แสดงกระทู้

This section allows you to view all posts made by this member. Note that you can only see posts made in areas you currently have access to.


Messages - patchanok3166

หน้า: 1 ... 6 7 [8] 9 10 ... 20
106
รศ. นพ. ปารยะ อาศนะเสน
ภาควิชาโสต นาสิก ลาริงซ์วิทยา
Faculty of Medicine Siriraj Hospital
คณะแพทยศาสตร์ศิริราชพยาบาล

 

1.หลีกเลี่ยงการดื่มน้ำอัดลม น้ำหวาน โอเลี้ยง ชาดำเย็น เครื่องดื่มที่ใส่นมข้นหวาน นมเปรี้ยว นมปรุงแต่งรสต่างๆ และเครื่องดื่มที่มีส่วนผสมของแอลกอฮอล์ เช่น ไวน์ เบียร์ วิสกี้ เนื่องจากมีแคลอรีสูงมาก ถ้าต้องการดื่มชาหรือกาแฟ ไม่ควรใส่น้ำตาล ครีมเทียม หรือนมข้นหวาน อาจใส่นมพร่องมันเนย หรือน้ำตาลเทียมแทน ถ้าต้องการดื่มน้ำอัดลม สามารถดื่มได้เฉพาะน้ำอัดลมที่ใส่น้ำตาลเทียม เช่น ไดเอทโค้ก เป็ปซี่แม็กซ์ หรือดื่มโซดาจืด ถ้าต้องการดื่มนม ควรเลือกนมพร่องมันเนย หรือนมที่มีไขมันต่ำ
 

2.หลีกเลี่ยงอาหารที่ปรุงด้วยกระทะ เช่น อาหารผัด อาหารทอดทุกชนิด ถ้าจำเป็นควรเลือกใช้น้ำมันพืช ควรรับประทานอาหารที่ปรุงด้วยการต้ม, นึ่ง, ปิ้ง, ย่าง, เผา, อบ เช่น แกงจืด แกงส้ม กับข้าว หลีกเลี่ยงแกงมันๆ เช่น แกงกะทิ ไม่ควรรับประทานอาหารประเภทแป้ง เช่น ข้าวสวย ขนมปัง หรือก๋วยเตี๋ยวในปริมาณที่มากเกินไป
 

3.ควรรับประทานผัก ผลไม้ และน้ำเปล่า เป็นปริมาณมากขึ้นในแต่ละมื้อ เช่น ส้ม กล้วย แอปเปิ้ล แตงโม ฝรั่ง ไม่ควรรับประทานผลไม้ที่มีรสหวานจัด เช่น ทุเรียน ลำไย ขนุน หรือผลไม้เชื่อม หรือผลไม้แห้งทุกชนิด
 

4.งดรับประทานขนมกินเล่น ขนมหวาน หรืออาหารที่มีกะทิหรือน้ำตาลมาก เช่น ทองหยิบ ทองหยอด ฝอยทอง ขนมปังหวาน เค้ก สังขยา ลูกกวาด ช็อกโกแล็ต คุกกี้ ไอศกรีม แกงบวด รวมทั้งของจุบจิบระหว่างมื้อ
AdvertisementReplay Ad
 

5.หลีกเลี่ยงการรับประทานอาหารที่มีโคเลสเตอรอลสูง หรือมีไขมันอิ่มตัวสูง เนื่องจากมีแคลอรี่สูง เช่น เนื้อมะพร้าว อาหารที่ประกอบจากกะทิ ไขมันสัตว์ เครื่องในและสมองสัตว์ ไข่แดง ไข่ปลาต่างๆ เนื้อสัตว์ที่มีมันปน อาหารที่มีส่วนประกอบของเนยสัตว์ หมูสามชั้น หมูบด ขาหมู หนังสัตว์ เช่น หนังหมู, เป็ด, ไก่ ไส้กรอก กุนเชียง อาหารทะเลบางชนิด เช่น กุ้ง ปู หอย ปลาหมึก ควรรับประทานปลา หรือเนื้อหมู, ไก่ หรือวัวที่ไม่ติดมัน
 

6.ไม่ควรรับประทานอาหารหรือขนม ของหวาน ขณะดูโทรทัศน์ ขณะอ่านหนังสือ หรือทำงานอื่น ควรรับประทานช้าๆ เคี้ยวนานๆ และควรดื่มน้ำเปล่าเป็นระยะๆ ควรลดปริมาณอาหารที่ทานในมื้อเย็น
 

7.ควรออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอ เป็นระยะเวลาติดต่อกัน วันละ20-30 นาที อย่างน้อยสัปดาห์ละ 3 – 4 ครั้ง โดยเป็นการออกกำลังกายที่ทำให้หัวใจเต้นเร็วขึ้น หายใจเร็วขึ้น (Aerobic exercise) เช่นวิ่ง เดินเร็ว ขึ้นลงบันได ว่ายน้ำ ขี่จักรยาน เตะฟุตบอล เล่นเทนนิส หรือแบดมินตัน พึงระลึกเสมอว่า การที่น้ำหนักจะลดลงได้ พลังงานที่ใช้ต้องมากกว่าพลังงานที่ได้รับ ถ้าไม่สามารถออกกำลังกายได้ หรือ ออกกำลังกายได้น้อย ต้องลดพลังงานที่ได้รับลง คือ ควบคุมปริมาณอาหาร ถ้าไม่สามารถควบคุมอาหารได้ ต้องเพิ่มการใช้พลังงาน คือ ออกกำลังกายให้มากขึ้น




18 พ.ย. 61 sanook.com

107

สปสช. ยกเลิกเรียกเก็บ “สำเนาบัตรประชาชน/ทะเบียนบ้าน” ตามนโยบายรัฐ ใน 3 ระบบ คือ 1. ขอลงทะเบียนเลือกหรือเปลี่ยนแปลงหน่วยบริการประจำ 2. ขอรับเงินช่วยเหลือเบื้องต้นตามมาตรา 41 และ 3. ระบบการร้องเรียนหรือขอความช่วยเหลือตามมาตรา 50(5) พร้อมประสานโรงพยาบาลรองรับ เน้นเชื่อมโยงระบบข้อมูล อำนวยความสะดวกประชาชนรับบริการ


นพ.ศักดิ์ชัย กาญจนวัฒนา เลขาธิการสำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ (สปสช.) กล่าวว่า ตามที่สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาระบบราชการ (ก.พ.ร.) ได้มีหนังสือแจ้งต่อหน่วยงานของรัฐ เรื่องมาตรการอำนวยความสะดวกและลดภาระแก่ประชาชน ให้ยกเลิกการเรียกเก็บสำเนาบัตรประชาชน รวมถึงสำเนาเอกสารที่ทางราชการออกให้ และให้เป็นการดำเนินการเชื่อมโยงข้อมูลภาครัฐ ตามมติ ครม. ที่ได้เห็นชอบ โดยดำเนินการให้แล้วเสร็จในวันที่ 5พฤศจิกายน 2561 ทั้งนี้ สปสช. ได้ทำการสำรวจกฎหมาย กฎระเบียบ ข้อบังคับและประกาศในความรับผิดชอบ พบว่า มี 3 ระบบการดำเนินการที่กำหนดให้ประชาชนต้องยื่นหรือส่งสำเนาเอกสารที่ทางราชการออกให้มาประกอบการพิจารณาเพื่อดำเนินการ ได้แก่ 1. ระบบการขอลงทะเบียนเลือกหรือเปลี่ยนแปลงหน่วยบริการประจำตามมาตรา 6 2. ระบบการขอรับเงินช่วยเหลือเบื้องต้นตามมาตรา 41 และ 3.ระบบการร้องเรียนหรือขอความช่วยเหลือตามมาตรา 50(5) ตาม พ.ร.บ. หลักประกันสุขภาพแห่งชาติ พ.ศ. 2545


ทั้งนี้ เพื่อให้เป็นไปตามนโยบายภาครัฐ สปสช. ได้มีการปรับเปลี่ยนระบบเพื่อยกเลิกการเรียกเก็บสำเนาบัตรประชาชน และสำเนาเอกสารที่ทางราชการออกให้ โดยในส่วนของระบบการขอลงทะเบียนเลือกหรือเปลี่ยนแปลงหน่วยบริการประจำตามมาตรา 6 สปสช. ได้มีหนังสือแจ้งไปยังหน่วยบริการและหน่วยรับลงทะเบียนประชาชนในระบบหลักประกันสุขภาพแห่งชาติทุกแห่ง ให้ยกเลิกการใช้สำเนาบัตรประชาชนและสำเนาทะเบียนบ้านแล้ว ขณะที่ระบบการขอรับเงินช่วยเหลือเบื้องต้นตามมาตรา 41 แนวทางปฏิบัติเดิมนั้น สปสช. มีแบบฟอร์มขอรับเงินช่วยเหลือเบื้องต้นที่กำหนดให้แนบสำเนาบัตรประชาชนและสำเนาทะเบียนบ้านด้วย สปสช. จึงได้มีการแก้ไขแบบฟอร์มขอรับเงินช่วยเหลือเบื้องต้นดังกล่าวแล้ว โดยไม่กำหนดให้ผู้บริการที่เสียหายต้องแนบสำเนาบัตรประชาชนและสำเนาทะเบียนบ้านต่อไป


สำหรับระบบการร้องเรียนหรือขอความช่วยเหลือตามมาตรา 50(5) ตาม พ.ร.บ. หลักประกันสุขภาพแห่งชาติ พ.ศ. 2545 เช่น กรณีการประสานหาเตียงเพื่อส่งต่อผู้ป่วย การขอย้ายไปรับบริการ ณ หน่วยบริการอื่น เป็นต้น โดยตามหลักเกณฑ์นี้ทางคณะกรรมการควบคุมคุณภาพและมาตรฐานการบริการสาธารณสุข ไม่ได้มีการกำหนดหลักเกณฑ์ให้ประชาชนหรือผู้ป่วยต้องยื่นสำเนาบัตรประชาชนหรือสำเนาทะเบียนบ้าน แต่ในทางปฏิบัติเมื่อมีการประสานไปยังหน่วยบริการหรือโรงพยาบาลที่รับการส่งต่อผู้ป่วย จะมีการขอสำเนาหลักฐานผู้ป่วยเพื่อยืนยัน โดยในกรณีนี้จะมีการชี้แจงต่อหน่วยบริการหรือโรงพยาบาลว่า หลังจากนี้ สปสช. ไม่อาจส่งเอกสารของผู้รับบริการได้ เพื่อให้เป็นไปตามนโยบายภาครัฐ


