จะทำให้สูญเสียน้ำทางเหงื่อและปัสสาวะได้ง่ายยิ่งขึ้น ทำให้ร่างกายขาดน้ำ อุณหภูมิร่างกายสูงขึ้น อาจช็อคหมดสติได้

“ในกรณีที่ต้องทำงานหรือออกกำลังกายกลางแจ้ง กลางแดดร้อน ขอให้ดื่มน้ำเย็น 2-4 แก้วทุกชั่วโมง หากเสียเหงื่อมากให้ดื่มน้ำเกลือแร่ ในช่วงที่อากาศร้อนจัดมาก ขอให้ประชาชนควรอยู่ในอาคาร ส่วนวิธีที่ดีที่สุดในการลดอุณหภูมิของร่างกาย คือ ให้อาบน้ำหรือใช้ผ้าชุบน้ำเย็นเช็ดตัว และหากมีข้อสงสัยติดต่อได้ที่ศูนย์บริการข้อมูลฮอตไลน์ กระทรวงสาธารณสุข โทร. 1422 และศูนย์ปฏิบัติการกรมควบคุมโรค โทร. 0 2590 3333” ดร.นพ.พรเทพ กล่าวทิ้งท้าย.

ไทยรัฐออนไลน์  21 เมย 2555