แสดงกระทู้

This section allows you to view all posts made by this member. Note that you can only see posts made in areas you currently have access to.


Messages - science

หน้า: 1 2 3 [4] 5 6 ... 13
47
  เอาใจคนรักศิลปะกันบ้างดีกว่า กับเรื่อง Art…Art ในมหาวิทยาลัยที่ Life on campus ได้พยายามเฟ้นหาพิพิธภัณฑ์และหอศิลป์สวยๆ จากรอบโลกมาให้ได้ชมกัน ส่วนใหญ่พิพิธภัณฑ์ศิลปะที่เกี่ยวข้องกับทางมหาวิทยาลัยมักจะตั้งอยู่ในอาคารที่มีความสำคัญทางด้านสถาปัตยกรรมที่โดดเด่นและสวยงาม ซึ่งแต่ละแห่งก็มีเอกลักษณ์เป็นของตัวเอง ถือเป็นทรัพยากรที่มีคุณค่าและมีประโยชน์อย่างยิ่งต่อนักเรียนนักศึกษา ที่ต้องการจะเรียนรู้เพิ่มเติมเกี่ยวกับศิลปะ ประวัติศาสตร์ และโบราณคดีต่างๆ ได้อย่างใกล้ชิด รวมไปถึงประชาชนทั่วไปที่สามารถเข้าไปเสพงานศิลปะเหล่านี้ได้ บางแห่งอาจเปิดให้เข้าชมโดยไม่ต้องเสียค่าใช้จ่ายอีกด้วย เอาเป็นว่าเกริ่นกันมาพอสมควรแล้ว อาร์ตตัวพ่อ-ตัวแม่ ทั้งหลายถ้าพร้อมแล้วไปชมกันเลย…
       
       1. Allen Memorial Art Museum

       พิพิธภัณฑ์ศิลปะเมโมเรียลอัลเลน (The Allen Memorial Art Museum) ในวิทยาลัยโอเบอร์ริน (Oberlin College)  ถือเป็นพิพิธภัณฑ์ทางด้านศิลปะที่มีชื่อเสียงที่สุดในประเทศสหรัฐอเมริกา และเป็นพิพิธภัณฑ์ศิลปะที่สวยที่สุดโลกอีกด้วย โดยพิพิธภัณฑ์แห่งนี้เริ่มก่อตั้งขึ้นในปี ค.ศ. 1917 เป็นอาคารที่สวยงามและมีคุณค่าด้านศิลปะเป็นอย่างมาก ออกแบบโดยสถาปนิคชื่อดัง “Cass Gilbert” งดงามสไตล์เรอเนสซอง ภายในจัดแสดงงานศิลปะมากกว่า 13,000 ชิ้น จากทั่วทุกมุมโลก ล้วนแล้วแต่เป็นผลงานที่มีชื่อเสียงและงานมาสเตอร์พีชของเหล่าศิลปินชื่อดังก้องโลก อาทิเช่น Toulouse-Lautrec (ตูลูซ-โลแทร็ก), Picasso (ปีกัสโซ) และ Red Grooms (เรด กรูมส์) เป็นต้น


       และที่แปลกนั่นก็คือ พิพิธภัณฑ์ศิลปะเมโมเรียลอัลเลนแห่งนี้ สามารถให้นักศึกษาในวิทยาลัยโอเบอร์ลิน ในโปรแกรม “Art Rental program” สามารถเช่ายืมผลงานศิลปะภายในพิพิธภัณฑ์ได้ 2 ชิ้นต่อหนึ่งภาคเรียน เพื่อเอาไปศึกษาผลงานศิลปะได้อย่างใกล้ชิด เหมือนกับการยืมหนังสือในห้องสมุดไปอ่านที่บ้านกันเลยทีเดียว โดยเปิดให้เข้าชมฟรีไม่เสียค่าใช้จ่ายใดๆ รวมถึงประชาชนทั่วไปก็สามารถเข้าชมได้เช่นกัน

       2. Bowdoin College Museum of Art

       พิพิธภัณฑ์ศิลปะโบดอยน์ (Bowdoin Museum of Art) แห่งวิทยาลัยโบดอยน์ (Bowdoin College) ประเทศสหรัฐอเมริกา แห่งนี้เริ่มต้นมาจากการได้รับบริจาคผลงานศิลปะและของสะสมส่วนตัวจาก James Bowdoin III และครอบครัวของเขา ในปี ค.ศ.1811 ส่วนตัวอาคารได้เริ่มสร้างอย่างจริงจังเมื่อปี ค.ศ. 1894 ออกแบบโดยสถาปนิกที่มีชื่อเสียงอย่าง “Charles Follen McKim” คนเดียวกับที่ออกแบบห้องสมุดบอสตัน (Boston Public Library) นั่นเอง

       ผลงานในพิพิธภัณฑ์แห่งนี้มีมากกว่า 20,000 ชิ้น เป็นศิลปะเก่าแก่ตั้งแต่ยุควัฒนธรรมเมดิเตอร์เรเนียน ยุคกรีกโบราณ โรม มาจนถึงปัจจุบัน รวมไปถึงภาพวาด เครื่องตกแต่งบ้าน พรม เครื่องประดับ และประติมากรรม นอกจากนี้พิพิธภัณฑ์แห่งนี้ยังเปิดบริการให้ประชาชนเข้าชมฟรี ส่วนใครจะช่วยบริจาคผลงานศิลปะหรือเงินค่าบำรุงพิพิธภัณฑ์แห่งนี้ก็สามารถทำได้ สอบถามข้อมูลได้จากเวปไซด์ของพิพิธภัณฑ์ได้เลย

       3. Bildmuseet Museum

       อีกหนึ่งหอศิลป์ที่มีตัวอาคารโดดเด่นและสวยงาม ได้รับการยกย่องว่าเป็นอาร์ตแกลอรี่ชั้นนำของประเทศสวีเดน นั่นก็คือ “Bildmuseet” ของมหาวิทยาลัยอูเมอา (Umea University) เป็นศูนย์กลางสำหรับศิลปะร่วมสมัยจัดแสดงนิทรรศการภาพวาดและสื่อภาพต่างๆ มากมาย อาทิเช่น ศิลปะการถ่ายภาพสถาปัตยกรรม การออกแบบ และรวมไปถึงประวัติศาสตร์ศิลปะของผลงานที่จัดแสดงอยู่ในหอศิลป์แห่งนี้ นอกจากงานแสดงแล้ว ยังมีการจัดบรรยาย สัมมนา ฉายภาพยนตร์ และฝึกอบรมนักเรียนนักศึกษาที่สนใจกิจกรรม ทำเวิร์คชอปเพื่อให้เกิดความคิดสร้างสรรค์และแรงบันดาลใจในงานศิลปะมากขึ้น

       อาคารพิพิธภัณฑ์ใหม่ออกแบบโดยสถาปนิกชาวเดนมาร์ก Henning Larsen เป็นตึกที่โดดเด่นและสวยงามมากจนได้รับรางวัลต่างๆ มากมาย เช่น รางวัลอาคารงดงามที่ตั้งอยู่ริมฝั่งแม่น้ำอูเม ในปี ค.ศ.2012, รางวัล “Council of Europe Museum Prize” และ “Swedish award Museum of the Year” ประจำปี 2014 รวมทั้งยังถูกเสนอชื่อให้เป็นหนึ่งในหอศิลป์และพิพิธภัณฑ์ศิลปะที่สวยที่สุดในโลกอีกด้วย

       4. The Ian Potter Museum of Art

       “The Ian Potter Museum” เป็นพิพิธภัณฑ์ศิลปะของมหาวิทยาลัยที่ใหญ่ที่สุดในประเทศออสเตรเลีย ก่อตั้งขึ้นในปี ค.ศ.1972 ภายในมหาวิทยาลัยเมลเบิร์น (University of Melbourne) ผลงานส่วนใหญ่เป็นของศิลปินร่วมสมัยชาวออสเตรเลีย และศิลปินพื้นเมือง มีทั้งผลงานศิลปะภาพวาด, ประติมากรรม, มัลติมีเดีย, เครื่องปั้นดินเผา และเซรามิก รวมแล้วกว่า 20,000 ชิ้น โดยมีเป้าหมายหลักในการก่อตั้งพิพิธภัณฑ์ศิลปะแห่งนี้นั่นคือ ใช้ศิลปะเป็นสื่อกลางในการเรียนการสอน และการเรียนรู้แบบเข้าถึง และให้เอื้อต่อการพัฒนาหลักสูตรในทุกคณะ และสาขาวิชา
       
       5. Weisman Art Museum

       พิพิธภัณฑ์ศิลปะไวส์แมน ของมหาวิทยาลัยมินิโซตา (University of Minnesota) ผลงานสุดทันสมัยของสถาปนิคชื่อดังชาวแคนนาดา “แฟรงก์ โอเวน เกห์รี (Frederick R. Weisman)” ที่ได้ฝากผลงานการออกแบบอาคารสวยงามชื่อดังหลายแห่ง สาเหตุที่ เกห์รี ได้รับเลือกให้เป็นสถาปนิกที่ออกแบบพิพิธภัณฑ์แห่งนี้ เพราะความสามารถในการเข้าใจภารกิจและความฝันของพิพิธภัณฑ์ได้เป็นอย่างดี เขาสามารถสร้างพิพิธภัณฑ์ที่เข้าถึงได้ พร้อมกับการทำงาน และดึงดูดใจในโลกของศิลปะ จนทำให้เขาได้รับรางวัล “การออกแบบสถาปัตยกรรมอันทรงเกียรติ” ในปี ค.ศ.1991 จากการออกแบบตึกพิพิธภัณฑ์ศิลปะไวส์แมน แห่งนี้อีกด้วย

       พิพิธภัณฑ์แห่งนี้ออกแบบ ก่อสร้าง และเปิดให้ทำการในปี ค.ศ. 2011 ภายในเก็บรวบรวมผลงานศิลปะ และโบราณวัตถุในยุคสมัยต่างๆ มากมาย เช่น ศิลปะอเมริกันสมัยใหม่, เฟอร์นิเจอร์จากประเทศเกาหลี, เซรามิกโบราณ และเครื่องปั้นดินเผาจากวัฒนธรรมอินเดียโบราณ ที่เป็นหนึ่งในไฮไลท์ของพิพิธภัณฑ์แห่งนี้ ผลงานทั้งหมดรวมแล้วกว่า 17,000 ชิ้น จัดแสดงตามสถานที่ต่างๆ รอบมหาวิทยาลัย นอกจากจะศึกษาศิลปะ และประวัติศาสตร์โบราณวัตถุจากพิพิธภัณฑ์แห่งนี้แล้ว นักศึกษายังสามารถศึกษาในสาขาวิชาการออกแบบและสถาปัตยกรรมได้จากพิพิธภัณฑ์แห่งนี้ได้เช่นกัน

       6. Tang Teaching Museum and Art Gallery

       พิพิธภัณฑ์เพื่อการศึกษาของวิทยาลัยสกิดมอร์ (Skidmore College) ประเทศสหรัฐอเมริกา ที่มีชื่อว่า “Tang Teaching Museum and Art Gallery” เป็นพิพิธภัณฑ์ที่จัดแสดงโชว์งานนิทรรศการเกี่ยวกับศิลปะ รวมทั้งยังเป็นแหล่งการศึกษาแบบสหวิทยาการให้กับนักศึกษาศิลปศาสตร์ในระดับปริญญาตรี ของวิทยาลัยแห่งนี้อีกด้วย โดยนักศึกษาและคณาจารย์จะเป็นผู้ร่วมกันดูแลและออกแบบงานนิทรรศการภายในพิพิธภัณฑ์ ทำหน้าที่เป็นภัณฑารักษ์ ออกแบบนิทรรศการชั่วคราวตลอดปี ไม่น้อยกว่า 12 นิทรรศการ


       “The Frances Young Tang Teaching Museum and Art Gallery” ของวิทยาลัยสกิดมอร์ เปิดทำการในเดือนตุลาคม ค.ศ. 2000 ออกแบบโดย Antoine Predock ภายในพื้นที่กว่า 39,000 ตารางฟุต ถือเป็นอาคารอภิมหาอลังการงานสร้างที่งดงามแห่งหนึ่ง พิพิธภัณฑ์และหอศิลป์แห่งนี้จะเปิดทำการวันอังคาร-วันอาทิตย์ แต่มีค่าใช้จ่ายในการเข้าชมเล็กน้อย นั่นคือ ผู้ใหญ่ $5.00 (ประมาณ 160 บาท), เด็กอายุมากกว่า 12 ปี $3.00 (ประมาณ 96 บาท), ผู้สูงอายุ $2.00 (ประมาณ 64 บาท), เด็กอายุต่ำกว่า 12 ปี และนักศึกษาของวิยาลัยสกิดมอร์เข้าชมฟรี
   
       7. Ashmolean Museum of Art and Archaeology

       พิพิธภัณฑ์ศิลปะแห่งมหาวิทยาลัยออกซ์ฟอร์ด (University of Oxford) มหาวิทยาลัยชั้นนำของประเทศอังกฤษแห่งนี้ ก่อตั้งขึ้นเมื่อปี ค.ศ.1908 จากการรวมตัวของสองสถาบันอันเก่าแก่นั่นก็คือ “The University Art Collection” และ “Ashmolean Museum (ดั้งเดิม)” ออกแบบและดีไซด์ให้เข้ากันอย่างลงตัว ของที่จัดแสดงอยู่ในพิพิธภัณฑ์ศิลปะแห่งนี้ มีอายุตั้งแต่ปี ค.ศ.1620 ในห้องเล็กๆ ชั้นบน (มีเพียงไม่กี่ภาพ) และ ปี ค.ศ. 1657 ได้มีการเพิ่มคอลเลคชั่นเหรียญของ อาร์ชบิชอป วิลเลียม ลอด และคอลเลคชั่นต่างๆ ก็ตามมาอีกมากมาย ทั้งวัตถุโบราณ ภาพวาดประวัติศาสตร์โบราณ จนมาถึงยุคปัจจุบัน

       อาคารใหม่ถูกออกแบบโดยสถาปนิกชื่อดังของกรุงลอนดอน Rick Mather ในการรวมสองสถาบันเข้าด้วยกันจนกลายเป็น “พิพิธภัณฑ์ศิลปะและโบราณคดี” แห่งมหาวิทยาลัยออกซ์ฟอร์ด มีพื้นที่จัดแสดงทั้งหมด 6 ชั้น แบ่งโซนต่างๆ ชัดเจน สวยงามโอ่อ่า ทันสมัยแต่ยังคงความงดงามแบบดั้งเดิม จุดเด่นอยู่ที่บันไดทางเดินที่สถาปนิกออกแบบมาได้อย่างสวยงาม เหมือนกับงานศิลปะ หากใครมีโอกาสได้ไปเที่ยวก็อย่าลืมแวะไปเยี่ยมชมพิพิธภัณฑ์ศิลปะและโบราณคดีแห่งนี้ รับรองว่าไม่ผิดหวังอย่างแน่นอน

       8.The Fitzwilliam Museum


       เมื่อพูดถึงมหาวิทยาลัยออกซ์ฟอร์ดไปแล้ว ก็คงจะพลาดไม่ได้กับอีกหนึ่งมหาวิทยาลัยชื่อดังแห่งเกาะอังกฤษ อย่างมหาวิทยาลัยเคมบริดจ์ (University of Cambridge) ที่มีพิพิธภัณฑ์ที่สวยงาม ของมหาวิทยาลัยที่ชื่อว่า “The Fitzwilliam Museum” เป็นอีกหนึ่งพิพิธภัณฑ์ที่มีความสำคัญ เพราะได้เก็บรวบรวมผลงานศิลปะอันทรงคุณค่าของประเทศอังกฤษไว้มากมาย ที่นอกจากจะมีความงดงามในด้านสถาปัตยกรรมตัวอาคารที่เก่าแก่แล้ว ของสะสมภายในยังเปี่ยมไปด้วยคุณค่า เริ่มก่อตั้งมาจากการบริจาคผลงานศิลปะส่วนตัวของ Richard FitzWilliam พร้อมด้วยเงินทุนในการก่อสร้างพิพิธภัณฑ์แห่งนี้ โดยตั้งชื่อพิพิธภัณฑ์เพื่อเป็นเกียรติแก่ผู้ที่ก่อตั้งจนกลายมาเป็นชื่อพิพิธภัณฑ์ “FitzWilliam” นั่นเอง

       ของสะสมอันทรงคุณค่าในพิพิธภัณฑ์แห่งนี้ประกอบได้ด้วย ภาพวาดต้นฉบับของศิลปินชื่อดัง Dutch Masters กว่า 144 ชิ้น, โน้ตเพลงที่เขียนด้วยลายมือของศิลปิน Handel Purcell และโน๊ตเพลงของนักแต่งเพลงชื่อดังอีกมากมาย นอกจากนั้นยังมีโบราณวัตถุ และประติมากรรมในยุค อียิปต์ กรีก และโรมัน สามารถให้นักศึกษาเข้ามาศึกษาทั้งศิลปะ โบราณคดี ประวัติศาสตร์ และสถาปัตยกรรม ทั้งหมดนี้ถูกรวมไว้ที่นี่
       
       9. Yale University Art Gallery and Museum

       อีกหนึ่งมหาวิทยาลัยชั้นนำระดับโลกอย่างมหาวิทยาลัยเยล (Yale University) ก็มีหอศิลป์และพิพิธภัณฑ์ที่สวยที่สุดในโลกตั้งอยู่ในมหาวิทยาลัยแห่งนี้ด้วย โดยปรับปรุงใหม่ล่าสุดขยายตัวพร้อมสิ่งอำนวยความสะดวกครบครัน เสร็จสมบูรณ์ไปเมื่อปี ค.ศ. 2012 นี่เอง ภายในมีผลงานที่จัดแสดงอยู่มากมาย อาทิเช่น ผลงานศิลปะแอฟริกัน, ภาพวาดและประติมากรรมอเมริกัน, เหรียญโบราณ และแบบจำลองวัฒนธรรมโบราณของชนพื้นเมืองชาวอเมริกัน นอกจากนี้ยังมีคอลเลคชั่นภาพวาดขนาดใหญ่ของอิตาลีในยุคต้นๆ และภาพวาดผลงานมาสเตอร์พีชของศิลปินในยุคฟื้นฟูวิทยาการของอิตาลีอีกด้วย

       10. The Oriental Institute

       พิพิธภัณฑ์ประวัติศาสตร์ “The Oriental Institute” แห่งมหาวิทยาลัยชิคาโก (University of Chicago) ก่อตั้งขึ้นเมื่อปี ค.ศ.1919 โดย เจมส์ เฮนรี่ เบรสท์ (James Henry Breasted) และยังเป็นชาวอเมริกันคนแรกที่ได้รับปริญญาเอกในสาขาวัฒนธรรมและวัตถุโบราณของอียิปต์ ได้เปิดทำการสอนวิชาอียิปต์ศึกษาที่มหาวิทยาลัยแห่งนี้เป็นครั้งแรกในสหรัฐอเมริกาอีกด้วย

       ซึ่งผลงานส่วนใหญ่ภายในพิพิธภัณฑ์แห่งนี้ จัดแสดงเกี่ยวกับประวัติศาสตร์และโบราณคดีของโลกตะวันออกกลาง ในช่วงปี ค.ศ.1920, 1930 และ 1940 โดยเป้าหมายของสถาบันโอเรียลเต็ล แห่งมหาวิทยาลัยชิคาโกแห่งนี้ คือ การเป็นศูนย์กลางของการศึกษาอารยธรรมโบราณของโลกตะวันออก ผ่านศิลปะจำนวนมากทั้ง เครื่องแกะสลัก เครื่องปั้นดินเผา เซรามิก ของใช้เครื่องตกแต่งบ้าน และเครื่องประดับอันทรงคุณค่าต่างๆ มากมาย       
 
       11. Mary & Leigh Block Museum of Art

       อีหนึ่งพิพิธภัณฑ์ศิลปะที่สวยที่สุดในโลก นั่นก็คือ “Mary & Leigh Block Museum of Art” ของมหาวิทยาลัยนอร์ทเวสเทิร์น (Northwestern University) ประเทศสหรัฐอเมริกา ภายในพิพิธภัณฑ์ศิลปะแห่งนี้ได้เก็บรวบรวมผลงานศิลปะเก่าแก่มากกว่า 5,000 ชิ้น มีทั้ง ภาพวาด, ภาพพิมพ์, รูปถ่าย และงานสิ่งทอ ตั้งแต่ศตวรรษที่ 15 จนถึงปัจจุบัน รวมถึงผลงานโครงสร้างทางด้านสถาปัตยกรรมในยุคโบราณที่ถูกถ่ายทอดไว้ในภาพวาดต่างๆ ไม่ว่าจะเป็น เขื่อน สะพาน และอาคารสาธารณะต่างๆ เท่านั้นยังไม่พอพิพิธภัณฑ์แห่งนี้ยังได้มีการจัดฉายภาพยนตร์ร่วมสมัยและคลาสิคให้ได้ชมกันอย่างต่อเนื่อง หากใครสนใจก็สามารถดูโปรแกรมการจัดฉายภาพยนตร์เรื่องต่างๆ ผ่านทางเวปไซด์ของพิพิธภัณฑ์แห่งนี้ได้เลย เรียกได้ว่าครบรสทุกความบันเทิงกันเลยทีเดียว