“สปสช. ได้ดำเนินการตามที่ ก.พ.ร. ได้มีหนังสือแจ้ง ตามมติ ครม.ที่เห็นชอบ โดยได้ทำการปรับปรุงหลักเกณฑ์และระบบต่างๆ ก่อนวันที่ 5 พ.ย. 61 ที่ผ่านมาแล้ว เพื่อเป็นการอำนวยความสะดวกให้กับประชาชนผู้รับบริการยิ่งขึ้น ซึ่งหลังจากนี้ไป ประชาชนหรือผู้ป่วยที่รับบริการทั้ง 3 ระบบดังกล่าว ไม่ต้องแนบยื่นสำเนาบัตรประชาชนและสำเนาทะเบียนบ้านแล้ว” เลขาธิการ สปสช. กล่าว



เผยแพร่: 18 พ.ย. 2561  โดย: ผู้จัดการออนไลน์

108
เห็นพืชหน้าตาสวยๆ เหมือนพวงองุ่นเล็กๆ แบบนี้ ทราบกันไหมคะว่ามันเป็นสาหร่ายที่มาไกลจากประเทศญี่ปุ่นเลยแหละ สาหร่ายพวงองุ่นมีประโยชน์อย่างไรบ้าง ทำไมเราต้องทาน และทานกันอย่างไร Sanook! Health จะมาแนะนำให้รู้จักกับพืชจิ๋วแต่แจ๋วชนิดนี้กันค่ะ

 


สาหร่ายพวงองุ่น

ชื่อภาษาอังกฤษคือ sea grapes หรือ green cavier บ้านเราอาจเรียกว่า สาหร่ายช่อพริกไทย มีต้นกำเนิดมาจากชายฝั่งทะเลแถบโอกินาว่า ประเทศญี่ปุ่น มีลักษณะเป็นพวงเล็กๆ สีเขียวเข้ม มีเม็ดกลมๆ ใสๆ สีเขียวอ่อน



รสชาติสาหร่ายพวงองุ่น


มีรสชาติคล้ายไข่กุ้งที่อยู่บนซูชิ มันๆ เค็มๆ นิดๆ และด้วยลักษณะที่เป็นพวงองุ่น ทำให้เมื่อจิ้มกับน้ำจิ้มต่างๆ สามารถดูดซับน้ำจิ้มติดขึ้นมาได้มาก ทำให้ไม่ว่าจะทานกับน้ำจิ้มแบบไหนก็อร่อย


คุณประโยชน์ของสาหร่ายพวงองุ่น



- แหล่งรวมวิตามินมากมาย ทั้งวิตามินเอ, บี, ซี, อี และเค ดังนั้นจึงช่วยบำรุงสายตา แก้อาการเหน็บชา ดูแลกระดูก และฟัน บำรุงผิวพรรณ และช่วยให้เลือดแข็งตัวได้ง่าย

- ปรับสมดุลในร่างกาย

- รักษาความชุ่มชื้นของเซลล์ผิว

- บำรุงสมอง บำรุงเส้นผม

- ต่อต้าน และยับยั้งเซลล์มะเร็ง

- กากใยสูง แคลอรี่ต่ำ เหมาะสำหรับผู้ที่กำลังควบคุมน้ำหนัก

- แมกนีเซียม ช่วยให้กล้ามเนื้อและประสาททำงานอย่างมีประสิทธิภาพ

- แคลเซียม บำรุงกระดูก

- โปแคสเซียม ช่วยควบคุมการทำงานของเซลล์ และความสมดุลของน้ำในร่างกาย

- สังกะสี ช่วยเสริมสร้างระบบภูมิคุ้มกันในร่างกาย

- ไอโอดีน ช่วยป้องกันและรักษาโรคคอพอก

- เบต้าแคโรทีน ต้านอนุมูลอิสระ

- กรมอะมิโนที่จำเป็นอีกหลายชนิดที่ไม่พบในพืชบนบก

- เหมาะกับผู้ป่วยหลายโรค เช่น โรคเบาหวาน ความดันโลหิตสูง และโรคหัวใจ



วิธีรับประทานสาหร่ายพวงองุ่น



สามารถรับประทานได้หลากหลายแบบไม่จำกัด โดยส่วนใหญ่ที่อยากให้เริ่มลองก่อน คือทานสด ล้างด้วยน้ำเปล่า แล้วนำไปสะดุ้งด้วยน้ำเย็น เพื่อให้ได้ความสดกรอบ จากนั้นเลือกจิ้มรับประทานกับน้ำจิ้มที่ชอบ จะเป็นน้ำจิ้มพอนสึตามแบบฉบับของญี่ปุ่น รสชาติหวานๆ เค็มๆ หรือจะแซ่บยิ่งขึ้นกับน้ำจิ้มซีฟู้ด เปรี้ยว เค็ม เผ็ด ก็อร่อยจนหยุดทานไม่ได้ นอกจากนี้ยังสามารถนำไปดัดแปลงเป็นเมนูต่างๆ จะยำ ส้มตำ ซูชิ แครกเกอร์ ใส่สลัด ยัดไส้ หรืออะไรก็ได้



วิธีเก็บรักษาสาหร่ายพวงองุ่น


เมื่อซื้อมาบริโภค จะมีอายุราว 2-3 วัน ไม่ควรเก็บเอาไว้ในตู้เย็น เก็บเอาไว้ข้างนอกได้เลย ก่อนนำมารับประทานให้นำไปล้าง และสะดุ้งน้ำเย็นเพื่อความสดกรอบก็เพียงพอแล้ว

 

น่าอร่อย และมีประโยชน์มากมายอย่างนี้ ลองหามาทานกันดูนะคะ รับรองว่าจะติดใจจนอยากทานทุกวันเลยล่ะ

ขอขอบคุณ  12 พ.ย. 61   Sanook.com









109
MGR Online - ประธานชมรมช่วยเหลือเหยื่ออาชญากรรม จี้สอบรพ.พระราม 2 ทุจริต นำรายชื่อปลอมอ้างเข้าใช้บริการรักษาเพื่อไปเบิกเงินจาก สปสช. รวมทั้งเบิกเงินค่ารักษา-ต่อเติมอาคาร


วันนี้ (15 พ.ย.) ที่กองบังคับการป้องกันปราบปรามการทุจริตและพฤติมิชอบ (บก.ปปป.) นายอัจฉริยะ เรืองรัตนพงศ์ ประธานชมรมช่วยเหลือเหยื่ออาชญากรรม เปิดเผยความคืบหน้าการเอาผิดโรงพยาบาลพระราม 2 กรณีปฏิเสธการช่วยเหลือนางช่อลัดดา ทาระวัน ที่ถูกสามีเอาน้ำกรดสาดบริเวณใบหน้าจากสาเหตุความหึงหวง และให้ไปรักษาโรงพยาบาลอื่น จนสุดท้ายเสียชีวิตระหว่างทางว่า ช่วงเช้าในวันที่ 19 พ.ย.นี้ตนจะไปร้องทุกข์ที่สำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ (สปสช.) ให้ตรวจสอบเรื่องการทุจริตเงินเกี่ยวกับการนำรายชื่อของชาวบ้านมาปลอมว่าเข้าใช้บริการรักษาเพื่อไปเบิกเงินจาก สปสช. โดยมีหลักฐานเป็นรายชื่อของผู้ที่ถูกโรงพยาบาลดังกล่าวนำไปใช้เบิกเงินทั้งที่ไม่เคยไปรักษา และเรื่องการติดสินบนกู้ภัยในการนำผู้บาดเจ็บที่มีประกันมาส่งให้โรงพยาบาลแล้วจะให้เงินเป็นรายกรณี


“ช่วงบ่ายในวันเดียวกันจะเข้าให้ถ้อยคำต่อคณะกรรมการรับเรื่องราวร้องทุกข์ที่กระทรวงสาธารณสุข โดยคณะกรรมการ ประกอบด้วย บุคคลระดับอัยการ อดีตรองปลัดกระทรวง สคบ. ที่เป็นคณะกรรมการทั้งภาครัฐและภาคเอกชน ในการพิจารณาโทษของโรงพยาบาลพระราม 2 จากนั้น ในวันที่ 20 พ.ย. ผมจะเข้าร้องเรียนต่อ พล.ต.อ.อัศวิน ขวัญเมือง ผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร ให้มาตรวจสอบและกำกับดูแลเรื่องการตรวจสอบอาคารของโรงพยาบาลพระราม 2 กับเครือข่ายด้วย”


เผยแพร่: 15 พ.ย. 2561    โดย: ทีมข่าวอาชญากรรม

110
กรมสุขภาพจิต ร่วมวิศวะ มหิดล และ เอไอเอส ผุดโปรแกรมพัฒนาทักษะอาชีพ “ผู้บกพร่องสติปัญญา” และ “ผู้ป่วยนิติจิตเวช” ช่วยบอกการทำงานที่ผิดปกติของสมอง นำมาวางแผนรักษา ปรับโปรแกรมบำบัดให้ตรงวัตถุประสงค์


วันนี้ (15 พ.ย.) กรมสุขภาพจิต คณะวิศวกรรมศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหิดล และ บริษัท แอดวานซ์ ไวร์เลส เน็ทเวอร์ค จำกัด ได้ลงนามข้อตกลงความร่วมมือว่าด้วยเรื่องการใช้องค์ความรู้ กระบวนการวิจัยและเทคโนโลยีดิจิทัล เพื่อพัฒนาคุณภาพชีวิตของผู้ที่มีภาวะบกพร่องทางสติปัญญาและผู้ป่วยนิติจิตเวชในระดับประเทศ


