แสดงกระทู้

This section allows you to view all posts made by this member. Note that you can only see posts made in areas you currently have access to.


Messages - science

หน้า: 1 ... 4 5 [6] 7 8 ... 13
76
 วันนี้ (3-10-56) โรลส์-รอยส์ มอเตอร์ คาร์ส แบงคอก เปิดตัว โกสท์ อัลไพน์ ไทรอัล เซ็นเท็นเนรี่ ที่ผลิตเพียง 35 คันทั่วโลก และนำเข้ามาขายคันเดียวในประเทศไทย สนนราคา 28.5 ล้านบาท
       
       ฉัตรวิทัย ตันตราภรณ์ ผู้จัดการทั่วไปโรลส์-รอยซ์ มอเตอร์ คาร์ส แบงคอก กล่าวว่า อัลไพน์ เซ็นเท็นเนรี เป็นคอลเล็คชั่นพิเศษ ที่เป็นโมเดลอันทรงคุณค่าของโรลส์-รอยซ์ บริษัทฯมีความภาคภูมิใจอย่างยิ่งที่ได้โชว์โฉม อัลไพน์ ในกรุงเทพวันนี้ และเชื่อว่าจะตอบสนองต่อความต้องการของลูกค้าที่ต้องการสะสมรถ รุ่นลิมิเต็ดได้เป็นอย่างดี
       
       "ตำนานแห่งความภาคภูมิใจของโรลส์-รอยซ์ โดยยนตรกรรมรุ่นลิมิเต็ค อิดิชั่น จากโรลส์-รอยซ์ โกสท์มีการออกแบบที่สร้างขึ้นอย่างปราณีต ในแบบฉบับเดียวกันกับอัลไพน์ ไทรอัลในยุคปี 1913 โดยเฉดสีของตัวรถภายนอก คือตัวอย่างที่เห็นได้ชัดเจนว่าได้รับแรงบันดาลใจจากรุ่น ซิลเวอร์ โกสท์ ซึ่งเข้าร่วมการแข่งขันในรายการอัลไพน์ ไทนอัล ในปี 1913 และขับขี่โดย เจมส์ แรดเลย์ ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของทีมแข่งจากโรสล์-รอยซ์"
       
       กระจังหน้าและล้อเป็นสีดำ ซึ่งถือเป็นครั้งแรกที่กระจังทาสีได้ถูกนำมาตกแต่งในแบบร่วมสมัยกับยนตรกรรมของโรลส์-รอยซ์ ภายในตกแต่งอย่างปราณีตบอกเล่าเรื่องราวของอัลไพน์ ไทรอัล อาทิ นาฬิกาจับเวลาการแข่งขันแรลลี่ในแต่ละสเตจ ขณะที่โต๊ะปิกนิคด้านหลังแผงหน้าปัดด้านหน้าแสดงภูมิประเทศ และระยะทางของเส้นทางบนเทือกเขาอัลไพน์ แต่ละองค์ประกอบล้วนถูกรังสรรค์ด้วยงานช่างฝีมือ อย่างพิถีพิถัน พร้อมการวิจัยข้อมูลในทุกด้านเพื่อให้แน่ใจว่าถูกต้องตามมาตรฐานของแบรนด์ โรลส์-รอยซ์
       
       การรังสรรค์งานฝีมือของเส้นโค้ชไลน์อ้างอิงจากโรลส์-รอยซ์ ทั้ง 4 คัน ที่เข้าร่วมในการแข่งขันแรลลี่ ครั้งนั้น พร้อมสีที่เข้าคู่กับวัสดุบุหลังคารถของแรลลีย์ อันเป็นการแสดงถึงการให้เกียร์ติ อย่างดงามสมบูรณ์
       
       อนึ่งอัลไพน์ เซ็นเท็นเนรี่ คอลเลคชั่น ถือกำเนิดขึ้นภายใต้แรงบันดาลใจอันน่าทึ่งเมื่อ 100 ปี ที่ผ่านมา จากโรลส์-รอยซ์ ซิลเวอร์ โกสท์ 4 คัน ที่เข้าร่วมการแข่งขันแรลลี่ในรายการ ออสเตรียน อัลไพน์ ไทรอัล ซึ่งเป็นที่สุดแห่งบททดสอบในด้านความแกร่งของยานยนต์ได้เป็นอย่างดี     
       

       ปฎิบัติการบนเส้นทางที่ทุรกันดาร และยาวไกลกว่า 1,820 ไมล์ (ประมาณ 2,912 กิโลเมตร) ของทีมแข่งจากโรลส์-รอยซ์ และ เจมส์ แรดเลย์ ได้สร้างชื่อเสียง ความน่าเชื่อถือ และความเป็นเลิศอันหาที่เปรียบไม่ได้ในด้านวิศวกรรมยานยนต์ให้กับ โรลส์-รอยซ์ สู่ความภาคภูมิใจในวันนี้ ซิลเวอร์ โกสท์ จึงเป็นตำนานที่สร้างให้ โรลส์-รอยซ์ คือยนตรกรรมที่ดีที่สุดในโลก
       
       ฝ่ายพัฒนาผลิตภัณฑ์ บีสโป๊กของโรลส์-รอยซ์ ณ โรงงานกู๊ดวู๊ด ประเทศอังกฤษ จึงได้ฉลองตำนานแห่งความสำเร็จด้วยการเปิดตัว อัลไพน์ เซ็นเท็นเนรี่ คอลเล็คชั่น ที่มากับเครื่องยนต์ 6,600 ซีซี 564 แรงม้า กับราคา 28.5 ล้านบาท งานนี้เศรษฐีท่านใดสนใจ จะซื้อเก็บไว้เป็นคอลเล็คชั่นก็ไม่ว่ากัน


ASTVผู้จัดการออนไลน์    3 ตุลาคม 2556

77
มาสเตอร์การ์ดชี้การเติบโตของเศรษฐกิจในตลาดต่างๆ มีความสัมพันธ์อย่างใกล้ชิดกับการเปิดโอกาสให้ผู้หญิง ซึ่งมีจำนวนกว่าครึ่งของประชากรทั้งหมด นอกจากโอกาสทางการศึกษา จำเป็นอย่างยิ่งที่จะต้องสนับสนุนให้เกิดความเท่าเทียมและเพิ่มขีดความสามารถของผู้หญิง ย้ำปัจจัยต่างๆ ทางวัฒนธรรม หนุนให้อัตราการมีส่วนร่วมของสตรีในภาคแรงงานไทยอยู่ในระดับดีมาก เผย 4 ประเด็นน่าสนใจ
       
       การศึกษาเกี่ยวกับบทบาทของสตรีกับการมีส่วนร่วมในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจ ภายใต้หัวข้อ ‘พลังสตรีและการเติบโตทางเศรษฐกิจในเอเชีย’ (Women Power and Economic Growth in Asia) จากมาสเตอร์การ์ด เป็นการมุ่งวิเคราะห์เกี่ยวกับการมีส่วนร่วมของแรงงานสตรีในภูมิภาคเอเชียตะวันออก เอเชียตะวันออกเฉียงใต้ และเอเชียใต้ ที่มีความสำคัญต่อภาคเศรษฐกิจโดยรวม และเน้นไปที่ 17 ประเทศในเอเชีย โดยศึกษาถึงบทบาทของการศึกษาที่มีต่อการส่งเสริมผลิตภาพแรงงาน
       
       ดร. ยุวะ เฮ็ดริก-หว่อง ที่ปรึกษาด้านเศรษฐกิจโลก มาสเตอร์การ์ด เวิลด์วายด์ กล่าวว่า “การทำความเข้าใจถึงความสำคัญในการมีส่วนร่วมของสตรีในภาคแรงงาน เป็นเรื่องที่ต้องเร่งศึกษา เราพบว่า อายุเฉลี่ยของแรงงานในญี่ปุ่นและเกาหลีสูงขึ้นกว่าแต่ก่อนมาก ในขณะที่กัมพูชาและพม่าก็อยู่ระหว่างการปฏิรูปทางเศรษฐกิจเพื่อก้าวเข้าสู่เวทีเศรษฐกิจโลก ดังนั้น การเพิ่มจำนวนสตรีในภาคแรงงานในกลุ่มประเทศเหล่านี้ จึงน่าจะเป็นหนทางในการบรรลุถึงเป้าหมายในการพัฒนาเศรษฐกิจได้”
       
       จากการศึกษาเชิงสถิติเกี่ยวกับความสัมพันธ์ระหว่างวุฒิการศึกษากับอัตราการมีส่วนร่วมในภาคแรงงาน พบความสัมพันธ์เชิงบวกอย่างชัดเจนสำหรับผู้ที่เข้าเรียนในระดับชั้นมัธยมและผลิตภาพในการทำงานของลูกจ้างต่อคน ความสัมพันธ์นี้ ยังพบในผู้ที่เข้าเรียนระดับชั้นอุดมศึกษา แต่ไม่ชัดเจนนักเมื่อถึงระดับหนึ่ง ดูเหมือนกับว่าการศึกษาที่สูงขึ้น ไม่ได้มีส่วนช่วยให้สตรีมีส่วนร่วมในภาคแรงงานเพิ่มขึ้นแต่อย่างใด สิ่งเหล่านี้ทำให้เห็นว่า นอกจากการศึกษาแล้ว ยังมีปัจจัยอื่นๆ ที่ส่งผลกระทบต่ออัตราการมีส่วนร่วมในภาคแรงงานของสตรี ไม่ว่าจะเป็น พื้นฐานทางสังคมและวัฒนธรรม ความเชื่อ และนโยบายของภาครัฐ ยังเป็นสิ่งที่จะต้องศึกษาต่อไป

   
       สำหรับประเทศไทย พบว่าอัตราการมีส่วนร่วมของสตรีในภาคแรงงานอยู่ในระดับที่ดีมาก เนื่องจากการฝากดูแลดูบุตรหลานและผู้สูงอายุมีราคาไม่สูงนักและหาได้ง่าย อีกทั้ง ยังมีวัฒนธรรมแบบเครือญาติที่คนในครอบครัวพร้อมให้ความช่วยเหลือ รวมถึงการมีทัศนคติที่ดีต่อการจ้างงานสตรีในสถานที่ทำงาน
       
       ไซม่อน โอกุส ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร DSG Asia Limited ผู้จัดทำรายงานฉบับนี้ กล่าวว่า การสำรวจครั้งนี้พบว่า กลุ่มประเทศเอเชียตะวันออกและเอเชียใต้ ประสบความสำเร็จในการพัฒนาการศึกษาให้แก่บุคลากรในประเทศในช่วง 4 ทศวรรษที่ผ่านมา ส่งผลต่อการเพิ่มบุคลากรด้านแรงงานของประเทศในกลุ่มดังกล่าว ซึ่งถือเป็นข่าวดีสำหรับการสำรวจครั้งนี้
       
       อย่างไรก็ตาม เห็นได้ว่ากลุ่มสตรีที่มีการศึกษายังคงต้องใช้ความพยายามในการหาโอกาสทางการจ้างงานที่เหมาะสม ซึ่งอาจเกิดขึ้นจากหลายปัจจัย เช่น การขาดแคลนผู้ดูแลบุตรหลานและผู้สูงอายุ ซึ่งเป็นอุปสรรคทำให้สตรีไม่สามารถทำงานได้ หรืออาจเกิดจากขนบธรรมเนียมประเพณีและวัฒนธรรม ไม่ว่าด้วยเหตุผลใดก็ตาม รัฐบาลของแต่ละประเทศจึงควรมีส่วนร่วมสนับสนุนกำหนดนโยบายในการว่าจ้างสตรี เพื่อเปิดโอกาสให้สตรีที่มีการศึกษามีส่วนช่วยในการพัฒนาเศรษฐกิจของประเทศได้อีกทางหนึ่งด้วย

   
       4 ประเด็นที่น่าสนใจในตลาดเอเชีย
       
       • ประเทศญี่ปุ่นและประเทศอุตสาหกรรมเกิดใหม่ (ฮ่องกง เกาหลี สิงคโปร์ และไต้หวัน) - ประชากรสตรีในประเทศเหล่านี้ได้รับการศึกษาชั้นมัธยมศึกษาในระดับที่สูง แต่อัตราเฉลี่ยการมีส่วนร่วมในตลาดแรงงานมีประมาณร้อยละ 50 เท่านั้น แสดงให้เห็นว่ายังมีอีกหลายปัจจัยที่สามารถทำได้ เพื่อให้สตรีที่มีการศึกษาดังกล่าวได้สร้างประโยชน์ให้กับเศรษฐกิจเพิ่มขึ้น
       
       • เสือแห่งเอเชีย (จีน อินโดนีเซีย มาเลเซีย ฟิลิปปินส์ และไทย) - ดูเหมือนว่า ประเทศในกลุ่มนี้จะดำเนินรอยตามกลุ่มประเทศอุตสาหกรรมเกิดใหม่ ในด้านการได้รับการศึกษาที่ดีในช่วง 2 ศตวรรษที่ผ่านมา แต่ไม่พบว่าอัตราการมีส่วนร่วมต่อภาคอุตสาหกรรมมีมากเท่าที่ควร โดยมีอัตราการจ้างแรงงานสตรีเพียงร้อยละ 55 แต่สำหรับไทยและจีน ถือเป็นประเทศที่เปิดโอกาสให้สตรีมีส่วนร่วมในการทำงานสูงกว่าประเทศอื่นๆ
       
       • เอเชียใต้ (บังกลาเทศ อินเดีย ปากีสถาน และศรีลังกา) - หากไม่นับประเทศบังกลาเทศ อัตราการมีส่วนร่วมทางแรงงานในกลุ่มนี้ถือว่าอยู่ในระดับต่ำที่สุดในทวีปเอเชีย ค่าเฉลี่ยของการมีส่วนร่วมของสตรีในกลุ่มประเทศนี้ อยู่ที่ระดับต่ำกว่าร้อยละ 40 ในขณะที่กลุ่มประเทศเหล่านี้มีการผลักดันด้านการศึกษาทั้งในระดับมัธยมและอุดมศึกษาในช่วง 2 ทศวรรษที่ผ่านมา แต่ยังพบความจำเป็นในการเพิ่มการสนับสนุนการมีส่วนร่วมของสตรีในภาคแรงงานให้มากขึ้น
       