       12. Vanderbilt University Fine Arts Museum

       พิพิธภัณฑ์ศิลปะของมหาวิทยาลัยแวนเดอร์บิลท์ (Vanderbilt University) ตั้งอยู่ที่เมืองแนชวิลล์ รัฐเทนเนสซี ประเทศสหรัฐอเมิรกา เกิดขึ้นการบริจาคผลงานศิลปะและภาพเขียนจากภาคเอกชน ปัจจุบันพิพิธภัณฑ์ศิลปะแห่งนี้ได้รวบรวมผลงานจัดแสดงกว่า 6,000 ชิ้น ตั้งแต่ต้นปี ค.ศ.1960 และงานภาพพิมพ์ที่มีชื่อเสียงกว่า 105 ชิ้น จากการบริจาคของ "แอนนนา ฮอยต์ (Anna Hoyt)" ไม่ว่าจะเป็นผลงานศิลปะต้นฉบับจากศิลปินในยุโรป ศิลปินร่วมสมัยที่มีชื่อเสียงโด่งดังอย่างเช่น  Arion Press, Frank O’Hara, Louis Bourgeois และอื่นๆ อีกมากมายก็ถูกรวบรวมและจัดแสดงให้ประชาชนได้ชมกัน ณ พิพิธภัณฑ์แห่งนี้ ซึ่งนอกจากศิลปะภาพวาดแล้ว ยังได้เก็บรวบรวมศิลปะวัตุในยุคอียิปต์โบราณ เครื่องเซรามิก เหรียญบรอนซ์ และประติมากรรมในยุคกรีกโบราณอีกด้วย

       นอกจากจะใช้เป็นสถานที่ในการจัดงานแสดงศิลปะแล้ว Vanderbilt University Fine Arts Museum ยังใช้เป็นเป็นแหล่งศึกษาข้อมูลในด้านต่างๆ ทั้งศิลปะ และประวัติศาสตร์ให้กับเหล่าบรรดานักศึกษาได้เป็นอย่างดี รวมถึงผลงานของนักศึกษาก็สามารถนำมาจัดแสดงให้กับประชาชนทั่วไปได้เข้าชม พร้อมสร้างรายได้ด้วยการขายผลงานศิลปะได้อีกทางหนึ่ง เรียกว่าครบวงจร สะสม ศึกษา จัดแสดง และเป็นสถานที่ขายผลงานศิลปะได้อีก เข้าชมฟรีไม่เสียค่าใช้จ่ายใดๆ ทุกวันอังคาร-วันอาทิตย์
       
       13. Smart Museum of Art

       อีกหนึ่งพิพิธภัณฑ์ศิลปะสหวิทยาการ “Smart Museum of Art” แห่งมหาวิทยาลัยชิคาโก (University of Chicago) สหรัฐอเมริกา ก่อตั้งขึ้นเมื่อปี 1974 จัดแสดงผลงานศิลปะที่หลากหลายทั้ง Asian Art, Europe Art, Contemporary Art และ Modern Art และ Design เรียกได้ว่าเป็นแหล่งข้อมูลอย่างดีให้กับนักศึกษาในมหาวิทยาลัยชิคาโก ที่กำลังศึกษาหรือสนใจในวิชาประวัติศาสตร์ศิลปะ สถาปัตยกรรม รวมถึงประวัติศาสตร์และโบราณคดีได้อีกด้วย ตัวอาคารถูกออกแบบได้อย่างโดดเด่นและสวยงามจากสถาปนิกชื่อดัง Edward Larrabee Barnes ที่ได้ออกแบบทั้ง Smart Museum of Art และ Cochrane-Woods Art Center ในปี 1970 ภายในได้เก็บรวบรวมผลงานศิลปะที่เก่าแก่มาก มีอายุมากกว่าห้าพันปีเลยทีเดียว

       นอกจากงานศิลปะที่เก่าแก่แล้ว ยังมีไฮไลท์เป็นภาพวาดสมัยใหม่จากศิลปินชื่อดัง เช่น Mark Rothko, Arthur Dove และ Matta ให้ได้ชมกันอีกด้วย เข้าชมฟรีไม่เสียค่าใช้จ่ายใดๆ ตั้งแต่วันอังคาร-วันอาทิตย์ แต่ก็มีกฎข้อห้ามในการเข้าชมพิพิธภัณฑ์ค่อนข้างจะเยอะอยู่สักหน่อย เช่น ต้องตรวจกระเป๋าและสัมภาระก่อนเข้าชม ห้ามเอามือแตะงานศิลปะ อาหาร น้ำและหมากฝรั่งห้ามเด็ดขาด หากนักศึกษาต้องการจะเข้าไปสเก็ตภาพต้องเป็นดินสอเท่านั้น (ถ้าไม่มีขอที่เคาท์เตอร์ได้) ปิดเสียงโทรศัพท์ก่อนเข้าชม อันนี้คล้ายเข้าโรงภาพยนตร์กันเลยทีเดียว โดยพิพิธภัณฑ์แห่งนี้จะเคร่งครัดเรื่องการถ่ายรูปมากจะต้องขออนุญาตก่อนทุกครั้ง     
         
       14. Princeton University Art Museum

       พิพิธภัณฑ์ศิลปะแห่งมหาวิทยาลัยพรินซ์ตัน (Princeton University Art Museum) ตั้งขึ้นในปี ค.ศ.1882 เพื่อเป็นสถานที่ศึกษาประวัติศาสตร์ศิลปะของมหาวิทยาลัย เริ่มต้นมาจากการบริจาคผลงานศิลปะให้กับพิพิธภัณฑ์ศิลปะแห่งนี้ จนปัจจุบันมีผลงานที่จัดแสดงอยู่มากกว่า 72,000 ชิ้นด้วยกัน ส่วนใหญ่เป็นงานศิลปะเก่าแก่ตั้งแต่ยุคเมดิเตอร์เรเนียน วัฒนธรรมกรีกโบราณ, โรม, ไบเซนไทน์, สิ่งประดิษฐ์ในอียิปต์, ศิลปะจากประเทศจีน และศิลปะจากอเมริกาเหนือและใต้ เป็นต้น

       พิพิธภัณฑ์แห่งนี้จัดตั้งขึ้นเพื่อวัตถุประสงค์เป็นสถานที่จัดแสดงงานศิลปะเพื่อให้ประชาชนได้เข้ามาชม และเป็นสถานที่สำหรับการเรียนการสอนประวัติศาสตร์ศิลปะให้กับนักศึกษาในมหาวิทยาลัยพรินซ์ตันแห่งนี้ ภาพวาดกว่า 600 ชิ้น รวมทั้งประติมากรรมรอบๆ บริเวณมหาวิทยาลัยที่แสดงถึงความโดดเด่นและเป็นเอกลักษณ์ที่มีมากกว่า 10 ชิ้น พร้อมทั้งเปิดเป็นแหล่งการศึกษาให้กับเด็กนักเรียนในระดับต่างๆ ได้เข้ามาศึกษาและเยี่ยมชมพร้อมทั้งทำกิจกรรมต่างๆ ร่วมกับทางพิพิธภัณฑ์ได้อีกด้วย เปิดทำการวันอังคาร-วันอาทิตย์ เข้าชมโดยไม่เสียค่าใช้จ่ายใดๆ         
       
       15. The Rose Art Museum

The Rose Art Museum of Brandeis University
       “The Rose Art Museum” ได้ชื่อว่าเป็นพิพิธภัณฑ์ศิลปะสมัยใหม่ของมหาวิทยาลัยแบรนดิส (Brandeis University) พิพิธภัณฑ์แห่งนี้ก่อตั้งขึ้นเมื่อ ปี ค.ศ.1961 ในนามของผู้บริจาค เอ็ดเวิร์ธ และ เบอร์ธา โรส เพื่อเป็นเกียรติแก่ผู้ก่อตั้งและบริจาคผลงาน จึงเป็นที่มาของชื่อ "Rose" นั่นเอง ผลงานที่เก็บรวมรวบไว้ในพิพิธภัณฑ์ศิลปะแห่งนี้มีมากกว่า 8,000 ชิ้น ส่วนใหญ่เป็นผลงานของศิลปินจากอเมริกาในปี 1960-1970 และครอบคลุมไปจนถึงกลางศตวรรษที่ 20 และปัจจุบัน ร่วมถึงผลงานของศิลปินร่วมสมัยชื่อดังอีกมากมายที่จัดแสดงอยู่ในพิพิธภัณฑ์

       พิพิธภัณฑ์ในปัจจุบันประกอบด้วย 3 อาคารที่แตกต่างกัน คือ แกลอรี่เดิมที่สร้างโดย Max Harrison Abramovitz ในปี 1961, อาคารอิฐบล็อกที่สร้างในปี 1973 และ อาคาร “Lois Foster Wing” ที่สร้างใหม่ในปี 2001 แม้ว่าทั้ง 3 อาคารในพิพิธภัณฑ์แห่งนี้จะความหลากหลาย ตรงตามคอนเซปที่ได้วางไว้นั่นก็คือ การรวมอาคารเก่าและใหม่เข้าด้วยกันภายใต้ความสุนทรีย์ของสภาพแวดล้อมที่มีอยู่ พร้อมสิ่งอำนวยความสะดวกมากมาย แค่ฟังคอนเซปของตัวอาคารก็รู้แล้วว่าอาร์ต แค่ไหน...
       

ASTVผู้จัดการออนไลน์    2 กันยายน 2557

48
ถ้าพูดถึงอุตสาหกรรมภาพยนตร์ หลายคนต้องนึกถึง “ฮอลลิวูด” ที่ประเทศอเมริกาแน่นอน เพราะที่นี่มีชื่อเสียงด้านการผลิตและกำกับภาพยนตร์ รวมถึงเป็นแหล่งผลิตนักแสดงคุณภาพคับจอ ออกสู่สาธารณะมากมาย จึงไม่แปลกใจเลยว่าทำไมวงการภาพยนตร์ของสหรัฐอเมริกาถึงถูกจับตามองและมีชื่อเสียงก้องโลกขนาดนี้ ไม่ว่าจะเป็นหนังแนวแอคชั่น คอมมาดี้ โรแมนติก หรือ ไซไฟ ต้องยกให้เค้าเลยจริงๆ Life on Campus จึงขอรวบรวม 10 สถาบันสอนภาพยนตร์ที่ดีที่สุดในสหรัฐอเมริกา ปี 2014 มาให้คอหนังได้ติดตามกัน มาดูกันดีกว่าว่าเหล่าผู้กำกับและนักแสดงคนดังจบจากที่ไหนกันบ้าง..
       
       1. University of California , Los Angeles

        มหาวิทยาลัยแคลิฟอร์เนีย ลอสแองเจลิส หรือที่รู้จักกันในชื่อ UCLA ตั้งอยู่เขตเวสต์วูต มหานครลอสแอนเจลิส ประเทศสหรัฐอเมริกา เป็นมหาวิทยาลัยที่เก่าแก่ที่สุดเป็นอันดับ 2 ในระบบมหาวิทยาลัยแคลิฟอร์เนีย ได้รับการยกย่องว่าเป็นสถาบันชั้นนำด้านการเรียนรู้ระดับชาติ และมีชื่อเสียงในด้านโรงเรียนการละคร ภาพยนตร์และโทรทัศน์ มหาวิทยาลัยแห่งนี้มีจุดเด่นตรงที่มีคลังข้อมูลด้านภาพยนตร์และโทรทัศน์ที่ใหญ่ที่สุดในโลก มีภาพยนตร์และรายการโทรทัศน์มากกว่า 220,000 เชียวล่ะ เพราะมีคลังข้อมูลที่ใหญ่ขนาดนี้ใครๆ ก็อยากมาเรียนที่นี่กัน ซึ่งเนื้อหาที่เรียนจะเน้นด้านทฤษฏี ปฏิบัติ และการวิจารณ์ภาพยนตร์
       
        ด้วยสถานที่ตั้งอยู่ใกล้กับฮอลลิวูดและมีโรงเรียนการละครที่มีชื่อเสียง จึงทำให้มหาวิทยาลัยแคลิฟอร์เนีย ลอสแองเจลิส ไดัรับความสนใจให้เป็นสถานที่ถ่ายทำภาพยนตร์มาหลาย 10 ปี ภาพยนตร์ที่เคยถ่ายทำที่นี่ได้แก่ The Nutty Professor (1995), Erin Brockovich(2000), How High (2001), Legally Blonde (2001), American Pie 2 (2001) National Lampoon's Van Wilder (2002), Old School (2003), และBring It On Again (2004) ไม่เว้นแต่ภาพยนตร์บอลลิวูดเรื่อง My Name is Khan ก็ถ่ายทำที่นี่ รวมไปถึงรายการโทรทัศน์หลายรายการเช่น Greek ด้วย
       
       ศิษย์เก่าที่โด่งดังและมีชื่อเสียงด้านการกำกับภาพยนตร์และการแสดง
       
       Francis Ford Coppola (กำกับหนัง Godfather)
       Tim Robbins (กำกับหนัง Dead Man Walking)
       Justin Lin (กำกับหนัง Fast and Furious)
       David Silverman (กำกับหนังการ์ตูน The Simpsons)
       Darren Bennett Star (กำกับหนัง Sex and the City)
       Gregor "Gore" Verbinski (กำกับหนัง The Pirates of the Caribbean, The Ring, Rango)
       
       2. Yale University

        หลายคนคงรู้จักนักแสดงเจ้าบทบาทอย่าง Jodie Foster เจ้าของสองรางวัลตุ๊กตาทอง ที่มีผลงานการแสดงอันโดดเด่นและประทับใจผู้ชมจนถึงทุกวันนี้ Jodie Foster จบการศึกษาเกียรนิยม จากมหาวิทยาลัยเยล ในปี 1985 ซึ่งมหาวิทยาลัยแห่งนี้ ถือเป็นมหาวิทยาลัยที่เก่าแก่เป็นอันดับ 3 ของสหรัฐอเมริกา และยังเป็นหนึ่งในมหาวิทยาลัยชั้นนำจากการจัดอันดับของมหาวิทยาลัยระดับชาติ ที่ได้รับการยอมรับว่าเป็นมหาวิทยาลัยที่มีคุณภาพแห่งหนึ่ง
       
        มหาวิทยาลัยเยลเป็นที่รู้จักและมีชื่อเสียงในหลักสูตรด้านการแสดงและดนตรี ส่วนหลักสูตรภาพยนตร์นั้นจะเน้นเรียนในเรื่องของประวัติศาสตร์ ทฤษฏี และบทวิจารณ์ภาพยนตร์ นอกจากนี้นักศึกษาวิชาภาพยนตร์ยังได้รับการอนุญาตให้มีส่วนร่วมในการพัฒนาการเรียนการสอนตามความสนใจ ถือเป็นการเปิดโอกาสให้เด็กมีส่วนร่วมในการพัฒนาการศึกษาอีกทางหนึ่งด้วย แต่จะต้องได้รับการอนุมัติจากคณะกรรมการภายในภาคซะก่อน และในการเรียนปีสุดท้ายนั้น นักศึกษาวิชาภาพยนตร์จะต้องทำโครงงานหรือรายงาน โดยการนำความรู้และความชำนาญที่เรียนมาตลอดหลายปีในหลักสูตรภาพยนตร์ให้สำเร็จลุล่วง จึงจะถือว่าจบหลักสูตร
       
       ศิษย์เก่าที่โด่งดังและมีชื่อเสียงด้านการกำกับภาพยนตร์และการแสดง
       
       Jodie Foster (นักแสดง Panic Room, Flightplan, Inside Man)
       Jennifer Lynn Connelly (นักแสดง A Beautiful Mind)
       Edward Harrison Norton (นักแสดงและกำกับเรื่อง Red Dragon, The Incredible Hulk)
       Claire Danes (นักแสดง Romeo and Juliet, stardust)
       
       3. University of Pennsylvania

        การเข้าไปทำงานในบริษัทภาพยนตร์ชั้นนำก้องโลกอย่าง DreamWorks, CBS and Warner Home Video และ Columbia Pictures คงเป็นความฝันของนักศึกษาวิชาภาพยนตร์หลายคน รวมทั้งคนธรรมดาอย่างเราๆ เพราะบริษัทเหล่านี้ออกจะมีชื่อเสียงและผลิตแต่ภาพยนตร์คุณภาพทั้งนั้น แต่รู้หรือไม่ว่าศิษย์เก่าที่มหาวิทยาลัยเพนซิลเวเนียจำนวนมากได้นั่งเก้าอี้ทำงานในบริษัทเหล่านี้ มหาวิทยาลัยเพนซิลเวเนีย ตั้งอยู่ที่เมืองฟิลเดลเฟีย รัฐเพนซิลเวเนีย ประเทศสหรัฐอเมริกา ถือว่าเป็นมหาวิทยาลัยที่เก่าแก่เป็นอันดับ 4 ของสหรัฐอเมริกา เป็นสถาบันที่มีชื่อทางด้านการเรียนรู้
       
        มหาวิทยาลัยแห่งนี้ถือได้ว่าเป็นผู้บุกเบิกการเรียนภาพยนตร์ที่แรกๆ เลยก็ว่าได้ หลักสูตรภาพยนตร์ของมหาวิทยาลัยเพนซิลเวเนีย จะเน้นเรียนด้านทฤษฏีและการวิจารณ์ภาพยนตร์ และยังครอบคลุมไปถึงการผลิตและการเขียนบทภาพยนตร์อีกด้วย นักศึกษาที่นี่ยังได้รับโอกาสให้ไปศึกษาที่ต่างประเทศ ซึ่งช่วยให้นักศึกษาได้เก็บเกี่ยวประสบการณ์อย่างเต็มที่เลยล่ะ
       
       ศิษย์เก่าที่โด่งดังและมีชื่อเสียงด้านการกำกับภาพยนตร์และการแสดง
       
       Elizabeth Banks (นักแสดง The Hunger Games)
       Wendy Finerman (กำกับหนัง Forrest Gump)
       Mark Waters (กำกับหนัง Mean Girls)
       Rick Yune (นักแสดง Olympus Has Fallen, The Man with the Iron Fists)
       
       4. University of California Berkeley

        มหาวิทยาลัยแคลิฟอร์เนีย เบิร์กลีย์ ตั้งอยู่ที่เมืองซานฟรานซิสโก รัฐแคลิฟอร์เนีย ประเทศสหรัฐอเมริกา ติดอันดับมหาวิทยาลัยที่ดีที่สุดอันดับที่ 6 จากการจัดอันดับมหาวิทยาลัยทั่วโลก ส่วนศิษย์เก่าที่ตอนนี้กลายเป็นนักแสดงมีชื่อเสียงโด่งดังอย่าง Christopher Whitelaw แสดงหนังในเรื่อง Star Trek Into Darkness ก็จบจากที่นี่ด้วยเหมือนกัน
       
        มหาวิทยาลัยแห่งนี้มีชื่อเสียงด้านวิชาภาพยนตร์ ซึ่งหลักสูตรจะเน้นการวิเคราะห์ทางทฤษฏี และวิเคราะห์ประวัติศาสตร์ภาพยนตร์ในด้านมนุษยธรรมและการศึกษาแบบสหวิทยาการ คือ การเรียนการสอนลักษณะที่เอาความรู้มาโยงใยให้เห็นความเชื่อมโยง ไม่ใช่การสอนแบบแยกส่วน นอกจากนี้ยังให้นักศึกษาลงมือปฏิบัติเป็นผู้กำกับจริงอีกด้วย รวมไปถึงการฝึกงานกับบริษัทภาพยนตร์และบริษัทผลิตวีดีโอชั้นนำของประเทศ
       
       ศิษย์เก่าที่โด่งดังและมีชื่อเสียงด้านการกำกับภาพยนตร์และการแสดง
       
       John Yohan Cho (นักแสดงเรื่อง American Pie, Star trek)
       Christopher Whitelaw
        (นักแสดงเรื่อง The Princess Diaries 2: Royal Engagement, Star Trek Into Darkness)
       Scott  Trimble
       (ฝ่ายจัดหาสถานที่ถ่ายทำภาพยนตร์เรื่อง Iron Man 2, Transformers , Mission: Impossible 3)
       