นพ.เกียรติภูมิ วงศ์รจิต อธิบดีกรมสุขภาพจิต กล่าวว่า มีความสำคัญต่อการพัฒนาคุณภาพชีวิตของผู้ที่มีภาวะบกพร่องทางสติปัญญา และผู้ป่วยนิติจิตเวชอย่างยิ่ง เนื่องจากบุคคลกลุ่มนี้ หลังจากการเข้าสู่ระบบการบำบัดรักษาทางด้านสุขภาพแล้ว พวกเขายังต้องการใช้ชีวิตอยู่ได้ด้วยตนเองอย่างอิสระและมีความสุขเช่นเดียวกับบุคคลทั่วไป สถาบันราชานุกูล สังกัดกรมสุขภาพจิต ซึ่งรับผิดชอบด้านการการบำบัดรักษาฟื้นฟูสมรรถภาพผู้บกพร่องทางพัฒนาการและสติปัญญา ได้เห็นความสำคัญของการฟื้นฟูสมรรถภาพและการเตรียมความพร้อมด้านอาชีพ โดยมีเป้าหมายให้ผู้บกพร่องทางสติปัญญา และครอบครัวมีอาชีพ สามารถพึ่งพาตนเองได้


จากรายงานของผู้อำนวยการสถาบันราชานุกูล ทราบว่า มีการทดลองนำโปรแกรมพัฒนาทักษะอาชีพด้านการเกษตรปลอดสารพิษ มาใช้กับผู้ที่ได้รับการวินิจฉัยเป็นภาวะบกพร่องทางสติปัญญา 4 ราย กลุ่มอาการดาวน์ซินโดรม 2 ราย และภาวะออทิสติก 3 ราย หลังเข้าโปรแกรม เป็นระยะเวลา 3 เดือน พบว่า ผู้ที่เข้าโปรแกรม มีทักษะด้านการเกษตรปลอดสารพิษ และความสามารถในการทำกิจวัตรประจำวันระดับพื้นฐานและขั้นสูงเพิ่มขึ้นทุกราย (ร้อยละ 100) และพบว่า ผู้บกพร่องฯ ร้อยละ 88.89 มีทักษะทางสังคมที่จำเป็นในการอยู่ในชุมชนเพิ่มขึ้นจากเดิมเมื่อเปรียบเทียบกับก่อนเข้าโปรแกรมฯ และทางคณะวิศวกรรมศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหิดล มีการพัฒนา software และอุปกรณ์สำหรับวัดการทำงานของสมอง ที่มีชื่อ Quantitative EEG หรือ qEEG และบริษัท แอดวานซ์ ไวร์เลส เน็ทเวอร์ค จำกัด มีช่องทางการจำหน่ายสินค้าดิจิทัลออนไลน์ และศูนย์กลางความรู้เทคโนโลยีดิจิทัลเพื่อการเกษตร กรมสุขภาพจิต โดยสถาบันราชานุกูล และสถาบันกัลยาณ์ราชนครินทร์ จึงได้ข้อตกลงสร้างความร่วมมือ กับ หน่วยงานรัฐ และเอกชน เพื่อร่วมกันพัฒนาคุณภาพชีวิตผู้บกพร่องทางสติปัญญาอย่างจริงจัง และจะได้ขยายผลไปยังผู้ป่วยนิติจิตเวชต่อไป


รศ.ดร.ยศชนัน วงศ์สวัสดิ์ รองคณบดีฝ่ายวิจัยและวิเทศสัมพันธ์ คณะวิศวกรรมศาสตร์ ม.มหิดล กล่าวว่า software และอุปกรณ์สำหรับวัดการทำงานของสมอง (Quantitative EEG ,qEEG) ที่พัฒนาขึ้น เป็นการวัดคลื่นสมองเพื่อดูการทำงานของสมองของผู้ป่วย แล้วนำมาคำนวณ วิเคราะห์เป็นภาพการทำงานของสมองทั้งหมด โดยสามารถดูได้ว่า สมองส่วนใดทำงานมาก ทำงานน้อย (Brain activity) โดยจะแสดงเป็นภาพสีของการทำงานของสมองแต่ละส่วน และยังสามารถบอกการทำงานที่ผิดปกติของสมองได้ ทั้งนี้ การนำมาใช้ในเชิงคลินิกกับผู้ป่วย ต้องนำผลที่ได้จาก qEEG มาเชื่อมโยงกับพฤติกรรมที่มีการเปลี่ยนแปลงหลังเข้าโปรแกรม เพื่อเป็นการยืนยันว่า โปรแกรมการบำบัดต่างๆ ส่งผลการเปลี่ยนแปลงต่อการทำงานของสมองจริง และนำผลที่ได้มาประกอบการวางแผนการรักษาและนำมาปรับโปรแกรมบำบัดให้ตรงจุดประสงค์ที่ตั้งไว้ โดยการตรวจฯจะทำทั้งก่อน ระหว่าง และหลังจบโปรแกรม การใช้ qEEG ร่วมกับ software เพื่อวัดผลการเปลี่ยนแปลงการทำงานของสมองผู้ป่วยหรือผู้บกพร่องทางสติปัญญา มีข้อดีอีกประการหนึ่ง คือ มีต้นทุนไม่สูง สามารถบอกการเปลี่ยนแปลงได้ในเชิงวิทยาศาสตร์ ซึ่งแตกต่างจากรูปแบบการวัดผลด้วยแบบประเมินแบบเดิมที่อาจอธิบายในเชิงวิทยาศาสตร์ได้น้อย


นายพงษ์ศักดิ์ ตันวิสุทธิ์ หัวหน้าส่วนงานดิจิทัลฟอร์ไทย บมจ.แอดวานซ์ อินโฟร์ เซอร์วิส กล่าวว่า เอไอเอส ได้นำเทคโนโลยี “ฟาร์มสุขแพลตฟอร์ม” ซึ่งประกอบด้วย ช่องทางการจำหน่ายสินค้าดิจิทัลออนไลน์ ชื่อว่า “ร้านฟาร์มสุข” และศูนย์กลางความรู้เทคโนโลยีดิจิทัลเพื่อการเกษตร ชื่อว่า “ฟาร์มสุข” โดยบูรณาการนำทั้งสองโมบายแอปพลิเคชันสำหรับประยุกต์ใช้เพื่อส่งเสริมการเรียนรู้ สร้างโอกาสในการพัฒนาอาชีพ และพัฒนาสติปัญญาให้แก่กลุ่มผู้ที่มีภาวะบกพร่องทางสติปัญญา โดยได้สอนความรู้ด้านการปลูกผักอินทรีย์ ได้มีกิจกรรมเพื่อส่งผลไปยังพัฒนาการที่ดีขึ้น รวมทั้งติดตามวัดผลความก้าวหน้าของโครงการอย่างต่อเนื่อง โดยได้เริ่มต้นโครงการมาตั้งแต่ เดือนกรกฎาคม 2561 และเพื่อขยายผลยกระดับความช่วยเหลือให้ครอบคลุมคุณภาพชีวิตที่ดีของผู้ด้อยโอกาสให้มีผลสัมฤทธิ์ยิ่งขึ้น เอไอเอสได้จัดให้มีการเชื่อมโยงการค้นคว้าวิจัยเทคโนโลยีและนวัตกรรมร่วมกับคณะวิศวกรรมศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหิดล ซึ่งมีความชำนาญด้านการสร้างเครื่องมือวัดผลทางสมองมาผนวกกับเทคโนโลยีดิจิทัลของเอโอเอส โดยมีเป้าหมายเพื่อร่วมกันสร้างระบบจัดการครบวงจรสำหรับการพัฒนาคุณภาพชีวิตของผู้ที่มีภาวะบกพร่องทางสติปัญญาและผู้ป่วยนิติจิตเวชในระดับประเทศ


ทั้งนี้ กรมสุขภาพจิตจะให้ความร่วมมือในการพัฒนาเทคโนโลยีและนวัตกรรมด้านการส่งเสริมป้องกัน การดูแลผู้ป่วยฯ เพื่อการวิจัยและพัฒนาองค์ความรู้ร่วมกับคณะวิศวกรรมศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหิดล โดยมีการสนับสนุนจากเอไอเอส ภายใต้บันทึกข้อลงในระยะเวลา 5 ปี คาดหวังจะสามารถสร้างผลลัพธ์ ยกระดับคุณภาพชีวิตของคนไทยทั่วประเทศให้ดีขึ้น อันเป็นพื้นฐานของการพัฒนาและเติบโตได้อย่างยั่งยืน ตามนโยบายของภาครัฐในการพาประเทศสู่ไทยแลนด์ 4.0




เผยแพร่: 15 พ.ย. 2561  โดย: ผู้จัดการออนไลน์

111
หมอสูติฯ แจงยิบขั้นตอนตรวจภายใน ย้ำ ห้ามสัมผัสจุด “คลิตอริส” หรือปุ่มกระสัน ที่ไวต่อความรู้สึกทางเพศ เผย มีเครื่องอัลตราซาวนด์รูปร่างเหมือนจู๋ ต้องสวมถุงยางอนามัยครอบไว้พร้อมทาเจล ก่อนสอดเข้าไปตรวจภายใน แต่ต้องขออนุญาตคนไข้ก่อน แพทยสภาพร้อมรับเรื่อง ก่อนชงตั้งคณะกรรมการสอบข้อเท็จจริง


วันนี้ (15 พ.ย.) พญ.ชัญวลี ศรีสุโข สูตินรีแพทย์ประจำโรงพยาบาลพิจิตร และโฆษกแพทยสภา กล่าวถึงกรณีข่าวสาวเข้ารับการตรวจภายในที่คลินิกแห่งหนึ่ง จ.นครสวรรค์ อ้างถูกหมอข่มขืน เพราะมีอวัยวะเพศชายสวมถุงยางเข้าสู่ช่องคลอด แต่ถูกปฏิเสธว่าเป็นของปลอม โดยผู้เสียหายสงสัยว่าทำไมต้องสวมถุงยางอนามัยให้อวัยวะเพศปลอม ว่า เรื่องนี้ยังไม่ได้มีการร้องเรียนเข้ามา แต่ปกติหากเป็นคดีที่มีผลถึงคนไข้ ทางเลขาธิการแพทยสภาสามารถนำเรื่องเข้าที่ประชุมคณะกรรมการแพทยสภาที่จะประชุมกันทุก 2 สัปดาห์ เพื่อตั้งกรรมการสอบได้ หรือผู้เสียหายมาร้องให้แพทยสภาตรวจสอบก็ได้ ซึ่งเลขาธิการแพทยสภาจะรับเรื่องและตั้งกรรมการสอบ อย่างไรก็ตาม เพื่อความเป็นธรรมจะมีการเชิญทั้ง 2 ฝ่ายมาให้ข้อมูล