       • ตลาดเกิดใหม่ในอาเซียน (กัมพูชา พม่า และเวียดนาม) - เมื่อดูจากระดับการศึกษาและการจ้างงานสตรีของประเทศในกลุ่มนี้แล้ว ถือว่ามีการพัฒนาในทางที่ดี ผู้หญิงได้รับการศึกษาระดับชั้นประถม ในขณะที่อัตราการเข้าเรียนระดับมัธยมก็เพิ่มขึ้นเรื่อยๆ ซึ่งสิ่งนี้จะส่งผลดีต่อการเติบโตของตลาดแรงงานในอนาคต โดยเฉพาะอย่างยิ่งหากมีการออกกฎหมายแรงงานที่เอื้อต่อผู้ว่าจ้างและนักลงทุน รวมทั้ง การยกระดับโครงสร้างพื้นฐานของประเทศ


ASTVผู้จัดการออนไลน์    2 ตุลาคม 2556

78
 จวกนโยบายรถคันแรก ถล่มธุรกิจหนังสือ 30,000 ล้านบาท ร่วง 20% ต่ำสุดตั้งแต่ดำเนินการมา ชี้โครงการกรุงเทพฯ เมืองหนังสือโลก 2013 ไม่ช่วยอะไร ภาครัฐสนับสนุนน้อย คาดงานมหกรรมหนังสือระดับชาติครั้งที่ 18 ยอดขายต่ำกว่าปีที่ผ่านมา
       
       นายจรัญ หอมเทียนทอง นายกสมาคมผู้จัดพิมพ์และผู้จัดจำหน่ายหนังสือแห่งประเทศไทย(PUBAT) เปิดเผยว่า จากภาพรวมเศรษฐกิจที่ถดถอย ทำให้กำลังซื้อลดลง ส่งผลให้ 9 เดือนที่ผ่านมาร้านหนังสือทั่วประเทศมียอดขายลดลงกว่า 20% ส่วนสำคัญมองว่ามาจากนโยบายรถคันแรก ที่ทำให้ผู้บริโภคต้องกันเงินไว้ผ่อนรถในแต่ละเดือน ทำให้ไม่พร้อมที่จะใช้จ่ายในการซื้อหนังสือ
       
       โดยในส่วนของสำนักพิมพ์ต่างๆ มีการปรับตัวมากขึ้น ไม่ว่าจะเป็นหันมาขายหนังสือเอง พิมพ์ขายแบบออนดีมานด์มากขึ้น สร้างกลุ่มผู้อ่านโดยตรง ใช้โซเชียลเน็ตเวิร์กเป็นช่องทางการขายใหม่ๆ และเลือกสรรผลงานที่มีคุณภาพออกวางจำหน่ายมากขึ้น ส่วนอีบุ๊กมีแนวโน้มลดลง ขณะที่ภาพรวมการปิดตัวของสำนักพิมพ์ในปีนี้ยังมีอยู่บ้างแต่เป็นไปในอัตราปกติของแต่ละปี ไม่ได้ลดลงรุนแรงแต่อย่างไร
       
       ทั้งนี้ ใน 3 เดือนสุดท้าย เชื่อว่าตลาดหนังสือจะไม่ตกลงไปมากกว่านี้ และอาจจะมีแนวโน้มเติบโตขึ้นเล็กน้อย เพราะเป็นช่วงเทศกาลซื้อของฝาก บวกกับการจัดงานมหกรรมหนังสือแห่งชาติครั้งที่ 18 จะเป็นอีกส่วนหนึ่งที่จะช่วยกระตุ้นตลาดหนังสือในปลายปีนี้ได้ แต่ถึงสิ้นปีนี้มองว่าภาพรวมตลาดหนังสือมูลค่า 20,000-30,000 ล้านบาท น่าจะลดลงจากปีก่อน 10-20% ต่ำสุดตั้งแต่ดำเนินการมา
       
       “โดยปกติธุรกิจหนังสือจะได้รับผลกระืทบจากสภาวะเศรษฐกิจเป็นลำดับสุดท้าย หรืออาจจะไม่ได้รับผลกระทบเลย เห็นได้จากปีที่ฟองสบู่แตกหรือในปี 2550 ตลาดหนังสือยังไปได้อยู่ แต่กลุ่มสินค้าอุปโภคบริโภคได้รับผลกระทบเป็นลำดับต้นๆ ส่วนในปีนี้ถือเป็นปีที่ธุรกิจหนังสือได้รับผลกระทบสูงสุด ส่วนสำคัญมาจากนโยบายรถคันแรกที่เพิ่มเข้ามาจากปัจัยเศรษฐกิจถดถอย ทำให้ผู้บริโภคไม่พร้อมใช้จ่ายอย่างที่ผ่านมา ถึงแม้ว่าปีนี้ประเทศไทยจะมีการจัดงานกรุงเทพฯ เมืองหนังสือโลก 2013 ด้วยก็ตาม แต่โครงการดังกล่าวไม่ได้ช่วยให้ภาพรวมตลาดเติบโตขึ้น เหตุเพราะนักการเมือง ภาครัฐ และผู้ที่เกี่ยวข้องกล่าวถึงเรื่องนี้น้อยมาก”
       
       อย่างไรก็ตาม ปีนี้ทางสมาคมฯ ยังพร้อมจัดงาน มหกรรมหนังสือระดับชาติ ครั้งที่ 18 ขึ้น ระหว่างวันที่ 16-27 ต.ค. 2556 ณ ศูนย์การประชุมแห่งชาติสิริกิติ์ โดยมีสำนักพิมพ์เข้าร่วมกว่า 450 สำนักพิมพ์ จำนวนพื้นที่กว่า 900 บูท ซึ่งปีนี้จะเน้นสร้างจุดขายและจัดกิจกรรมสัมมนาและนิทรรศการมากกว่าทุกปี ด้วยงบประมาณกว่า 4 ล้านบาท เพื่อต้องการดึงดูดคนให้เข้ามาร่วมงาน ขณะที่ภาพรวมยอดขายในปีนี้มองว่าอาจจะต่ำกว่าครั้งก่อน สาเหตุหลักมาจากกำลังซื้อที่หดตัวลง
       
       แต่ทั้งนี้ในภาพรวมของการขายลิขสิทธิ์หนังสือไปตลาดต่างประเทศ มีแนวโน้มเติบโตดีขึ้นจากปีก่อนถึง 40% ซึ่งตลาดใหญ่คือ เอเชีย ส่วนหนังสือที่ขายลิขสิทธิ์ได้ คือ หนังสือสร้างแรงบันดาลใจ การ์ตูน เป็นต้น

ASTVผู้จัดการออนไลน์    3 ตุลาคม 2556

79
หากคิดว่าธุรกิจของไปรษณีย์ไทย (ปณท.) จำกัด อยู่ที่การส่งจดหมายและขายแสตมป์ ถึงวันนี้ ไปรษณีย์ไทย (ปณท.) ได้ขยายการส่งตั้งแต่ลิ้นจี่ ลำไย แหนมเนือง ขนมไหว้พระจันทร์ ไปจนถึงน้ำยาล้างไต ตู้เย็น มอเตอร์ไซค์ ยันสกายแล็ป

นอกจากพันธกิจ “การส่ง” ณ ที่ทำการไปรษณีย์ไทยยังมีบริการรับชำระบิล ฝาก-โอนเงิน เติมเงินมือถือ ขายตั๋วรถทัวร์ ขายบัตรละครเวที ฯลฯ กระทั่งรับเช่าพระก็ทำมาแล้ว และในวันที่ 1 พ.ย. ศกนี้ ปณท.ยังจะมีบริการขายประกันเพิ่มด้วย

นี่อาจเป็นเพียงบางส่วนของการปรับตัวตลอด 10 ปี หลังแปรสภาพและแยกตัวจาก “การสื่อสารแห่งประเทศไทย” มาเป็น “บริษัท ไปรษณีย์ไทย จำกัด” เมื่อวันที่ 14 สิงหาคม 2546

กิจการไปรษณีย์ไทยเป็นหน่วยงานรัฐที่ถือกำเนิดในสมัยรัชกาลที่ 5 ถึงวันนี้ก็มีอายุกว่า 130 ปี แต่ด้วยความเจริญของเทคโนโลยีสื่อสารที่คุกคามการดำรงอยู่ของกิจการฯ รูปแบบเดิม ซึ่งทำให้บริการโทรเลขต้องเลิกไป ถึงแม้วันนี้ จดหมาย ธนาณัติ และไปรษณียบัตร จะยังไม่สูญหาย แต่ก็ลดลงอย่างมาก นี่จึงเป็นเหตุให้ ปณท.ต้องเร่งปรับตัว

มีเรื่องเล่าต่อกันมาว่า จุดเปลี่ยนจากธุรกิจเดิมของ ปณท. เริ่มต้นในยุคที่ “จตุคามรามเทพ” เฟื่องฟูสุดขีด การผันตัวมาเป็นผู้นำส่งเหรียญจตุคามฯ ช่วยสร้างรายได้เป็นกอบเป็นกำ ทำให้ ปณท. เริ่มคิดจะผันตัวเองเป็น “ผู้เชี่ยวชาญด้านการส่ง” โดยมีหลักการคือ “ส่งทุกอย่าง”

หลักการดังกล่าวนำพา ปณท. ก้าวมาถึงปีที่ 10 ด้วยผลงานที่น่าภูมิใจ ด้วยรายได้รวมกว่า 1.82 หมื่นล้านบาท และกำไรสุทธิ 1.13 พันล้านบาท สูงสุดในรอบ 10 ปี และยังทำให้โครงสร้างรายได้ของ ปณท. เปลี่ยนแปลงไป

จากปี 2547 ที่รายได้จากตลาดสื่อสาร (ส่งจดหมาย ไปรษณียบัตร ของตีพิมพ์ และจดหมายลงทะเบียน) สูงกว่า 60% ลดเหลือ 48% ในปีที่ผ่านมา โดยกลุ่มที่ขยับความสำคัญขึ้นมาคือ ธุรกิจขนส่ง (ส่งสิ่งของหรือสินค้าที่เป็นหีบห่อ) ซึ่งเพิ่มจากกว่า 20% มาเป็น 40%

นอกจากธุรกิจการส่ง ปณท. ยังมีธุรกิจค้าปลีก ได้แก่ การขายแสตมป์สะสมและของที่ระลึก และธุรกิจการเงิน ได้แก่  ธนาณัติ ตั๋วแลกเงิน Bill Payment เติมเงินมือถือ รับฝาก-โอนเงิน ฯลฯ ล่าสุดคือ ขายประกัน

หลังได้รับใบอนุญาตนายหน้าประกันภัยนิติบุคคลทั้งประกันชีวิตและประกันวินาศภัยสำหรับรายย่อย ปณท. ได้ร่วมกับ 5 บริษัทประกันภัย ได้แก่ ทิพยประกันภัย ไทยซัมซุงประกันชีวิ, วิริยะประกันภัย อาคเนย์ประกันชีวิต และสยามซิตี้ประกันภัย ในการขาย “ไมโครอินชัวรันส์” ที่เบี้ยประกันไม่เกิน 1 พันบาทต่อปี และมีเงื่อนไขไม่ซับซ้อน

“จุดแข็งของ ปณท. คือความเป็นเครือข่ายที่ครอบคลุม มีที่ทำการไปรษณีย์ทั้งของ ปณท. เองและของเอกชนราว 4 พันแห่ง มีพนักงานกว่า 2.4 หมื่นคน สามารถเข้าถึง 20 ล้านครัวเรือน เข้าถึง “รากหญ้า” มากที่สุด ปณท. มองว่าการใช้เครือข่ายให้เกิดประโยชน์จะช่วยสร้างโอกาสเติบโตในตลาดการเงินได้ ซึ่งนี่คงเป็นแหล่งรายได้ใหม่ ที่ทดแทนรายได้จาก Bill Payment ที่หายไป” อานุสรา จิตต์มิตรภาพ กรรมการผู้จัดการใหญ่แห่ง ปณท. กล่าว

ก่อนนี้ ตลาดการเงินของ ปณท.ไปได้ดีมาก โดยเฉพาะบริการรับชำระ (Bill Payment) เพราะเก็บค่าธรรมเนียม 10 บาท ถูกกว่า “เคาน์เตอร์เซอร์วิส” ที่เก็บ 15 บาท แต่ทันทีที่เทสโก้ฯ และบิ๊กซี เข้าสู่ตลาดด้วยค่าธรรมเนียมเพียง 5 บาท รายได้ของ ปณท. จากบริการตรงนี้ก็ดิ่งลง

“การแข่งขันในธุรกิจการเงินรุนแรงมาก อย่างธนาณัติ วันนี้ก็ขายได้แต่คนแก่ เพราะคนส่วนใหญ่ใช้เอทีเอ็มกันหมด ไม่เกิน 10 ปี ธนาณัติก็คงต้องหยุด ตั๋วแลกเงินเอง สิ้นปีนี้ก็ไม่ขายแล้ว วันนี้ ปณท. ถึงต้องหารายได้ทางอื่นเข้ามาแทนที่” สมชาย ธรรมเวช ผู้จัดการฝ่ายตลาดการเงินและค้าปลีก กล่าว

สำหรับเป้ารายรับค่าธรรมเนียมการขายประกันในปีแรก สมชายตั้งไว้ที่ 100 ล้านบาท โดย “ไมโครอินชัวรันส์” จะถือเป็นการชิมลางตลาดนี้ ก่อนที่ ปณท. จะพัฒนาไปสู่ธุรกิจนายหน้าประกันเต็มรูปแบบในราว 2 ปีข้างหน้า
         
แน่นอนว่าคู่แข่งอย่างร้าน 7-11 ก็เปิดขายไมโครอินชัวรันส์แล้ว แต่นำหน้ากว่าด้วยการร่วมมือกับ “เมืองไทยประกันชีวิต” เปิดช่องทางรับค่าสินไหมฯ ที่ยอดไม่เกิน 1 หมื่นบาท ผ่านเคาน์เตอร์เซอร์วิสได้เลย นอกจากนี้ยังมีเทสโก้ฯ และเซ็นทรัล ที่เตรียมลงมาขายประกันรายย่อยเช่นกัน

ขณะที่ช่องทางใหม่ในตลาดการเงินดูจะไม่ง่าย การสร้างช่องทางเพิ่มรายได้ในอีก 3 กลุ่มธุรกิจก็ดูเป็นเรื่องน่าจะ “เหนื่อยเอาการ”
 
ในธุรกิจสื่อสาร นอกจากการเป็นพันธมิตรกับหน่วยงานและองค์กรธุรกิจในการส่งเอกสารและใบแจ้งหนี้ให้แล้ว ปณท. ยังรุกสู่ตลาดไดเร็กต์เมล์ โดยชูจุดแข็งความ “เข้าถึง” ชุมชนทั่วประเทศ และ “รู้จริง” ว่าบ้านไหน ชุมชนไหน น่าจะเป็นกลุ่มเป้าหมายของโบรชัวร์นั้น