       5. Columbia University

        นักแสดงหนุ่มขวัญใจวัยรุ่นอย่าง James Edward Franco นักแสดงนำในเรื่อง Rise of the Planet of the Apes ก็เป็นศิษย์เก่าที่นี่เหมือนกัน โดยจบสาขาการเขียน (MFA writing program) ในปี 2010 ซึ่งมหาวิทยาลัยโคลัมเบีย ถือเป็นมหาวิทยาลัยแห่งแรกของมหานครนิวยอร์ก มีความเก่าแก่เป็นอันดับที่ 5 ของสหรัฐอเมริกา และยังได้รับการยอมรับว่าเป็นหนึ่งในสถาบันสอนภาพยนตร์ชั้นนำระดับประเทศ ซึ่งหลักสูตรวิชาภาพยนตร์จะเน้นเรียนในเรื่องประวัติศาสตร์ภาพยนตร์ ทฤษฏี และการวิจารณ์ภาพยนตร์ มหาวิทยาลัยโคลัมเบียยังเปิดโอกาสให้นักศึกษาได้ฝึกงานกับบริษัทภาพยนตร์ชั้นนำ และให้โอกาสในการมีส่วนร่วมถ่ายทำภาพยนตร์อีกด้วย
       
       ศิษย์เก่าที่โด่งดังและมีชื่อเสียงด้านการกำกับภาพยนตร์และการแสดง
       
       William "Bill" Condon
       (กำกับและเขียนบท Gods and Monsters, Chicago, Kinsey, Dreamgirls, The Twilight Saga: Breaking Dawn part1-2)
       James Edward Franco (นักแสดง Spider-Man, 127 Hours, Rise of the Planet of the Apes)
       Maggie Gyllenhaal (นักแสดง The Dark Knight, White House Down)
       Famke Beumer Janssen (นักแสดง the X-Men, Taken1-2)
       
       6. Cornell University

        มหาวิทยาลัยคอร์แนล ตั้งอยู่ที่รัฐนิวยอร์ก ประเทศสหรัฐอเมริกา มหาวิทยาลัยคอร์แนลถูกกล่าวขานมานานว่าเป็นมหาวิทยาลัยที่มีคุณภาพทางการศึกษาที่ยอดเยี่ยม ซึ่งเห็นได้จากศิษย์เก่าที่ประสบความสำเร็จจากมหาวิทยาลัยแห่งนี้ นักศึกษาที่นี่สามารถเลือกเรียนวิชาภาพยนตร์ได้โดยไม่ต้องเลือกเป็นวิชาเอก ซึ่งวิชาเอกจะเลือกได้เมื่อขึ้นปี 2 เพราะมหาวิทยาลัยแห่งนี้อยากให้นักศึกษาใช้เวลาในการตัดสินใจเลือกวิชาที่ตัวเองชอบจริงๆ
       
        หลักสูตรการผลิตภาพยนตร์นี้ จะเน้นไปที่การมีความคิดสร้างสรรค์และความสามารถในการเรียนรู้เทคนิคต่างๆ ในการถ่ายทำภาพยนตร์ เช่น การแก้ไขเสียงโดยการใช้ซอฟท์แวร์ หรือการตัดต่อวีดีโอ นอกจากนี้นักศึกษาปีสุดท้ายจะต้องทำโครงงานภาพยนตร์ส่งจึงจะถือว่าสำเร็จการศึกษา
       
       ศิษย์เก่าที่โด่งดังและมีชื่อเสียงด้านการกำกับภาพยนตร์และการแสดง
       
       Ronald Dowl Moore (ผู้เขียนบท Star Trek)
       Christopher D'Olier Reeve (ฝ่ายภาพเคลื่อนไหวการ์ตูน superhero Superman.)
       
       7. New York University

        มหาวิทยาลัยนิวยอร์ก ประเทศสหรัฐอเมริกา ถือเป็นมหาวิทยาลัยเอกชนที่มีขนาดใหญ่ที่สุดของประเทศ และมีชื่อเสียงทางวิชาการมากมาย โดยเฉพาะอย่างยิ่ง Tisch School of Arts สาขาวิชาภาพยนตร์ที่มีความเก่าแก่มากที่สุด และเป็นมหาวิทยาลัยที่รวมเหล่าคนดังวงการบันเทิงไว้มากมาย ไม่ว่าจะเป็น Martin Scorsese, Oliver Stone และ Vince Gilligan ล้วนจบจากมหาวิทยาลัยที่นี่ทั้งนั้น และที่เป็นจุดเด่นสุดๆของมหาวิทยาลัยแห่งนี้คือ คลาสวิชากำกับภาพยนตร์ โดยมีนักแสดงหนุ่มสุดหล่ออย่าง James Edward Franco เป็นอาจารย์สอนด้วยตัวเองเลย น่าอิจฉานักศึกษาวิชาภาพยนตร์มหาวิทยาลัยที่นี่จริงๆ
       
        นอกจากมหาวิทยาลัยแห่งนี้จะมีชื่อเสียงโด่งดังทางด้านการแสดงและการภาพยนตร์ระดับโลกแล้ว ยังเป็นอีกหนึ่งสถาบันที่มีศิษย์เก่าจำนวนมากได้รับรางวัลออสการ์มากที่สุดในประเทศสหรัฐอเมริกา และยังมีหลักสูตรพิเศษที่เปิดโอกาสให้นักศึกษาได้ไปเรียนต่างประเทศ อย่างกรุงลอนดอน ประเทศอังกฤษ , เมืองปราก สาธารณรัฐเช็ก, มหานครเซี่ยงไฮ้ ประเทศจีน และเมืองดับลิน สาธารณรัฐไอร์แลนด์ รวมไปถึงมีการฝึกงานในช่วงปิดเทอมด้วย
       
       
       ศิษย์เก่าที่โด่งดังและมีชื่อเสียงด้านการกำกับภาพยนตร์และการแสดง
       
       Michael Dougherty (นักเขียนบท Superman Returns, X-Men: Apocalypse ในปี 2016)
       Hannah Dakota Fanning (นักแสดง I Am Sam, Man on Fire, The Twilight Saga)
       Regina Hall (นักแสดง Scary Movie )
       Martin Scorsese (ผู้กำกับ The Wolf of Wall Street, Shutter Island, Hugo) รวมถึงเป็นผู้ก่อตั้ง World Cinema Foundation
       James Edward Franco (นักแสดง Spider-Man, 127 Hours, Rise of the Planet of the Apes)
       
       8. University of Southern California

        มหาวิทยาลัยเซาเทิร์น แคลิฟอร์เนียมีความโดดเด่นในเรื่องเทคนิคการผลิต อุปกรณ์เครื่องมือ และสิ่งอำนวยความสะดวกต่างๆ นอกจากนี้ยังให้นักศึกษาเรียนรู้ที่จะสร้างหนังด้วยตัวเอง โดยการลงมือปฏิบัติจริงโดยการเขียนต้นฉบับบทภาพยนตร์ เป็นช่างกล้อง และผู้กำกับ
       
        มหาวิทยาลัยเซาเทิร์น แคลิฟอร์เนีย เป็นมหาวิทยาลัยที่เก่าแก่ที่สุดในรัฐแคลิฟอร์เนีย ตั้งอยู่ที่เมืองลอสแอนเจลิส ประเทศสหรัฐอเมริกา มีชื่อเสียงในสาขาวิชาภาพยนตร์และภาพนิ่ง โดยเน้นศึกษาด้านแนวคิด ทฤษฏี ศิลปะ และการสื่อความหมายของภาพนิ่งและภาพยนตร์ นักศึกษาที่เรียนสาขานี้จะสามารถแสดงความคิดสร้างสรรค์จากจินตนาการที่มีอยู่ ผลิตภาพยนตร์ออกมาอย่างมีคุณภาพและทันสมัย
       
        ศิษย์เก่าที่โด่งดังและมีชื่อเสียงด้านการกำกับภาพยนตร์และการแสดง
       
       George Lucas (กำกับหนัง Star Wars)
       Ron Howard (กำกับหนัง A Beautiful Mind )
       Jon Landau (กำกับหนัง Titanic, Avatar)
       Lee Unkrich (กำกับหนัง Toy Story 3)
       
       9. University of Chicago

        มหาวิทยาลัยชิคาโก เป็นอีกหนึ่งมหาวิทยาลัยที่มีการติดต่อขอใช้สถานที่ถ่ายทำภาพยนตร์ รวมไปถึงเนื้อเรื่องและตัวละครก็อิงมาจากการเป็นศาสตราจารย์ หรือศิษย์เก่า ในมหาวิทยาลัยชิคาโกด้วย เช่น เรื่อง Raiders of the lost Ark (Indiana Jones, 1981), When harry met Sally (1989) และThe core (2003), Proof (2005)
       
        มหาวิทยาลัยชิคาโก ตั้งอยู่ใจกลางเมืองชิคาโก รัฐอิลลินอยส์ ประเทศสหรัฐอเมริกา ติดอันดับมหาวิทยาลัยที่ดีที่สุดอันดับที่ 14 จากการจัดอันดับมหาวิทยาลัยทั่วโลก ถือเป็นอีกหนึ่งมหาวิทยาลัยที่ผลิตผู้ได้รับรางวัลโนเบลมากกว่า 80 คน ซึ่งมีจำนวนมากที่สุดในสหรัฐอเมริกา มหาวิทยาลัยแห่งนี้มีชื่อเสียงด้านสาขาวิชาภาพยนตร์ โดยหลักสูตรที่นี่จะเน้นศึกษาสุนทรียศาสตร์ของภาพยนตร์ วัฒนธรรม และประเภทของภาพยนตร์
       
       10. Vanderbilt University

        มหาวิทยาลัยแวนเดอร์บิลท์ ตั้งอยู่เมืองแนชวิลล์ รัฐเทนเนสซี ประเทศสหรัฐอเมริกา มีชื่อเสียงด้านวิชาภาพยนตร์ โดยหลักสูตรที่นี่จะเน้นศึกษาเกี่ยวกับวัฒนธรรม ประวัติศาสตร์ ทฤษฏี และสุนทรียศาสตร์
        ส่วนวิชาบังคับจะมีวิชาทฤษฏีภาพยนตร์ การสื่อสาร วัฒนธรรมและสังคม ศิลปะในการใช้ถ้อยคำ ประวัติศาสตร์ศิลปะ และภาพยนตร์อเมริกา รวมไปถึงวิชาเฉพาะอย่างวิชาปรัชญาและจิตวิทยา วิชาเอเชียศึกษา ศิลปะ และวิชายุโรปศึกษา เป็นต้น
       
        นอกจากนี้แล้วนักศึกษายังต้องเข้าร่วมเทศกาลหนังของมหาวิทยาลัย และร่วมส่งผลงานภาพยนตร์ของตนเองเข้าประกวด รวมไปถึงมีการฝึกงานผ่าน Vandy-in-Hollywood ซึ่งเป็นองค์กรศิษย์เก่าที่ไม่แสวงหากำไร โดยจัดตั้งขึ้นเพื่อให้นักศึกษามหาวิทยาลัยแวนเดอร์บิลท์ได้รับโอกาส และสั่งสมประสบการณ์การทำงานด้านภาพยนตร์ เพื่อเตรียมความพร้อมเข้าสู่วงการบันเทิงนั่นเอง

 ASTVผู้จัดการออนไลน์    5 กันยายน 2557

49
ประกาศผลสดๆ ร้อนๆ จากสำนักการจัดอันดับมหาวิทยาลัยโลกจากประเทศอังกฤษอย่าง QS World University Rankings 2014/15 (Quacquarelli Symonds) ทำให้เราทราบผลอันดับมหาวิทยาลัยที่ดีที่สุดในโลก, มหาวิทยาลัยที่ดีที่สุดในเอเชีย และรวมไปถึง อันดับมหาวิทยาลัยที่ดีที่สุดในประเทศไทยอีกด้วย มีมหาวิทยาลัยใดบ้างไปติดตามกัน...
       
       10 อันดับมหาวิทยาลัยที่ดีที่สุดในโลก ประจำปี 2014/15 ได้แก่
       
       อันดับ 1 : Massachusetts Institute of Technology (MIT)
       อันดับ 2 : University of Cambridge
       อันดับ 2 : Imperial College London
       อันดับ 4 : Harvard University
       อันดับ 5 : University of Oxford
       อันดับ 5 : UCL (University College London)
       อันดับ 7 : Stanford University
       อันดับ 8 : California Institute of Technology (Caltech)
       อันดับ 9 : Princeton University
       อันดับ 10 : Yale University
       
       โดยผลจาก 10 อันดับของมหาวิทยาลัยที่ดีที่สุดในโลกในปีนี้ อันดับ 1 ตกเป็นของ MIT แชมป์เก่า 3 สมัย ยังคงมาตรฐานเหมือนเดิม และในปีนี้มีอันดับ 2 ร่วมกันถึง 2 มหาวิทยาลัยคือ University of Cambridge และ Imperial College London ทำผลงานได้ดีในปีนี้ จึงทำให้อันดับเพิ่มขึ้นมาจากปีที่แล้ว คืออันดับ 3 และอันดับ 5 ตามลำดับ เขี่ยอันดับ 2 (ปีที่แล้ว) อย่างมหาวิทยาลัย Harvard University ให้ตกมาอยู่ที่อันดับ 4
       
       ดูรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ >>> http://www.topuniversities.com/university-rankings/world-university-rankings/2014#sorting=rank+region=+country=+faculty=+stars=false+search=
       
       10 อันดับมหาวิทยาลัยที่ดีที่สุดในเอเชีย ประจำปี 2014/15 ได้แก่
       
       อันดับ 1 : National University of Singapore (NUS) (อันดับที่ 22 ของโลก)
       อันดับ 2 : University of Hong Kong (อันดับที่ 28 ของโลก)
       อันดับ 3 : The University of Tokyo (อันดับที่ 31 ของโลก)
       อันดับ 3 : Seoul National University (อันดับที่ 31 ของโลก)
       อันดับ 5 : Kyoto University (อันดับที่ 36 ของโลก)
       อันดับ 6 : Nanyang Technological University (NTU) (อันดับที่ 39 ของโลก)
       อันดับ 7 : The Hong Kong University of Science and Technology (อันดับที่ 40 ของโลก)
       อันดับ 8 : The Chinese University of Hong Kong (อันดับที่ 46 ของโลก)
       อันดับ 9 : Tsinghua UniversityTsinghua University (อันดับที่ 47 ของโลก)
       อันดับ 10 : KAIST - Korea Advanced Institute of Science & Technology (อันดับที่ 51 ของโลก)
       
       ดูรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ >>> http://www.topuniversities.com/university-rankings/world-university-rankings/2014#sorting=rank+region=71+country=+faculty=+stars=false+search=
       
        สำหรับอันดับมหาวิทยาลัยที่ดีที่สุดในเอเชีย ประจำปี 2014/15 อันดับหนึ่งยังคงเป็นมหาวิทยาลัย NUS จากประเทศสิงคโปร์ ที่ยังคงครองแชมป์ พร้อมกับอันดับโลกที่สูงขึ้นจากอันดับที่ 24 มาเป็น 22 และอันดับสองตกเป็นของ University of Hong Kong ซึ่งขึ้นมาจากอันดับที่ 3 ในปีที่แล้ว ส่วนอันดับ 2 ของปีที่แล้วอย่าง KAIST จากประเทศเกาหลี มาในปีนี้หลุดไปอยู่ในอันดับที่ 10 อย่างแทบไม่น่าเชื่อว่าจากอันดับ 2 จะลงมาถึงอันดับ 10 ในปีนี้ได้
       
       มหาวิทยาลัยที่ดีที่สุดในประเทศไทย ประจำปี 2014/15 จากการจัดอัดดับโลก ติดอันดับอยู่เพียง 8 มหาวิทยาลัยเท่านั้น ได้แก่
       
       อันดับ 1 : จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย (อันดับที่ 243 ของโลก)
       อันดับ 2 : มหาวิทยาลัยมหิดล (อันดับที่ 257 ของโลก)
       อันดับ 3 : มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ (อันดับที่ 501-550 ของโลก)
       อันดับ 4 : มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ (อันดับที่ 601-650 ของโลก)
       อันดับ 5 : มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ (อันดับที่ 651-700 ของโลก)
       อันดับ 6 : มหาวิทยาลัยขอนแก่น (อันดับที่ 701 ของโลก)
       อันดับ 7 : มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีพระจอมเกล้าธนบุรี (อันดับที่ 701 ขึ้นไปของโลก)
       อันดับ 8 : มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ (อันดับที่ 701 ขึ้นไปของโลก)
       
        โดยมหาวิทยาลัยที่ดีที่สุดในประเทศไทยตกเป็นของแชมป์เก่า "จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย" ตกจากอันดับที่ 239 ของโลกในปีที่แล้ว และมหาวิทยาลัยมหิดลอันดับสูงขึ้น จาก 283 ของโลก มาเป็นอันดับที่ 257 ในปีนี้ด้วย แต่อันดับโดยรวม 1-8 ยังคงเหมือนเดิม
       
       ดูรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ >>> http://www.topuniversities.com/university-rankings/world-university-rankings/2014#sorting=rank+region=71+country=131+faculty=+stars=false+search=
       
       สำหรับ ระเบียบวิธีวิจัยในการจัดอันดับของ QS World University Rankings® ประกอบด้วย 6 ตัวชี้วัด ดังนี้
       
       1. Academic reputation (40%) ชื่อเสียงทางวิชาการ จากการสำรวจของ QS Global Academic Survey
       2. Employer reputation (10%) ชื่อเสียงจากนายจ้าง จากการสำรวจผ่าน QS Global Employer Survey
       3. Student-to-faculty ratio (20%) อัตราส่วนจำนวนนักศึกษาต่อจำนวนอาจารย์
       4. Citations per faculty (20%) จำนวนงานวิจัยที่ถูกนำไปใช้อ้างถึง จากฐานข้อมูลของ Scopus
       5. International faculty ratio (5%) อัตราส่วนจำนวนอาจารย์ต่างประเทศ/นานาชาติ
       6. International student ratio (5%) อัตราส่วนจำนวนนักศึกษาต่างประเทศ/นานาชาติ

ASTVผู้จัดการออนไลน์    16 กันยายน 2557

50
ถึงแม้ว่าระบบประกันสุขภาพของประเทศสวิตเซอร์แลนด์จะได้รับการจัดอันดับว่าเป็นระบบที่มีประสิทธิภาพสูงเป็นอันดับต้นๆของโลก แต่ระบบดังกล่าวก็ยังคงมีจุดอ่อนอยู่ ด้วยเหตุนี้จึงมีการตั้งคำถามที่ว่า ประเทศนี้ควรหันมาใช้ระบบประกันสุขภาพแบบกองทุนเดียวหรือไม่ ทั้งนี้การนำรูปแบบประกันสุขภาพที่ใช้อยู่ไปเปรียบเทียบกับระบบประกันสุขภาพในประเทศต่างๆ อาจทำให้เห็นมุมมองแตกต่างที่น่าสนใจ

“ประเทศสวิตเซอร์แลนด์ใช้ระบบประกันสุขภาพภาคบังคับประชาชนทุกคนที่อาศัยอยู่ในประเทศนี้จะต้องจ่ายเบี้ยประกันสุขภาพให้กับบริษัทประกันเอกชนที่ตนเลือกเอง  แต่ที่ผ่านมาชาวสวิตฯต้องจ่ายเบี้ยประกันสุขภาพที่แพงกว่าเมื่อเทียบกับประเทศอื่นๆ”

ระบบประกันสุขภาพของประเทศสวิตเซอร์แลนด์เป็นระบบที่มีความเสมอภาคโดยมีประชาชนเป็นผู้ชี้นำตลาด แม้จะบังคับให้ประชาชนทุกคนต้องมีประกันสุขภาพ แต่ประชาชนผู้เอาประกันก็มีเสรีภาพในการเลือกทำประกันสุขภาพกับบริษัทเอกชนที่มีให้เลือกมากกว่า 60 บริษัท รูปแบบการดำเนินงานในลักษณะนี้สามารถเป็นต้นแบบให้แก่ประเทศอื่นๆ เช่น ประเทศสหรัฐอเมริกา ซึ่งไม่นานมานี้ได้มีการปฏิรูประบบประกันสุขภาพครั้งใหญ่ภายใต้กฎหมายที่สร้างความขัดแย้งภายในประเทศอย่าง Affordable Care Act ซึ่งเป็นกฏหมายประกันสุขภาพที่รู้จักกันในชื่อ “โอบามาแคร์” (Obamacare)

แม้จะเป็นประเทศต้นแบบของระบบประกันสุขภาพดังกล่าว แต่ล่าสุด ประเทศสวิตเซอร์แลนด์กำลังพิจารณาที่จะปฏิรูปไปเป็นระบบประกันสุขภาพแบบกองทุนเดียวซึ่งดำเนินงานโดยรัฐ และกำลังจะจัดให้มีการลงประชามติเพื่อรับรองข้อเสนอดังกล่าวในวันที่ 28 กันยายน 2557 ที่จะถึงนี้

: “โอบามาแคร์”

ภายใต้กฎหมายโอบามาแคร์ รัฐบาลจะจัดสรรงบประมาณอุดหนุนเพื่อให้ประชาชนทุกคนมีประกันสุขภาพ โดยจะดำเนินงานผ่านทางตลาดประกันสุขภาพออนไลน์ และการขยายตัวของ เมดิเคด (medicaid) ซึ่งเป็นระบบประกันสุขภาพสำหรับผู้ที่มีฐานะยากจนที่ครอบคลุมคนที่มีรายได้ต่ำกว่าเกณฑ์ใน 26 รัฐและกรุงวอชิงตัน ดี.ซี.   