พญ.ชัญวลี กล่าวว่า สำหรับการตรวจภายใน มีข้อควรระวังที่เรียนมาตั้งแต่เป็นนักศึกษาแพทย์ คือ 1. ตรวจภายในต้องมีเหตุที่ต้องตรวจ เช่น ปวดท้อง สงสัยอุ้งเชิงกรานอักเสบ หรือตรวจหามะเร็งประจำปี 2. ผู้ป่วยต้องยินยอม จะด้วยวาจาก็ได้ และ 3. ต้องมีผู้ช่วย หรือบุคคลที่ 3 ซึ่งต้องเป็นผู้หญิงเท่านั้น ไม่ว่าหมอจะเป็นผู้หญิงหรือผู้ชายก็ตาม เพื่อไม่ให้ผู้ป่วยรู้สึกอาย ต้องเป็นส่วนตัว มีผ้าคลุม บางกรณีก็ปิดตาคนไข้ และในการตรวจต้องทำให้สุขสบาย ผ่อนคลาย หากผู้ป่วยรู้สึกเจ็บปวด สามารถปฏิเสธได้แม้อยู่ระหว่างการตรวจ ทั้งนี้ ขั้นตอนตรวจภายในจะเริ่มจาก 1. ดูอวัยวะสืบพันธุ์ภายในว่ามีแผลหรือความผิดปกติหรือไม่ 2. สอดใส่เครื่องมือที่เรียกว่าปากเป็ด (speculum) ขนาดต้องพอดี ไม่ใหญ่เกินไป กรณีเป็นโสดไม่เคยมีเพศสัมพันธ์ หรือไม่เคยคลอดลูกมาก่อนอาจจะยาก ต้องเลือกเครื่องมือขนาดเล็ก ต้องใส่น้ำยาหล่อลื่น ข้อที่ต้องระมัดระวัง คือ การไปสัมผัสถูกจุดที่ไวต่อความรู้สึกทางเพศ หรือปุ่มกระสัน (Clitoris) และรูปัสสาวะ และ 3. การคลำด้วยมือ แพทย์จะใส่ถุงมือ ใช้นิ้วชี้และนิ้วกลางใส่เข้าไปในช่องคลอด อีกมือหนึ่งก็จะกดหน้าท้องเพื่อดูลักษณะมดลูกว่าเป็นอย่างไร


พญ.ชัญวลี กล่าวว่า อย่างไรก็ตาม ปัจจุบันมีเครื่องอัลตราซาวนด์หาโรคทางนรีเวช ซึ่งพัฒนามา 30 ปีแล้ว เป็นเครื่องที่สามารถดูพยาธิสภาพทางสูตินรีเวชกรรมได้ดีมาก ลักษณะของเครื่องมือคล้ายกับอวัยวะเพศชาย แต่ไม่ได้เหมือนกัน 100% และมีเพียงขนาดเดียว โดยมีหัวกลมๆ หากมีการใช้เครื่องมือนี้ ขั้นแรกต้องใส่เจลที่บริเวณหัวเครื่องมือ สวมถุงยางอนามัย และใส่เจลลงไปอีกครั้ง ทั้งนี้ ก็เพื่อป้องกันการติดเชื้อ เมื่อมีการนำเครื่องมือไปตรวจกับอีกบุคคลหนึ่ง อย่างไรก็ตาม การตรวจจะสอดเครื่องมือดังกล่าวเข้าไปทางช่องคลอด ซึ่งต้องสอดเข้าไปลึกเช่นกันเพื่อดูมดลูกหรือปีกมดลูก จะได้เห็นพยาธิสภาพที่ชัดเจน เนื่องจากมดลูกอยู่ในอุ้งเชิงกราน ถ้าอัลตราซาวนด์หน้าท้องจะไม่เห็นชัดเจน แต่การใช้เครื่องมือนี้ต้องแจ้งหรือขอคนไข้ก่อน หากคนไข้เจ็บต้องหยุด แต่ส่วนใหญ่ก่อนสอดเครื่องมือต้องตรวจภายในด้วยมือก่อนว่า คนไข้สามารถสอดเครื่องมือนี้เข้าไปที่ช่องคลอดได้หรือไม่ บางกรณีหากเป็นคนที่ไม่เคยมีเพศสัมพันธ์มาก่อนหรือสอดเครื่องมือไม่ได้ อาจจะต้องสอดเครื่องมือนี้ตรวจทางทวารหนักแทน


ศ.นพ.ภิเศก ลุมพิกานนท์ ประธานราชวิทยาลัยสูตินรีแพทย์แห่งประเทศไทย กล่าวถึงกรณีข่าวสาวไปตรวจภายในแล้วถูกหมอข่มขืน จากการนำอวัยวะเพศชายสวมถุงยางเข้าช่องคลอด แม้จะปฏิเสธว่าเป็นของปลอม ว่า ตนไม่ทราบข้อเท็จจริงว่าเป็นอย่างไร แต่หลักทางการแพทย์จะมีขั้นตอนการตรวจภายในที่เป็นมาตรฐาน ซึ่งหากแพทย์ฝ่าฝืน ถือว่าผิดมาตรฐาน ผู้เสียหายสามารถไปร้องต่อแพทยสภาได้ ซึ่งตามขั้นตอนแพทยสภาจะส่งเรื่องสอบถามมาตรฐานมายังราชวิทยาลัยสูติฯ เพื่อตั้งคณะกรรมการร่วมกัน แต่กรณียังไม่มีเข้ามา


ศ.นพ.ภิเศก กล่าวว่า มาตรฐานจะประกอบไปด้วย 1. ก่อนทำการตรวจภายใน แพทย์สูตินรีเวชจะต้องวินิจฉัยอาการก่อนว่า จำเป็นต้องตรวจภายในหรือไม่ 2. หากจำเป็นต้องตรวจ ก็จะแจ้งขั้นตอนต่างๆ ว่าจะต้องดำเนินการอย่างไร 3. สำคัญสุดต้องมีบุคคลที่ 3 ซึ่งเป็นผู้หญิงคอยอยู่ในกระบวนการตรวจภายใน เพราะนอกจากจะเป็นพยานให้แพทย์แล้ว ยังทำให้ผู้ถูกตรวจสบายใจ ซึ่งกรณีนี้หากไม่มีบุคคลที่ 3 ต้องยืนยันไม่รับการตรวจเด็ดขาด และ 4. ระหว่างตรวจต้องแจงขั้นตอนทุกครั้ง ทั้งเริ่มจากคนไข้ขึ้นเตียงที่เป็นขาหยั่ง จากนั้นตรวจภายนอกก่อนว่า มีความผิดปกติอะไรหรือไม่ และใช้เครื่องมือที่รู้จักดี คือ ปากเป็ด เพื่อสอดเข้าไปตรวจภายในดูผนังเยื่อบุมดลูกมีอาการอักเสบหรือไม่ ตรงนี้จะเห็นมดลูกด้วย จากนั้นใช้นิ้วในการตรวจ ซึ่งขั้นตอนเหล่านี้จะแจ้งให้คนไข้ทราบตลอด เพื่อให้คนไข้เตรียมพร้อม และเกิดความสบายใจขึ้น สุดท้ายมานั่งคุยกับแพทย์ว่า มีความผิดปกติอะไรหรือไม่อย่างไร


“ไม่ว่าจะโรงพยาบาล หรือคลินิก ต้องปฏิบัติตามขั้นตอนทั้งหมด หากผิดจากนี้ถือว่าผิดมาตรฐาน ยิ่งเป็นแพทย์ หากถูกร้องเรียนก็จะเข้าสู่แพทยสภา ซึ่งก็ต้องมีการตรวจสอบทั้ง 2 ฝ่าย ซึ่งก็ต้องฟังทั้งแพทย์และคนไข้ เพื่อความเป็นธรรมทั้งหมด” ศ.นพ.ภิเศก กล่าว


นพ.ณัฐวุฒิ ประเสริฐสิริพงศ์ อธิบดีกรมสนับสนุนบริการสุขภาพ (สบส.) กระทรวงสาธารณสุข (สธ.) กล่าวว่า กรณีที่เกิดขึ้นไม่ใช่เรื่องมาตรฐานสถานพยาบาล เบื้องต้นอาจไม่ใช่หน้าที่โดยตรงของ สบส. แต่จะชัดเจนในเรื่องส่วนบุคคล ดังนั้น อาจต้องเป็นแพทยสภา และเป็นเรื่องของคดีความ


พล.อ.ต.นพ.อิทธพร คณะเจริญ เลขาธิการแพทยสภา กล่าวว่า ขณะนี้แพทยสภาเตรียมรับเรื่องดังกล่าว เพื่อตั้งคณะกรรมการในการสอบข้อเท็จจริงเรื่องนี้แล้ว ซึ่งมี 2 ทาง คือ 1. ผู้เสียหายเข้ามาร้องเอง 2. แพทยสภาจะนำเรื่องเข้าสู่การประชุมกรรมการแพทยสภา ซึ่งจะมีประชุมในอีก 2 สัปดาห์ โดยนำข้อมูลที่ปรากฎเป็นข่าวและข้อมูลต่างๆ เข้ามาดำเนินการตามขั้นตอนต่อไป



เผยแพร่: 15 พ.ย. 2561 โดย: ผู้จัดการออนไลน์

112
สบส. ชี้ รพ.พระราม 2 ผิด พ.ร.บ.สถานพยาบาล เหตุใช้อาคารจอดรถมาเป็นอาคารผู้ป่วยนอก โดยไม่ขออนุญาต สั่งปิดแล้วตั้งแต่วันที่ 13 พ.ย. ส่วนมาตรฐานการดูแลผู้ป่วยฉุกเฉิน นำเข้ากรรมการพิจารณา 19 พ.ย. สพฉ.ยันเคสสาวถูกสาดน้ำกรดเป็นฉุกเฉินวิกฤต เหตุมีภาวะปอดบวมเฉียบพลัน ต้องรอผลการสอบสวน