ส่วนธุรกิจขนส่งซึ่งทวีความสำคัญอย่างยิ่งต่อ ปณท. ทั้งในปัจจุบันและอนาคต แต่เพราะมี “ผู้เล่น” มากราย ตั้งแต่ยักษ์ใหญ่ขนส่งข้ามชาติ จนถึงบริษัทรถทัวร์ที่มีบริการรับส่งสินค้า ปณท. จึงต้องงัดกลยุทธ์มาสู้แบบไม่ยั้ง

อาทิ บริการขนส่งสินค้าทุกอย่าง ทั้งสินค้าเกษตร สินค้าอุตสาหกรรม ถึงสินค้าเฉพาะด้าน อย่างสินค้าการแพทย์ บริการ “ตัวกลาง” วางระบบขนส่งสินค้าสำหรับกลุ่มเอสเอ็มอี โอทอป อี-คอมเมิร์ช และขายตรง บริการขนส่งสินค้าและอุปกรณ์สำหรับบูธงานแสดงสินค้า บริการส่งอาหารแคมเปญ “อร่อยทั่วไทย” และ “ของดีเยาวราช” ที่เป็นการคัดสรรอาหารขึ้นชื่อของชุมชนโดยคน ปณท. บริการส่งด่วนข้ามจังหวัดภายใน 1 วัน (Super EMS) โดยร่วมกับแอร์เอเชียเพื่อเพิ่มมูลค่าบริการ EMS เดิม ซึ่งเบื้องต้นเปิดให้บริการเฉพาะเขตเมืองเชียงใหม่ ภูเก็ต และหาดใหญ่

ขณะเดียวกัน ยังเตรียมจับมือกับแอร์เอเชียในการส่งสินค้าไทยไปยังตลาดอาเซียน โดยปัจจุบัน ปณท. ได้เริ่มนำร่องบริการไปรษณีย์กับธนาณัติระหว่างประเทศในกัมพูชาและลาวแล้ว

และเพื่อให้ธุรกิจขนส่งแข็งแกร่งยิ่งขึ้น ปณท. เตรียมจัดตั้งบริษัท “ไปรษณีย์ ดิสทริบิวชั่น” ด้วยงบ 500 ล้านบาท สำหรับการสร้างศูนย์กระจายสินค้าเพิ่มเติมจากปัจจุบันที่มีอยู่เพียง 10 ศูนย์ทั่วประเทศ
 
สำหรับตลาดค้าปลีก แม้จะไร้คู่แข่งแต่ก็หาได้ซื้อง่ายขายคล่อง ที่ผ่านมา ปณท. ต้องงัดหลาก “ไอเดีย” มาใช้สร้างแบบแสตมป์ โดย “ไม้ตาย” คือ แสตมป์เหตุการณ์ เช่น แสตมป์สายัณห์ แสตมป์เทศกาล เช่น ตรุษจีน แสตมป์มงคล เช่น ชุดเบญจภาคี และแสตมป์ครบรอบหน่วยงานหรือความสัมพันธ์ เป็นต้น

นอกจากนี้ ยังใช้ “แสตมป์โลโก” เจาะกลุ่มองค์กรธุรกิจในการผลิตแสตมป์โลโกของบริษัทห้างร้านสำหรับการใช้งานขององค์กรนั้น และ “แสตมป์ส่วนตัว” สำหรับการใช้งานของบุคคลทั่วไป

ล่าสุด เพื่อเพิ่มช่องทางรายได้ ปณท. ยังเปิดให้เช่าพื้นที่ “อาคารไปรษณีย์กลาง” โดยให้ “อิมแพ็ค” บริหารให้เป็นเวลา 5 ปี ด้วยราคาขายพื้นที่ที่สูงกว่าอิมแพ็ค เจาะตลาดงานประชุม สัมมนา แสดงสินค้า อีเว้นต์ กาลาดินเนอร์ และงานแต่งงาน โดยชูจุดขายที่ตั้งเขตบางรักและความโรแมนติกของอาคาร ซึ่งงานแต่งของปีเตอร์ คอร์ป ไดเรนดัล เป็นงานแต่งแรกของที่นี่

“อาจมองว่า วันนี้ ปณท. ขายอะไรเยอะ ทำอะไรแยะไปหมด ก็เพราะเราต้องหาอะไรมารองรับ ถ้าเราหยุดนิ่ง ถ้าวันนี้เรายังส่งแต่จดหมาย วันนี้คงได้ทำข่าวปิดกิจการไปรษณีย์แทนข่าวที่เราจะเป็นนายหน้าประกัน” สมชายทิ้งท้าย

ความพยายามดิ้นรนต่อสู้ในทุกทางของ ปณท. ช่วยพลิกสถานการณ์ “ขาดทุน” เมื่อกว่า 10 ก่อน มาเป็น “กำไร” ในวันนี้ ภาพเช่นนี้ดูจะตรงกันข้ามกับรัฐวิสาหกิจเพื่อนบ้าน อย่าง “ทีโอที” ที่ไม่ยอมปรับตัว จนต้องตกอยู่ในสภาพ “ขาดทุน” มาโดยตลอด และกำลังประสบภาวะ “อยู่ลำบาก” เฉกเช่นวันนี้

ผู้จัดการ360ํ
Submitted by Supattha Sukchoo on Mon,

80
นาซายืนยันยานอวกาศ "วอยเอเจอร์ 1" เป็นสิ่งประดิษยฐ์ชิ้นแรกของมนุษย์ที่หลุดพ้นระบบสุริยะไปแล้ว หลังจากถูกส่องออกไปท่องอวกาศตั้งแต่ปี 1977
       
       องค์การบริหารการบินอวกาศสหรัฐ (นาซา) ยืนยันยานวอยเอเจอร์ 1 (Voyager-1) ได้เคลื่อนออกจากฟองก๊าซร้อนของดวงอาทิตย์ ออกไปสู่อวกาศภายนอกระบบสุริยะแล้ว และกลายเป็นสิ่งประดิษย์ชิ้นแรกของมนุษย์ที่หลุดพ้นระบบสุริยะ
       
       วอยเอเจอร์ 1 ถูกปล่อยออกจากโลกเมื่อ 5 ก.ย.1977 ไม่กี่วันหลังจากแฝดผู้น้อง วอยเอเขอร์ 2 (Voyager-2) ทะยานฟ้าขึ้นไปก่อน ทั้งคู่มีภารกิจหลักในการสำรวจดาวเคราะห์วงนอกระบบสุริยะ คือ ดาวพฤหัสบดี ดาวเสาร์ ยูเรนัส และเนปจูน แต่หลังจบภารกิจเมื่อปี 1989 ทั้งคู่ก็ยังปฏิบัติภารกิจอย่างต่อเนื่อง
       
       ตอนนี้ยานอวกาศรุ่นบุกเบิกของนาซาอยู่ไกลจากโลกเกือบ 1.9 หมื่นล้านกิโลเมตร ซึ่งที่ระยะไกลขนาดนั้น ทำให้วอยเอเจอร์ต้องใช้เวลาถึง 17 ชั่วโมงเพื่อส่งสัญญาณวิทยุกลับมาบนโลก
       
       "นี่เป็นเหตุการณ์สำคัญอย่างยิ่งที่เราได้คาดหวังมาตลอดว่าเราจะมาถึง นับแต่เราเริ่มโครงการนี้เมื่อกว่า 40 ปีก่อน ที่เราอยากจะส่งยานอวกาศออกไปยังอวกาศข้างนอก" ศ.เอ็ด สโตน (Prof.Ed Stone) หัวหน้าทีมวิทยาศาสตร์ในภารกิจผจญภัยทางอวกาศนี้กล่าว
       
       ศ.สโตนเผยแก่บีบีซีนิวส์ว่า ในทางวิทยาศาสตร์แล้วเป็นเหตุการณ์สำคัญอย่างยิ่ง และยังมีแง่ประวัติศาสตร์ และการเดินทางของยานอวกาศครั้งนี้ก็เหมือนกับเหตุการณ์เดินทางรอบโลกได้เป็นครั้งแรกในอดีต หรือเหตุการณ์ฝากรอยเท้าบนดวงจันทร์เป็นครั้งแรก
       
       "นี่เป็นครั้งแรกที่เราเริ่มต้นสำรวจอวกาศระหว่างดวงดาว*" ศ.สโตนให้ความเห็นแก่บีบีซีนิวส์

ASTVผู้จัดการออนไลน์    13 กันยายน 2556

81
แม้ดวงจันทร์จะเป็นเพื่อนบ้านในอวกาศของโลกที่อยู่ใกล้เราที่สุด แต่มีหลายเรื่องของบริวารดวงนี้ที่เราอาจไม่เคยรู้ และสเปซด็อทคอมได้รวบรวมไว้ 10 เรื่อง ดังนี้

       1.กำเนิดจากการชน
       ตามทฤษฎีที่ยอมรับกันส่วนใหญ่ ดวงจันทร์เกิดจากหินอวกาศขนาดเท่าดาวอังคารพุ่งชนโลก หลังระบบสุริยะก่อตัวได้ไม่นาน เมื่อประมาณ 4.5 ล้านปีก่อน

       2.ล็อคด้านเดียวเข้าหาโลก
       การที่ดวงจันทร์ทั้งหมุนรอบตัวเองและโคจรรอบโลกที่หมุนรอบตัวเองแล้วโคจรไปรอบดวงอาทิตย์ โดยที่หันด้านเดียวเข้าหาโลกนั้นเป็นเรื่องอัศจรรย์ โดยข้อมูลจากสเปซด็อทคอมระบุว่า แรงโน้มถ่วงโลกทำให้การหมุนรอบแกนหมุนของดวงจันทร์ช้าลง และการหมุนของดวงจันทร์ก็ช้าจนพอดีกับการโคจรรอบโลกและคงที่อยู่เช่นนั้น ซึ่งดวงจันทร์ของดาวเคราะห์อื่นๆ ก็มีรูปแบบคล้ายๆ กัน
       
       เมื่อดวงจันทร์หมุนรอบโลกจะมีช่วงที่รับแสงสว่างจากดวงอาทิตย์มองไม่เห็นจากบนโลก เรียกระยะดังกล่าวว่า “เดือนมืด” (new moon) ดังนั้น จึงไม่มี “ด้านมืดของดวงจันทร์” แต่มีเพียงด้านที่เราไม่เคยได้เห็นเท่านั้น และเมื่อดวงจันทร์หมุนไปตามวงโคจรเราจะได้เห็นเสี้ยวของด้านที่สะท้อนแสงอาทิตย์ด้วยหรือที่เรียกว่า “จันทร์เสี้ยว” และเมื่อดวงจันทร์อยู่ตรงข้ามกับดวงอาทิตย์เราก็จะได้เห็นดวงจันทร์สะท้อนแสงอาทิตย์เต็มๆ หรือที่เรียกว่า “พระจันทร์เต็มดวง”

       3.ต้นไม้จากดวงจันทร์
       มีต้นไม้กว่า 400 ต้นที่เคยไปไกลถึงดวงจันทร์ก่อนหยั่งรากบนโลก โดยเมื่อปี 1971 สจ็วต รูสา (Stuart Roosa) มนุษย์อวกาศประจำปฏิบัติการอพอลโล 14 (Apollo 14) ขององค์การบริหารการบินอวกาศสหรัฐฯ (นาซา) ได้นำเมล็ดพันธุ์ติดต่อขึ้นไปด้วย ระหว่างที่ อลัน เชพเพิร์ด (Alan Shepard) และ เอ็ดการ์ มิทเชลล์ (Edgar Mitchell) กับยุ่งอยู่กับการสำรวจไปบนพื้นผิวดวงจันทร์นั้น รูสาก็ทำหน้าที่ปกป้องเมล็ดพันธุ์อยู่ในวงโคจรรอบดวงจันทร์
       
       หลังจากกลับมายังโลกเมล็ดพันธุ์เหล่านั้นก็ถูกปลูกไปทั่วสหรัฐฯ และเจริญงอกงามดี ซึ่งส่วนใหญ่ยังเติบโตดีและถูกเรียกว่า “ต้นดวงจันทร์”

       4.ดวงจันทร์อาจมีน้องสาว
       ดวงจันทร์อาจไม่ใช่บริวารเพียงดวงเดียวของโลก โดยเมื่อปี 1999 นักวิทยาศาสตร์ได้พบอุกกาบาตขนาด 5 กิโลเมตร ที่ถูกจับไว้ด้วยแรงโน้มถ่วงโลก เมื่อเป็นเช่นนั้นอุกกาบาตดังกล่าวซึ่งถูกเรียกว่า “ครูธเน” (Cruithne) จึงกลายเป็นบริวารของโลกไปโดยปริยาย น้องสาวของดวงจันทร์ดวงนี้ใช้เวลา 770 ปีโคจรรอบโลกเป็นรูปเกือกม้า ซึ่งนักวิทยาศาสตร์ระบุว่าอุกกาบาตลูกนี้จะอยู่ในอิทธิพลของแรงโน้มถ่วงโลกไปอย่างน้อย 5,000 ปี

       5.ผ่านไปหลายล้านปีพื้นผิวก็ไม่เปลี่ยนแปลง
       มีหลุมอุกกาบาตลึกขนาดใหญ่บนดวงจันทร์ ซึ่งเป็นผลจากการถูกหินอุกกาบาตพุ่งชนอย่างรุนแรงเมื่อระหว่าง 4.1-3.8 พันล้านปีก่อนหน้านี้ ซึ่งร่องรอยความรุนแรงดังกล่าวไม่สึกกร่อนเป็นเพราะ 2 เหตุผลหลัก คือ ดวงจันทร์ไม่มีความเคลื่อนไหวทางธรณีวิทยามากเหมือนโลก ไม่ว่าภูเขาไฟหรือภูเขาก็ไม่ทำลายภูมิทัศน์เหมือนอย่างบนโลก และอีกเหตุผลคือดวงจันทร์แทบจะไม่มีชั้นบรรยากาศ ดังนั้น การสึกกร่อนจึงเกิดขึ้นเพียงเล็กน้อย

       6.ดวงจันทร์ไม่กลม
       รูปร่างของดวงจันทร์คล้ายรูปร่างของไข่มากกว่า และศูนย์กลางมวลของดวงจันทร์ไม่ได้อยู่ตรงศูนย์กลางตามรูปทรงเรขาคณิต แต่อยู่ห่างจากศูนย์กลางรูปทรงเรขาคณิตดังกล่าวออกมา 2 กิโลเมตร