เป้าประสงค์ของโอบามาแคร์คือการขยายประกันสุขภาพให้ครอบคลุมประชากรชาวอเมริกันประมาณ 15% ที่เข้าไม่ถึงบริการด้านสุขภาพ ซึ่งจากผลการศึกษาโดยมหาวิทยาลัยฮาร์วาร์ด ระบุว่าตั้งแต่เริ่มดำเนินงานจนกระทั่งถึงเดือนตุลาคม 2556 ที่ผ่านมา ผู้ใหญ่ชาวอเมริกันจำนวนกว่า 10.3 ล้านคน เข้าถึงบริการด้านสุขภาพมากขึ้น ในขณะเดียวกัน สวิตเซอร์แลนด์ได้ออกมาอวดอ้างว่าระบบสุขภาพของตนรุดหน้าจนเกือบจะเป็นระบบประกันสุขภาพถ้วนหน้าแล้ว

และนอกจากจะเปรียบเทียบระบบข้อมูลสุขภาพกับสหรัฐอเมริกาแล้ว จากรายงานผลการศึกษาของกองทุนคอมมอนเวลธ์ มูลนิธิเอกชนที่ส่งเสริมให้มีการพัฒนาระบบสาธารณสุขในสหรัฐ ซึ่งเผยแพร่เมื่อเดือนมิถุนายน 2556 ที่ผ่านมา  ระบุว่า ประเทศสวิตเซอร์แลนด์มีผลดำเนินงานด้านระบบประกันสุขภาพที่ดีกว่าประเทศพัฒนาแล้วอีก 9 ประเทศที่เข้าร่วมการสำรวจ

ในปัจจุบัน  ระบบประกันสุขภาพของสวิตเซอร์แลนด์ ถูกจัดให้เป็นระบบสุขภาพที่ดีที่สุดเป็นอันดับ 2 รองจากระบบสุขภาพแห่งชาติของสหราชอาณาจักร ซึ่งพิจารณาจากความทันต่อเวลาในการรับรู้ปัญหาสุขภาพเป็นข้อแรก ตามมาด้วยความสะดวกในการเข้าถึงบริการตรวจรักษา ความเท่าเทียมของการบริการและการดูแลโดยยึดผู้ป่วยเป็นศูนย์กลาง

.... คำถามคือ  ในเมื่อระบบสุขภาพของสวิตเซอร์แลนด์ดีอยู่แล้ว ทำไมจึงต้องปฏิรูปอีก ?

ผลการศึกษาของกองทุนคอมมอนเวลธ์ ไม่ได้ระบุจุดอ่อนของระบบสุขภาพของสวิตเซอร์แลนด์ ที่ผ่านมาประเทศนี้พยายามหากลยุทธ์ที่มีประสิทธิภาพมากำหนดเกณฑ์ในการป้องกันและควบคุมการเจ็บป่วยด้วยโรคเรื้อรัง กล่าวคือ มีการจัดทำแนวทางในการดูแลสุขภาพให้แก่คนไข้ทั้งที่มีผลตรวจร่างกายปกติ และคนไข้ที่ผลตรวจร่างกายระบุว่ามีความเสี่ยงที่จะเกิดโรค ส่วนในด้านเวชศาสตร์ป้องกัน คนไข้ต่างได้รับการเตือนและคำแนะนำในการลดน้ำหนักรวมถึงแนวทางในการออกกำลังกายจากแพทย์ผู้ตรวจรักษา คนไข้บางคนก็ใช้ระบบสารสนเทศด้านสุขภาพเพื่อรับสัญญาณแจ้งเตือนจากคอมพิวเตอร์ เกี่ยวกับปัญหาที่อาจจะเกิดขึ้นจากปริมาณและอาการอันไม่พึงประสงค์จากยา

: ระบบประกันสุขภาพราคาถูก

ประเทศสวิตเซอร์แลนด์ ไม่สามารถที่ควบคุมค่าใช้จ่ายด้านสาธารณสุขและประสิทธิภาพของการบริการด้านสุขภาพได้  ซึ่งค่าใช้จ่ายด้านสุขภาพโดยรวมของประเทศนี้สูงถึง 68 พันล้านฟรังก์ (ประมาณ 75.7 พันล้านดอลล่าห์สหรัฐ) และมากกว่า 1 ใน 3 ของค่าใช้จ่ายด้านสุขภาพทั้งหมดถูกจ่ายไปเป็นค่าประกันสุขภาพประเภทพื้นฐาน(ภาคบังคับ) ทั้งนี้  ค่าใช้จ่ายด้านสุขภาพของชาวสวิตฯ คิดเป็นร้อยละ11 ของจีดีพี ตามหลังประเทศสหรัฐอเมริกา (ร้อยละ 17) เนเธอร์แลนด์  ฝรั่งเศส เยอรมันนี และแคนาดา

นอกจากนี้ สวิตเซอร์แลนด์ยังมีตัวชี้วัดที่ต่ำในบางด้าน อาทิ ความเสี่ยงที่จะไม่ได้รับความคุ้มครอง เช่น กรณีที่บริษัทประกันปฎิเสธการจ่ายค่ารักษาพยาบาลให้แก่คนไข้ผู้ถือกรมธรรม์หรือจ่ายน้อยกว่าที่คนไข้คาดหวัง และกรณีที่คนไข้เจ็บป่วยร้ายแรง จนกรมธรรม์ไม่ครอบคลุมค่ารักษาพยาบาลทั้งหมด

การประกันสุขภาพแบบพื้นฐานในสวิตเซอร์แลนด์ เมื่อต้องเข้ารับการรักษาในแผนกผู้ป่วยนอก บริษัทประกันจะให้ความคุ้มครองค่าใช้จ่ายที่เกิดจากการรักษาพยาบาลโดยแพทย์ที่ได้รับการรับรองอย่างเป็นทางการ ส่วนการเข้ารับการรักษาในแผนกผู้ป่วยใน จะคุ้มครองค่าใช้จ่ายในการรักษารวมทั้งการพํานักรักษาตัวอยู่ในโรงพยาบาลในแผนกผู้ป่วยทั่วไปซึ่งต้องเป็นโรงพยาบาลของรัฐที่อยู่ในเขตที่ผู้ป่วยอาศัยอยู่ และโรงพยาบาลดังกล่าวต้องมีชื่ออยู่ในบัญชีรายชื่อสถานพยาบาลของบริษัทประกันด้วย นอกจากนี้เมื่อไปพบแพทย์เพื่อเข้ารับการตรวจรักษา จะต้องเสียค่าใช้จ่ายอีกในบางส่วน

ในแต่ละปีชาวสวิตฯจะต้องเสียค่าใช้จ่ายด้านประกันสุขภาพประมาณ 300 - 2,500 ฟรังค์ คือ ผู้ทําประกันจะต้องจ่ายค่ารักษาพยาบาลขั้นต้นต่อปี จํานวน 300 ฟรังค์ และจ่ายอีก 10 % ของใบเสร็จค่ารักษาพยาบาลในส่วนที่เกินจากค่ารักษาพยาบาลขั้นต้น แต่ทั้งนี้ไม่เกิน 700 ฟรังค์ต่อปีสําหรับผู้ใหญ่ (ส่วนที่เหลือทางบริษัทประกันเป็นผู้รับผิดชอบ) นั่นหมายความว่าภายใน 1 ปี นอกจากต้องจ่ายเบี้ยประกันรายเดือนแล้ว ยังต้องจ่ายค่ารักษาพยาบาลเอง เป็นจํานวนเงิน (สูงสุด) ไม่เกิน 1,000 ฟรังค์ต่อปี

ด้วยเหตุนี้ การมีส่วนร่วมจ่ายค่ารักษาพยาบาลในสวิตเซอร์แลนด์จึงมีอัตราที่สูงมาก เมื่อเทียบแล้วพบว่าต้องจ่ายมากกว่าในสหรัฐอเมริกาถึงร้อยละ 60 และสูงกว่าค่าเฉลี่ยที่กำหนดโดยองค์การเพื่อความร่วมมือทางเศรษฐกิจและการพัฒนา หรือโออีซีดี ถึงเกือบ 3 เท่าตัว  นอกจากนี้ยังมีผลการศึกษาที่ระบุด้วยว่า ระบบดังกล่าวใช้เวลามากเกินไปในการจัดการงานด้านเอกสาร การจัดการข้อพิพาทที่เกี่ยวข้องกับค่ารักษาพยาบาล กรรมธรรม์ การเคลมประกัน และการที่คนไข้ร้องขอยาหรือการรักษาที่เกินเงื่อนไขตามกรรมธรรม์

: กำจัดหนี้

ล่าสุด การรณรงค์เพื่อขอเสียงสนับสนุนให้ปฏิรูปไปสู่ระบบประกันสุขภาพแบบกองทุนเดียว ได้มุ่งประเด็นไปที่ภาระค่าใช้จ่ายที่หนักอึ้งและสิทธิประโยชน์ของผู้เอาประกันที่จะเปลี่ยนแปลงไป

ในขณะที่ผู้คัดค้านแนวคิดนี้ กล่าวว่า การปฏิรูปอาจทำให้ค่าใช้จ่ายด้านสุขภาพอาจสูงขึ้นถึง 2.2 พันล้านฟรังค์ ซึ่งทางด้านกลุ่มผู้สนับสนุนก็แย้งว่าระบบนี้จะประหยัดงบบริหารจัดการด้านสาธารณสุขลงได้ถึง 350 ล้านฟรังค์ และในอีกไม่กี่ปีข้างหน้าก็อาจจะช่วยลดค่าใช้จ่ายด้านสุขภาพโดยรวมลงได้มากกกว่าร้อยละ 10

กลุ่มผู้คัดค้านได้ออกมาเตือนโดยหยิบยกเอากรณีศึกษาของการใช้ระบบสุขภาพแบบกองทุนเดียวของกลุ่มประเทศในยุโรป เช่น  ฝรั่งเศสและออสเตรีย มากล่าวอ้าง โดยระบุว่าประเทศเหล่านี้กำลังประสบปัญหาหนักเพราะต้องแบกรับหนี้จากการดำเนินงานมากกว่าพันล้านฟรังค์ และต้องแก้ไขวิกฤตด้านงบประมาณด้วยการขึ้นภาษีหรือปรับลดบริการทางการแพทย์ลด

: กรณีศึกษาระบบประกันสุขภาพแบบกองทุนเดียวในประเทศอื่นๆ   

โธมัส เซล์ทเนอร์ อดีตผู้อำนวยการสำนักงานสาธารณสุขแห่งชาติ กล่าวว่า “รูปแบบระบบประกันสุขภาพแบบกองทุนเดียวในประเทศแคนาดาหรือออสเตรเลีย ซึ่งกองทุนคอมมอนเวลธ์ได้จัดอันดับให้เป็นระบบสุขภาพที่ดีเป็นอันดับที่ 10 และ 4  ไม่ใช้ต้นแบบของระบบสุขภาพที่สวิตเซอร์แลนด์ต้องการ ทั้งนี้สวิตเซอร์แลนด์ควรไปศึกษาต้นแบบจากระบบสุขภาพแห่งชาติ(เอ็นเอชเอส)ของสหราชอาณาจักรมากกว่า”   

“ปัจจุบันชาวสวิตฯ ต่างก็พอใจในระบบสุขภาพที่ใช้อยู่ ซึ่งจากผลการสำรวจล่าสุดโดย จีเอฟเอส.เบิร์น ระบุว่า ประชาชนร้อยละ 81 % พึงพอใจระบบประกันสุขภาพที่ใช้ในปัจจุบัน แม้จะมีปัญหาในการใช้บริการอยู่บ้าง เช่น ต้องรอนาน และต้องเจอกับเงื่อนไขหรือข้อกำจัดในการบริการ แต่อย่างไรก็ตาม สวิตฯสามารถเรียนรู้เพิ่มเติมจากเอ็นเอชเอสได้  โดยเฉพาะเรื่องประสิทธิภาพและประสิทธิผลของระบบ” มร.เซล์ทเนอร์ ซึ่งดำรงตำแหน่งที่ปรึกษาองค์การอนามัยโลก, คณะรัฐมนตรีของสวิตฯ และเป็นประธานของบริษัทประกันสุขภาพ เคพีที กล่าว

มร.เซล์ทเนอร์ กล่าวเสริมต่อไปว่า “จากผลการศึกษาของกองทุนคอมมอนเวลธ์ พบว่า ผู้ป่วยในสหราชอาณาจักรได้รับการดูแลที่เพียบพร้อม มีการตรวจเช็คสุขภาพที่เป็นระบบ แล้วยังได้รับข้อมูลในการป้องกันสุขภาพจากแพทย์ผู้รักษา จริงๆแล้วผมเชื่อว่าระบบประกันสุขภาพของเรา สามารถที่จะมีประสิทธิภาพมากขึ้นกว่านี้ได้อย่างแน่นอน แต่คงต้องผ่านการพัฒนาเรื่องการประสานงาน รวมทั้งต้องบูรณาการการบริหารจัดการและการส่งต่อคนไข้ให้ดียิ่งขึ้น"

: ความท้าทายที่ยิ่งใหญ่

จากผลการสำรวจของสมาคมเภสัชกรรม “อินเตอร์ฟาร์มา” ซึ่งเผยแพร่เมื่อปลายเดือนมิถุนายนที่ผ่านมา พบว่าร้อยละ 49 ของผู้มีสิทธิออกเสียง สนับสนุนให้เปลี่ยนระบบประกันสุขภาพไปเป็นระบบสาธารณสุขแบบกองทุนเดียว และในวันที่ 28 กันยายนนี้ หากชาวสวิตเซอร์แลนด์ลงประชามติรับรองข้อเสนอดังกล่าว ผู้บริหารของประเทศนี้จะต้องเจอกับปัญหาหนักเกี่ยวกับการปรับโครงสร้างหลักที่สำคัญและการเปลี่ยนแปลงทางวัฒนธรรมครั้งใหญ่

จากข้อเขียนขององค์การเพื่อความร่วมมือทางเศรษฐกิจและการพัฒนา หรือ โออีซีดี ซึ่งได้ทบทวนระบบสุขภาพของสวิตเซอร์แลนด์เมื่อปี 2011 ระบุว่า “การเปลี่ยนจากระบบที่มีผู้รับประกันหลายราย ไปเป็นระบบที่มีผู้รับประกันหลักรายเดียว นับเป็นความท้าทายครั้งยิ่งใหญ่ แต่จากกรณีศึกษาของประเทศเกาหลีใต้ ทำให้เราเห็นแล้วว่า การควบรวมที่นำไปสู่ระบบสุขภาพแบบกองทุนเดียวสามารถเป็นไปได้จริงด้วยขั้นตอนอันชาญฉลาด"   

ถึงแม้ว่า ช่วงเวลาต่อจากนี้ไปประเทศสวิตเซอร์แลนด์ซึ่งคุ้นเคยกับระบบประกันสุขภาพที่มีผู้รับประกันหลายรายมานานกว่า 100 ปี จะต้องเจอกับสถานการณ์ที่ยากลำบาก ไม่ว่าจะเป็นแรงต้านจากการปรับเปลี่ยนระบบซึ่งเคยเป็นจุดแข็งที่ประชาชนส่วนมากพึงพอใจและเคยชิน ยังมีประเด็นที่ภาครัฐจะต้องคิดทบทวนอีกหลายด้าน ซึ่งนอกเหนือจากรายจ่ายจำนวนมหาศาลที่ต้องใช้ลงทุนแล้ว ภาครัฐจะทำอย่างไรกับพนักงานและเจ้าหน้าที่ซึ่งทำงานอยู่ในบริษัทประกันสุขภาพของเอกชนที่ให้บริการอยู่ในปัจจุบัน…

ผู้เขียน : ไซมอน แบรดลีย์, สวิส อินโฟ (Simon Bradley, www.swissinfo.ch)
http://www.hfocus.org/content/2014/09/8035

51
ตามที่ ทีมข่าว Life on campus ได้นำเสนอข่าว อธิการบดีจุฬาฯสั่งเบรค เอก ลูกกตัญญู งดออกสื่อ หวั่นเสียภาพลักษณ์ ที่ปรากฏเป็นข่าวไปนั้น ทางจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ได้ติดต่อมาทางกองบรรณาธิการ และขอให้มีการชี้แจงอย่างละเอียดกับข่าวที่เกิดขึ้น
       
       ทีมข่าว Life on campus ขอชี้แจงดังนี้ คือ ทางทีมข่าวได้ติดต่อฝ่ายประชาสัมพันธ์มหาวิทยาลัย และได้เบอร์โทรศัพท์โดยตรง ของ นายอินทัช สัตยานุรักษ์ หรือ เอก ลูกกตัญญู นิสิตคณะนิเทศศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ซึ่งได้โทรนัดหมาย และได้รับการตอบรับจาก เอกโดยตรง ให้เข้ามาสัมภาษณ์พร้อมถ่ายรูป ในวันที่ 29 สิงหาคม เวลา 16.00 น. ซึ่งเป็นเวลาที่เอกเลิกเรียน และจะได้ถ่ายภาพขณะนำรถไปขายของรอบๆ มหาวิทยาลัย
       
        พอถึงเวลานัดหมาย ซึ่งทีมข่าวได้ไปตามเวลานัด ไม่สามารถติดต่อเอกได้ และทีมงานได้รออยู่บริเวณนัดเกือบสองชั่วโมงเต็ม มีการชี้แจงจากเจ้าหน้าที่ตึกคณะนิเทศศาสตร์ว่า ขณะนี้เอก กำลังเข้าพบผู้บริหารในมหาวิทยาลัย และรองอธิการบดี เพื่อพูดคุยในเรื่องราวที่เกิดขึ้น หลังจากเอกได้กลายเป็นคนดังชั่วข้ามคืน นับเป็นลูกกตัญญูตัวอย่าง จากการหาเงินช่วยแม่ที่ป่วยเป็นมะเร็ง
       
        โดยเจ้าหน้าที่ยืนยันกับทีมข่าวว่า การนัดหมายครั้งนี้จำเป็นต้องยกเลิกไปปัจจุบันทันด่วน เนื่องจาก ทางอาจารย์ที่ปรึกษาของเอก ขอให้เอกงดให้การสัมภาษณ์กับสื่อ เนื่องจากมีการพูดคุยกับทางผู้บริหารมหาวิทยาลัยแล้วว่า ตั้งแต่เกิดกระแสข่าวขึ้น มีการเข้ามาดักรอ ขอสัมภาษณ์เป็นจำนวนมาก ทำให้เกิดภาพลักษณ์ที่ไม่ดี มีผลต่อการเข้าเรียนของเด็ก แม้ทางทีมข่าวจะแจ้งว่าได้มีการนัดหมายตามขั้นตอนผ่านเจ้าหน้าที่มหาวิทยาลัย และ เจ้าตัวเอกก็รับทราบจากการพูดคุยกันทางโทรศัพท์
       
        ทั้งนี้เจ้าหน้าที่ยืนยัน กับทีมข่าว Life on campus เป็นคำสั่งจากอธิการบดีด้วยวาจามาว่า ให้เอกงดสัมภาษณ์กับสื่อช่วงนี้ไปก่อน และมีการอธิบายว่า เป็นคำสั่งจากอธิการบดีจริงๆ ให้บอกสื่อไปว่า ของดการสัมภาษณ์ ด้วยเหตุผลที่ว่า มีการเข้ามาสัมภาษณ์มากเกินไป รบกวนเด็ก และอาจจะเกิดภาพลักษณ์ที่ไม่ดีต่อมหาวิทยาลัย
       
       อาจารย์ เมธา เสรีธนาวงศ์ รองคณะบดี ฝ่ายกิจการนิสิต คณะนิเทศศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ชี้แจงกับ ทีมข่าว Life on campus ว่า การให้ข่าวที่เกิดขึ้นทีมข่าว Life on campus อาจจะเกิดความเข้าใจผิดจากเจ้าหน้าที่ซึ่งให้ข่าวว่าอธิการบดีสั่งห้าม แต่ยอมรับว่า ได้พูดคุยกับ เอก และพาเข้าพบ รองอธิการบดีจริง ถึงกระแสข่าวที่เกิดขึ้น และบอกกับเด็กว่า ถ้าเป็นไปได้ให้งดสัมภาษณ์ช่วงนี้ไปก่อน แต่ให้เอกตัดสินใจเอง เพราะเด็กอาจรับมือกับการตั้งคำถามของสื่อทุกๆ วันไม่ไหว
       