วันนี้ (14 พ.ย.) นพ.ณัฐวุฒิ ประเสริฐสิริพงศ์ อธิบดีกรมสนับสนุนบริการสุขภาพ (สบส.) กระทรวงสาธารณสุข (สธ.) กล่าวถึงความคืบหน้าการตรวจสอบ รพ.พระราม 2 กรณีส่งสาวที่ถูกสาดน้ำกรดไปรักษาอีกแห่งจนเสียชีวิต ว่า ขณะนี้ความผิดของ รพ.พระราม 2 มีความชัดเจนมากขึ้น ที่เห็นชัดๆ และมีการสั่งปิดไปเมื่อวันที่ 13 พ.ย.ที่ผ่านมา คือ 1.กรณีที่โรงพยาบาลนำเอาที่จอดรถมาปรับปรุงดัดแปลงเป็นอาคารผู้ป่วยนอก โดยไม่ขออนุญาต จึงมีความผิดตาม พ.ร.บ.สถานพยาบาล พ.ศ.2541 2.มีการสั่งลงโทษปรับในฐานทำความผิด พ.ร.บ.สถานพยาบาล แต่ไม่ร้ายแรงจึงดำเนินการปรับไปเรียบร้อยแล้ว


นพ.ณัฐวุฒิ กล่าวว่า 3.สบส.ได้สั่งให้โรงพยาบาลดังกล่าวทำการปรับปรุงโรงพยาบาลในส่วนที่ไม่ตรงมาตรฐาน พ.ร.บ.สถานพยาบาล โดยได้ให้ระยะเวลาในการปรับปรุง 15 วัน หากยังไม่ดำเนินการ จะทำการเพิกถอนใบอนุญาต ซึ่งหากโดนเพิกถอนใบอนุญาตจะส่งผลให้โรงพยาบาลถูกปิด แต่ก็ยังไม่รุนแรงเท่ากับการสั่งปิดโรงพยาบาลเลย และ 4.ประเด็นที่ถือเป็นความผิดร้ายแรงในพ.ร.บ.สถานพยาบาล ซึ่งจะมีการนำเรื่องดังกล่าวเข้าสู่คณะกรรมการเพื่อทำการพิจารณาความผิดในวันที่ 19 พ.ย.นี้ ทั้งนี้ สำหรับคดีของสาวที่ถูกสาดน้ำกรดจนเสียชีวิตนั้น ต้องเป็นหน้าที่ของเจ้าหน้าที่ตำรวจต่อไป


นพ.สัญชัย ชาสมบัติ รองเลขาธิการสถาบันการแพทย์ฉุกเฉินแห่งชาติ (สพฉ.) กล่าวว่า ตนไม่มีข้อมูลจาก รพ. แต่จากนายอัจฉริยะ เรืองรัตนพงศ์ ประธานชมรมช่วยเหลือเหยื่ออาชญากรรม ระบุตามข่าวว่า เมื่อมีการดูดสารน้ำจากปอดพบในปริมาณถึง 2 ลิตร ถือว่า มีภาวะปอดบวมเฉียบพลัน ซึ่งเป็นระบบทางเดินหายใจล้มเหลวเฉียบพลัน ดังนั้น กรณีนี้ถือว่าเข้าข่ายผู้ป่วยฉุกเฉินแน่นอน เพราะเกิดปัจจุบันทันด่วน การถูกสารพิษก็ถือว่าทันด่วน แต่ฉุกเฉินสีแดง สีเขียว หรือสีเหลือง หากสีแดงก็ต้องวิกฤต ซึ่งกรณีนี้เป็นการรบกวนระบบทางเดินหายใจ ถือว่าเข้าข่ายวิกฤต สรุปคือ กรณีนี้เป็นฉุกเฉินวิกฤต ส่วนจะเอาผิดตามกฎหมายจะขึ้นอยู่กับ พ.ร.บ.สถานพยาบาลฯ ซึ่งขณะนี้ สบส.อยู่ระหว่างการสอบสวนและลงโทษต่อไป ส่วนแพทย์หรือพยาบาลหากพบว่าเกี่ยวข้องมีความผิดด้วยนั้น ก็จะต้องส่งเรื่องต่อไปยังสภาวิชาชีพนั้นๆ เช่น แพทยสภา หรือสภาการพยาบาลต่อไป



เผยแพร่: 14 พ.ย. 2561 โดย: ผู้จัดการออนไลน์

113
หลังการจัดฟันทันตแพทย์จะใส่เครื่องมือคงสภาพฟัน หรือ รีเทนเนอร์เพื่อคงสภาพฟันให้อยู่ในตำแหน่งเดิมไม่ให้ฟันเคลื่อน แนะผู้ที่จัดฟันควรดูแลรักษาและทำความสะอาดรีเทนเนอร์ป้องกันเชื้อแบคทีเรีย เชื้อราและการติดเชื้อในช่องปาก


 

จัดฟัน ให้ประโยชน์มากกว่าความสวยงาม



นายแพทย์ณัฐพงศ์ วงศ์วิวัฒน์ รองอธิบดีกรมการแพทย์ กล่าวว่า การมีฟันเก ฟันห่าง ฟันที่เรียงซ้อนกัน หรือฟันที่สบกันไม่พอดี รวมถึงปัญหาเกี่ยวกับขากรรไกรที่ส่งผลต่อการเคี้ยวอาหาร ล้วนเป็นปัจจัยที่ทำให้ประสิทธิภาพในการเคี้ยวอาหารลดลง และยังเป็นอุปสรรคต่อการทำความสะอาด ส่งผลต่อสุขภาพทางช่องปากและฟันตามมา ดังนั้นการจัดฟันจึงมีผลดีต่อสุขภาพช่องปากและฟัน เพราะเมื่อฟันเรียงตัวกันอย่างมีระเบียบ การทำความสะอาดจะง่ายขึ้น ช่วยป้องกันการเกิดฟันผุและโรคเหงือก ทั้งนี้ฟันที่สบกันสนิทจะทำให้เคี้ยวอาหารได้อย่างละเอียด ทั้งยังสามารถแก้ปัญหาเกี่ยวกับการพูดที่เกิดจากการสบของฟัน


นอกจากนี้การจัดฟันยังช่วยเพิ่มความสวยงามของฟัน ทำให้พูดหรือยิ้มได้อย่างมั่นใจยิ่งขึ้น อย่างไรก็ตามทันตแพทย์จะเป็นผู้พิจารณาว่าควรจะจัดฟันหรือไม่ จึงขอให้ประชาชนรับบริการจากสถานพยาบาลโดยตรง ไม่ควรจัดฟันกับสถานบริการหรือบุคคลที่ไม่ใช่ทันตแพทย์ ตลอดจนซื้ออุปกรณ์จัดฟันจากโฆษณาทางสื่อออนไลน์มาใช้เอง เพราะอุปกรณ์อาจไม่ได้มาตรฐานและเสี่ยงต่อการติดเชื้อในช่องปาก


ความสำคัญของรีเทนเนอร์


ทันตแพทย์สมศักดิ์ ศรีพนารัตนกุล ทันตแพทย์ชำนาญการพิเศษ รักษาราชการแทนผู้อำนวยการสถาบันทันตกรรม กรมการแพทย์ กล่าวเพิ่มเติมว่า การจัดฟันมีอยู่หลายประเภท วิธีการรักษาจะขึ้นอยู่กับปัญหาของฟันและกระดูกขากรรไกรของผู้ป่วยแต่ละราย โดยระยะเวลาที่จะเห็นผลดีของการจัดฟัน อยู่ในช่วง 18 – 24 เดือน หลังการจัดฟันจนกระทั่งฟันเรียงตัวเรียบร้อยแล้ว ทันตแพทย์จะถอดอุปกรณ์จัดฟันออกและใส่เครื่องมือคงสภาพฟันหรือ รีเทนเนอร์ เพื่อคงสภาพฟัน และช่วยป้องกันฟันเคลื่อนตัวกลับไปตำแหน่งเดิมหรือผิดปกติไปจากเดิม วัสดุที่ใช้มักทำจากโลหะและพลาสติกมีขนาดแตกต่างกันไปเช่น รีเทนเนอร์แบบลวดเส้นเดียว รีเทนเนอร์แบบใส และรีเทนเนอร์ชนิดถาวร


ผู้จัดฟันควรดูแลรักษารีเทนเนอร์ โดยขณะที่ใส่ไม่ควรเล่นรีเทนเนอร์หรือใช้ลิ้นดันไปมาจนหลุด เนื่องจากจะทำให้หลวม หากต้องถอดรีเทนเนอร์ เมื่อรับประทานอาหารควรนำใส่กล่องเก็บรีเทนเนอร์ทันที ไม่ควรห่อกระดาษชำระหรือใส่กระเป๋า เพราะจะทำให้รีเทนเนอร์แตกหักได้ ถ้ารีเทนเนอร์หายหรือชำรุดควรแจ้งทันตแพทย์ให้ทราบโดยเร็วเพื่อทำรีเทนเนอร์ใหม่ป้องกันไม่ให้ฟันเคลื่อน  นอกจากนี้ควรทำความสะอาดรีเทนเนอร์โดยใช้แปรงสีฟันขนนุ่มแปรงเบาๆ ด้วยน้ำสบู่ให้ทั่ว แช่น้ำยาเม็ดฟู่ หรือแช่น้ำส้มสายชูเจือจางในกรณีที่มีคราบหินปูนสะสมหรือมีคราบสกปรก รวมทั้งควรเปลี่ยนรีเทนเนอร์ตามระยะเวลาที่ทันตแพทย์แนะนำ หากละเลยการทำความสะอาดอาจส่งผลให้รีเทนเนอร์เปลี่ยนสี มีกลิ่นไม่พึงประสงค์ เกิดเชื้อแบคทีเรีย เชื้อรา รวมทั้งอาจก่อให้เกิดการติดเชื้อในช่องปาก


ทั้งนี้ หลังใช้รีเทนเนอร์แล้วพบว่าเหงือกหรือเนื้อเยื้อภายในช่องปากบวมแดงหรือพบอาการผิดปกติใดๆ ภายในช่องปาก ควรรีบปรึกษาทันตแพทย์ และหลีกเลี่ยงปัจจัยที่อาจส่งผลให้รีเทนเนอร์เสียหาย เพื่อคงอายุการใช้งานรีเทนเนอร์ให้นานที่สุด