       7.“มูนเควก” ดวงจันทร์ไหว
       มนุษย์อวกาศในโครงการอพอลโลได้ใช้เครื่องมือวัดการสั่นสะเทือนบนดวงจันทร์ และพบว่าดวงจันทร์เทาๆ นี้ยังไม่ได้ตายด้าน แต่ยังยังมีการสั่นสะเทือนเบาๆ ที่มีต้นกำเนิดแรงสั่นสะเทือนอยู่ลึกใต้พื้นผิวลงไปหลายกิโลเมตร ซึ่งเชื่อว่าการสั่นสะเทือนนั้นเป็นผลพวงจากแรงดึงของแรงโน้มถ่วงโลก บางครั้งมีรอยแยกบนพื้นผิวและมีก๊าซเล็ดลอดออกมา
       
       นักวิทยาศาสตร์เชื่อว่าบางทีดวงจันทร์อาจจะมีแกนกลางที่ร้อนจัดหรืออาจจะหลอมเหลวด้วยบางส่วน เหมือนแกนกลางของโลก แต่ข้อมูลจากยานอวกาศลูนาร์โพรสเปคเตอร์ (Lunar Prospector) ของนาซาได้เผยให้เห็นตั้งแต่ปี 1999 ว่า แกนกลางของดวงจันทร์นั้นเล็กมาก อาจมีมวลอยุ่เพียง 2-4% ของมวลทั้งหมด ซึ่งเล็กมากเมื่อเทียบกับโลกที่มีแกนเป็นเหล็กและมีมวลถึง 30% ของมวลทั้งหมด

       8.ดวงจันทร์อาจจะเป็นดาวเคราะห์?
       ดวงจันทร์ของเราใหญ่กว่าพลูโต และมีเส้นผ่านศูนย์กลางยาวๆ 1 ใน 4 ของเส้นผ่านศูนย์กลางโลก นักวิทยาศาสตร์บางส่วนเชื่อว่า ดวงจันทร์น่าจะเป็นดาวเคราะห์มากกว่า และเรียกระบบโลกกับดวงจันทร์ว่า “ดาวเคราะห์คู่” (double planet) ซึ่งพลูโตและชารอน (Charon) ซึ่งเป็นดวงจันทร์ก็ถูกเรียนกว่า “ระบบดาวเคราะห์คู่” จากนักวิทยาศาสตร์บางส่วนด้วย

       9.กระตุกน้ำขึ้น-น้ำลง
       เป็นที่ทราบดีว่าปรากฏการณ์น้ำขึ้น-น้ำลงบนโลกนั้นได้รับอิทธิพลส่วนใหญ่จากดวงจันทร์ ขณะที่ดวงอาทิตย์มีอิทธิพลต่อน้ำขึ้นน้ำลงเพียงเล็กน้อย โดยแรงดึงดูดของดวงจันทร์จะดึงน้ำในมหาสมุทร โดยน้ำขึ้นจะเกิดขึ้นเมื่อโลกเรียงอยู่ในระดับใต้ดวงจันทร์ และอีกกรณีคือด้านของโลกที่ไปไม่ได้หันเข้าหาดวงจันทร์จะเกิดน้ำขึ้น เพราะแรงดึงดูดดึงโลกเข้าหาดวงจันทร์มากกว่าดึงน้ำ และเมื่อพระจันทร์เต็มดวงกับคืนเดือนมืด ดวงอาทิตย์ โลกและดวงจันทร์จะเรียงเป็นแวเดียวกัน ทำให้เกิดน้ำขึ้นสูงกว่าปกติ
       
       นอกจากนี้แรงดึงจากดวงจันทร์ยังทำให้โลกหมุนช้าลง เนื่องจากพลังงานการหมุนของโลกถูกดวงจันทร์ดึงไป ทำให้โลกของเราช้าลงประมาณ 1.5 มิลลิวินาทีทุกๆ 100 ปี

       10.เตรียมบอกลาดวงจันทร์
       ดวงจันทร์กำลังเคลื่อนออกห่างจากโลกไปเรื่อยๆ ในทุกปีดวงจันทร์ขโมยพลังงานจากโลก และใช้ในการขับดันตัวเองให้วงโคจรถ่างออกไป 3.8 เซ็นติเมตร ซึ่งนักวิจัยเผยว่า เมื่อดวงจันทร์เริ่มก่อกำเนิดนั้นอยู่ห่างจากโลกเพียง 22,530 กิโลเมตร แต่ตอนนี้ดวงจันทร์อยู่ห่างออกไป 450,000 แล้ว

ASTVผู้จัดการออนไลน์    25 กันยายน 2556

82


เคยสงสัยถึงตัวเลขบนสติกเกอร์...
ที่อยู่บนผลไม้จากเมืองนอกไหม

ถ้ามีเลข 4 หลัก หมายความว่า เป็นการปลูกแบบปกติ ใช้ยา ใช่ปุ๋ย

ถ้ามีเลย 5 หลัก แล้วตัวแรกคือ 9 คือพวกออแกนิค ไร้สาร

แต่ถ้าเริ่มต้นด้วย 8 คือ GMOs มีการตัดต่อพันธุกรรม

83
แนวทางสู่ Living Company ...โดย ดร.วรภัทร์ ภู่เจริญ

อย่าเอา KPI ไปผูก กับ "โบนัส-รางวัล-เงินเดือน-ตำแหน่ง"

การใช้ KPI (Key Performance Indicators) ที่ไม่ฉลาดนัก คือ เอา ผลของ KPI ไปผูก กับ โบนัส รางวัล ตำแหน่ง ฯลฯ
เพราะ KPI เป็น แค่ "มิเตอร์" เอาไว้เพื่อ หา "โอกาสในการพัฒนา" จะได้ ย้อนไปดูกระบวนการ ได้คิดใหม่ ได้ทำใหม่ ได้ สังเกตๆๆๆๆ ให้ละเอียด

"สังเกตๆ คือ ห้อยแขวนคำพิพากษา" หากสังเกตไปไม่สุดๆ จะมีแต่การปรุงแต่ง อคติ ลำเอียง อวิชชา ฯลฯ

• ตัวอย่างประกอบ •

ลองคิดดู เราจ้างคนขับรถ เราบอกเค้าว่า KPI คือ เร็ว และ ปลอดภัย
แต่พอถึงตอน...ประเมินผลปลายปี
มิเตอร์ความเร็วเฉลี่ย บอกว่า ต่ำกว่า ๙๐ กม.ต่อชั่วโมง
เราเลยด่าคนขับว่า แย่มาก KPI ต่ำกว่ากำหนด
ทั้งๆ หลุมเต็มถนนไปหมด แต่ คนตรวจและเจ้านาย มองไม่เห็น
...บอร์ด (Board) ตาบอด


มิเตอร์ ความร้อน บอกว่า เครื่องยนต์ร้อนแล้วนะ เราเลย ไล่คนขับรถออก ขับยังไง ให้น้ำร้อนได้ ทั้งๆ ที่ สั่ง เอา KPI อีกตัวว่า เร็วๆๆๆๆๆๆ

คนตรวจ KPI หรือ มาตรฐานต่างๆ ส่วนใหญ่ ตกหลุมพราง ของ ความมักง่าย คือ เอาแต่ ดูเอกสาร ไม่รู้จัก การสังเกต การลงไปตั้งวง dialogue
ไม่เคยลงมา ทำงานร่วม เป็น "คนนอก" ที่ มี ทัศนคติ "ฉันไม่ไว้ใจใคร" "ฉัน เก่ง กว่าใคร" ...กร่างมาแต่ไกล
คนตรวจประเมิน ทำตัวแบบ นายพลในเรื่อง AVATAR คือ ไม่มี จิตใจ ไม่รู้จัก "คุณค่า" ของมนุษย์เลย ไม่เชื่อมโยง (Connect) จิตใจตนเองกับ ผู้คน

ในหนังมี นก อี- กราน ที่ เชื่อมโยงกับ ชาวนาวี แต่ ของไทย มี CEO มี Board บริหาร และ คนตรวจประเมิน ที่เป็น อี-กร่าง เยอะมาก

Intangible benefit เป็น อะไรที่ พวกผู้บริหาร และ คนตรวจ KPI แนวบ้าเลือด ยังไม่เข้าใจ

KPI ได้ผล (โดนหลอกว่า ได้ผล) ... แต่ ทุนทางปัญญาเสื่อมสลาย ทุนทางใจ พังย่อยยับ
คนบ้า เท่านั้น ที่ เอา KPI ไป ไล่ ตำหนิ ตัดสิน ลูกน้อง

สมัยนี้ เขาใช้ Collective intelligent กันแล้ว
ใช้ Collective conversation กันจนกลายเป็น Collective leadership ในที่สุด

• บทเสริมท้ายเรื่อง ...โดย Life 101

ลักษณะของ "Collective Leadership" คือ...
ภาวะการทำงานของกลุ่มคนซึ่งสามารถผลัดกันนำ ผลัดกันตามในแต่ละสถานการณ์ สามารถทำงานร่วมกันเป็นทีม ...ซึ่งไม่ใช่ทีมที่มีผู้นำเพียงคนใดคนหนึ่ง แต่เป็นทีมซึ่งอาจมีการสลับปรับเปลี่ยนผู้นำ โดยขึ้นกับธรรมชาติของงาน หรือธรรมชาติรอบข้างของงานนั้นๆ (บริบท) ปรากฏการณ์ที่มีลักษณะคล้ายกัน เช่น การเล่นดนตรีแจ๊ซ ทีมฟุตบอล ทีมกีฬาต่างๆ


เราพบว่า...การทำงานเป็นทีม ของคนเก่งมากๆ หลายๆ คน ที่มิได้จำเป็นต้องมีโครงสร้างทีม ซับซ้อน เพียงแค่ต้องมาทำงานร่วมกันเนื่องจากตัวเนื้องาน นั้น...
มักจะไม่มี "ผู้นำ" ที่ผู้บริหารเบื้องบนจัดตั้งมาให้ หรือจะให้เลือกตั้งกันเองก็ยังตะขิดตะขวงใจ ทำใจไม่ค่อยได้ ถ้าจะให้ใครมาทำตัวเป็น "หัวหน้า" หรือ เหนือกว่าคนที่เหลือ ...

ปัญหาที่ตามมา ก็คือ... พอนำคนเก่งๆ มารวมกันนี้ กลับมีอาการ... ต่างคนต่างใหญ่ ต่างคนต่างมีความสามารถ
เรียกว่า "รวมดาว" เก่งๆ กันทั้งนั้น

แต่แปลกที่ว่า พอรวมดาวมาไว้ด้วยกัน กลับทำงานได้ผลงานน้อยกว่าการทำงานด้วยคนธรรมดาๆ รวมกันทำ !?

แนวทางของ Collective leadership จะช่วยอำนวยให้ คนเก่งๆ ที่อยู่กันในทีม แต่ละคนมีความสามารถพลิกแพลงในงานที่ตนถนัดได้ดี สามารถสลับกันเป็นผู้นำในส่วนงานที่ตนถนัดได้

และที่สำคัญ "ลงเป็น" ยอมให้เพื่อนคนอื่นขึ้นไปนำได้เช่นกัน

โดยคนที่เหลือก็ช่วยประคอง ช่วยเล่นประกอบช่วยเล่นเสริมให้เพื่อนที่กำลังเล่นนำอยู่นั้น สามารถสร้างสีสันให้สวยงามได้

Credit : ดร.วรภัทร์ ภู่เจริญ | บันทึกคนไร้กรอบ

Posted by : 7s , Date : 2013-03-15

84
สิ่งมีชีวิตสุดท้ายที่จะเหลือบนโลกคือ “จุลินทรีย์” ซึ่งหลายคนอาจพอเดาได้ แต่นักวิทยาศาสตร์ได้ศึกษาให้แน่ชัดกว่า โดยใช้แบบจำลองทางคอมพิวเตอร์ประมวลผลพบว่าอีกหลายพันล้านปีข้างหน้าต่อจากนี้ สิ่งมีชีวิตสุดท้ายที่จะเหลือบนโลกคือสิ่งมีชีวิตเล็กๆ ดังกล่าวที่อาศัยอยู่ใต้ดิน
       
       ทีมวิจัยใช้แบบจำลองทางคอมพิวเตอร์วิเคราะห์ว่าหลังจากที่ดวงอาทิตย์ของเราใหญ่ขึ้นและเจิดจ้ามากกว่าที่เป็นอยู่ในอีกหลายพันล้านปีข้างหน้าจะเป็นอย่างไร บีบีซีนิวส์ระบุว่าพวกเขาพบว่า จะมีเพียงจุลินทรีย์ที่จะต่อกรกับสภาพอันสุดหฤโหดที่เกิดจากการเปลี่ยนแปลงของดวงอาทิตย์ได้
       
       แจ็ค โอ'มัลลีย์ เจมส์ (Jack O'Malley James) จากมหาวิทยาลัยเซนต์แอนดรูวส์ (University of St Andrews) ในสกอตแลนด์ ในสภาพอนาคตข้างหน้านั้นจะมีออกซิเจนเหลืออยู่ไม่มาก จุลินทรีย์เหล่านั้นต้องอาศัยอยู่ในสภาพแวดล้อมที่มีออกซิเจนต่ำหรือไม่มีเลย มีความดันสูงและอยู่ท่ามกลางความเค็มของเกลือสูง เพราะมหาสมุทรระเหยเป็นไอ
       
       อนาคตของสิ่งมีชีวิตบนโลกผูกติดกับดวงอาทิตย์ ซึ่งเวลาที่ล่วงเลยไปมากเท่าไหร่ ดวงอาทิตย์ของเราก็ยิ่งส่องแสงเจิดจ้าเท่านั้น นักวิทยาศาสตร์จากมหาวิทยาลัยแห่งเซนต์แอนดรูวส์ ดันดี และเอดินบะระ ในสก็อตแลนด์ จึงใช้ข้อเท็จจริงนี้เพื่อพยากรณ์สภาพแวดล้อมในอนาคตของโลกเรา ซึ่งในเวลาเป็นพันล้านปีนั้น ความร้อนจากดวงอาทิตย์จะยิ่งร้อนแรงขึ้น น้ำในมหาสมุทรก็จะเริ่มระเหย
       
       โอ'มัลลีย์ เจมส์ ซึ่งยังศึกษาปริญญาเอกอยู่นั้นอธิบายว่า การที่น้ำมหาสมุทรระเหยนั้นทำให้มีน้ำในบรรยากาศมากขึ้น และเนื่องจกไอน้ำนั้นเป็นก๊าซเรือนกระจกอย่างหนึ่ง ก็จะกลายเป็นปัจจัยเดินผลกระทบจากภาวะเรือนกระจก และท้ายสุดโลกจะร้อนขึ้นไปถึง 100 องศาเซลเซียส หรืออาจจะมากกว่านั้น บวกกับสิ่งที่เราทำในปัจจุบันเข้าไปด้วย และเมื่อรวมปัจจัยเรื่องระดับออกซิเจนที่ลดลง ก็จะนำไปสู่การการสูญพันธุ์ของพันธุ์และสัตว์ใหญ่อย่างรวดเร็ว หลังจากนั้นไม่นานจะเหลือเพียงกลุ่มจุลินทรีย์ที่เรียกว่า “เอกซ์ตรีโมไฟล์” (extremophiles) ที่เหลือรอด
       