       “ทางอาจารย์ได้พูดคุยกันจริงครับ เพราะส่วนหนึ่งสื่อมาเยอะ บางสื่อไปดักรอน้องที่ห้องเรียน ผมจึงให้เอก ตัดสินใจเอง ให้งดสัมภาษณ์ช่วงนี้ก่อนดีไหม ซึ่งสงสารเด็ก บางวันมีโทรศัพท์เข้ามาเป็นร้อยๆ สาย ส่วนข่าวที่ว่า อธิการบดีสั่งนั้น เจ้าหน้าที่ซึ่งให้ข่าวไปอาจเข้าใจผิด คิดว่าเป็นคำสั่ง"
       
       ทางมหาวิทยาลัย โดยเฉพาะท่านอธิการบดี ขอยืนยันว่า ไม่เคยปิดกั้นคนทำความดี มีแต่จะช่วยเหลือเด็ก ให้ทุนและเด็กสามารถเดินขายของในมหาวิทยาลัยได้ แต่ข่าวที่เกิดขึ้นอาจเป็นความเข้าใจผิดของเจ้าหน้าที่จุฬาฯ บางคนที่ให้ข่าวว่า จุฬาฯ กลัวเสียภาพลักษณ์ โดยทางจุฬาฯ ขอทำหนังสือชี้แจงดังต่อไปนี้
       
       รศ.ดร.ธนิต ธงทอง รองอธิการบดี ฝ่ายกิจการนิสิต จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ชี้แจงข้อเท็จจริงกรณีข่าวนิสิตจุฬาฯ ที่หารายได้เสริม ด้วยการขายอาหารในมหาวิทยาลัยเพื่อเป็นค่ารักษาพยาบาลแม่ที่ป่วยเป็นมะเร็ง โดยได้มีการเผยแพร่ ข่าวว่าอธิการบดีจุฬาฯห้ามนิสิตไม่ให้สัมภาษณ์ในเรื่องนี้ว่า อธิการบดีไม่เคยห้ามนิสิตให้สัมภาษณ์เพราะจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยไม่มีนโยบายปกปิด "ความดีงามของนิสิต" การกระทำของนิสิตดังกล่าวเป็นสิ่งที่ดีงามและน่าชื่นชมเป็นอย่างยิ่ง นอกจากนี้ ยังสื่อให้เห็นถึงภาพลักษณ์ที่ดีของจุฬาฯ ที่มีนิสิตที่คิดดีทำดี มีความกตัญญู มีความรับผิดชอบต่อครอบครัว จุฬาฯมีความภาคภูมิใจในนิสิตผู้นี้ที่เป็นแบบอย่างที่ดีของนิสิต
       
       สำหรับแนวทางการให้ความช่วยเหลือนิสิตนั้น ทางคณะนิเทศศาสตร์ จุฬาฯได้ให้ ความช่วยเหลืออย่างต่อเนื่องเมื่อเกือบหนึ่งปีที่ผ่านมาในเรื่องค่าใช้จ่ายในการเรียน ค่ารักษาพยาบาล ค่าใช้จ่ายส่วนตัว ในส่วนของมหาวิทยาลัย ทางผู้บริหารจุฬาฯ ได้พูดคุยกับนิสิตและได้ให้คำแนะนำช่วยเหลือในเรื่องต่างๆตามมาตรการที่จุฬาฯ มีอยู่ไม่ว่าจะเป็นในเรื่องการให้คำปรึกษาเรื่องยาและการรักษาพยาบาล การพิจารณาทุนให้ความช่วยเหลือนิสิตในภาวะฉุกเฉิน และการช่วยเหลือจากพี่เก่าและหน่วยงานต่างๆ ฯลฯ เพื่อไม่ให้กระทบต่อการศึกษาเล่าเรียนของนิสิตด้วย.

ASTVผู้จัดการออนไลน์    30 สิงหาคม 2557

52
บรรดาพ่อแม่ที่สนับสนุนให้ลูกเล่นกีฬา หรือตัวนักกีฬารุ่นเยาว์อนาคตไกลอาจสนใจข่าวนี้ เมื่อสองนักศึกษาเอ็มไอทีประดิษฐ์เซ็นเซอร์ป้องกันอันตรายสำหรับนักกีฬารุ่นเยาว์ หรือเด็กๆ ที่มักชอบวิ่งเล่นซุกซนไม่หยุดนิ่ง โดยเซ็นเซอร์นี้สามารถสวมใส่ได้ (ใส่ไว้บริเวณศีรษะ) และหากเด็กได้รับการกระทบกระเทือนอย่างรุนแรงซึ่งอาจนำไปสู่อันตราย ระบบจะแจ้งเตือนให้ผู้ปกครองและครูทราบโดยเร็วเพื่อส่งเด็กให้ถึงมือแพทย์อย่างปลอดภัย
       
       ชื่อของอุปกรณ์ชิ้นนี้คือ Jolt Sensor ฝีมือของสองนักประดิษฐ์อย่าง Ben Harvatine และ Seth Berg จากสถาบันเอ็มไอที โดยได้รับแรงบันดาลใจมาจากการบาดเจ็บจากการกระแทกในการฝึกซ้อมมวยปล้ำของ Harvatine ในวัยเด็กนั่นเอง ซึ่งการบาดเจ็บครั้งนั้น ไม่ได้ถึงมือหมออย่างรวดเร็ว และส่งผลต่อสมองของ Harvatine ในเวลาต่อมา
       
       ปัญหาการขาดเทคโนโลยี และเจ้าหน้าที่ทางการแพทย์สำหรับดูแลกลุ่มนักกีฬารุ่นเยาว์เป็นปัญหาที่พบได้เป็นประจำ ซึ่งนั่นอาจส่งผลต่ออวัยวะต่างๆ ของร่างกายหากเกิดการกระแทกอย่างรุนแรงและไม่ได้รับการรักษาอย่างทันท่วงที
       
       “ผมพบว่า ในการเล่นกีฬาของเด็กๆ นั้น พวกเขามักเล่นไปโดยไม่ได้ตระหนักถึงอันตรายจากการกระแทกที่อาจเกิดขึ้นได้เสมอ หลายครั้งมีความรุนแรงและอาจเป็นอันตรายถึงชีวิต เราจึงอยากพัฒนาเครื่องมือขึ้นมาสักชิ้นที่สามารถวัดระดับความรุนแรงของอุบัติเหตุนั้นได้ อย่างน้อยจะได้ส่งสัญญาณเตือนไปถึงพ่อแม่ โค้ช หรือตัวนักกีฬาเองว่า การกระแทกที่เกิดขึ้นนั้นอาจส่งผลต่อสมองของตัวเขาโดยตรง” Harvatine กล่าว
       
       สำหรับ Jolt Sensor เป็นคลิปตัวเล็กจิ๋ว ขนาด 1.37 นิ้ว สามารถติดบนผ้าพันศีรษะหรือที่คาดผม หรืออุปกรณ์ใดๆ ก็ตาม ที่นักกีฬาสวมใส่ไว้ที่ศีรษะ และจะคอยจับแรงสั่นสะเทือนที่เกิดขึ้น ส่วนการส่งสัญญาณนั้นส่งผ่าน Bluetooth เข้าสู่แอปส์ของผู้ปกครองและของโค้ช สาเหตุที่เลือกการส่งด้วยวิธีดังกล่าวเนื่องจากใช้พลังงานแบตเตอรี่ต่ำ โดยแอปส์ดังกล่าวมีทั้งบน iOS และแอนดรอยส์ ทางผู้ผลิตอ้างว่า สามารถส่งผ่านข้อมูลได้ในระยะทางไกลถึง 50 เมตร ซึ่งนั่นครอบคลุมพื้นที่ของการเล่นกีฬาได้หลายชนิดเลยทีเดียว ไม่ว่าจะเป็นฟุตบอล เบสบอล
       
       ในส่วนตัวอุปกรณ์ทำจากยางซิลิโคน และกันน้ำได้ มาพร้อมพอร์ต micro-USB และแบตเตอรี่สำหรับชาร์จไฟ ซึ่งทางผู้ผลิตอ้างว่า ใช้งานได้หลายสัปดาห์กว่าจะชาร์จไฟสักครั้งหนึ่งเลยทีเดียว
       
       ในเวลาที่ข้างสนามขาดแคลนเจ้าหน้าที่ทางการแพทย์มาดูแล การมีอุปกรณ์สักชิ้นคอยตรวจวัดระดับความรุนแรงของการกระทบกระแทกที่เกิดขึ้นกับเด็ก ๆ ในสนามแข่ง คงช่วยให้ผู้ใหญ่ที่นั่งอยู่ข้างสนามอุ่นใจไม่น้อย

ASTVผู้จัดการออนไลน์    1 กันยายน 2557

53
สมรรถภาพทางเพศเป็นสิ่งที่คุณผู้ชายทั้งหลายไม่ควรละเลยเป็นอันขาด จะว่าไปแล้วอาจมีหนุ่มๆ หลายคนที่กำลังตกอยู่ในสภาวะที่มีอาการเหนื่อยง่าย, นกเขาไม่ขัน, หลั่งเร็ว, มีลูกยาก ฯลฯ ลองมาเปลี่ยนการรับประทานอาหารกันดีกว่าไหม เพราะอาหารที่มีประโยชน์ก็มีส่วนช่วยทำให้อวัยวะเพศของคุณทำงานได้ดีขึ้นเหมือนกัน มาดูตัวอย่างอาหารที่รับประทานแล้วช่วยเพิ่มปริมาณสเปิร์ม อีกทั้งยังทำให้สเปิร์มแข็งแรงกันดีกว่า
       
        ทั้งนี้ทั้งนั้นนอกจากการรับประทานอาหารอย่างเดียวคงไม่เพียงพอ ควรหมั่นออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอและพักผ่อนให้เพียงพอร่วมด้วยนะครับ
       
       เมล็ดฟักทอง

       ของขบเคี้ยวยิ่งทานยิ่งเพลินอย่างเมล็ดฟักทองนี้ ใครจะรู้ว่ามีคุณสมบัติช่วยทำให้การผลิตน้ำอสุจิของคุณผู้ชายเพิ่มมากยิ่งขึ้น ซึ่งในเมล็ดฟักทองมีสารไฟโตสเตอรอล (Phytosterols) ที่สามารถช่วยลดขนาดของต่อมลูกหมากโตและช่วยเพิ่มการผลิตฮอร์โมนเพศชาย ซึ่งในเมล็ดฟักทองอุดมไปด้วยกรดไขมันโอเมก้า 3 ที่ช่วยในการไหลเวียนเลือดไปยังอวัยวะเพศได้นั่นเอง
       
       กล้วย

       ผลไม้ทรงคุณค่าที่หารับประทานได้ง่ายมากในบ้านเรา แถมยังอุดมไปด้วยแร่ธาตุและสารอาหารต่างๆ มากมาย อาทิ วิตามินบี 6, วิตามินบี 12, โพแทสเซียม, แมกนีเซียม, ฟอสฟอรัส, โปรตีน, คาร์โบไฮเดรต ฯลฯ ซึ่งกล้วยนั้นจะว่าไปแล้วนับว่ามีประโยชน์ต่อสุขภาพคุณผู้ชายอย่างมาก เพราะสามารถช่วยเพิ่มความสามารถเรื่องเซ็กซ์ อีกทั้งยังช่วยผลิตเชื้ออสุจิใหม่และช่วยให้เชื้ออสุจิแข็งแรงขึ้นได้นั่นเอง
       
       เก๋ากี้

       เก๋ากี้หรือผลโกจิเบอร์รี สมุนไพรเม็ดเล็กๆ ที่หลายคนคุ้นหน้าคุ้นตาเป็นอย่างดี เพราะสามารถพบเห็นได้ในอาหารทั่วๆ ไป ซึ่งอุดมไปด้วยวิตามินเอ, ซีและสารต้านอนุมูลอิสระ แถมยังมีเบต้าแคโรทีนที่มีปริมาณค่อนข้างสูงเลยทีเดียว ซึ่งในเก๋ากี้นั้นมีส่วนช่วยเพิ่มฮอร์โมนเทสโทสเตอโรน ฮอร์โมนเพศที่สำคัญที่สุดของเพศชาย เป็นตัวกระตุ้นความต้องการทางเพศให้ตื่นตัวขึ้นได้อีกด้วย เอาเป็นหนุ่มๆ คนไหนที่เคยกินซุปแล้วชอบตักเม็ดสีส้มๆ ทิ้ง เปลี่ยนมาตักเข้าปากดีกว่านะจ๊ะ
       
       กระเทียม

       กระเทียมมีประโยชน์กับเรามาช้านาน อีกทั้งยังนิยมนำมาประกอบอาหารได้หลากหลายชนิด ซึ่งในกระเทียมอุดมไปด้วยวิตามินเอ, วิตามินบี 6, วิตามินบี 12 วิตามินซี, วิตามินดีแคลเซียม, ธาตุเหล็ก, แมกนีเซียม, โพแทสเซียม ฯลฯ อีกทั้งยังมีประโยชน์สำหรับหนุ่มๆ อย่างมากเพราะสามารถเพิ่มจำนวนสเปิร์มได้อีกด้วย เพราะอะไรน่ะเหรอ นั่นก็เป็นเพราะในกระเทียมมีสารอัลลิซิน (Allicin) ที่เป็นตัวช่วยในการไหลเวียนเลือดไปยังอวัยวะเพศได้นั่นเอง
       
      หน่อไม้ฝรั่ง

       ผักที่เต็มไปด้วยคุณประโยชน์มหาศาล ซึ่งอุดมไปด้วยแร่ธาตุต่างๆ อาทิ สังกะสี ฟอสฟอรัส โพแทสเซียม วิตามินเอ, วิตามินบี, วิตามินบี 1 บี 2 บี 3 และบี 6 วิตามินซี, วิตามินเค, โฟเลต อีกทั้งยังมีสารกลูตาไธโอนอีกด้วย
       
        หน่อไม้ฝรั่งมีประโยชน์กับคุณผู้ชายไม่แพ้อาหารชนิดอื่นๆ เพราะสามารถช่วยเรื่องสมรรถภาพทางเพศเพราะในหน่อไม้ฝรั่งมีวิตามินซีและสารกลูตาไธโอนที่จะทำงานร่วมกัน จึงสามารถช่วยเพิ่มปริมาณและเพิ่มความแข็งแรงให้กับสเปิร์มของหนุ่มๆ ได้นั่นเอง
       
        ทั้งนี้ทั้งนั้นข้อเสียของการรับประทานหน่อไม้ฝรั่งมีอยู่น้อยมาก นั่นก็คือเมื่อรับประทานไปแล้วจะทำให้มีกลิ่นปัสสาวะที่ค่อนข้างรุนแรงไปสักนิด แต่หากเทียบประโยชน์ของผักชนิดนี้แล้วนับว่าเป็นข้อเสียที่เล็กนิดเดียวเองว่าไหม

       www.askmen.com

Marsmag    9 กรกฎาคม 2557

54
ตลาดน้ำอัดลม ตลาดเครื่องดื่มที่สร้างกระแสความคึกคัก จากบรรดาค่ายๆ ที่เข็นเคมเปญ ออกมาสร้างสีสันให้กับตลาดอย่างต่อเนื่อง
 
จากมูลค่าตลาดรวมน้ำอัดลม 46,000 ล้านบาท โดยแบ่งเป็นตลาดน้ำดำ 35,000 ล้านบาท ตามด้วยตลาดน้ำอัดลมสี 11,000 ล้านบาท และถึงแม้ว่า ตลาดน้ำดำจะมีฐานการตลาดที่ใหญ่กว่า แต่โดยภาพรวม ทั้งสองตลาดมีการเติบโตเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง และเติบโตในอัตราที่ใกล้เคียงกัน ทั้งนี้เป็นผลมาจากความต้องการของผู้บริโภคเดิม รวมถึงกลุ่มผู้บริโภคใหม่ๆ ที่เข้ามา โดยเฉพาะในตลาดของน้ำสีที่ถือเป็นตลาดที่มีการเติบโตสูง 
 
คอสตาส เดลิอาลิส ผู้อำนวยการฝ่ายการตลาด บริษัท โคคา-โคลา (ประเทศไทย) ผู้ทำตลาดเครื่องดื่มน้ำอัดลมโค้ก เปิดเผยว่า ในช่วงครึ่งปีแรก 2557 ส่วนแบ่งการตลาดน้ำอัดลมรวมสิ้นสุดเดือนมิถุนายนที่ผ่านมา บริษัทฯ มีส่วนแบ่งอยู่ที่ 58% เพิ่มขึ้นจาก 55% ในเดือนธันวาคมที่ผ่านมา ซึ่งเป็นการตอกย้ำความเป็นเบอร์หนึ่ง ของตลาดน้ำอัดลม
 
ส่วนแบ่งการตลาดที่เพิ่มขึ้น เนื่องจาการทำแคมเปญการตลาดอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะช่วงหน้าร้อน ที่น้ำอัดลมขายดิบขายดี และรวมถึงการออกเคมเปญจากการแข่งขันฟุตบอลโลกช่วงที่ผ่านมา
 
ล่าสุดเพื่อตอกย้ำความเป็นผู้นำของน้ำอัดลมสี แฟนต้าได้สร้างความคึกคักให้วงการตลาดน้ำอัดลมสี ด้วยการเปิดเคมเปญใหญ่แห่งปีซึ่งเป็นอีกแผนงานในครึ่งปีหลัง เพื่อกระตุ้นยอดขาย ภายใต้ แคมเปญ “แฟนต้าแพคซ่า ส่งสนุก เกรียนสนั่น” ตั้งเป้าจะช่วยขยายฐานลูกค้ากลุ่มวัยรุ่นตั้งแต่ 12 ปีขึ้นแบ่งพร้อมทั้งกระตุ้นให้เพิ่มความถี่ในการดื่ม โดยอยู่ภายใต้แนวคิดของการเติมสีสันและความสนุกให้ทุกวันของชีวิต อันเป็นแนวคิดหลักของแบรนด์
 
จุดเด่นแคมเปญนี้อยู่ที่แฟนต้า ได้นำกระแสกว่า 50 ข้อความโดนใจใน social network ของกลุ่มวัยรุ่น  มาสร้างสรรค์ข้อความบนกระป๋อง และขวด PET ของแฟนต้า ไม่ว่าจะเป็นข้อความสนุกแบบแก๊งเพื่อน เช่น แซ่บอย่างเธอ ต้องเจอแฟนต้า หรือข้อความแสดงความรู้สึก “อยากเป็นรถไฟฟ้า ได้มาหาทุกห้านาที” หรีอข้อความไลฟ์สไตล์ วัยรุ่น “ถึงจะเกรียน แต่เรียนได้เกรด A” เป็นต้น
 
จากแนวคิดการสร้างสีสันจากวันธรรมดาให้มีสีสัน แฟนต้า ที่เสมือนเป็นทูต สื่อความรู้สึก ดีๆ ให้แก่ผู้รับ 
 
อาจจะกล่าวได้ว่า แคมเปญนี้นับเป็นการต่อยอดแคมเปญระดับโลก แชร์ อะ โค้ก ที่นำชื่อมาพิมพ์ลงบรรจุภัณฑ์โค้กและประสบความสำเร็จอย่างมากจนเป็นทอล์ก ออฟ เดอะ ทาวน์ ในปี 2556 ที่ผ่านมาและผลักดันยอดขายของโค้กให้เติบโตเพิ่มขึ้นอย่างมาก
 
และเป็นเคมเปญที่ตรงกับไลฟ์สไตล์ กลุ่มเป้าหมายมาก โดยได้ประเดิมเปิดตัวในไทยเป็นแห่งแรกของโลก ก่อนที่จะขยายไปประเทศอื่นๆ ภายใต้เคมเปญเดียวกัน ในจำนวน 200 ประเทศทั่วโลกที่แฟนต้า เข้าไปทำตลาด แฟนต้าประเทศไทยจัดเป็นตลาดใหญ่อันดับ 4 ของโลก รองจากอเมริกา เม็กซิโก และโดยมีกลุ่มเป้าหมายเป็นผู้ที่ชอบความสนุก และรสชาติซ่าแบบมีกลิ่นผลไม้ โดยเฉพาะกลุ่มเด็กวัยรุ่น อายุ 12 ปีขึ้นไป และเป็นผู้หญิงมากกว่าผู้ชาย
 
ทางด้านงบการตลาด แฟนต้าทุ่มงบลงทุนกว่า 120 ล้านบาท เพื่อจัดกิจกรรมการตลาดแบบครบวงจร ทั้งการเปิดตัวโฆษณาประชาสัมพันธ์ โดยผ่านศิลปินวัยรุ่น, การโฆษณาโทรทัศน์ และการเปิดตัวแฟนต้าสติกเกอร์ไลน์ เพื่อให้ลูกค้าดาวน์โหลด ผ่านไลน์ แอพพลิเคชั่น เพื่อไว้ส่งข้อความ           
 