 10 พ.ย. 61 ขอขอบคุณ   ข้อมูล :กรมการแพทย์ กระทรวงสาธารณสุข


114
รพ.เซกา จังหวัดบึงกาฬ ผลิตนวัตกรรมที่นอนลมจากถุงน้ำยาล้างไต ป้องกันแผลกดทับ ลดค่าใช้จ่ายราคาถูกกว่า 10 เท่า ใช้ได้ดีในชุมชน เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม ล่าสุด ประสบความสำเร็จได้รับรางวัลเลิศรัฐ ประจำปี 2561 สาขานวัตกรรมระดับดีเด่น


นพ.ประเสริฐ ดิษฐ์สมบูรณ์ ผู้อำนวยการโรงพยาบาลเซกา จังหวัดบึงกาฬ กล่าวว่า โรงพยาบาล
เซกา โดย นายภูดิศ สะวิคามิน นักกายภาพบำบัดปฏิบัติการ งานกายภาพบำบัด ได้ร่วมกับกลุ่มผู้ป่วย กลุ่มคนพิการ กลุ่มผู้สูงอายุในชุมชน และโรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพตำบลในพื้นที่อำเภอเซกา พัฒนานวัตกรรมที่นอนลมจากถุงน้ำยาล้างไตป้องกันแผลกดทับ ทดแทนที่นอนลมไฟฟ้าที่มีค่าใช้จ่ายค่าไฟฟ้า และนอนไม่สบายตัวจากความร้อน ผู้ป่วยหลายรายจึงไม่ใช้ ทำให้เกิดแผลกดทับ ติดเชื้อ มีโอกาสเสียชีวิตได้ ซึ่งคุณสมบัติของถุงน้ำยาล้างไต พบว่า มีคุณภาพสูง มีความยืดหยุ่น เหนียว นุ่ม มีความเย็น รับน้ำหนักได้มาก จึงเหมาะสมในการนำมาพัฒนาให้สามารถใช้ได้ทั้งแบบลมและน้ำ และเมื่อนำมาผลิตเป็นที่นอนลมจากถุงน้ำยาล้างไต พบว่า มีน้ำหนักเบา ราคาถูกกว่าเตียงลมไฟฟ้าถึง 10 เท่าปรับแต่งได้ตามความเหมาะสม ใช้ได้นาน ซ่อมแซมได้ด้วยตัวเอง ใช้ได้ดีในชุมชน อีกทั้งยังเป็นการวัสดุที่ใช้แล้วนำกลับมาใช้ประโยชน์ใหม่ เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม ช่วยสร้างรายได้แก่ชุมชน


นพ.ประเสริฐ กล่าวต่อว่า นวัตกรรมที่นอนลมป้องกันแผลกดทับจากถุงน้ำยาล้างไต ได้รับรางวัลจากสถาบันต่างๆ มากกว่า 50 รางวัล และล่าสุดประสบความสำเร็จได้รับรางวัลเลิศรัฐ ประจำปี 2561 สาขานวัตกรรมระดับดีเด่น ขณะนี้ สำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ (สปสช.) ได้บรรจุเป็นกายอุปกรณ์ที่สามารถเบิกจ่ายให้ผู้พิการได้ รวมทั้งเป็นสถานที่ศึกษาดูงาน เพื่อขยายผลการจัดตั้งกลุ่มผลิตและจำหน่ายที่นอนลมอีกทั่วประเทศแล้วกว่า 30 จังหวัด


ทั้งนี้ จังหวัดบึงกาฬ มีผู้พิการทางร่างกายมากกว่า 5,000 คน และเป็นผู้ป่วยติดเตียง คนชรา ผู้ป่วยระยะฟื้นฟูจำนวน 750 คน ในจำนวนผู้ป่วยติดเตียงทั้งหมด พบว่า มีแผลกดทับ จำนวน 57 คน และติดเตียงเสี่ยงต่อการเกิดแผลจำนวน 150 คน ผลการทดลองใช้กับผู้ป่วย ในเขตอำเภอเซกา เป็นระยะเวลา 3 ปี พบว่า กลุ่มผู้ป่วยที่มีแผลกดทับในระดับ 1-3 แผลหายถึงร้อยละ 100 แผลระดับ 4 ลึกถึงกระดูก ติดเชื้อหายร้อยละ 40 ส่วนกลุ่มผู้ป่วยติดเตียงที่ไม่มีแผลกดทับ ผู้ป่วยที่ใช้ที่นอนอย่างสม่ำเสมอไม่พบการเกิดแผลขึ้นเลย ในขณะที่ผู้ป่วยที่ไม่ใช้หรือใช้ไม่สม่ำเสมอ เกิดแผลขึ้นร้อยละ 77




เผยแพร่: 11 พ.ย. 2561  โดย: ผู้จัดการออนไลน์

115
สปสช.เผย ผ่าตัดวันเดียวกลับ 9 เดือน ผู้ป่วยรับบริการ 9 กลุ่มโรค 2,176 ราย ผ่าตัดไส้เลื่อนสูงสุด ช่วยลดวันนอน รพ.ได้ถึง 3,826 วัน เพิ่มเตียงว่างดูแลผู้ป่วยโรคอื่น ลดค่าใช้จ่าย รพ. ทั้งค่าห้อง ค่าอาหาร และค่าใช้จ่ายอื่น ปี 62 เตรียมขยายบริการกลุ่มโรคอื่นเพิ่มเติม 


นพ.ศักดิ์ชัย กาญจนวัฒนา เลขาธิการสำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ (สปสช.) กล่าวว่า สปสช.ในฐานะหน่วยงานสนับสนุนได้ทำการปรับหลักเกณฑ์การเบิกจ่ายชดเชยค่าใช้จ่ายเพื่อบริการสาธารณสุขรักษาพยาบาล เพื่อรองรับและได้ออกเป็นประกาศสำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ เรื่อง หลักเกณฑ์การเบิกจ่ายบริการผ่าตัดแบบวันเดียวกลับ พ.ศ. 2561 ทั้งนี้ จากการให้บริการตั้งแต่เดือนมกราคม-20 กันยายน 2561 มีผู้ป่วยเข้ารับบริการผ่าตัดวันเดียวกลับจำนวน 2,176 ครั้ง กลุ่มโรคที่ผู้ป่วยรับบริการผ่าตัดวันเดียวกลับมากที่สุด 3 อันดับแรก ได้แก่ โรคไส้เลื่อนขาหนีบ มีผู้ป่วยรับบริการมากที่สุดจำนวน 761 ราย รองลงมา หลอดเลือดดำของหลอดอาหาร กระเพาะอาหารขอด จำนวน 388 ราย และ ติ่งเนื้องอกลำไส้ใหญ่ จำนวน 349 ราย


นพ.ศักดิ์ชัย กล่าวว่า การบริการผ่าตัดวันเดียวกลับ ประกอบด้วย 12 กลุ่มโรค ได้แก่ 1. โรคไส้เลื่อนขาหนีบ (Inguinal hernia) 2. โรคถุงน้ำอัณฑะ (Hydrocele) 3. โรคริดสีดวงทวาร (Hemorrhoid) 4. ภาวะเลือดออกผิดปกติทางช่องคลอด (Vaginal bleeding) 5. หลอดเลือดดำของหลอดอาหาร กระเพาะอาหารขอด (Esophageal varices, Gastric varices) 6. ภาวะหลอดอาหารตีบ (Esophageal stricture) 7. โรคมะเร็งหลอดอาหารระยะลุกลามที่อุดตัน (Obstructive esophageal cancer/tumor) 8. ติ่งเนื้องอกลำไส้ใหญ่ (Colorectal polyp) 9. นิ่วในท่อน้ำดี (Bile duct stone) 10. นิ่วในท่อตับอ่อน (Pancreatic duct stone) 11. ภาวะท่อน้ำดีตีบ (Bile duct stricture) และ 12. ภาวะท่อตับอ่อนตีบ (Pancreatic duct stricture) โดยมีหน่วยบริการที่สามารถให้บริการได้จำนวน 103 แห่ง กระจายอยู่ในทุกเขตทั่วประเทศ


“จาก 12 กลุ่มโรคที่ให้บริการ มี 3 กลุ่มโรค คือ โรคมะเร็งหลอดอาหารระยะลุกลามที่อุดตัน นิ่วในท่อตับอ่อน และภาวะท่อตับอ่อนตีบ ยังไม่มีข้อมูลเบิกจ่ายจากหน่วยบริการ สำหรับในส่วนข้อมูลบริการเมื่อแยกตามพื้นที่ พบว่า พื้นที่เขต 2 มีอัตราบริการผ่าตัดวันเดียวกลับมากที่สุด จำนวน 345 ราย รองลงมาเขต 5 จำนวน 342 ราย และ เขต 1 จำนวน 296 ราย” นพ.ศักดิ์ชัย กล่าว


นพ.ศักดิ์ชัย กล่าวว่า จากข้อมูลจำนวนบริการรักษาผ่าตัดวันเดียวกลับข้างต้นนี้ ได้มีการประมวลผลและเบิกจ่ายแล้ว 22.89 ล้านบาท แต่ผลที่ได้รับสามารถลดวันนอนและลดค่าใช้จ่ายทางอ้อมของญาติได้ รวมทั้งลดค่าใช้จ่ายในการบริการของโรงพยาบาล ทำให้ไม่ต้องมีค่าใช้จ่ายในส่วนค่าห้อง ค่าอาหาร และค่าบริการอื่นในการนอนโรงพยาบาล และจากการสอบถามความพึงพอใจผู้รับบริการ ภาพรวมผู้ป่วยให้คะแนนความพึงพอใจบริการผ่าตัดวันเดียวกลับเฉลี่ย 4.58 คะแนน จาก 5 คะแนน ซึ่งการบริการผ่าตัดวันเดียวกลับนี้ได้ลดวันนอนจากการเป็นผู้ป่วยในเพื่อรับการผ่าตัดรักษาจากจำนวน 5,777 วัน เหลือเพียง 1,951 วัน คิดเป็นจำนวนวันนอนที่ลดลงถึง 3,826 วัน ช่วยลดความแออัดของผู้ป่วยในโรงพยาบาล และทำให้มีเตียงว่างเพื่อรองรับบริการผู้ป่วยในโรคอื่นเพิ่มขึ้น พร้อมกันนี้ ยังลดค่าใช้จ่ายทั้งของโรงพยาบาลและผู้ป่วยได้ รวมถึงการเพิ่มคุณภาพชีวิตผู้ป่วย ซึ่งในปี 2562 คาดว่า จะมีการขยายการผ่าตัดวันเดียวกลับไปยังกลุ่มโรคอื่นๆ เพิ่มเติมต่อไป นับเป็นอีกก้าวหนึ่งของความร่วมมือในการพัฒนาระบบหลักประกันสุขภาพแห่งชาติเพื่อดูแลสุขภาพคนไทย