       จุลินทรีย์ดังกล่าวพบได้ในบนโลกในปัจจุบัน ซึ่งเป็นสิ่งมีชีวิตที่สามารถรับมือกับสภาพแวดล้อมอันโหดร้ายได้ ซึ่งนักวิทยาศาสตร์ระบุว่า สิ่งมีชีวิตที่ว่านี้จะเป็นสิ่งมีชีวิตเดียวที่ทนต่อความร้อน ความแห้งแล้งและบรรยากาศอันเป็นพิษของโลกในอนาคต พวกเขายังเชื่ออีกว่า จุลินทรีย์พันธุ์อึดนี้จะรวมกลุ่มกันอยู่รอบๆ น้ำหยดสุดท้ายที่อยู่ใต้ดิน
       
       สุดท้ายเมื่อสภาพแวดล้อมเลวร้ายอย่างถึงที่สุดพวกมันก็จะหายไปจากโลกเช่นกัน และประมาณ 2.8 พันล้านปีข้างหน้า โลกจะปราศจากสิ่งมีชีวิตอย่างสิ้นเชิง ซึ่งนักวิทยาศาสตร์กล่าวว่า การศึกษาการอุบัติและล่มสลายของชีวิตบนดาวเคราะห์ของเรานั้น จะให้ความเข้าใจอย่างลึกซึ้งว่า สิ่งมีชีวิตสามารถอยู่รอดได้ที่ใดบ้างในเอกภพ
       
       “หากคุณหาดาวเคราะห์คล้ายโลก และบันทึกภาพชั่วขณะของสิ่งมีชีวิตที่อาศัยอยู่บนพื้นผิวดาวนั้น คุณจะได้เห็นสิ่งมีชีวิตจำพวกจุลินทรีย์ มากกว่าจะได้เห็นสิ่งมีชีวิตที่มีร่างกายซับซ้อนอย่างที่เราเห็นบนโลกทุกวันนี้” โอ'มัลลีย์ เจมส์ บอกทางบีบีซีนิวส์
       
       นักวิจัยยังบอกอีกว่า เป็นสาเหตุของการเปลี่ยนแปลงน้อยๆ ของอัตราส่วนก๊าซในบรรยากาศ และเป็นสิ่งที่ช่วยให้นักดาราศาสตร์สามารถตรวจวัดการดำรงอยู่ของจุลินทรีย์เหล่านั้นบนดาวเคราะห์คล้ายโลก ซึ่ง โอ'มัลลีย์ เจมส์กล่าวว่า สิ่งที่ชี้วัดได้ดีอย่างหนึ่งคือ “ก๊าซมีเทน” ซึ่งสามารถใช้เป็นตัวชี้วัดการดำรงอยู่ของสิ่งมีชีวิต แต่ก็ขึ้นอยู่กับปริมาณและระดับของก๊าซดังกล่าวว่าจะสามารถตรวจวัดจากชั้นบรรยากาศได้หรือไม่ หากเราสามารถเก็บข้อมูลระดับก๊าซที่เจือจางเหล่านี้ในดาวเคราะห์ที่อยู่แสนไกลได้ เราก็อาจจะตรวจหาจุลินทรีย์ดังกล่าวได้

ASTVผู้จัดการออนไลน์    2 กรกฎาคม 2556

85
“เมืองบาดาล” คำๆ นี้ชวนให้นึกถึงดินแดนอันเป็นปริศนาที่ไม่สามารถหาคำตอบได้ว่ามีอยู่จริงหรือไม่ มักใช้เรียกสถานที่ลึกลับที่มาพร้อมกับตำนานเล่าขาน ซึ่งโดยส่วนมากก็จะเข้าไปเกี่ยวข้องกับเรื่องราวเร้นลับที่ไม่สามารถหาคำตอบได้
       
       แต่ “เมืองบาดาล” บางแห่ง อาจรวมไปถึงสถานที่ที่ได้จมลงไปสู่พื้นสาครโดยเกิดขึ้นจากฝีมือมนุษย์หรือเกิดจากภัยธรรมชาติ แต่ไม่ว่าอย่างไร "เมืองบาดาล" แต่ละแห่งก็มีมนต์เสน่ห์ที่แตกต่างออกไปให้เราได้ไปสัมผัสกัน

       เมืองบาดาลที่มีเรื่องเล่าขานกันมากที่สุด คือเมืองบาดาลแห่ง “แม่น้ำโขง” แม่น้ำโขงเป็นแม่น้ำสายใหญ่ที่ทอดยาวผ่านหลายประเทศ บางส่วนของแม่น้ำโขงกั้นเป็นพรมแดนระหว่างประเทศไทยและลาว ลำน้ำโขงในส่วนนี้เองที่มีตำนานเรื่องเมืองบาดาล เกี่ยวพันกับเหตุการณ์ความมหัศจรรย์ของปรากฏการณ์ "บั้งไฟพญานาค" ที่ในคืนวันออกพรรษาจะปรากฏลูกไฟสีแดงพวยพุ่งขึ้นจากลำน้ำโขงขึ้นไปสู่ท้องฟ้าและหายไป เป็นเรื่องเล่าขานถึงพญานาคที่ได้ทำบั้งไฟถวายเป็นพุทธบูชา

       ตลอดสายน้ำโขงที่ทอดยาว โดยเฉพาะบริเวณช่วงจังหวัดหนองคาย-บึงกาฬ มีเรื่องเล่ามากมายของผู้คนตลอดสองฝากฝั่งถึงเมืองบาดาลซึ่งถือเป็นเมืองของพญานาคนั่นเอง โดยเฉพาะบริเวณ "แก่งอาฮง" ที่อยู่บริเวณใกล้กับวัดอาฮงศิลาวาส อำเภอเมือง  จังหวัดบึงกาฬ แม่น้ำโขงบริเวณหน้าวัดอาฮงแห่งนี้เชื่อกันว่าเป็นจุดที่ลึกที่สุดของแม่น้ำโขง เรียกกันว่า “สะดือแม่น้ำโขง” ชาวบ้านเชื่อว่า ณ สะดือแม่น้ำโขงนี้เองคือวังบาดาลของพญานาค

       “ถ้ำดินเพียง” ในอำเภอสังคม จังหวัดหนองคายก็เป็นอีกหนึ่งสถานที่ในเรื่องราวความเร้นลับของเมืองบาดาล ถ้ำแห่งนี้ถูกค้นพบโดยชาวบ้านที่ออกล่าสัตว์ป่าจนไปพบถ้ำนี้โดยบังเอิญ ภายในถ้ำแห่งนี้มีห้อง โพรง ช่อง ซอก ซอย รู อันเกิดจากการกัดเซาะของน้ำใต้ดินที่เต็มด้วยส่วนโค้ง ส่วนเว้า จำนวนมากนับเป็นพันๆ ช่องทางสามารถใช้สัญจรทะลุเชื่อมถึงกันได้อย่างไม่น่าเชื่อซึ่งเล่ากันว่าคล้ายเส้นทางการเลื้อยของพญานาค ชาวบ้านเชื่อกันว่าถ้ำแห่งนี้เป็นเส้นทางไปสู่เมืองพญานาคที่สามารถเดินทางไปใต้ลำโขง ไปๆมาๆระหว่างหนองคายกับเวียงจันทน์ได้ โดยมีเรื่องเล่าว่า ในถ้ำแห่งนี้เป็นเส้นทางที่พระธุดงด์จากลาวใช้ข้ามฝั่งลอดใต้แม่น้ำโขงเข้ามายังเมืองไทย เส้นทางเดินนี้ต้องเป็นพระผู้ทรงศีลแก่กล้าเท่านั้นจึงจะมองเห็นเส้นทาง

       ส่วนที่ "ถ้ำน้ำเขาศิวะ" อำเภอคลองหาด จังหวัดสระเเก้ว ที่พึ่งถูกค้นพบและเปิดให้เป็นแหล่งท่องเที่ยวเมื่อไม่นานมานี้ ก็นับได้ว่าเป็นเมืองบาดาลเช่นกัน ตลอดเส้นทางที่ทอดยาวเข้าไปในถ้ำนั้นมืดมิดนักท่องเที่ยวต้องเดินลุยน้ำเข้าไปชมซึ่งบางส่วนมีความลึกมาก ปลายถ้ำนั้นเป็นทางตัน เมื่อชมถึงจุดปลายสุดแล้วจะต้องเดินย้อนกลับมา แต่ที่ปลายสุดแห่งนี้เองวิทยากรผู้นำทางได้เล่าถึงเรื่องราวความเร้นลับว่า ก่อนที่จะเปิดให้เข้ามาท่องเที่ยวได้มีการสำรวจโดยเจ้าหน้าที่ ซึ่งได้เตรียมอุปกรณ์ดำน้ำมาด้วย เมื่อถึงปลายสุดของถ้ำได้มีการดำน้ำลงไปสำรวจเพราะบริเวณนี้เป็นบริเวณตาน้ำที่ลึกที่สุด และหลังจากที่เจ้าหน้าที่ได้ดำลงไปสำรวจเเล้ว เมื่อกลับขึ้นมาได้เล่าว่าข้างล่างนั้นเป็นเหมือนเมืองบาดาล เจ้าหน้าที่คนนั้นได้เพียงแค่เล่าเรื่องราวแต่ไม่หันกลับไปมองบริเวณนั้นอีกและยังไม่มีใครกล้าที่จะดำลงไปอีก จึงกลายมาเป็นเรื่องราวปริศนาที่เล่าต่อๆ กันมาของถ้ำน้ำเขาศิวะแห่งนี้

       สำหรับเมืองบาดาลที่ไม่ได้มาพร้อมตำนานเร้นลับ หากเกิดจากน้ำมือมนุษย์ก็คือที่ "อำเภอสังขละบุรี" จังหวัดกาญจนบุรี โดยเมื่อครั้งอดีตชุมชนดั้งเดิมของชาวมอญได้มีการสร้างหมู่บ้านบริเวณจุดรวมของ แม่น้ำ 3 สาย ได้แก่ แม่น้ำซองกาเลีย แม่น้ำรันตี และแม่น้ำบีคลี่ ต่อมาในปีพ.ศ.2527 มีการสร้างเขื่อนเขาแหลม หรือเขื่อนวชิราลงกรณ์ ทำให้บ้านเมืองบริเวณนี้ต้องจมลงใต้สายน้ำ ชาวบ้านต้องย้ายที่อยู่และที่ทำกินไปอยู่บนพื้นที่สูงกว่าเดิม ส่วนหมู่บ้านเก่าที่ยังคงมีสิ่งปลูกสร้างต่างๆ ทิ้งร้างไว้นั้นกลายเป็นก้นเขื่อน เมื่อน้ำลดจึงจะมองเห็นสิ่งปลูกสร้างเหล่านั้น โดยเฉพาะอย่างยิ่งที่ "วัดวังก์วิเวการาม" (หลังเก่า) ที่ในหน้าแล้งน้ำลดลงจนสามารถลงไปเดินชมซากโบสถ์หลังเก่าได้ ส่วนในหน้าน้ำหากล่องเรือออกไปจะมองเห็นตัววัดรำไรอยู่ใต้สายน้ำ เกิดเมืองบาดาลแห่งสังขละบุรีขึ้น(ติดตามอ่าน วิถีมอญ-เมืองบาดาล-สะพานมอญ”...“สังขละบุรี” มีดีไม่มีสร่าง ได้ตามลิงค์นี้)

       ส่วนเมืองบาดาลที่เกิดขึ้นจากภัยธรรมชาตินั้นได้แก่ “โยนกนคร” มีเรื่องราวการล่มสลายของโยนกนครจนเป็นเมืองบาดาลอยู่มากมาย แต่ทฤษฎีที่เป็นวิทยาศาสตร์และน่าเชื่อถือนั้นก็คือ เมืองโยนกนครแห่งนี้ล่มสลายลงเพราะแผ่นดินไหว เนื่องจากเมืองได้สร้างอยู่บริเวณที่ดอนกลางหนองน้ำในปล่องภูเขาไฟซึ่งดับไปแล้ว โดยเป็นพื้นที่ๆ ไม่มั่นคง ประกอบกับเมืองยังตั้งอยู่บนรอยเลื่อนสองแห่ง เมื่อเกิดแผ่นดินไหวครั้งใหญ่เมืองโยนกนครจึงล่มลงกลายเป็นเมืองบาดาลทิ้งปริศนาความเร้นลับให้แก่คนรุ่นหลังได้ไขกันต่อไป
       
       เนื่องจาก “เมืองบาดาล” แต่ละแห่งล้วนแล้วแต่ลึกลับ มีมนต์เสน่ห์และมาพร้อมตำนานความเชื่อ การเข้าชมสถานที่แต่ละแห่งจึงควรให้ความเคารพในสถานที่และปฏิบัติตามข้อบังคับอย่างเคร่งครัดด้วย

ASTVผู้จัดการออนไลน์    3 มิถุนายน 2556

86
1.ฝึกเล่นกีฬา เพราะ กีฬาสอนให้รู้จักการชนะอย่างมีเกียรติ แพ้อย่างสง่างาม เชื่อฟังกติกา ทำงานเป็นทีม การแบ่งเวลา การขอเวลานอกเพื่อหาวิธีแก้เมื่อเจออุปสรรค

2.เวลาฉี่ให้ระวัง เพราะคนอื่นต้องมาทำความสะอาดที่เลอะ

3.หัดเก็บเงินตั้งแต่เล็ก เพราะวันหนึ่งลูกจะต้องใช้

4.ให้แม่สอนลูกให้รู้วิธีล้างจาน ทำอาหาร ซักผ้า รีดผ้า ดูดฝุ่น กวาดบ้าน ถูบ้าน เอาหล่ะ เราไปทำกันเลย

5.อย่ารังแกคน อย่าเป็นคนเริ่มทำร้ายผู้อื่น แต่ถ้ามีใครมาแกล้ง ก็ต้องป้องกันตัวเอง