“เรามีความเข้าใจในวัยรุ่น แฟนต้าแบรนด์พูดภาษาเดียวกับวัยรุ่น ผมเชื่อมั่นว่าแคมเปญนี้จะตอกย้ำแฟนต้า ซ่าส์ แบบมีสีสัน ทั้งนี้ กลยุทธ์การทำตลาดเพื่อกระตุ้นตลาดน้ำอัดลมให้มีอัตราการเติบโต ต้องขับเคลื่อนด้วยนวัตกรรมใหม่โดยเฉพาะการสร้างสรรค์บรรจุภัณฑ์ผ่านไอเดียต่างๆการออกบรรจุภัณฑ์ใหม่เพื่อเข้าถึงผู้บริโภคได้ทุกที่ทุกเวลาและโอกาสการดื่มซึ่งการนำข้อความมาพิมพ์ลงบรรจุภัณฑ์ถือว่าเป็นนวัตกรรมด้วยเช่นกัน” เดลิอาลิสกล่าว
 
ถือเป็นการตอบโจทย์กลุ่มเป้าหมายหลักของแฟนต้าทั่วโลก ที่จับกลุ่มวัยรุ่นอายุ 12 ปีขึ้นไป โดยแฟนต้าทำหน้าที่เสนอทางเลือกให้ลูกค้า โดยเน้น innovation หรือนวัตกรรม เป็นตัวขับเคลื่อน
 
ปัจจุบันแฟนต้าเป็นผู้นำตลาดน้ำสี ครองส่วนแบ่ง 76% จากมูลค่าตลาดน้ำสี 1.1 หมื่นล้านบาท ในขณะที่น้ำสีค่ายเป๊ปซี่ ครองส่วนแบ่งตลาดน้ำอัดลมสี เป็นอันดับ 2 ภายใต้ แบรนด์มิรินด้า น้ำแดง น้ำส้ม น้ำเขียว และล่าสุด ค่ายเป๊ปซี่ได้เปิดตัว เมาแทนดิว แบรนด์ที่เคยฮิตในอดีต และห่างหายไปจากเมืองไทย 20 ปี โดยออกมาในรูปโฉมขวดนีออนสีเขียวสะดุดตา พร้อมการจัดกิจกรรมการตลาด ภายใต้คอนเซ็ปต์ กล้าท้าลอง (Dare to Do) โดยหวังเจาะกลุ่มลูกค้าวัยรุ่นไทยที่ชอบความท้าทาย ซึ่งสร้างความฮือฮาและได้รับความชื่นชอบจากผู้บริโภคเป็นอย่างดี
 
ในขณะที่น้ำอัดลมน้องใหม่ เอส ของบริษัทเสริมสุข จำกัด (มหาชน) ที่พลิกวงการเครื่องดื่มไทย โดยสร้างแบรนด์ไทย เอส (est) พร้อมเปิดตัวผลิตภัณฑ์ น้ำอัดลม ทั้งน้ำดำ น้ำสี ภายใต้กลยุทธ์แบรนด์เดียวออกลุยตลาด พร้อมออกเคมเปญมากมาย เอสลงสมรภูมิรบในตลาดน้ำสีพร้อมการทำตลาดเชิงรุกอย่างเต็มรูปแบบ ซึ่งช่วยผลักดันยอดขายรวมของเอสให้ขยับไปสู่เป้าหมายเบอร์ 2 ของตลาดน้ำอัดลม ซึ่งเกมบุกตลาดน้ำสีครั้งนี้จะช่วยเพิ่มความหลากหลายเติมเต็มในทุกช่องทางขาย
 
โดย ล่าสุด เสริมสุข ส่งเอส ฟรี น้ำอัดลมไร้น้ำตาล ไร้แคลอรี แบรนด์ไทยครั้งแรก ภายใต้คอนเซ็ปต์ “ชีวิตอิสระสุดขั้ว” เพื่อหวังเจาะกลุ่มผู้รักสุขภาพ ออกสู่ตลาด เมื่อกลางเดือนกรกฎาคมที่ผ่านมา โดยเป็นกลยุทธ์หลักในครึ่งปีหลังเพื่อช่วยเติมเต็ม เอสโคล่า และเอส เฟลเวอร์ รสชาติต่างๆ ให้ครบครัน ตอบสนองความต้องการผู้บริโภคได้มากยิ่งขึ้น สอดคล้องกับเทรนด์สุขภาพ
         
ในขณะที่น้ำสี ‘บิ๊กโคล่า’ เป็นเครื่องดื่มน้ำอัดลมสัญชาติเปรู ได้ให้ความสำคัญกับการสร้างแบรนด์มากขึ้น หลังจากทำตลาดในไทยมากว่า 6 ปี ภายใต้กลยุทธ์ราคาและปริมาณ ทำตลาดแบบป่าล้อมเมือง โดยปรับยุทธศาสตร์ด้านสถานที่จัดจำหน่ายโดยขยายตลาดจากร้านโชวห่วยมาเป็น (ModernTrade) ร้านค้าปลีกสมัยใหม่ เช่น เซเว่น-อีเลฟเว่น โดยเฉพาะตลาดต่างจังหวัด ยังคงเป็นตลาดใหญ่ของแบรนด์บิ๊ก
         
ขณะที่ค่ายโค้กยังครองความเป็นเจ้าตลาดน้ำอัดลมอย่างเหนียวแน่น พร้อมทั้งออกกลยุทธ์และแคมเปญ การตลาดเพื่อเข้าถึงลูกค้าอย่างต่อเนื่อง ในตลาดน้ำอัดลม ที่มีมูลค่าสูงและมีการเติบโตดี ท่ามกลางการแข่งขันที่สูงในสมรภูมิน้ำอัดลมนี้


Submitted by Wallapa Sanoachitt on Mon, 09/01/2014 - 10:45
http://www.gotomanager.com/content/%E0%B8%95%E0%B8%A5%E0%B8%B2%E0%B8%94%E0%B8%99%E0%B9%89%E0%B8%B3%E0%B8%AD%E0%B8%B1%E0%B8%94%E0%B8%A5%E0%B8%A1%E0%B8%AA%E0%B8%B5%E0%B9%81%E0%B8%82%E0%B9%88%E0%B8%87%E0%B9%80%E0%B8%94%E0%B8%B7%E0%B8%AD%E0%B8%94-%E0%B9%81%E0%B8%9F%E0%B8%99%E0%B8%95%E0%B9%89%E0%B8%B2-%E0%B8%95%E0%B8%AD%E0%B8%81%E0%B8%A2%E0%B9%89%E0%B8%B3%E0%B9%80%E0%B8%9A%E0%B8%AD%E0%B8%A3%E0%B9%8C%E0%B8%AB%E0%B8%99%E0%B8%B6%E0%B9%88%E0%B8%87

55
 บลจ.ยูโอบีจับกระแสสังคมสูงวัยส่งกองทุนใหม่ลงทุนกลุ่มธุรกิจสุขภาพทั่วโลก เปิดขายระหว่างวันที่ 1-5 กันยายนนี้ ระบุความมั่งคั่งในประเทศตลาดเกิดใหม่ดันค่าใช้จ่ายในการดูแลสุขภาพปรับสูงขึ้น และจะทำให้กลุ่มธุรกิจดังกล่าวเติบโตเฉลี่ยปีละ 15% พร้อมคาดคนแก่อายุ 65 ปีจะปรับขึ้นแตะ 79% ในอีก 20 ปี
       
       นางสาวณัชชา สุนทรธาราวงศ์ กรรมการผู้จัดการ สายพัฒนาธุรกิจ บลจ.ยูโอบี (ประเทศไทย) จำกัด เปิดเผยว่า ในช่วงหลายปีที่ผ่านมาทั่วโลกได้ตื่นตัวต่อการเข้าสู่สังคมผู้สูงอายุ จากที่ประชากรในประเทศที่พัฒนาแล้วมีช่วงอายุที่ยาวนานขึ้น ความมั่งคั่งในกลุ่มประเทศตลาดเกิดใหม่ที่สูงขึ้น ส่งผลให้งบค่าใช้จ่ายเพื่อการดูแลสุขภาพเพิ่มมากขึ้นตามไปด้วย จึงสร้างความต้องการในธุรกิจยาและเทคโนโลยีชีวภาพ รวมถึงอุปกรณ์ทางการแพทย์และนวัตกรรมทางการแพทย์ที่ทันสมัยที่นำไปสู่​​ความก้าวหน้าของการรักษาโรคที่มีการวิจัยและพัฒนาที่แข็งแกร่งมากขึ้นกว่าในอดีต จากปัจจัยดังกล่าว นักวิเคราะห์จึงได้คาดการณ์ว่าในอีก 3 ปีข้างหน้ากลุ่มธุรกิจ Global Healthcare จะมีการเติบโตเฉลี่ยถึงปีละ 15%
       
       ทั้งนี้ ล่าสุดบริษัทจึงทำการเปิดขายกองทุนเปิด ยูโอบี สมาร์ท โกลบอล เฮลท์แคร์ ฟันด์ (UOBSHC) จัดจำหน่ายผ่านธนาคารยูโอบี จำกัด (มหาชน) และกองทุนเปิด ยูไนเต็ด โกลบอล เฮลท์แคร์ ฟันด์ (UGH) ซึ่งจัดจำหน่ายผ่านธนาคาร ทหารไทย จำกัด (มหาชน) ในระหว่างวันที่ 1-5 กันยายน 2557 นี้
       
       สำหรับกองทุนดังกล่าวทั้งสองจะลงทุนผ่านกองทุน United Global Healthcare Fund จัดตั้งและบริหารจัดการโดย UOB Asset Management Ltd. (Singapore) โดยได้มอบหมายให้ Wellington International Management Company Limited เป็นผู้จัดการกองทุนย่อย (Sub-Manager) ซึ่งเป็นบริษัทจัดการกองทุนที่มีชื่อเสียงระดับโลกด้วยมูลค่าสินทรัพย์ภายใต้การจัดการมากกว่า 9.04 แสนล้านดอลลาร์สหรัฐ มีประสบการณ์เฉพาะในหุ้นกลุ่ม Global Healthcare มากกว่า 30 ปี บริหารกองทุนด้วยกลุยทธ์เชิงรุกเพื่อคัดเลือกหุ้นด้วยการมองหาบริษัทพื้นฐานแข็งแกร่งทั่วโลก มีความสามารถในการแข่งขันสูง และเลือกซื้อหุ้นที่มีราคาต่ำกว่าราคาประเมิน สามารถบริหารผลตอบแทนกองทุนย้อนหลัง 1 ปี 39.1% เทียบกับเกณฑ์มาตรฐาน MSCI ACWI Healthcare ที่ 27.1%
       
       นางสาวณัชชากล่าวอีกว่า บริษัทมีมุมมองที่ดีต่อการเข้าลงทุนในหุ้นกลุ่มดังกล่าว นอกจากนี้ ในอีก 20 ปีคาดการณ์ว่าประชากรโลกที่มีอายุมากกว่า 65 ปีจะเพิ่มขึ้นกว่า 79% ซึ่งจะเป็นแรงขับเคลื่อนธุรกิจ Global Healthcare โดยเฉพาะธุรกิจเกี่ยวกับการพัฒนาเทคโนโลยีชีวภาพขั้นโมเลกุล ซึ่งเป็นนวัตกรรมที่ทำให้มีโอกาสค้นพบยาที่มีประสิทธิภาพสูงและสามารถยับยั้งโรคร้ายได้เป็นอย่างดี
       
       นอกจากนี้ กองทุนยังให้น้ำหนักการลงทุนไปยังหุ้นสหรัฐฯ ซึ่งจะได้รับผลบวกโดยตรงจากนโยบาย Affordable Care Act (Obama-care) ที่เป็นการผลักดันการเปลี่ยนแปลงระบบการดูแลสุขภาพ

ASTVผู้จัดการออนไลน์    1 กันยายน 2557

56
 สำหรับใครที่กำลังเตรียมตัวเข้ามหาวิทยาลัย หรือกำลังศึกษาอยู่ในมหาวิทยาลัย หลายคนคงพอรู้ประวัติเกี่ยวกับสถาบันที่ตนศึกษาอยู่บ้าง แต่เชื่อเถอะว่ายังมีอีกหลายคนที่ยังไม่รู้คำขวัญของมหาวิทยาลัย ซึ่งคำขวัญของแต่ละมหาวิทยาลัยนั้นจะบอกถึงจุดเด่นในศาสตร์ของมหาวิทยาลัยนั้นๆ ว่ามีความโดดเด่นในเรื่องใด และสาขาวิชาใด บางมหาวิทยาลัยอาจมีมากกว่าหนึ่งคำขวัญเลยด้วยซ้ำ วันนี้ Life on campus จึงได้รวบรวม 30 คำขวัญของมหาวิทยาลัยไทยให้ได้ชมกัน มาดูกันดีกว่าว่าคำขวัญของแต่ละมหาวิทยาลัยจะน่าสนใจแค่ไหน..
       
       จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย (Chulalongkorn University)

       - ความรู้คู่คุณธรรม
       - เกียรติภูมิจุฬาฯ คือเกียรติแห่งการรับใช้ประชาชน
       
       มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ (Thammasat University)

       - เป็นเลิศ เป็นธรรม ร่วมนำสังคม
       - ฉันรักธรรมศาสตร์ เพราะธรรมศาสตร์ สอนให้ฉันรักประชาชน
       - เหลืองของเรา คือ ธรรมประจำจิต แดงของเรา คือ โลหิตอุทิศให้
       
      มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ (Kasetsart University)

       - ประชาชน คือ เจ้าของประเทศ เกษตรศาสตร์ คือ ภาษีของประชาชน
       - เกษตรศาสตร์ คือ ศาสตร์ของแผ่นดิน
       - จะมีซักกี่ครุยที่ลุยโคลน
       
      มหาวิทยาลัยมหิดล (Mahidol University)

       - “อตฺตานํ อุปมํ กเร” พึงปฏิบัติต่อผู้อื่น เหมือนดังปฏิบัติต่อตนเอง
       
       มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ (Srinakharinwirot University)

       - “สิกขา วิรุฬหิ สมฺปตฺตา” การศึกษา คือ ความเจริญงอกงาม (Education is Growth)
       
      มหาวิทยาลัยศิลปากร (Silpakorn University)

       - ศิลปะยืนยาว ชีวิตสั้น (Ars longa vita brevis)
       
       มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีพระจอมเกล้าธนบุรี (King Mongkut's University of Technology Thonburi)

       - “ทนโต เสฏโฐ มนุสเสสุ” ในหมู่มนุษย์ ผู้ที่ฝึกตนดีแล้วเป็นผู้ประเสริฐสุด (The trained man wins)
       
       สถาบันเทคโนโลยีพระจอมเกล้า พระนครเหนือ (King Mongkut's University of Technology North Bangkok)

       - พัฒนาคน พัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี
       
      มหาวิทยาลัยรามคำแหง (Ramkhamhaeng University)

       - รู้จักอภัย ตั้งใจศึกษา บูชาพ่อขุน สนองคุณชาติ
       - เปลวเทียนให้แสง รามคำแหงให้ทาง
       
      มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ (Chiang Mai University)

       - "อตฺตานํ ทมยนฺติ ปณฺฑิตา" บัณฑิตทั้งหลายย่อมฝึกฝนตนเอง
       
       มหาวิทยาลัยแม่โจ้ (Maejo University)

       - งานหนักไม่เคยฆ่าคน
       - เลิศน้ำใจ วินัยดี เชิดชู ประเพณี สามัคคี อาวุโส
       - ใฝ่รู้ สู้งาน คิดเป็น
       
       มหาวิทยาลัยแม่ฟ้าหลวง (Mae Fah Luang University)

       - การดำเนินชีวิตด้วยปัญญา เป็นชีวิตที่ประเสริฐที่สุด
       
       มหาวิทยาลัยนเรศวร (Naresuan University)

       - วิชาการเด่น เน้นคุณธรรม นำสังคม
       - มหาราชแห่งความภูมิใจ มหาวิทยาลัยแห่งปัญญา
       
      มหาวิทยาลัยขอนแก่น (Khon Kaen University)

       - วิทยา คือ ความรู้ดี จริยา คือ ความประพฤติดี ปัญญา คือ ความฉลาด เกิดแต่การเรียนดี และคิดดี
       
       มหาวิทยาลัยมหาสารคาม (Mahasarakham University)

       - ผู้มีปัญญา พึงเป็นอยู่เพื่อมหาชน (พหูนํ ปณฺฑิโต ชีเว)
       
      มหาวิทยาลัยอุบลราชธานี (Ubon Ratchathani University)

       - ครองตน ครองคน ครองงาน
       
       มหาวิทยาลัยบูรพา (Burapha University)

       - สุโข ปญฺญาปฏิลาโภ (ความได้ปัญญาทำให้เกิดสุข)
       
      มหาวิทยาลัยรังสิต (Rangsit University)

       - สร้างสรรค์สิ่งที่ดีให้แก่สังคม
       
       มหาวิทยาลัยศรีปทุม (Sripatum University)

       - การศึกษาสร้างคน คนสร้างชาติ
       
      มหาวิทยาลัยอัสสัมชัญ (Assumption University of Thailand)

       - Labor Omnia Vincit วิริยะ อุสาหะ นำมาซึ่งความสำเร็จทั้งปวง
       
       มหาวิทยาลัยกรุงเทพ (Bangkok University)

       - ความรู้ คู่ความดี
       
      สถาบันเทคโนโลยีพระจอมเกล้าเจ้าคุณทหารลาดกระบัง (King Mongkut's Institute of Technology Ladkrabang)

       - การศึกษา วิจัย ด้านวิทยาศาสตร์ และเทคโนโลยี เป็นรากฐานของการพัฒนาประเทศ
       
       มหาวิทยาลัยสุโขทัยธรรมาธิราช (Sukhothai Thammathirat Open University)

       - เรียนอย่างมีความสุข จบอย่างมีคุณภาพ
       
       มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ (Prince of Songkla University)

       - ขอให้ถือประโยชน์ส่วนตนเป็นที่สอง ประโยชน์ของเพื่อนมนุษย์เป็นกิจที่หนึ่ง ลาภ ทรัพย์ และเกียรติยศจะตกมาแก่ท่านเอง ถ้าท่านทรงธรรมะแห่งอาชีพไว้ให้บริสุทธิ์
       
      มหาวิทยาลัยทักษิณ (Thaksin University)

       - ปัญญา จริยธรรม นำการพัฒนา
       
       มหาวิทยาลัยธุรกิจบัณฑิตย์ (Dhurakij Pundit University)

       - แหล่งสร้างปัญญา ภายใต้สิ่งแวดล้อมที่ดี
       - บัณฑิตต้องถึงพร้อมทั้งคุณธรรมและคุณวุฒิ
       
      มหาวิทยาลัยหอการค้า (University of the Thai Chamber of Commerce)

       - คุณธรรมพัฒนาบัณฑิต คุณภาพวิชาชีพพัฒนาสังคมไทย
       
      สถาบันบัณฑิตพัฒนบริหารศาสตร์ (นิด้า) (National Institute of Development Administration)

       - นตฺถิ ปญฺญฺสมา อาภา (ไม่มีแสงสว่างใดเสมอด้วยปัญญา)
       
       มหาวิทยาลัยหัวเฉียวเฉลิมพระเกียรติ (Huachiew Chalermprakiet University)

       คุณงามความดี บริสุทธิ์คุณ การกระทำความดี
       
       มหาวิทยาลัยนานาชาติแสตมฟอร์ด (Stamford International University)

       - The Difference is Real

ASTVผู้จัดการออนไลน์    18 สิงหาคม 2557

57
เวปไซด์การจัดอันดับอาชีพชื่อดังอย่าง Careercast.com ได้ทำการรวบรวมข้อมูลจากสำนักงานสถิติแรงงานแห่งประเทศสหรัฐอเมริกา สำรวจข้อมูลอาชีพที่สร้างรายได้เฉลี่ยต่อปีสูงที่สุด 10 อันดับ และจากแนวโน้มที่เห็นได้จากผลการสำรวจครั้งนี้นั่นก็คือ ในประเทศสหรัฐอเมริกาอาชีพที่สามารถสร้างรายได้สูงสุด 5 อันดับแรกยังเป็นอาชีพที่เกี่ยวข้องกับการแพทย์ เป็นไปตามคาด แต่จะมีแพทย์ทางด้านไหนบ้างต้องติดตามกันต่อไป
       
       และนอกจาก 10 อันดับอาชีพที่มีรายได้เฉลี่ยต่อปีที่ค่อนข้างสูงแล้ว จากสถิตินี้ยังมีอัตราการเติบโตของแต่ละอาชีพที่ได้คาดการณ์ไว้ในอีก 8 ปีข้างหน้า (ค.ศ.2022) จะเห็นว่า 9 ใน 10 อันดับ มีแนวโน้มว่าอัตราการเติบโตที่ค่อนข้างสูงเลยทีเดียว อาชีพไหนบ้างที่จะรุ่งสุดๆ ในอนาคตข้างหน้าไปดูกันเลย
       
      อันดับ 10 : ทนายความ (Attorney)
       