เผยแพร่: 11 พ.ย. 2561  โดย: ผู้จัดการออนไลน์

116
หลายๆ คนคงมีความตั้งใจที่จะลดน้ำหนักลงให้ได้ เพื่อหุ่นที่ฟิตแอนด์เฟิร์มตามที่หวังไว้ แต่การที่จะให้งดอาหารหลักอย่าง “อาหารมื้อเย็น” เลยนั้นก็ดูจะหักดิบไปซะหน่อย เพราะหลายคนก็ยังมีกิจกรรมที่ต้องทำในช่วงกลางคืน อาจจะมีท้องร้องบ้าง ฉะนั้น เพื่อไม่ให้มีปัญหาที่ว่า เรามาดูเคล็ดลับที่จะผ่านช่วงดังกล่าวนี้ไปพร้อมๆ กัน



1.ตั้งเวลากินอาหารก่อนถึงเวลานอน 4-6 ชั่วโมง

การกินอาหารมื้อเย็นนั้นควรจะเป็นเวลาเย็น ไม่ใช่ตอนกลางคืน เพราะฉะนั้น มื้อเย็นที่ดึกที่สุดไม่ควรเกิน 1 ทุ่มตรง ถ้ายิ่งกินดึกก็ยิ่งมีการเผาผลาญพลังงานที่กินไปน้อยลง และเมื่อกระเพาะอาหารทำงานในตอนกลางคืน นั่นทำให้อาจจะนอนไม่หลับก็เป็นได้


2.เลือกกินอาหารพลังงานต่ำ

ไม่ว่าจะเป็นอาหารประเภทไหน แต่หลักการง่ายๆ คือ ให้พลังงานต่ำๆ เข้าไว้ ดูที่บรรจุภัณฑ์ก็ได้ แต่ไม่ต้องถึงขั้นกำหนดปริมาณแคลอรีหรอก แค่ให้กินแป้ง น้ำตาล และไขมันจากสัตว์ให้น้อยลงแค่นั้นเอง ฉะนั้น อาหารจำพวกข้าวเหนียวหมูปิ้ง หรือขนมปังไส้กรอก ควรเก็บไว้กินมื้ออื่นดีกว่า


3.หลีกเลี่ยงอาหารรสจัด

ขึ้นชื่อว่าอาหารรสจัด ท้องของคนเรานั้นมีความทนต่ออาหารลักษณะนี้ไม่เท่ากัน แต่คนที่ชอบอาหารรสจัดนี้มีความเสี่ยงที่จะท้องเสีย ลำไส้ปั่นป่วนได้มากกว่าอาหารปกติ ฉะนั้นถ้าอยากให้ร่างกายทำงานหนักน้อยลง มีความปลอดภัยต่อกระเพาะอาหารและลำไส้ ก็ควรกินอาหารรสกลางๆ หรือรสอ่อนจะดีกว่า


4.ห่างไกลอาหารทอดๆ มันๆ
อาหารประเภทนี้มักให้พลังงานสูง หากกินไปในตอนเย็นมักจะมีการเผาผลาญไม่ทันจนเป็นไขมันสะสมในตามบริเวณต่างๆ ของร่างกาย แถมอาหารประเภทนี้ก็ย่อยยากอีก มีการเพิ่มการทำงานให้กับกระเพาอาหารและลำไส้ และอาจทำให้มีอาการเพลียในเช้าวันถัดมาได้ แถมคนที่ดูแลผิวพรรณก็ควรเลี่ยงเช่นกัน เพราะจะทำให้ผิวหมอง ไม่สดใส และเป็นสาเหตุของสิวได้


5.เพิ่มผักและผลไม้เข้าไปบ้าง

อันที่จริงก็ไม่ได้บังคับว่าให้กินผักและผลไม้ในมื้อเย็นนะ อาหารปกติอย่างข้าวและเนื้อสัตว์ก็ยังกินได้อย่างปกติ เพียงแต่กินให้น้อยกว่าและทดแทนด้วยผักและผลไม้แทน เพราะนอกจากที่จะย่อยง่าย ให้คุณค่าทางอาหารที่ดีต่อร่างกายสูงแล้วยังเพิ่มกากใยให้ร่างกายให้มีระบบขับถ่ายที่ดีอีกด้วย และอย่าลืมดื่มน้ำตามเยอะๆ ด้วยนะ



 2 พ.ย. 2561    โดย: ผู้จัดการออนไลน์

117
เป็นที่ทราบกันดีว่าทุกวันนี้เทคโนโลยีดิจิทัลเข้ามามีบทบาทในชีวิตประจำวันอย่างกว้างขวาง นอกจากจะช่วยอำนวยความสะดวกสบายในหลายๆ ด้านแล้ว เทคโนโลยีที่เหมาะสมกับบริบทขององค์กรยังช่วยเพิ่มประสิทธิภาพงานให้ดีมากขึ้น


นายวิบูลย์ ทนงยิ่ง โรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพตำบลบ้านนาเมือง (รพ.สต.บ้านนาเมือง) อ.เสลภูมิ จ.ร้อยเอ็ด กล่าวว่า รพ.สต.บ้านนาเมือง เป็นอีกหนึ่งองค์กรที่เห็นถึงความสำคัญของการนำเทคโนโลยีใหม่ๆ มาช่วยเพิ่มประสิทธิภาพการทำงาน และอยากแลกเปลี่ยนประสบการณ์ในเรื่องนี้กับพี่น้อง รพ.สต. ในพื้นที่อื่นๆ โดยหวังว่าจะช่วยเป็นส่วนหนึ่งในการพัฒนากระบวนการทำงานให้ระบบบริการปฐมภูมิเข้มแข็งมากขึ้น


ก่อนอื่นต้องกล่าวถึงบริบทของ รพ.สต.บ้านนาเมือง ก่อนว่าเป็น รพ.สต.ขนาด L ใน ต.นาเมือง อ.เสลภูมิ จ.ร้อยเอ็ด ตำบลนี้เป็นตำบลที่มีพื้นที่มากที่สุดใน อ.เสลภูมิ มีหมู่บ้านทั้งหมด 20 หมู่บ้าน มี รพ.สต. 2 แห่งดูแลประชากรทั้งหมด 10,674 คน โดย รพ.สต.บ้านนาเมือง รับผิดชอบทั้งหมด 16 หมู่บ้าน 1,843 หลังคาเรือน ประชากร 8,457 คน กล่าวได้ว่ามีพื้นที่รับผิดชอบค่อนข้างกว้างมาก ขณะที่ในส่วนของกำลังเจ้าหน้าที่ รพ.สต.มีเพียง 7 คน เฉลี่ยแล้ว 1 คนต้องดูแล 2-3 หมู่บ้าน โดยทำงานร่วมกับอาสาสมัครสาธารณสุขประจำหมู่บ้าน (อสม.) ใน 16 หมู่บ้านอีก 235 คน เฉลี่ยแล้ว อสม. 1 คนจะดูแลรับผิดชอบ 8-10 หลังคาเรือน


พื้นที่รับผิดชอบทั้ง 16 หมู่บ้านนี้ค่อนข้างอยู่ห่างไกลกันพอสมควร การเดินทาง การติดต่อสื่อสารต่างๆค่อนข้างใช้เวลาพอสมควร บางครั้งมีข่าวเร่งด่วนต้องลงไปแจกหนังสือ ต้องใช้เวลาทั้งวันกว่าจะแจกครบ 16 หมู่บ้าน แวะหมู่บ้านหนึ่งก็จะหยุดคุยกัน 10-20 นาที กว่าจะไปครบทุกหมู่บ้านก็ค่ำพอดี


ผมในฐานะ ผอ.รพ.สต. จึงพยายามหาเครื่องมือหรือเทคโนโลยีใหม่ๆมาช่วยในการทำงาน โดยในปี 2558 ทราบมาว่าบริษัท แอดวานซ์ อินโฟร์ เซอร์วิส จำกัด (มหาชน) หรือ เอไอเอส พัฒนาแอปพลิเคชันตัวหนึ่งที่เรียกว่า “อสม.ออนไลน์” และเห็นตัวอย่างจาก รพ.สต.หลักร้อย อ.เมืองนครราชสีมา ซึ่งเริ่มนำแอปฯนี้มาใช้ก่อน จึงเกิดความคิดว่าพื้นที่ ต.นาเมืองเป็นพื้นที่ใหญ่ หากนำแอปฯ นี้มาใช้น่าจะทำให้การติดต่อสื่อสารสะดวกขึ้น จึงได้ติดต่อเจ้าหน้าที่เอไอเอสในพื้นที่ให้ส่งทีมงานลงมาช่วยอบรมการใช้งานแอปฯนี้ รวมทั้งทำข้อตกลงระหว่าง รพ.สต. และ อสม.ร่วมกันว่า ก่อนหน้านี้เราใช้ไลน์และเฟซบุ๊กในการติดต่อสื่อสาร แต่หลังจากนี้เราจะสื่อสารผ่านแอปฯ อสม.ออนไลน์แทนเพราะเป็นเครื่องมือที่ใช้ได้เฉพาะ อสม. คนอื่นไม่สามารถปะปนเข้ามาได้ อีกทั้งยังเก็บข้อมูลไว้ได้นานกว่าไลน์ด้วย