6.การศึกษาและความรู้เป็นสิ่งที่ไม่มีใครขโมยไปจากเราได้

7.จงเข้มแข็งและอ่อนโยนในคราวเดียวกัน

8.จงมั่นใจในตัวเองทุกครั้งที่ต้องปรากฏตัว

9.ผู้หญิงทำได้ทุกอย่างที่ผู้ชายทำ รวมถึงการประสบความสำเร็จในหน้าที่การงาน และ การตื่นขึ้นมาเปลี่ยนผ้าอ้อมให้ลูกตอนตี 3 ดังนั้นจึงควรให้ความนับถือภรรยาเพื่อความสัมพันธ์ที่ดีในครอบครัว

10."ครับผม" "ได้ครับ" จงพูดไว้ให้ติดปาก

11.เหตุผลที่เรียกว่า"ของลับ" ก็เพราะว่ามันไม่ควรโชว์ จงอย่าเกามันในที่สาธารณะ

12.เพื่อนเป็นสิ่งที่มีอิทธิพล จงเป็นผู้นำที่ดีแล้วผู้อื่นจะคล้อยตาม

13.ฝึกการเป็นผู้นำที่อบอุ่นและเข้าถึงจิตใจของผู้อื่น

14.การเป็นคนจิดใจดี ดีกว่า การเป็นคนที่ถูกต้องเสมอ

15.จงฝึกเป็นคนมีอารมณ์ขัน จะช่วยเยียวยาทุกสิ่ง

16.จงเลือกคนมาเป็นภรรยาอย่างตรึกตรอง

17.การให้ดอกไม้ภรรยาแบบไม่มีเหตุผล เป็นความคิดที่ดีเสมอ

18.เพื่อความสัมพันธ์ที่ดีในครอบครัว จงอย่าคาดหวังว่าลูกจะได้สิ่งใดจากภรรยา ถ้าลูกไม่สามารถให้สิ่งนั้นกับเธอ

19.ปฏิบัติต่อผู้หญิงทุกคนด้วยความสุภาพ โดยเฉพาะกับภรรยา ไม่เช่นนั้นลูกจะรู้สึกโดดเดี่ยวตลอดไป

20.และอย่าลืมที่จะโทรศัพท์หาแม่บ่อยๆ เพราะว่าแม่คิดถึงลูกตลอดเวลา

เครดิต Learning petals

87
เมื่อเป็นเจ้าของธุรกิจ ผมจึงผูกใจคนเก่งๆ ให้ช่วยดูแลกิจการด้วยระบบ “หุ้นส่วน” แทนที่จะเป็นเจ้าของทั้งหมดคนเดียว เสมือนโอ่งใหญ่ๆ รองน้ำฝนเป็นร้อยๆ ลิตร แต่ถ้าโอ่งแตกใบเดียว เราจะไม่เหลือน้ำเลยสักหยด สู้มีกระป๋องเล็กๆ 20 ใบ กระจาย 20 สาขา กระป๋องละครึ่งเดียวแต่หลายๆ ใบรวมกัน ใบหนึ่งเสียหายก็ยังเหลือส่วนใหญ่ที่ได้อยู่

ด้วยวิธีนี้ ธุรกิจสตูดิโอถ่ายภาพแต่งงานจึงแตกตัวไปอย่างรวดเร็ว ผ่านการ “ร่วมทุน” กับพนักงานเก่งๆ ให้ออกไปโตเป็นเถ้าแก่
18 ปีผ่านไป หุ้นส่วนเก่งๆ ยังช่วยดูแลธุรกิจ โดยที่ผมไม่ต้องลงมือเองให้วุ่นวาย ทำธุรกิจอย่ายึดติดกับความเป็นเจ้าของ อย่าคิดว่าต้องเป็นของเราคนเดียวร้อยเปอร์เซ็นต์ จะถือหุ้นเท่าไหร่ไม่สำคัญ สำคัญที่หุ้นของเรามีมูลค่าเท่าไหร่

บางอย่างดูเหมือนจะเสีย แต่ถ้ารู้จักแบ่ง เราจะได้โอกาสวันหน้าอีกมากมาย เราได้ 40 % แบ่งให้คนอื่น 60% ..ได้น้อยก็ยังดีกว่าไม่ได้

“จิตวิญญาณความเป็นเจ้าของ” จะเกิดขึ้นได้ก็ต่อเมื่อทุกคนรู้สึกเป็นหนึ่งในหุ้นส่วน ต้องร่วมกันทำ ร่วมกันแบ่ง ลำบากร่วมกัน ถึงจะสบายด้วยกัน

ธุรกิจถ่ายภาพแต่งงานของเรา ปิดบัญชีแบ่งกำไรกันทุกเดือน พนักงานทุกคนได้ส่วนแบ่งเสมือนผู้ถือหุ้น ตั้งแต่ผู้จัดการร้าน ผู้ช่วยผู้จัดการ ช่างภาพ ช่างแต่งงาน แม้แต่แม่บ้านก็ยังยิ้มแป้นได้ส่วนแบ่งด้วย

หลักการบริหารธุรกิจ คือ หลักการจัดสรรผลประโยชน์ที่ต้องทำอย่างรวดเร็ว ทันใจ ผมเรียกมันว่า “ทฤษฎีปลาโลมา”

การปันผลให้ทันใจก็เหมือนกับโชว์ปลาโลมาในสวนสนุก ปลากระโดดปุ๊บต้องให้รางวัล ไม่ใช่กระโดดค้างไว้ เดี๋ยวสิ้นเดือนค่อยว่ากันทีเดียว ปลาตัวไหนจะอยากทำงานให้เรา ระหว่างสิ้นปีได้โบนัสครั้งเดียวกับแบ่งกำไรกันทุกสิ้นเดือน ความรู้สึกสำหรับคนทำงานต่างกัน ยิ่งจัดสรรผลประโยชน์เร็ว ยิ่งเพิ่มแรงจูงใจ ธุรกิจยิ่งขยายตัว

แต่อย่าเน้นแค่เงินอย่างเดียว เหนืออื่นใด หัวใจต้องมาก่อน ตามมาด้วยศรัทธา ถ้าใช้เงินซื้อคน หลอมคนในองค์กรด้วยเงิน เงินเท่าไหร่ก็ไม่พอ ซื้อตัว ไม่อาจซื้อใจ ถ้ามาเพราะเงินเดือน 2 เท่า เขาจะอยู่กับเราได้ไม่นาน เงินสำคัญแต่ก็ไม่ใช่ที่สุด

คำชม กำลังใจ การให้โอกาส ความท้าทาย ความรู้สึกที่ดีๆ ที่มีให้กัน คุณค่าทางใจมีความหมายไม่น้อยไปกว่าเงิน

บางทีปัญหาโลกแตกที่คิดว่ายากที่สุด ไม่ใช่เพราะมีหรือไม่มี “ดวงบริวาร” แต่ความลับอยู่ที่การผูกใจคนให้เขามีความสุขอยู่กับเราไปนานๆ

88
1.ครอบครัวจะเป็นครอบครัวตลอดไป แม่จะรักพ่อเสมอ เราจะอยู่เป็นครอบครัวเพื่อให้ลูกมีที่พึ่งพิง เพื่อเป็นตัวอย่างครอบครัวที่ดีให้ลูกเห็น เพราะเราปรารถนาให้ลูกได้มีครอบครัวที่สมบูรณ์เช่นกัน

2.ลูกดูดีเสมอในสายตาของแม่ ความงามเกิดขึ้นได้จากภายใน ไม่ใช่แค่รูปลักษณ์ภายนอก และแม่รักลูกในสิ่งที่ลูกเป็น

3.ลูกมีศักยภาพเพียงพอในการทำสิ่งที่ลูกอยากทำ แต่อย่ากลัวที่จะล้มเหลว

4.สอนลูกให้ปฏิเสธเป็น หากถูกชักจูงให้ทำสิ่งที่ไม่ดีหรือลูกไม่อยากทำ

5.ลูกควรมีระเบียบวินัยและเรียนรู้ถูกผิดตั้งแต่ในบ้าน เป็นคนที่รู้จักเห็นอกเห็นใจผู้อื่น เมื่อออกนอกบ้านจะได้ไม่เป็นที่ระอา

6.จงทะนงในศักดิ์ศรี พึ่งพาตัวเองได้ เป็นคนมีอารมณ์ขัน และปฏิบัติต่อทุกคนที่ลูกพบด้วยความสุภาพ ไม่ว่าจะเป็นคุณครู ภารโรง หรือ พนักงานขาย เพราะทุกคนมีเกียรติและศักดิ์ศรี

7.สอนลูกให้กินเป็น อาหารที่ดีต่อสุขภาพ แต่ไม่หมกมุ่นกับการกินให้ผอม

8.สุภาพบุรุษพึงปฏิบัติด้วยความสุภาพและให้ความนับถือต่อลูก ให้ดูพ่อของลูกเป็นตัวอย่างที่ดี อย่ายอมรับสิ่งที่น้อยกว่านั้น เพื่อลูกจะได้ไม่เสียใจภายหลัง

9.แต่งกายให้เหมาะสม อย่าดึงดูดสายตาผู้คนด้วยการแต่งกาย เพราะมันไม่ใช่ของจริงแท้สำหรับคนที่จะมาสนใจลูก

10.จงสร้างสัมพันธภาพที่ดีกับผู้คนที่ดี เพราะเขาเหล่านั้นจะช่วยเติมเต็มและทำให้ชีวิตลูกมีความสุข

11.อย่ายุ่งกับสารเสพติด และ ดื่มอัลกอฮอล์มากเกินไปเพราะจะทำให้เกิดอันตราย ยิ่งถ้าเป็นเด็กหรือวัยรุ่นยิ่งอันตราย

12.พ่อจะเป็นฮีโร่และคอยปกป้องลูกเสมอ หากมีใครมาทำร้ายลูก

13.เรียนรู้วิธีใช้จ่ายเงินอย่างชาญฉลาด เริ่มได้ตั้งแต่เด็ก

14.จงมีความซื่อสัตย์ต่อตนเองและผู้อื่นเสมอ

15.อดทน อดกลั้น รอคอย อย่ามีเพศสัมพันธ์ก่อนเวลาอันควร จนกว่าจะพบคนที่เหมาะสม ในเวลาที่เหมาะสม

16.อย่าทำชีวิตให้ซับซ้อน ความเรียบง่าย คือ สิ่งที่ลึกซึ้งและคงทน และช่วยให้ลูกไม่เหนื่อยเกินความจำเป็น

17.ให้เชื่อมั่นในพระเจ้า (ศาสนา) จงยึดมั่นในความดี

18.ให้ลูกรู้สึกขอบคุณทุกสิ่งที่ทำให้ลูกเป็นลูก จะทำให้ลูกเป็นคนอ่อนน้อม และกตัญญูกับทุกคนที่มีบุญคุณกับลูก

19.จงเป็นคนมุ่งมั่น ไม่ย่นย่อ ไม่ท้อถอยต่ออุปสรรคง่ายๆ เป็นคนหาความรู้ใส่ตัวเสมอ

20.และจำไว้ว่า พ่อและแม่รักลูกเสมอ และ รักตลอดไป

เครดิต Haylee Wilkerson , skinnymom.com

89
ข่าวสมาพันธ์ / 300+ Health Problems Linked To Statin Drugs
« เมื่อ: 11 พฤษภาคม 2013, 01:07:04 »


A growing body of clinical research now indicates that the cholesterol-lowering class of drugs known as statins, are associated with over 300 adverse health effects -- research boldly flying in the face of national health policy, medical insurance premium guidelines, statin drug manufacturer advertising claims, and the general sentiment of the public, with approximately 1 in every 4 adult Americans over 45 currently using these drugs to "prevent heart disease."

The Cholesterol Myth

For well over 40 years, statin drugs have successfully concretized a century old myth about the primary cause of heart disease: namely, that cholesterol "causes" plaque build up in the arteries, ultimately leading to obstruction of blood flow, and subsequent morbidity and mortality.

Indeed, the medical establishment and drug companies have been singing the praises of this "cholesterol myth," to the tune of 25 billion dollars in statin drug sales, annually.

While it is true that oxidized low-density lipoprotein is found within the atheromatous plaque that is found in damaged arteries, it is less likely a cause than an effect of heart disease. The underlying damage to the lining of the artery, which could be infectious, chemical, stress and/or nutritionally-related, comes before the immune response that results in plaque buildup there. Blaming LDL cholesterol for causing heart disease, is like blaming the scab for the injury that caused it to form, or, like blaming the band-aid for the scab it is covering -- this is, after all, the inborn and fatal flaw of allopathic medicine which focuses only on symptoms of disease, which it then -- fool-heartedly -- attempts to suppress by any chemical means necessary.

Death By Statins?

No one can deny that statins do exactly what they are designed to do: suppress cholesterol production and reduce measurable blood serum levels. The question is, rather, at what price do they accomplish this feat, and for what ultimate purpose?

With the National Cholesterol Education Program Guidelines, having been designed by "experts" on the payroll of statin drug manufacturers, requiring ultra-low levels to obtain a strictly theoretical and numerical definition of "health," statin drugs are guaranteed to receive first-line treatment status in the goal of the preventing and treating heart disease through lipid suppression.

What is at question here, is whether the unintended, adverse effects of this chemical class of drugs are less, the same or worse than the purported "cardiovascular" benefits they provide?

Fundamentally, statin drugs damage the muscles and nerves in the body -- so much so that a dose as low as 5 mg a day can kill a human. There are well over 100 studies demonstrating the myotoxic, or muscle-harming effects of these drugs, and over 80 demonstrating the effects of nerve damage, as well. When you consider that a vast proportion of our body is comprised of muscles and coordinating nerve systems, this drug has the potential to cause damage to the entire body, and undoubtedly does so universally, differing only in the matter of degree -- the damage occurring acutely in those at the tip of the iceberg, asymptomatically in the majority of others at the base.

Moreover, statin myotoxicity is not exclusive to skeletal muscle. If you consider that the heart is also a muscle, in fact, is our most tireless muscle, an obvious red flag should go up. It is a remarkable fact that it took over 40 years before the biomedical research and publishing fields were able to produce a human study, like the one published in the Journal of Clinical Cardiology in Dec. 2009, showing that statin drugs, despite billions of advertising/marketing dollars to the contrary, actually weaken the heart muscle.

These results, while disturbing, are to be expected given the well-known problem associated with statin drug use, namely, the inhibition of the mevalonate pathway necessary to produce the heart-essential nutrient coenzyme Q10. Coenzyme Q10 deficiency itself may be a major contributing cause to heart disease. There is also research that statin drugs deplete the body of the cardioprotective minerals (and associated mineral-protein complexes) zinc and selenium. This finding may also explain why rates of heart failure may be increasing in the general population given these drugs.

While the discovery that statin drugs, instead of preventing heart disease, likely contribute to it, is surprising and counterintuitive, it should not distract from the more disturbing discovery that they contribute to over 300 disease and/or adverse health effects.