       เงินเดือนเฉลี่ยต่อปี : ประมาณ 3,619,676 บาท ($ 113,530)
       อัตราการเติบโตที่ได้คาดการณ์ไว้ในปี 2022 : 10%
       
       ประเทศสหรัฐอเมริกาเป็นประเทศที่มีการใช้กฎหมายที่เคร่งครัด จึงมีเปอร์เซ็นต์สูงมากที่ประชากรในประเทศจะต้องเรียกใช้ทนายความอยู่เป็นประจำ ดังนั้น การเรียนต่อด้านกฎหมายจึงนำมาด้วยชื่อเสียงและรายได้ที่อู้ฟู่ติดอันดับ Top 10 ของประเทศ อาชีพทนายความและผู้พิพากษาส่วนใหญ่จะได้รับค่าตอบแทนค่อนข้างสูง โดยเฉพาะในสหรัฐอเมริกา และอังกฤษ ทนายความทุกคนจะต้องจบการศึกษาจากโรงเรียนกฎหมาย พอเรียนจบแล้ว ก็จะต้องสอบเนติบัณฑิต หรือที่เรียกว่า ‘Bar Exam’ ให้ผ่านซะก่อนถึงจะมาประกอบอาชีพได้ เรียกว่ายากแต่ก็คุ้มกับผลตอบแทนที่ได้รับอย่างแน่นอน
       
       อันดับที่ 9 : หมอรักษาโรคเท้า (Podiatrist)
       
       เงินเดือนเฉลี่ยต่อปี : ประมาณ 3,712,455 บาท ($ 116,440)
       อัตราการเติบโตที่ได้คาดการณ์ไว้ในปี 2022 : 23%
       
       หมอรักษาโรคเท้า หรือ “PODIATRIST” เป็นแพทย์เฉพาะทางอีกหนึ่งอาชีพที่ได้รับการยอมรับอย่างสูงในสหรัฐอเมริกา เมื่อจบการศึกษาจะได้รับปริญญาทางการแพทย์ด้านรักษาเท้า D.PM. (Doctor of Podiatric Medicine) โดยอาชีพนี้ไม่เป็นที่น่ารังเกียจแต่อย่างใดแถมยังมีรายได้ดีอีกต่างหาก และสำนักงานสถิติแรงงานก็ได้ประมาณการเอาไว้ว่า อาชีพหมอรักษาโรคเท้านี้จะมีอัตราการเติบโตที่ค่อนข้างสูงในอีก 8 ปีข้างหน้า โดยสูงถึง 23% รองจากวิศวปิโตรเลียม เนื่องจากในอนาคตจะมีความต้องการแพทย์เฉพาะทางด้านนี้มากขึ้น ในการดูแลสุขภาพประชากรผู้สูงอายุของประเทศเกี่ยวกับปัญหาข้อเท้า และเข่า
       
      อันดับที่ 8 : เภสัชกร (Pharmacist)
       
       เงินเดือนเฉลี่ยต่อปี : ประมาณ 3,719,788 บาท ($ 116,670)
       อัตราการเติบโตที่ได้คาดการณ์ไว้ในปี 2022 : 14%
       
       นอกจากแพทย์และทันตแพทย์ แล้วอีกหนึ่งวิชาชีพด้านสุขภาพที่สามารถสร้างรายได้ที่ค่อนข้างสูง นั่นก็คือ เภสัชกร ซึ่งกว่าจะมาเรียนเภสัชกรได้จะต้องสอบผ่าน Pharmacy College Admission Test (PCAT) รวมทั้งต้องผ่านโปรแกรมเภสัชวิทยา (pharmacological program) และข้อสอบของรัฐบาล เรียกได้ว่ากว่าจะมาเป็นเภสัชกรได้ไม่ใช่เรื่องง่ายเลย ดังนั้นค่าตอบแทนในสาขาอาชีพนี้จึงค่อนข้างสูง และมีอัตราการเติบโตในอนาคตที่ดีอีกด้วย
       
      อันดับที่ 7 : เจ้าหน้าที่ควบคุมการจราจรทางอากาศ (Air traffic controller)
       
       เงินเดือนเฉลี่ยต่อปี : ประมาณ 3,906,623 บาท ($ 122,530)
       อัตราการเติบโตที่ได้คาดการณ์ไว้ในปี 2022 : 1%
       
       เจ้าหน้าที่ควบคุมการจราจรทางอากาศ หรือ Air Traffic Controller (ATC) ทำหน้าที่ประสานงานกับนักบิน เพื่อคอยแจ้งข้อมูลต่างๆ เกี่ยวกับการบินในแต่ละ Flight ตั้งแต่ขณะเครื่องจอด,เครื่องขึ้น, กำลังบิน,นำเครื่องลง จนถึง เครื่องจอด เจ้าหน้าที่จะต้องแจ้งข้อมูลทุกอย่างที่นักบินร้องขอ ไม่ว่าจะเป็น จัดสรรการจราจรบนอากาศ หรือ จัดคิวการขึ้นลงของเครื่องบิน เป็นต้น ถึงแม้จะมีรายได้ที่ค่อนข้างสูงติดอยู่ในอันดับที่ 7 แต่ถ้าดูจากอัตราการเติบโตในอีก 8 ปีข้างหน้าแล้วถือว่าน้อยมากมีเพียง 1% เท่านั้น
       
       อันดับที่ 6 : วิศวกรปิโตรเลียม (Petroleum Engineer)
       
       เงินเดือนเฉลี่ยต่อปี : ประมาณ 4,153,716 บาท ($ 130,280)
       อัตราการเติบโตที่ได้คาดการณ์ไว้ในปี 2022 : 26%
       
       วิศวกรรมเป็นอีกหนึ่งงานที่มีการเติบโตที่ค่อนข้างสูงในกว่าทศวรรษที่ผ่านมา และวิศวปิโตรเลียมก็เป็นอีกสายอาชีพหนึ่งในสาขาวิศวกรรมที่มีการเติบโตเป็นแบบก้าวกระโดดเลยก็ว่า เป็นอาชีพอันดับหนึ่งที่มีอัตราการเติบโตที่คาดการณ์ไว้ในปี ค.ศ.2022 สูงถึง 26% ซึ่งสำนักงานสถิติแรงงานยังได้คาดการณ์ว่าในอนาคตโครงการขุดเจาะน้ำมันที่จะมีมากขึ้น จึงต้องการผู้เชี่ยวชาญในด้านวิศวปิโตรเลียมนี้สูงตามไปด้วย
       
      อันดับที่ 5 : ทันตแพทย์ (Dentist)
       
       เงินเดือนเฉลี่ยต่อปี : ประมาณ 4,665,757 บาท ($ 146,340)
       อัตราการเติบโตที่ได้คาดการณ์ไว้ในปี 2022 : 16%
       
       ทันตแพทย์ เป็นวิชาชีพที่ต้องใช้ทั้งศาสตร์และศิลปะ อาชีพทันตแพทย์จัดได้ว่าเป็นวิชาชีพที่ไม่ตกงาน มีเกียรติ รายได้ดี โดยเฉพาะในต่างประเทศ ดังนั้นจึงไม่น่าแปลกใจที่หมอรักษาฟันจะมีรายได้เฉลี่ยต่อปีสูงจนติดอยู่ในอันดับที่ 5 โดยมีรายได้เฉลี่ยสูงถึง 4,665,757 บาท ต่อปี คุ้มกับการเรียนอย่างหนัก อีกทั้งในอนาคตทันตแพทย์ก็ยังเป็นที่ต้องการอีกมากการเติบโตสูง เรียกได้ว่าเรียนไปไม่มีตกงานอย่างแน่นอน
       
       อันดับที่ 4 : ทันตแพทย์จัดฟัน (Orthodontist)
       
       เงินเดือนเฉลี่ยต่อปี : ประมาณ 4,760,449 บาท ($ 149,310)
       อัตราการเติบโตที่ได้คาดการณ์ไว้ในปี 2022 : 16%
       
       ทันตแพทย์ในสหรัฐอเมริกา เป็นอีกอาชีพหนึ่งที่มีค่าตอบแทนสูงมาก โดยเฉพาะทันตแพทย์จัดฟันมีรายได้เฉลี่ยต่อปีสูงถึง $ 149,310 หรือ ประมาณ 4,760,449 บาท เรียกได้ว่าในต่างประเทศแพทย์ในสายทันตกรรมจะมีรายได้ที่สูงมาก รวมถึงอัตราการเติบโตก็สูงตามไปด้วย ทั้งอันดับ 4 และอันดับ 5 ก็ยังคงเป็นอาชีพทันตแพทย์แต่จะแตกต่างกันในเรื่องของรายได้อยู่เพียงเล็กน้อย และมีเปอร์เซนต์อัตราการเติบโตเท่ากันที่ 16% ในอีก 8 ปีข้างหน้า
       
       อันดับที่ 3 : จิตแพทย์ (Psychiatrist)
       
       เงินเดือนเฉลี่ยต่อปี : ประมาณ 5,705,461 บาท ($ 178,950)
       อัตราการเติบโตที่ได้คาดการณ์ไว้ในปี 2022 : 18%
       
       ด้วยความที่ประเทศสหรัฐอเมริกาเป็นเมืองใหญ่ที่มีภาวการณ์แข่งขันสูง เต็มไปด้วยความหลากหลาย มีปัจจัยเสี่ยงมากมายที่ก่อให้เกิดความเครียดให้กับประชากรภายในประเทศ นั่นจึงทำให้อาชีพจิตแพทย์เป็นงานที่สำคัญ และเป็นที่ต้องการมากในปัจจุบัน รวมไปถึงอนาคต หน้าที่หลักๆ ของจิตแพทย์ก็คือ ช่วยตอบคำถามที่เป็นข้อสงสัย และช่วยด้านจิตใจของผู้ป่วย ซึ่งไม่ได้หมายความว่าเขาเป็นบ้าหรือสติไม่ดี เพียงแค่ต้องการที่พึ่งทางใจเท่านั้น
       
      อันดับที่ 2 : แพทย์ (เวชปฏิบัติทั่วไป) (Physician-General Practice)
       
       เงินเดือนเฉลี่ยต่อปี : ประมาณ 5,968,496 บาท ($ 187,200)
       อัตราการเติบโตที่ได้คาดการณ์ไว้ในปี 2022 : 18%
       
       อันดับที่ 2 สำหรับอาชีพรายได้สูงในสหรัฐอเมริกาก็ยังไม่พ้นอาชีพในทางการแพทย์ “Physician (General Practice)” หรือแพทย์ทั่วไป เพราะกว่าจะเรียนจบด้านการแพทย์ได้นั้น ไม่ใช่เรื่องง่ายเลยสักนิด ในสหรัฐอเมริกานักศึกษาจะต้องจบการศึกษาในระดับปริญญาตรีก่อน แล้วจึงมาศึกษาต่อด้านแพทย์ศาสตร์ดังนั้นจะต้องเรียน Pre-med เป็นเวลา 3-4 ปี ก่อนจะเข้าเรียนเป็นหมอจริงๆ ได้ ซึ่งมาตรฐานนี้ถูกบังคับโดยสมาพันธ์วิทยาลัยแพทย์ในสหรัฐอเมริกา Association of American Medical Colleges (AAMC) นอกจากเรียนหนักแล้ว การฝึกปฏิบัติก็โหดหินไม่แพ้กัน ค่าตอบแทนจึงค่อนข้างสูงมาก แม้จะเป็นอาชีพที่มีรายได้สูง แต่ในหลายๆ พื้นที่ของโลกก็ยังขาดแคลนแพทย์กันอยู่ไม่น้อย จึงเห็นได้ว่าอัตราการเติบโตของแพทย์ในปี ค.ศ.2022 ถึง 18% เลยทีเดียว
       
       อันดับที่ 1 : ศัลยแพทย์ (Surgeon)

       เงินเดือนเฉลี่ยต่อปี : ประมาณ 7,433,519 บาท ($ 233,150)
       อัตราการเติบโตที่ได้คาดการณ์ไว้ในปี 2022 : 18%
       
       ศัลยแพทย์ หรือ ‘หมอผ่าตัด’ จัดว่าเป็นอาชีพทางการแพทย์ที่มีรายได้สูงสุด สามารถสร้างรายได้เฉลี่ยกว่่า 7 ล้านบาทต่อปี และศัลยแพทย์ยังแบ่งย่อยออกไปอีกหลายแขนง เช่น ประสาทศัลยแพทย์, ศัลยแพทย์อุบัติเหตุ, กุมารศัลยศาสตร์ และศัลยแพทย์ตกแต่งและเสริมสร้าง หรือที่เรียกกันว่า หมอเสริมความงาม นั่นเอง ซึ่งศัลยแพทย์ที่เชี่ยวชาญแต่ละด้านนี้จะมีนัยสำคัญต่อรายได้ขึ้นอยู่กับพื้นที่ความสำคัญ แม้ว่าศัลยแพทย์จะมีความแต่ต่างกันเล็กน้อย แต่ค่าเฉลี่ยของอัตราเงินเดือนทั่วไปจะอยู่ที่เลขหกหลักทุกแขนง ถือว่าเป็นอาชีพที่มีรายได้ดีที่สุดในสหรัฐอเมริกาตอนนี้

       แหล่งข้อมูล :
       http://blogs.wsj.com/atwork/2014/08/13/the-10-best-paying-jobs-of-2014/
       http://www.careercast.com/jobs-rated/best-paying-jobs-2014

 ASTVผู้จัดการออนไลน์    15 สิงหาคม 2557

58
 เอเอฟพี - อินเดียร้องขอให้ เป๊ปซีโค บริษัทน้ำอัดลมยักษ์ใหญ่ของสหรัฐฯลดปริมาณน้ำตาลในเครื่องดื่มที่ไม่มีส่วนผสมของแอลกอฮอล์ ขณะที่แดนภารตะกำลังต่อสู้กับระดับโรคเบาหวานและโรคอ้วนที่กำลังเพิ่มขึ้นทุกขณะ
       
       อินทรา นูยี ประธานบริษัท เป็ปซีโค เข้าพบ หรสิมรัต กอร์ บดัล รัฐมนตรีกระทรวงอุตสาหกรรมแปรรูปอาหารระหว่างการเยือนอินเดียเมื่อวันอังคาร (26) เพื่อหารือถึงแผนการของบริษัทสำหรับหาทางเลือกที่ดีต่อสุขภาพมากขึ้นและเรื่องการลงทุนในอินเดีย
       
       “บริษัท เป็ปซีโค ได้รับคำร้องขอให้ลดปริมาณน้ำตาลในเครื่องดื่มให้น้อยลงกว่านี้ เพื่อให้ประเด็นด้านสุขภาพของผลิตภัณฑ์ประเภทนี้ได้รับการดูแลอย่างเหมาะสม” ทางกระทรวงกล่าวในถ้อยแถลงหลังเสร็จสิ้นการพบปะดังกล่าว
       
       เมื่อเอเอฟพีติดต่อสอบถามไปเมื่อวันพุธ (27) ทางบริษัทยังไม่พร้อมให้ความคิดเห็นใดๆ
       
       ภาวะพร่องโภชนาการยังคงเป็นปัญหาใหญ่ในอินเดีย แต่การบริโภคฟาสต์ฟูดและน้ำอัดลมกลับเพิ่มขึ้นในหมู่ชนชั้นกลางเพราะรายที่ได้สูงขึ้น ทำให้ระดับโรคอ้วนและโรคเบาหวานเพิ่มขึ้นเป็นเงาตามตัว
       
       บริษัทน้ำอัดลมยักษ์ใหญ่แห่งนี้กำลังแทนที่น้ำตาลบางส่วนในน้ำอัดลมด้วยสเตเวีย สารให้ความหวานธรรมชาติที่ถูกใช้อย่างแพร่หลายในยุโรปและบางส่วนของเอเชีย
   
       อย่างไรก็ตาม เป็ปซีไม่สามารถทำเช่นนั้นได้ในแดนภารตะ เพราะว่าสารดังกล่าวไม่ได้รับการรับรองสำหรับการบริโภค
       
       บริษัทน้ำอัดลมยักษ์ใหญ่แห่งนี้ ซึ่งจัดจำหน่วย เซเว่นอัพ , มิรินด้า และเมาน์เทนดิว รวมถึงเป็ปซีในอินเดีย พร้อมด้วยบรรดาบริษัทที่เป็นหุ้นส่วนด้านการบรรจุขวด มีแผนที่จะขยายกำลังผลิตเพิ่มเป็น 2 เท่าในประเทศนี้ภายในปี 2020
       
       นูยี กล่าวว่าเป็ปซีโค ซึ่งเป็นบริษัทเครื่องดื่มที่ใหญ่เป็นอันดับสองของโลก มีเป้าหมายที่จะเพิ่มการลงทุนในประเทศที่มีเศรษฐกิจใหญ่เป็นอันดับ 3 ของเอเชียแห่งนี้เป็นอีกเท่าตัว
       
       เมื่อปีที่แล้ว เธอประกาศว่า เป็ปซีจะลงทุน 5,500 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ (ราว 175,532 ล้านบาท) ในอินเดียภายในปี 2020
       
       การบริโภคเครื่องดื่มที่ไม่มีส่วนผสมของแอลกอฮอล์ในอินเดียยังคงอยู่ในระดับต่ำหากเปรียบเทียบกับชาติเพื่อนบ้านในเอเชีย จึงทำให้ตลาดแห่งนี้มีความน่าสนใจเป็นพิเศษ
       
       เป็ปซีเข้ามาสู่ประเทศนี้ ในช่วงที่อินเดียได้เปิดรับบริษัทต่างชาติตลอดช่วง 2 ทศวรรษที่แล้ว
       
       ปัจจุบัน เป็ปซีมีโรงงานบรรจุขวด 38 แห่งและโรงงานอาหาร 3 แห่งในแดนภารตะ

 ASTVผู้จัดการออนไลน์    27 สิงหาคม 2557

59
มีคนถาม นพ.แอนดรู ไวล์ ผู้เชี่ยวชาญด้านสุขภาพแบบองค์รวมว่า “ทำอย่างไร เราจึงจะมีสุขภาพดี ไม่เป็นโรค และอายุยืน 100 ปี”
       
       หมอไวล์ตอบว่า การมีสุขภาพดี เราสามารถสร้างได้ด้วยตัวเอง โดยอาศัยเสาหลักสุขภาพ 5 ต้น กล่าวคือ
       
       1. การกินอาหารให้ถูกต้อง กินอาหารที่มีพืช ผักผลไม้ เป็นส่วนใหญ่ กินเนื้อสัตว์ปานกลาง กินไขมัน แป้ง น้ำตาล ให้น้อย
       2. ออกกำลังกายให้สม่ำเสมอ
       3. ฝึกเทคนิคเพื่อลดความเครียด
       4. ให้มีสังคมอยู่กันแบบกลุ่มเกื้อกูล ไม่อยู่แบบโดดเดี่ยว
       5. ให้ปฏิบัติธรรม เช่น ใช้ชีวิตแบบเรียบง่าย ไหว้พระ สวดมนต์ ไปวัด ฝึกสมาธิ ฝึกการเจริญสติ เป็นต้น
       
       เสาหลักสุขภาพเหล่านี้ มาจากงานวิจัยทางการแพทย์ พบว่า ปัจจัยเหล่านี้มีผลดีต่อสุขภาพ ช่วยให้สุขภาพดี ไม่เป็นโรค และอายุยืน (www.youtube.com/andrew weil/five pillars of good health)
       
       ปัจจุบัน คนในโลกนี้มีอายุยืนขึ้นมาก อายุเฉลี่ยก็สูงขึ้น จากการจัดอันดับอายุเฉลี่ยคนในประเทศต่างๆ ของสำนักข่าวกรองกลาง สหรัฐอเมริกา ในปี พ.ศ. 2550 ดังนี้
       
       คนโมนาโก อายุเฉลี่ยสูงสุด คือ 89.68 ปี คนมาเก๊า 84.43ปี คนญี่ปุ่น 83.91 ปี คนสิงค์โปร์ 83.75 ปี คนซานมาริโน 83.03 ปี สำหรับประเทศไทย ประชากรอายุเฉลี่ยอยู่ที่ 73.83 ปี เป็นอันดับที่ 114 จาก 222 ประเทศ (www.thaihealth.co.th)
       
       นอกจากนั้น ตัวเลขขององค์การสหประชาชาติ สำรวจในปี ค.ศ. 2012 มีคนอายุ 100 ปีขึ้นไปทั่วโลก316,600 คน ที่ยังมีชีวิตอยู่ กระจายอยู่ในประเทศต่างๆทั่วโลก เช่น อเมริกา 53,364 คน ญี่ปุ่น 51,376 คน จีน 48,921 คน บราซิล 23,760 คน อิตาลี 12,756 คน อังกฤษ 12,640 คน ฝรั่งเศส 20,160 คน นี่เป็นการสำรวจในช่วงปี ค.ศ. 2010-2013 (www.Wikipedia.org/centenarian)
       