Millions of statin drugs users around the globe are risking their lives on a bad bet that taking a magic chemical pill will reduce their risk of dying of a disease that is not caused by a lack of the drug. What is more likely to happen, however, is that the quality and duration of their lives will be reduced, profoundly, along with billions of dollars of squandered cash that could have been spent on authentically medicinal and cardioprotective foods, nutrients, minerals and vitamins.

In light of these findings, a very serious question is raised: are those who are party to the manufacture, promotion, administration and/or prescribing of this chemical class of drugs, in violation of the medical ethical principle of informed consent? And is this ethical violation, insofar as it results in injury to those who have been mislead and/or coerced to take these drugs, also a legal/criminal one?

http://www.greenmedinfo.com/blog/consumer-alert-300-health-problems-linked-statin-drugs

Posted on:
Monday, April 2nd 2012 at 7:45 pm
Written By:
Sayer Ji, Founder

90
ข่าวการพบช้างเผือกกำลังอยู่ในกระแส แม้จะยังไม่มีการพิสูจน์ว่าจะเข้าตำราคชลักษณ์หรือไม่ แต่หากช้างเผือกเป็นสัตว์พิเศษเป็นไปได้ไหมที่กลายจะเป็นยอดเป็นเรือธงชักนำทางการจัดการความรู้และการมีส่วนร่วมของสังคมให้การอนุรักษ์ช้างป่าเปลี่ยนแปลงไปในทางที่ดีขึ้น?
       
       ช้างเผือกเกี่ยวพันกับวิถีชีวิตและความเชื่อของคนไทย ในพุทธศาสนาช้างเผือกเป็นสัญลักษณ์ของความเจริญและกำเนิดอันบริสุทธิ์เพราะพระนางสิริมหามายาทรงสุบินถึงช้างเผือกก่อนที่พระพุทธเจ้าจะทรงประสูติ ในคติฮินดูช้างเผือกเป็นสัญลักษณ์คู่บารมีของกษัตราธิราช ความเชื่อเหล่านี้ทำให้ช้างเผือกเป็นเสมือนตัวแทนพระราชอำนาจของกษัตริย์ในดินแดนสุพรรณภูมิมาตั้งแต่โบราณ
       
       ตามพรบ.รักษาช้างป่า พ.ศ.2464 ซึ่งตราในสมัยร. 6 ไม่ได้ทรงระบุชื่อ “ช้างเผือก” แต่ทรงเรียกช้างที่มีลักษณะพิเศษว่า ช้างสำคัญ ช้างสีประหลาด และช้างเนียม ซึ่งมีลักษณะหรือคชลักษณ์ต่างกันไป แต่ในทางชีววิทยา ช้างสีประหลาด หรือช้างเผือกถือเป็นความพิเศษด้านพันธุกรรมที่เกิดจากอัลลีลด้อยหรือยีนส์ด้อยที่ส่งผลให้ไม่มีเอมไซน์เมลาโนไซท์ ไทโรซิเนส (melamocyte tyrosinase) ไปเปลี่ยนสารไทโรซินให้กลายเป็นเมลานินหรือขาดการสร้างเม็ดสี เรียกว่าการเกิดภาวะผิวเผือก (Albinism)
       
       หากเกิดภาวะเผือกแบบสมบูรณ์ (Complete Albinism) ช้างตัวนั้นจะมีผิวขาวอมชมพู มีเส้นขนและเล็บขาว และไม่มีเม็ดสีในม่านตาจนสะท้อนมาเห็นเป็นตาสีแดงทับทิม (เหมือนหนูและกระต่ายในห้องทดลอง) แต่ช้างเผือกส่วนใหญ่ที่พบในไทย พม่า และศรีลังกามักเป็นช้างเผือกแบบไม่สมบูรณ์ (Incomplete Albinism) จึงมักมีสีตัวที่อ่อนกว่าช้างทั่วไป เล็บขาว ขนขาว และมีม่านตาเป็นสีฟ้าหรือสีเทาเพราะม่านตายังพอจะมีเม็ดสีกรองแสงไว้บ้าง
       
       การเกิดสีเผือกในสัตว์บางครั้งอาจจะไม่ได้เกิดจากยีนส์เผือกเพียงอย่างเดียว ในวาฬเพชฆาตที่ถูกนำมาจัดแสดงตัวหนึ่งเป็นโรค Chediak-Higashi Syndrome คล้ายในคนทำให้ผิวเปลี่ยนสีขาวโพลนทั้งตัวโดนไม่ทราบสาเหตุและรักษาไม่หาย
       
       ว่ากันว่าสัดส่วนของสัตว์เผือกที่เกิดจากการผสมพันธุ์ตามธรรมชาติอาจจะมีสัดส่วนให้เห็นมากสุดราว 1 % ของประชากร สอดคล้องกับทฤษฏีสมดุลประชากรที่ระบุว่าอัลลีลด้อยหรือยีนส์ด้อยที่ควบคุมลักษณะหนึ่งๆ จะมีการถ่ายโอนไปมาระหว่างประชากรและจะเริ่มเห็นการแสดงออกเพิ่มขึ้นหากมีประชากรลดน้อยลง หรือถูกจำกัดพื้นที่อาศัย ซึ่งอาจทำให้เกิดการเกิดผสมเลือดชิด (inbreeding)
       
       อีกนัยหนึ่งก็อาจสื่อถึงสัญญาณอันตรายต่อความหลากหลายของยีนในประชากร โดยสัตว์เผือกเองก็มักมีปัญหาในการดำรงชีวิต เช่น ไม่สามารถพรางตัวได้ หรือมักมีโรคเกี่ยวดวงตาและผิวหนังที่มีเม็ดสีเพื่อกรองแสงน้อย ทำให้มีอายุสั้นหรือรอดจากผู้ล่าได้ยาก แต่ในทางกลับกันหากพวกมันหรือพ่อแม่ที่มียีนด้อยแฝงอยู่ ยังรักษาชีวิตให้อยู่รอดได้ หรือมีเสน่ห์พอจะหาคู่ผลิตลูกหลาน ลักษณะด้อยนั้นก็จะยังคงปรากฏให้พบเห็นปะปนในประชากรส่วนใหญ่ เช่น วาฬหลังคร่อมในออสเตรเลียซึ่งมีวาฬสีเผือก 10-15 ตัวจากประชากรราว 15,000 ตัว
       
       ช้างเผือกก็อาจจะเป็นสัตว์อีกชนิดหนึ่งที่มักจะพบว่ามีช้างโตเต็มวัยและลูกช้างเผือกเกิดในธรรมชาติมาตั้งแต่โบราณ ซึ่งอาจจะเป็นสัญลักษณ์ทั้งสองด้านคือประชากรช้างในบางกลุ่มอาจจะเริ่มน้อยลงเรื่อยๆ จนเกิดช้างเผือกซึ่งเป็นลักษณะด้อยมากขึ้น หรืออีกนัยหนึ่งคือในกลุ่มประชากรนั้นยอมรับช้างเผือกเท่าเทียมกับช้างปกติจึงยังสามารถสืบสายพันธุ์สีประหลาดของตนเองได้
       
       เนื่องจากประชากรช้างกลุ่มใหญ่ที่ถูกแยกออกจากกันไป จากการตั้งรกรากของคนในสุพรรณภูมิต่อเนื่องเป็นเวลานาน จึงทำให้ลักษณะการเกิดช้างเผือกอาจจะมีความแปรผันเฉพาะตัวตามกลุ่มประชากร ทำให้ตำราคชลักษณ์ของไทย พม่า และลาวจึงมองช้างเผือกแตกต่างกันไปด้วย

ช้างเผือกในพม่า ตอนนี้ที่ออกสื่ออย่างเปิดเผยมี 8 ช้าง อยู่ที่ย่างกุ้ง 3 ช้าง และเนปิตอร์ 5 ช้าง

       แม้บางคนจะมองว่าช้างเผือกเป็นเพียงสัตว์ที่มีเม็ดสีผิดปกติแต่ช้างเผือกก็ของสูงค่าเป็นที่ต้องการมาแต่โบราณ และศาสตร์ของการเลี้ยงดูช้างเผือกก็ถือเป็นภูมิปัญญาที่สั่งสมในชาวเอเชียเท่านั้น เพราะช้างเผือกเคยทำให้ฝรั่งเข็ดขยาดอย่างหนักมาตั้งแต่สมัย ศตวรรษที่ 15 เมื่อโปรตุเกตนำช้างเผือกจากสยามและอินเดียขึ้นเรือรอนแรมไปถวายกษัตริย์และสมเด็จพระสังคราช แต่ถึงมีค่าเพียงใดด้วยที่ฝรั่งไม่รู้วิธีเลี้ยงทำให้สุดท้ายก็รักษาช้างเผือกไว้ไม่ได้
       
       แม้ภายหลังที่อังกฤษตีพม่าสำเร็จแล้วนำช้างเผือกพร้อมควาญไปโชว์ตัวในสวนสัตว์ลอนดอนก็เลี้ยงได้ไม่นานเพราะอากาศหนาว จนเกิดสำนวนฝรั่งเชิงประชดประชันว่า “white elephant” คือ “ของมีค่าแต่ยากเกินจะดูแลรักษาจนเหมือนของที่ไม่มีประโยชน์ต่อการลงทุน” แต่ในปัจจุบันแม้แต่ในสายตาฝรั่ง ช้างเผือกก็ยังเป็นของแปลก หายาก และที่สำคัญคือมีทั้งคุณค่าและมูลค่าในตนเอง
       
       การจัดการช้างเผือกที่พบในธรรมชาติมีความแตกต่างกัน ตามความเชื่อและกฏหมายของแต่ละประเทศ ในประเทศไทยตาม พรบ.รักษาช้างป่า พ.ศ.2464 ได้ระบุให้ผู้พบเห็นช้างสำคัญ หรือช้างสีประหลาดที่จับได้หรือตกลูกให้เป็นสมบัติของแผ่นดินห้ามมิให้โอนกรรมสิทธิ์ แม้จะมีพรบ.สงวนและคุ้มครองสัตว์ป่าปี 2535 มาบังคับใช้เกี่ยวกับการดูแลคุ้มครองสัตว์ป่าเพิ่มเติม ก็ถือปฏิบัติตามธรรมเนียมเดิม
       
       ส่วนในประเทศพม่าได้มีการรวบรวมช้างเผือกในธรรมชาติครั้งใหญ่ตั้งแต่ปี 2544 เป็นต้นมาและช้างเผือกส่วนมากมักคล้องได้จากกลุ่มประชากรใกล้พรมแดนบังคลาเทศในรัฐยะไข่ และตอนนี้ถูกรักษาไว้ในกรุงเนปิตอร์เพื่อเป็นสัญลักษณ์แทนความก้าวหน้าและโชคดีของพม่ายุคใหม่ มีหน้าที่ต้อนรับแขกบ้านแขกเมือง และดูเหมือนรัฐบาลพม่าก็วางแผนการขยายพันธุ์ช้างเผือกด้วยเช่นกัน ไม่แน่ว่าในอนาคตช้างเผือกพม่าอาจมีค่าทางการทูตเหมือนแพนด้าจีนก็เป็นได้
       
       ส่วนในศรีลังกาก็พบช้างเผือกปะปนในฝูงช้างป่าในเขตอุทยานแห่งชาติยาลา แต่หากข้ามไปดูประชากรช้างแอฟริกากลับพบช้างเผือกได้ยากกว่าช้างเอเชีย เพราะในสภาพธรรมชาติที่เป็นทุ่งโล่งการเกิดมามีตัวสีขาวสว่างถือเป็นอัตรายล่อตาล่อใจให้สิงโต และหมาไนให้น้ำลายไหลได้ง่ายกว่า แต่ก็มีการรายงานการพบลูกช้างเผือกตัวสีชมพูสดใส 1 ตัวจากกล้องดักถ่ายในบอสซาวาน่า และอีก 1 ตัวในประเทศแอฟริกาใต้
       
       แต่ไม่ว่าจะเป็นช้างป่าหรือช้างสีประหลาดก็มีความเท่าเทียมกันในเรื่องของบทบาททางนิเวศวิทยาที่มีความสามารถในการเบิกนำฝูงสัตว์ให้มีแหล่งอาหารใหม่ๆ การกระจายเมล็ดพันธุ์พืช การเปิดพื้นที่ในทุ่งหรือการเปิดหน้าดินโป่งให้เกิดแหล่งแร่ธาตุเสริมชีวิต จนได้ชื่อว่าเป็น “Umbrella specie” หรือ “ชนิดพันธุ์ผู้เป็นร่มเงา” ให้กับสัตว์อื่นได้พึ่งพิง
       
       เมื่อมองด้วยกรอบคิดด้านการอนุรักษ์และการจัดการช้างป่าถูกจัดเป็น “Flagship species” หรือ “ชนิดพันธุ์เรือธง” ที่ใครๆ ก็ให้ความสนใจ ดังนั้นการพบช้างเผือกในป่าจึงเหมือนกับการพบ “super flagship” หรือ “ยอดเรือธง” ที่น่าจะสามารถนำพาความสนใจให้มองมาที่จุดเดียวได้ไม่ยาก
       
       หรือแม้แต่การจัดการอนุรักษ์แบบใหม่ที่ผสานพฤติกรรมการใช้พื้นที่อาศัย คุณค่าทางการอนุรักษ์ และคุณค่าทางวัฒนธรรมตามกรอบคิดที่เรียกว่า “landscape species” หรือ “ ชนิดพันธุ์แห่งผืนป่า” ที่มุ่งเน้นการทำงานร่วมกันระหว่างนักวิทยาศาสตร์ นักมนุษศาสตร์ และนักสังคมศาสตร์เพื่อก่อให้เกิดการอนุรักษ์ที่ยั่งยืน แต่สุดท้ายการใช้ประโยชน์จากความสนใจ และมุมมองของคนในสังคมอาจที่เป็นเรื่องน่าขบคิดเพื่อวิธีการจัดการช้างเผือกและช้างป่าให้ดีที่สุด

       นายปรี๊ดจึงขอสะกิดให้ทุกท่านลองวางใจให้เป็นกลาง ช่วยกันมองหาแนวทางใหม่ๆ เพื่อจัดการ “ช้างพิเศษและผองเพื่อน” อย่างสร้างสรรค์ เผื่อฮีโร่ช้างเผือกจะได้กลายเป็นซูเปอร์ช้าง ขยายผลไปสู่การอนุรักษ์เพื่อนช้างป่าตัวอื่น ๆ ให้ได้ชูงวงร้องดีใจกันได้บ้าง
       
       1.) ช้างเผือกอาจใช้เป็นเรือธงของการศึกษาและวิจัย ในระหว่างที่เรารอลุ้นว่าช้างสีประหลาดที่พบจะมีลักษณะต้องตามคชลักษณ์จนได้ขึ้นเป็นช้างสำคัญหรือไม่ สื่อทุกแขนงและคนทั่วไปแสดงความสนใจช้างเผือกกันอย่างคึกคัก แต่คำถามก็คือเราได้จะใช้โอกาสนี้สร้างความเข้าใจ และจัดการองค์ความรู้เรื่องเกี่ยวกับช้างเผือก ทั้งในด้านการอนุรักษ์ สังคม วัฒนธรรมและวิทยาศาสตร์ได้มากขนาดไหน?
       
       ในชั้นเรียนเด็กไทยรู้หรือไม่ว่าช้างเผือกในทางชีววิทยาและช้างสำคัญตามตำราคชรักษ์ต่างกันตรงไหน? ช้างเผือกมีความสำคัญเพียงไหนในสังคมไทย? หากสนใจเรื่องช้างเผือกเราจะพาลูกหลานไปศึกษา หรือดูของจริงได้จากที่ไหน? หากท่านเองยังตอบคำถามเหล่าได้ยาก...คงต้องย้อนดูแล้วว่าปัจจุบันเราให้ความสำคัญเกี่ยวกับการจัดการความรู้เรื่องช้างไทยและช้างเผือกอยู่ในระดับไหน และเราจะช่วยกันเพิ่มเติมอย่างไรได้บ้าง?
       
       เรื่องการศึกษาและวิจัยอีกเรื่องหนึ่งคือการพัฒนาความสามารถทางการแพทย์และสัตววิทยาที่เกี่ยวข้องกับช้างเผือกซึ่งอาจเป็นเรือธงชั้นดีในการขับเคลื่อนความรู้และทักษะการดูแลช้างพิเศษของสัตว์แพทย์และนักวิทยาศาสตร์ไทยให้เกิดผลงานระดับแนวหน้าของโลกได้
       
       ทั้งนี้ เนื่องจากพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงมีช้างสำคัญจำนวนหลายช้าง สัตวแพทย์ซึ่งได้ถวายงานดูแลสุขภาพช้างพิเศษเหล่านี้จึงถือได้ว่าเป็นผู้เชี่ยวชาญเรื่องช้างเผือกมากที่สุด เช่น โรคเกี่ยวกับตาซึ่งสัตว์เผือกมักมีปัญหาการติดเชื้อหรือตาอักเสบเพราะมีรงควัตุน้อยกว่าปกติ เป็นต้น ความเชี่ยวชาญนี้แม้จนรัฐบาลพม่าก็ยังต้องขอความร่วมมือให้สัตว์แพทย์ไทยไปช่วยดูแลช้างเผือกเป็นครั้งคราว ทั้งในเรื่องสุขภาพ และไปจนการผสมพันธุ์ช้างเผือก
       
       การมองคุณค่าทางการศึกษาจึงอาจไม่ได้หยุดเพียงเรื่องของช้างและวัฒนธรรมแต่ในเรื่องวิทยาศาสตร์และการแพทย์ช้างเผือกก็ถือเป็นแรงขับที่ยอดเยี่ยมได้ หรือแม้แต่ประเด็นที่หลายคนถกเถียงกันในเรื่องของการอนุรักษ์ช้างเผือกในพื้นที่ธรรมชาติ (In-situ Conservation) หรือการนำมาอนุรักษ์นอกพื้นที่ธรรมชาติ (Ex-situ Conservation) มีข้อดีข้อเสียอย่างไร? หรือการปล่อยให้ช้างเผือกอยู่ตามธรรมชาติและติดตามดูแล จะดีกว่าการนำเข้ารักษาไว้ในส่วนกลางให้พ้นมือพรานทางไหนจะมีผลดีกับช้างมากกว่า?
       
       หากมองในแง่ดี ประเด็นถกเถียงที่หลากหลายอาจไม่ใช่ความขัดแย้ง แต่อาจแสดงถึงความใส่ใจและสนใจร่วมกัน เพราะนายปรี๊ดเชื่อว่าคนไทยส่วนมากล้วนแต่มองเห็นถึงประโยชน์ของการอนุรักษ์ช้างพิเศษและประเทศเป็นสำคัญ การถกเถียงให้เกิดประโยชน์จึงน่าจะมีเจ้าภาพที่เป็นกลางช่วยถอดบทเรียนเพื่อนำไปทดลองปฏิบัติจริงตามข้อเสนอของแต่ละฝ่าย
       
       แม้เป็นภาพฝันแต่หากทำได้จริง สังคมไทยก็น่าจะหลุดพ้นจากภาวะของการทุ่มเถียงกันแต่ไม่เกิดประโยชน์ แล้วก็ปล่อยให้ผ่านเลยไปโดยไม่ได้ถอดบทเรียน หรือสร้างสรรค์องค์ความรู้หรือแนวทางใหม่ๆ ให้กับสังคม ซึ่งถือเป็นเรื่องน่าเสียดาย

       2.) ช้างเผือกอาจใช้เป็นเรือธงของการอนุรักษ์อย่างมีส่วนร่วม จากข่าวล่าสุดที่เปิดเผยตอนนี้ คือ นายสัตวแพทย์จากกรมอุทยานแห่งชาติ และเจ้าหน้าที่จากสำนักพระราชวังต้องลงพื้นที่เพื่อพิสูจน์คชลักษณ์ของช้างสีประหลาดตัวนี้ ทั้งด้านรูปร่างและอุปนิสัยว่าเหมาะสมจะนำทูลเกล้าถวายหรือไม่ มีการงดบินสำรวจด้วยเฮลิคอปเตอร์เพื่อกันช้างเตลิด แต่ใช้การเดินสำรวจภาพพื้นและติดกล้องดักถ่ายภาพแทน ซึ่งอาจให้เวลานานเป็นเดือนหรือเป็นปี
       
       ด้วยเวลาที่อาจยาวนานจึงมีแนวคิดหลากหลายที่เสนอขึ้นมาเพื่อจัดการดูแลช้างเผือกให้อยู่รอดปลอดภัย ทั้งการที่เร่งให้เจ้าหน้าที่รีบคล้องออกมาเพื่อป้องกันพรานที่กำลังตามล่า บ้างก็เสนอให้ล้อมรั้วขนาดใหญ่เพื่อป้องกันไม่ให้ข้ามแดนไปเขตอันตราย บางคนอยากให้มีการคุ้มกันแบบแรดขาวถิ่นเหนือซึ่งมีประชากรเหลือไม่ถึง 10 ตัว จนเจ้าหน้าที่ทหารของอูกันดาถึงกับต้องผลัดเวรเฝ้าช้างตลอด 24 ชั่วโมง
       
       อย่างไรก็ตาม หลายคนเริ่มมองถึงปัญหาหากจะเอาอย่างอูกันดาว่า เจ้าหน้าที่จะมีกำลังดูแลพอหรือไม่ อีกทั้งในสภาพป่าที่รกทึบและการเข้าใกล้สัตว์ป่าอาจจะเป็นการรบกวนมากกว่าดูแล บริบทการค้นหาและจัดการช้างเผือกจึงต้องปรับตามบริบทของปัญหาในปัจจุบัน
       
       หากกระโดดข้ามเรื่องการติดตามช้างเผือกแต่มองไกลไปถึงการอนุรักษ์ช้างป่าแก่งกระจาน เพราะหากมีการจัดการที่ดีประชากรช้างที่เหลืออาจได้รับผลดีตามมาด้วย และแน่นอนว่าหากดูแลช้างโขลงนี้ให้ดี ในระยะยาวความเป็นไปได้ที่จะพบช้างเผือกตัวที่สองเกิดขึ้นจากกลุ่มประชากรที่ยีนสีเผือกสะสมอยู่ก็ไม่ใช่เรื่องที่เป็นไปไม่ได้
       
       พร้อมกัันนี้มีความสำเร็จในการอนุรักษ์ช้างป่าใกล้ตัวที่เปิดให้ประชาชนเข้าไปมีส่วนร่วมในการดูแลเป็นหูเป็นตาให้กับเจ้าหน้าที่ เช่น อุทยานแห่งชาติกุยบุรีที่มีการจัดการพื้นที่อาศัยภายในป่าของช้าง และเปิดโอกาสให้ทั้งนักเรียนรอบๆ อุทยานและคนเมืองที่สนใจได้มีโอกาสใกล้ชิด ช่วยเหลือช้าง โดยมีกิจกรรมของภาคเอกชนร่วมกับเจ้าหน้าที่อุทยานฯ จัดกิจกรรมให้ความรู้กับประชาชน และนักเรียนที่อาศัยรอบอุทยานและร่วมกันนับการเปลี่ยนแปลงจำนวนช้างป่าในรอบปี
       
       อีกตัวอย่างคือกรณีศึกษาในเขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าสลักพระ และอุทยานแห่งชาติทองผาภูมิที่สามารถลดความรุนแรงจากความขัดแย้งระหว่างชาวบ้านและช้างป่าให้กลายมาเป็นวิถีที่อยู่ร่วมกันได้อย่างสงบสุขมากขึ้น และมีหลักสูตรส่งเสริมความรู้ความเข้าใจของชาวบ้านร่วมกับการทำงานของนักวิจัยอย่างต่อเนื่อง ซึ่งชี้ให้เห็นว่าแม้ช้างป่าทุกที่จะมีปัญหา แต่หากตีโจท์ของพื้นที่ให้แตกและเปิดโอกาสให้ประชาชนได้เข้าไปมีส่วนร่วมในการช่วยเหลืองานราชการบ้าง ก็อาจจะเป็นทางออกที่ดี
       
       นอกจากนี้ยังมีตัวอย่างการจัดการสัตว์พิเศษในสภาพธรรมชาติในระดับโลกที่ชัดเจนก็เกิดขึ้นในหลายที่ เช่น การอนุรักษ์ฝูงวาฬเพชรฆาตซึ่งมีสมาชิกสีเผือก 2-3 ตัวในบริเวณหมู่เกาะคอมมานเดอร์ส ทางตะวันออกของคาบสมุทรคัมชัตกาของรัสเซียก็กระตุ้นในนักวิทยาศาสตร์และนักอนุรักษ์หาทางทางเชื่อมต่อเขตอนุรักษ์เพื่อขยายพื้นที่ดูแลวาฬพิเศษเหล่านี้ให้ใหญ่ขึ้น ส่วนการอนุรักษ์สิงโตขาวในแอฟริกาก็มีรูปแบบการจัดการต่างกันออกไป คือ เป็นการอนุรักษ์แบบกึ่งธรรมชาติ โดยมีการเพาะเลี้ยงลูกสิงโตสายพันธุ์หายากแล้วนำกลับไปปล่อยให้เติบโต แพร่ขยายพันธุ์ในพื้นที่ธรรมชาติอีกครั้ง
       
       อีกตัวอย่างที่น่ารักสำหรับการจัดการอนุรักษ์สัตว์เผือกภาคประชาชน คือ “สมาคมอนุรักษ์กระรอกเผือก หรือ Albino Squirrel Preservation Society” ซึ่งไม่ใช่เรื่องตลก แต่เป็นเรื่องจริงจังที่ตั้งขึ้นในปี 2001 โดยนักศึกษาใน University of Texas at Austin ซึ่งต้องการส่งเสริมการอนุรักษ์สิ่งมีชีวิตในมหาวิทยาลัย จึงตั้งสมาคมอนุรักษ์กระรอกเผือกซึ่งพบได้ในอเมริกา แคดานา และอังกฤษ
       
       จนปัจจุบันสมาคมดังกล่าวมีสมาชิกมากถึง 700 คน จากมหาวิทยาลัยชั้นนำของโลก เช่น University of Pennsylvania และ University of Cambridge ที่ร่วมทำกิจกรรมเพื่ออนุรักษ์กระรอกเผือกให้อยู่ในธรรมชาติได้อย่างสงบสุข เช่น การสำรวจประชากรประจำปี การระดมทุนเพื่อจัดการที่อยู่อาศัย ไปจนถึงถ่ายสารคดีส่งรายการดัง อย่าง animal planet
       
       อาจจะเป็นเรื่องตลกหากมองว่าทำไมนายปรี๊ดถึงกล้านำกระรอกเผือกตัวจ้อยมาเทียบกับพี่ช้างเผือกตัวใหญ่ แต่ประเด็นที่น่าสนใจ คือ หากอนุรักษ์ภาคประชาชนที่มีเรือธงตัวจิ๋วอย่างเจ้ากระรอกหางฟูยังทำได้ การอนุรักษ์ช้างเผือกที่เป็นสัญลักษณ์ของชาติและสถาบันพระมหากษัตริย์อาจมีพลังมากกว่าที่คิด แต่ภาครัฐต้องปรับตัวให้เกิดช่องว่างพอที่จะให้ประชาชนได้อาสาแสดงบทบาทบ้าง เพราะบางทีภาพการอนุรักษ์ที่เจ้าหน้าที่ต้องแบกปืน เฝ้าระวังพรานทั้งวันอาจมีแนวร่วมจากคนรุ่นใหม่ ได้แนวคิดดีๆ หรือมีเทคโนโลยีติดตามสัตว์ป่าที่ทันสมัยเข้ามาสนับสนุนได้มากขึ้น
       
       ถ้าถามความคิดเห็นส่วนตัวของนายปรี๊ดว่าคิดเห็นอย่างไรเกี่ยวกับเรื่องนี้ นายปรี๊ดของขอบอกในฐานะนักชีววิทยาว่า รู้สึกก็ดีใจที่คนส่วนใหญ่ เข้าใจ เห็นใจ และเห็นปัญหาที่เกิดขึ้นจริงกับสัตว์ป่า และคนทำงานอนุรักษ์ได้ชัดเจนมากขึ้น แต่นายปรี๊ดหวังให้อย่างน้อยการพบสัตว์พิเศษครั้งนี้น่าจะถือเป็นโอกาสสร้างเรือธงนำพาการจัดการองค์ความรู้ และการอนุรักษ์ช้างป่าจากทั้งภาครัฐและภาคประชาขน เพื่อให้พี่ช้างเค้าได้เดินท่องป่าปฏิบัติหน้าที่อย่างสมศักดิ์ศรี ไม่ต้องวิ่งหนีการไล่ล่า หรือแอบออกมาลักขโมยกินพืชผลการเกษตรอย่างน่าอดสูอย่างที่เป็นอยู่ก็พอ

ASTVผู้จัดการออนไลน์    28 เมษายน 2556

หน้า: 1 ... 4 5 [6] 7 8 ... 13