       สำหรับในประเทศไทยเราก็มีคนอายุยืนเกิน 100 ปีอยู่ประมาณ 2,000คน (www.thaicentenarian.mahidol.ac.th) นับว่ามากอยู่เหมือนกัน
       
       บรรดานักวิทยาศาสตร์ด้านสุขภาพ นักมานุษยวิทยา มีความสนใจว่า คนเหล่านี้มีวิถีชีวิตหรือมีปัจจัยอะไรที่ทำให้อายุยืนได้ถึงร้อยปี
       
       ดังนั้น จึงมีสถาบันการศึกษาหลายแห่งได้ทำการศึกษาวิจัยในคนกลุ่มนี้ ที่เรียกว่า “คนร้อยปี” หรือ “ศตวรรษิกชน” อย่างกว้างขวาง
       
       ขอยกตัวอย่างโปรแกรมของประเทศญี่ปุ่น ที่เรียกว่า “โอกินาวาโปรแกรม” ซึ่งได้ทำการศึกษาคนร้อยปี บนเกาะโอกินาวา อันเป็นแหล่งที่มีคนอายุ 100 ปีมากที่สุดในโลก
       
       คนญี่ปุ่นเป็นเชื้อชาติที่มีคนอายุยืนยาวที่สุดในโลก มีคนอายุ 100 ปี จำนวน 50 คนต่อประชากร 100,000คน ในขณะที่อเมริกามี 10-20คนต่อประชากร 100,000คน ถึงแม้ว่าจะมีจำนวนรวมใกล้เคียงกันคือ ราว 50,000คนเศษ
       
       จริงๆแล้ว คนอายุ 100 ปี ก็มีทั่วไปในญี่ปุ่น แต่ที่มีหนาแน่นก็คือเกาะโอกินาวา ทางตอนใต้ของญี่ปุ่น เกาะนี้อยู่ห่างจากฝั่ง 360ไมล์ ห่างจากกรุงโตเกียว 1,000ไมล์ ภูมิอากาศอบอุ่น มีชายหาดยาวตลอด ปกคลุมไปด้วยต้นปาล์ม
       
       กระทรวงสาธารณสุขของญี่ปุ่นได้ให้ทุนเพื่อศึกษาเรื่องคนร้อยปี เพื่อที่จะได้ทราบถึงปัจจัยที่ทำให้คนอายุยืน โดยมี ดร.มาโกโตะ ซูซูกิ (Makoto Suzuki) ผู้อำนวยการศูนย์เวชศาสตร์ชุมชน มหาวิทยาลัยริวกิว โอกินาวา และผู้อำนวยการศูนย์ศึกษาคนร้อยปี ของมหาวิทยาลัยโอกินาวา (Okinawa Cetenarian Study, www.okicent.org) ร่วมวิจัยกับทีมของ ดร.เบรดลี่ วิลค็อก และ ดร.เคร็ก วิลค็อก แพทย์ชาวแคนาดา พี่น้องฝาแฝด ซึ่งได้รับทุนจากกระทรวงสาธารณสุขสหรัฐอเมริกา เพื่อร่วมวิจัยในโครงการศึกษาคนร้อยปีที่โอกินาวา
       
       โครงการนี้เป็นการศึกษาวิจัยต่อเนื่องตั้งแต่ปี ค.ศ. 1977 จนถึงปัจจุบัน เป็นเวลา 36 ปี ทำให้ได้ทราบข้อมูลที่เป็นประโยชน์ในด้านต่างๆจำนวนมาก ดังนี้
       
       1. ปัจจัยด้านพันธุกรรม พบว่า คนร้อยปีชาวโอกินาวา ก็มีลูกหลาน หรือพ่อแม่ของเขาก็มีอายุยืนด้วยเหมือนกัน ปัจจัยทางกรรมพันธุ์จึงมีผลให้อายุยืน ร้อยละ 25
       
       นอกจากนั้น เป็นเรื่องของการใช้ชีวิต ร้อยละ 75 เช่น อาหาร การออกกำลังกาย ด้านสังคม ด้านการเกื้อกูลทางจิตใจก็มีส่วนทำให้คนโอกินาวาอายุยืน
       
       2. อาหารของชาวโอกินาวา จำพวกพืชผักผลไม้ เช่น หัวไช้เท้า กระเทียม ต้นหอม กล่ำปลี ขมิ้น มะเขือเทศ เครื่องเทศ เป็นต้น รวมทั้ง เต้าหู้ เห็ด ข้าวไม่ขัดขาว เผือก มันฝรั่ง ถั่ว สาหร่ายทะเล ปลาทะเล และเนื้อแดงไม่มาก
       
       คนโอกินาวายึดถือหลักที่เรียกว่า “ฮาระ ฮาจิ บุ” คือ กินแค่อิ่มก็พอ ส่วนใหญ่เขาจะปลูกพืชผักผลไม้กินเอง ดื่มชา ดื่มสาเกผสมสมุนไพร อาหารเหล่านี้ให้พลังงานต่ำ เมื่อเจาะเลือดตรวจดูพบว่า คนที่นี่มีสารอนุมูลอิสระในเลือดค่อนข้างต่ำ
       
       3. คนโอกินาวาเป็นโรคหัวใจและหลอดเลือด โรคมะเร็ง โรคอัมพฤกษ์อัมพาต ในอัตราที่ต่ำ และมีไขมันในเลือดต่ำมาก เมื่อเทียบกับคนในโลกตะวันตก
       
       นอกจากนั้นโรคสมองเสื่อม ความจำเสื่อม หรือกระดูกบาง และกระดูกสะโพกหักในคนสูงอายุ ก็พบน้อย
       
       4. คนโอกินาวามีรูปร่างผอมบาง ดัชนีมวลกายอยู่ระหว่าง 18-22 ซึ่งถือว่าน้อย เพราะพวกเขากินอาหารพลังงานต่ำจำนวนน้อย และทำงานในอาชีพตลอดชีวิต มีการเคลื่อนไหว เดินออกกำลังกายในตอนเช้า ไม่ค่อยอยู่บ้านเฉยๆ อันนี้เป็นจุดเด่น
       
       5. คนโอกินาวาจะทำสวนผักผลไม้ไว้กินเอง การทำสวนทำให้เขาได้ออกกำลังกาย ได้รับแสงแดดซึ่งให้วิตามินดี ทำให้กระดูกไม่บาง ไม่หักง่าย พวกเขามีผักผลไม้ไว้รับประทาน ช่วยให้ได้วิตามิน เกลือแร่ สารต้านอนุมูลอิสระจากธรรมชาติ ป้องกันมะเร็ง
       
       6. สตรีสูงอายุที่นี่ มีอาการในวัยทองต่ำ อาจจะเนื่องจากกินอาหารพวกเต้าหู้ ผักผลไม้ ถั่ว ซึ่งทำให้ได้รับฮอร์โมนเพศหญิง ซึ่งมีอยู่สูงในสารอาหารเหล่านี้
       
       เมื่อเจาะเลือดพบว่า ชาวโอกินาวาสูงอายุมีฮอร์โมนเพศหญิง เพศชาย และDHEA มากกว่าชาวอเมริกัน ฮอร์โมนเหล่านี้ช่วยให้แก่ช้าลง กล้ามเนื้อมีกำลัง ไม่ลีบ ผมไม่หงอกเร็ว ไม่เสื่อมสมรรถภาพทางเพศเร็ว ผิวหนังไม่เหี่ยวเร็ว เสียงไม่แหบ
       
       สุภาพสตรีที่เกาะแห่งนี้มีการออกกำลังกายแบบพื้นเมือง เช่น เต้นรำ การฝึกวิชาต่อสู้ป้องกันตนเองแบบดั้งเดิม ทำสวน เดินเล่น เป็นประจำ อันนี้ช่วยให้ร่างกายแข็งแรง
       
       คนร้อยปีที่โอกินาวา ร้อยละ 90 เป็นเพศหญิง สามารถช่วยตนเองได้ ในการทำกิจกรรมในชีวิตประจำวัน ร่างกายยังเคลื่อนไหวได้ดี ความจำยังดีมาก เป็นผู้สูงอายุที่มีคุณภาพชีวิตสูง
       
       7. ในด้านจิตใจ พบว่า คนโอกินาวามีชีวิตที่เรียบง่าย เชื่องช้า ไม่รีบร้อนไปไหน อยู่และทำงานที่บ้าน คนโอกินาวาเรียกว่า “เทเก” คือ ง่ายๆ สบายๆ
       
       คนที่นี่ไม่ค่อยมีความทะเยอทะยานอะไรมากนัก ซึ่งต่างกับบุคลิกชาวตะวันตก ที่เรียกว่า “บุคลิกแบบเอ” คือ บุคลิกรีบเร่ง ชอบแข่งขัน ไม่อดทน ไม่เป็นมิตร เครียดง่าย รอนานๆไม่ได้ มีความทะเยอทะยานสูง อันเป็นบุคลิกของคนที่เป็นโรคหัวใจ และโรคเรื้อรังต่างๆได้มาก ซึ่งนพ.เฟรดแมน และโรเซนแมนด์ เคยทำวิจัยไว้
       
       ถึงแม้ปัจจุบันศาสนาจะมีบทบาทน้อยในวิถีชีวิตของชาวโอกินาวา แต่ก็ยังมีความเชื่อและพิธีกรรมเก่าแก่ให้เห็น เช่น พิธีสวดให้เทพเจ้าและบรรพบุรุษ ซึ่งพวกเขาเชื่อว่าจะช่วยให้พวกเขามีความสุข ไม่เจ็บป่วย และอายุยืน พวกเขาเชื่อว่า เทพเจ้าและบรรพบุรุษกำลังมองดูพวกเขาและคอยช่วยเหลืออยู่
       
       คนโอกินาวานอกจากสวดมนต์เป็นประจำแล้ว ยังมีแนวคิดดั้งเดิม ที่เรียกว่า “ยุยมารุ” คือ การแบ่งปันและช่วยเหลือผู้อื่น มีการรวมกลุ่มในลักษณะเครือข่ายบำบัด ให้ความช่วยเหลือในด้านสังคม ด้านการเงิน ความเจ็บป่วย ค่าใช้จ่ายต่างๆ ให้กำลังใจเอื้ออาทรซึ่งกันและกัน
       
       การรวมกลุ่มแบบนี้เรียกว่า “โมเอะ” คือ การรวมกลุ่มมิตรภาพเพื่อช่วยเหลือกันเกื้อกูลในด้านต่างๆ
       
       นพ.มาโกโตะ ซูซูกิ เป็นศาสตราจารย์ด้านโรคหัวใจ และผู้สูงอายุ ภาควิชาเวชศาสตร์ชุมชน มหาวิทยาลัยริวกิว โอกินาวา และผู้อำนวยการศูนย์วิจัยคนร้อยปีโอกินาวา มหาวิทยาลัยนานาชาติโอกินาวา ซึ่งได้รับทุนสนับสนุนจากกระทรวงสาธารณสุข ญี่ปุ่น
       
       โครงการนี้ทำงานวิจัยต่อเนื่องมา 36 ปี นพ.ซูซูกิมีผลงานวิจัยไม่น้อยกว่า 200 ชิ้น รวมทั้งเขียนหนังสือ จัดการประชุมวิชาการระดับนานาชาติมากมาย
       
       • นพ.เคร็ก วิลค็อก เรียนจบปริญญาตรีทางด้านมานุษยวิทยาทางการแพทย์ มหาวิทยาลัยแคลกาลี แคนาดา จบปริญญาโทด้านสาธารณสุขศาสตร์ และเวชศาสตร์ผู้สูงอายุ มหาวิทยาลัยริวกิว ญี่ปุ่น จบปริญญาเอกด้านสาธารณสุข มหาวิทยาลัยโทรอนโต แคนาดา
       
       เขาสนใจทำวิจัยในผู้สูงอายุในด้านต่างๆ เช่น นิเวศน์วิทยา พันธุกรรม วิถีชีวิต โภชนาการของผู้สูงอายุ
       
       ปัจจุบัน เขาเป็นศาสตราจารย์ด้านสาธารณสุขศาสตร์และเวชศาสตร์ผู้สูงอายุ มหาวิทยาลัยนานาชาติ โอกินาวา เขาเข้าร่วมในการทำวิจัยคนร้อยปี โอกินาวา มีผลงานวิจัยและเขียนหนังสือในด้านเวชศาสตร์ผู้สูงอายุจำนวนมาก รวมทั้งร่วมเขียนหนังสือ The Okinawa Program ซึ่งเป็นหนังสือขายดีที่สุด ของนิวยอร์ค ไทม์ ในปี 2001
       
       • นพ.เบรดลี่ วิลค็อก เป็นผู้อำนวยการร่วมในการทำวิจัยโครงการคนร้อยปีโอกินาวา มหาวิทยาลัยโอกินาวา ซึ่งได้รับทุนจากกระทรวงสาธารณสุข สหรัฐอเมริกา
       
       เขาจบปริญญาตรีและโทด้านวิทยาศาสตร์จากมหาวิทยาลัยแคลกาลี แคนาดา จบแพทย์ศาสตร์ที่มหาวิทยาลัยโทรอนโต และมาต่อทางด้านอายุรศาสตร์ที่เมโยคลินิก และเวชศาสตร์ผู้สูงอายุที่มหาวิทยาลัยฮาร์วาร์ด
       
       เขาทำวิจัยในผู้สูงอายุ ในแง่มุมต่างๆ ทั้งด้านสุขภาพ ด้านโภชนาการ และที่โดดเด่นคือเรื่องคนร้อยปี ซึ่งทำให้เขาได้รับรางวัลวิจัยทางวิชาการแพทย์มากมาย
       
       ปัจจุบัน เขาเป็นรองศาสตราจารย์ด้านเวชศาสตร์ผู้สูงอายุ ศูนย์การแพทย์ควีน ฮอนโนลูลู รัฐฮาวาย สหรัฐอเมริกา
       
       ท่านสามารถดูรายละเอียดผู้วิจัยและโครงการวิจัยได้ใน www.orcls.org และฟังคำบรรยายใน www.youtube.com/Dr.Bradley willcox on the longevity of Okinawans และเรื่อง The secrets of long life in Okinawa, เรื่อง Part 1 How to live to 101 BBC Horizon.
       
       (จาก นิตยสารธรรมลีลา ฉบับที่ 159 มีนาคม 2557 โดย นพ.แพทย์พงษ์ วรพงศ์พิเชษฐ)

 ASTVผู้จัดการออนไลน์    4 มีนาคม 2557

60
สมอไทย มีชื่อวิทยาศาสตร์ คือ Terminalia Chebula Retz ชื่อภาษาอังกฤษว่า Myrobalan Wood, Chebulic Myrobalans มีชื่อเรียกอื่นๆ เช่น สมอไทย สมออัพยา(ภาคกลาง) และมีชื่อในภาษาสันสกฤตว่า ฮาริตากิ(Haritaki)
       
       ลักษณะเป็นไม้ยืนต้นขนาดกลางถึงใหญ่ สูงประมาณ 15-30 เมตร ลำต้นขรุขระ ใบเป็นใบเดี่ยว รูปรี เรียงตรงข้าม ดอกมีขนาดเล็กสีขาวหรือเหลืองอ่อน กลิ่นหอม ออกรวมกันเป็นช่อยาว ผลรูปป้อมๆ ภายในมีเมล็ดเดียวแข็งๆ ผลแก่สีเขียวอมเหลือง เมื่อแห้งจะเปลี่ยนเป็นสีดำ
       
       หมอพื้นบ้านมักนำดอก ผล หรือแม้แต่เปลือกต้น มาใช้ทำยา เพราะในสารสกัดจากสมอไทยมีสารแทนนิน (Tannin) อยู่มาก ซึ่งมีฤทธิ์ในการกำจัดสารพิษ และบำบัดโรคหลายชนิด จึงสามารถใช้เป็นยาสมาน แก้ลม จุกเสียด ช่วยเจริญอาหาร ขับน้ำเหลืองเสีย รักษาโรคฟันและเหงือกเป็นแผล เป็นยาระบายอ่อนๆ แก้พิษร้อนภายใน แก้ลมป่วง ระบายลม ควบคุมธาตุในตัว ถ่ายพิษไข้ และยังใช้เป็นยาภายนอก โดยนำผลมาบดให้เป็นผงจนละเอียดแล้วโรยใส่แผลเรื้อรัง
       
       ในตำรับยาไทย สมอไทยจัดอยู่ในยาสมุนไพร พิกัดตรีผลา การจำกัดจำนวนผลไม้ 3 อย่าง คือ ลูกสมอพิเภก ลูกสมอไทย ลูกมะขามป้อม พิกัดตรีสมอ การจำกัดจำนวนสมอ 3 อย่าง คือ สมอพิเภก สมอไทย และสมอเทศ พิกัดตรีฉันทลามก การจำกัดจำนวนตัวยาแก้ธาตุลามกให้ตกไป 3 อย่าง คือโกฐน้ำเต้า สมอไทย และรงทอง
       
       เนื่องจากสมอไทยมีสรรพคุณทางยามากมายที่มีคุณสมบัติป้องกันและรักษาสารพัดโรค เช่น โรคมะเร็ง โรคตับ โรคติดเชื้อ โรคภูมิแพ้ หอบหืด ท้องผูกเรื้อรัง ท้องเสีย ลดไขมันและน้ำตาลในเลือด กำจัดสารพิษออกจากร่างกาย มีสารต้านอนุมูลอิสระ ช่วยชะลอความชรา ต้านไวรัส แบคทีเรีย ต้านการอักเสบ และอุดมด้วยวิตามิน แร่ธาตุที่มีประโยชน์ต่อร่างกายหลายชนิด เช่น วิตามินเอ วิตามินซี แคลเซียม และฟอสฟอรัส เป็นต้น เรียกว่ามีสรรพคุณครอบจักรวาล ในอินเดียจึงถือว่าสมอไทยเป็น “ราชาสมุนไพร” กระทั่งมีคำกล่าวในชมพูทวีปว่า “หากใครไม่มีแม่คอยดูแล มีแค่สมอไทยก็ไม่ต้องห่วงในเรื่องสุขภาพแล้ว” ขณะที่ชาวทิเบตก็ขนานนามสมอไทยว่า “ราชาแห่งยา”
       
       ตำรายาไทยได้กล่าวไว้ว่า รสของสมุนไพรจะบอกสรรพคุณของยา ยิ่งมีรสมากยิ่งดี สมอไทยก็มีรสชาติมาก ซึ่งมีสรรพคุณแตกต่างกัน ได้แก่
       
       รสเปรี้ยว : มีสรรพคุณกัดเสมหะ แก้ไอ แก้กระหายน้ำ ฟอกโลหิต แก้ประจำเดือนไม่ปกติ แก้โรคท้องผูก ชำระล้างเมือกมันในลำไส้
       
       รสฝาด : ช่วยสมานแผลในปากไปจนถึงแผลในกระเพาะลำไส้ แก้ท้องเสีย แก้บิด ซึ่งสรรพคุณของรสฝาดช่วยระงับการถ่าย และช่วยให้ถ่าย ดังนั้น เมื่อรสเปรี้ยวและรสฝาดของสมอไทยมาอยู่รวมกัน จึงทำให้มีสรรพคุณเป็นทั้งยาระบาย และยาระงับการถ่ายไปในตัว
       
       รสหวาน : บำรุงกำลัง
       
       รสขม : แก้ไข้ บำรุงน้ำดี ถอนพิษ ช่วยเจริญอาหาร
       
       รสเผ็ด : ขับลมในกระเพาะ ลำไส้ แก้ปวดท้องจุกเสียด ช่วยย่อยอาหาร
       
       รสเค็ม : ช่วยให้ผิวพรรณเปล่งปลั่ง แก้ประดงน้ำเหลืองเสีย และรสเมา แก้พิษฝี พิษแมลงสัตว์กัดต่อย แก้พยาธิต่างๆ แก้ริดสีดวง ระงับประสาท ทำให้นอนหลับสบาย
       
       จากการวิจัยของสำนักงานคณะกรรมการวิจัยแห่งชาติ พบว่า สารสกัดสมอไทย สมอพิเภก และมะขามป้อม มีฤทธิ์ป้องกัน รักษาโรคมะเร็ง และยับยั้งการเจริญเติบโตของเซลล์มะเร็งทั้ง 6 ชนิด ได้แก่ มะเร็งเต้านม ปอด รังไข่ ปากมดลูก ตับ และลำไส้ โดยสมอไทยมีฤทธิ์เด่นในการฆ่าเซลล์มะเร็งปอด
       
       เมื่อไม่นานมานี้ สำนักงานข้อมูลสมุนไพร คณะเภสัชศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหิดล ได้ทำการวิจัยพบว่า สารเชบูลินิกในสมอไทย สามารถป้องกันและรักษาการเกิดแผลในกระเพาะอาหารได้
       
       (จาก นิตยสารธรรมลีลา ฉบับที่ 164 สิงหาคม 2557 โดย มีคณา)

ASTVผู้จัดการออนไลน์    1 สิงหาคม 2557

หน้า: 1 2 3 [4] 5 6 ... 13