แน่นอนว่า ตอนนั้น อสม.ไม่ได้มีโทรศัพท์สมาร์ทโฟนกันทุกคน เบื้องต้นเราขอหมู่บ้านละ 1-2 คนก่อน รวมๆ แล้วมี อสม.ชุดแรก 37 คนที่มาอบรม และจะเป็นตัวแทนในแต่ละหมู่บ้านในการช่วยสอน อสม.คนอื่นๆ ต่อไป ซึ่งปัจจุบันก็มี อสม.ที่เปลี่ยนมาใช้สมาร์ทโฟนและสามารถใช้แอปฯนี้ได้เพิ่มมากขึ้น


สำหรับรูปแบบการใช้งาน ปกติงานที่ อสม.ต้องทำเป็นประจำ คือ แบบรายงานประจำเดือน หรือ อสม.1 ช่วงแรกเราใช้วิธีถ่ายเอกสารแล้วแจกให้ อสม.เขียนรายงานแล้วส่งรูปมาทางแอปฯ แต่ในช่วงต่อมาเราเสนอไปว่าอยากให้พัฒนาให้ทำแบบ อสม.1 ในมือถือได้เลย ซึ่งทางเอไอเอสก็รับข้อเสนอนำกลับไปพัฒนา ทำให้ปัจจุบันนี้ อสม.สามารถกรอกแบบฟอร์มรายงานบนมือถือได้เลย อสม.คนไหนที่ยังไม่มีสมาร์ทโฟนก็ให้เพื่อนทำให้ ทำให้ประหยัดค่าใช้จ่ายเรื่องการพิมพ์เอกสาร นอกจากนี้ เมื่อส่งแบบรายงานเสร็จแล้ว ระบบก็จะรวมข้อมูลให้อัตโนมัติประมวลผลออกมาเป็นภาพรวมของหมู่บ้าน เจ้าหน้าที่เราไม่ต้องไปนั่งเช็กทุกเดือนว่าใครส่งแล้วบ้าง ไม่ต้องเสียเวลาประมวลผลข้อมูลอีก ทำให้เกิดความสะดวกและประหยัดเวลามากขึ้น


เช่นเดียวกับการนัดหมายประชุมประจำเดือน แต่เดิมเราใช้ส่งหนังสือเอกสารไปหาประธาน อสม.แล้วให้กระจายข่าว แต่ตอนนี้สามารถแจ้งผ่านแอปฯ ให้ อสม. ทุกหมู่บ้านทราบพร้อมกัน ถ้าคนไหนเข้าประชุมก็กดตอบรับ ถ้าคนไหนมาประชุมไม่ได้ก็จะตอบมาว่าไม่ได้เนื่องจากอะไร ภายใน 5 นาทีก็ครบ 16 หมู่บ้านแล้ว และพอเสร็จการประชุมก็จะมีบันทึกการประชุมให้ อสม.ที่ไม่ได้มาร่วมสามารถเปิดอ่านในภายหลังได้


นอกจากความสะดวกในการบริหารจัดการแล้ว เรายังใช้ประโยชน์จากแอปฯนี้ในการเยี่ยมบ้าน เพราะลำพังแค่เจ้าหน้าที่ 7 คนคงดูแลได้ไม่ทั่วถึง เราใช้วิธีให้ อสม.เข้าไปช่วยดูแล เช่น สมมุติมีผู้ป่วยที่ส่งกลับจากโรงพยาบาลมาพักฟื้นที่บ้านแล้วจำเป็นต้องมีการติดตามอาการ เราจะให้ อสม.ไปดูแลให้แล้วส่งรูปถ่ายพร้อมพิกัดแผนที่กลับมาให้ ทำให้ รพ.สต.ทราบได้ว่าผู้ป่วยอยู่จุดไหน หรือหากผู้ป่วยมีปัญหาเกินขีดความสามารถของ อสม.ที่จะดูแล ก็สามารถขอคำปรึกษาจากเจ้าหน้าที่เพื่อดูแลเบื้องต้นได้โดยถ่ายวิดีโอส่งมาให้ประเมินอาการได้ทันที และถ้าจำเป็นต้องลงไปดูแลเพิ่มเติมก็สามารถเดินทางไปตามพิกัดบนแผนที่ได้อย่างถูกต้องโดยไม่ต้องไปเสียเวลาสอบถามเส้นทางในพื้นที่อีก


ขณะเดียวกัน เครื่องมือนี้ยังช่วยในเรื่องการสร้างเสริมความรอบรู้ด้านสุขภาพ (Health Literacy) เพราะข่าวสารที่ส่งออกไปผ่านแอปฯจะมาจากเจ้าหน้าที่สาธารณสุขทั้งหมด อสม.สามารถนำไปอ่านในหอกระจายข่าวได้เลย จากเดิมที่เมื่อก่อนต้องพิมพ์เป็นหนังสือส่งถึงผู้ใหญ่บ้านซึ่งบางครั้งถ้าเป็นเรื่องเร่งด่วนก็ไม่ทันการณ์ เช่นเดียวกับงานควบคุมโรคก็มีประสิทธิภาพมากขึ้น สมมุติทางโรงพยาบาลอำเภอแจ้งมาว่ามีไข้เลือดออกระบาด เราสามารถแจ้ง อสม.ให้ออกควบคุมลูกน้ำยุงลายได้รวดเร็วภายใน 24 ชั่วโมง รวมทั้งการแจ้งเตือนข่าวก็รวดเร็วขึ้น เช่น เกิดอุบัติเหตุในหมู่บ้าน อสม.สามารถแจ้งเหตุรวมทั้งแจ้งพิกัดได้ด้วยว่าเกิดที่จุดไหน


สรุปภาพรวมตลอดระยะเวลา 3 ปีที่ รพ.สต.บ้านนาเมือง ใช้แอปฯ อสม.ออนไลน์ เป็นต้นมา เรารู้สึกว่ารู้สึกว่าประสิทธิภาพการทำงานดีขึ้น จากเดิมที่ทำรายงานกระดาษก็ทำบนโทรศัพท์ได้ ทำให้ระบบฐานข้อมูลของ รพ.สต.ดีขึ้น ครอบคลุมมากขึ้น ตรวจสอบการทำงานได้ ประหยัดเวลาและค่าใช้จ่ายของเจ้าหน้าที่ลงได้เยอะ งานบางอย่างถ้า อสม.ทำได้ เจ้าหน้าที่ก็ไม่ต้องลงไปดูเอง ทำให้เอาเวลาไปทำงานอย่างอื่นได้มากขึ้น


ทั้งหมดนี้ผมอยากชี้ให้เห็นถึงข้อดีของการนำเทคโนโลยีใหม่ๆมาช่วยเพิ่มประสิทธิภาพการทำงาน และอยากเชิญชวน รพ.สต.ที่ยังลังเลใจให้มาลองใช้กันดูครับ ยิ่งถ้าเป็น รพ.สต.ขนาดใหญ่ที่มีพื้นที่รับผิดชอบมาก มีจำนวน อสม.เยอะ แอปฯ อสม.ออนไลน์นี้จะยิ่งเป็นประโยชน์ในการทำงานมากยิ่งขึ้นครับ




เผยแพร่: 8 พ.ย. 2561   โดย: ผู้จัดการออนไลน์

118
สธ. ชี้ เก็บภาษีอาหารมี “ไขมันทรานส์” เป็นไปไม่ได้ เหตุมีประกาศ อย.ห้ามใส่ลงในอาหารแล้ว ด้านเครือข่ายลดเค็มรอดูอัตราภาษีความเค็ม ย้ำ ลดเค็มต้องลดไม่เกิน 10% ช่วยรสชาติไม่ผิดเพี้ยน พร้อมรณรงค์ลดกินโซเดียมเพิ่ม เหตุคนไทยยังติดเค็มอยู่มาก


วันนี้ (7 พ.ย.) นพ.ปิยะสกล สกลสัตยาทร รัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข (สธ.) กล่าวถึงกรณีกรมสรรพสามิตเตรียมเสนอคณะรัฐมนตรีพิจารณาแพกเกจภาษีใหม่ โดยจะเก็บภาษีสินค้าที่มีความเค็มและความมัน เพื่อลดการบริโภค ว่า เรื่องไขมันทรานส์คิดว่า คงเป็นไปไม่ได้ เพราะล่าสุด สำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา (อย.) ได้ประกาศแล้วว่า ไม่ให้มีการนำหรือผลิตสินค้า อาหารที่ทำให้เกิดไขมันทรานส์อยู่แล้ว ส่วนการเสนอสินค้าที่มีความเค็มหรือการเพิ่มภาษีความเค็ม ตนยังไม่ทราบรายละเอียด แต่คิดว่าน่าจะเป็นในเรื่องของการดูแลอาหารที่ทำสำเร็จแล้วมากกว่า ต้องไม่ให้ใส่เกลือหรือเครื่องปรุงรสเค็มต้องไม่เกินปริมาณเท่าไรแบบนี้มากกว่า เหมือนกับการเพิ่มภาษีพวกน้ำอัดลมต่างๆ ต้องมีปริมาณน้ำตาลต้องไม่เกินเท่านั้นเท่านี้ เป็นต้น และน่าจะไม่เกี่ยวกับอาหารประเภทปลาเค็ม


ผศ.นพ.สุรศักดิ์ กันตชูเวสศิริ ประธานเครือข่ายลดบริโภคเค็ม กล่าวว่า เรื่องดังกล่าวเข้าใจว่ายังคงเป็นข้อเสนอ ยังไม่เห็นหน้าตาออกมาเป็นรูปธรรม ว่า จะมีการเก็บในอัตราเท่าไรอย่างไร แต่คาดว่าคงจะได้ตัวอย่างจากภาษีน้ำตาล ซึ่งหากมีการออกกฎหมายเก็บภาษีความเค็มจริง ก็ถือว่าเป็นเรื่องดี เพราะจะไปมุ่งเป้าสินค้าอาหารที่มีเกลือ หรือโซเดียมสูง หากไม่อยากเสียภาษีมากก็ต้องปรับสูตรลดความเค็มลง ซึ่งการกินเค็มน้อยจะช่วยป้องกันโรคความดันโลหิตสูง โรคหัวใจ โรคไต ฯลฯ ทั้งนี้ หากมีการควบคุมในกลุ่มผลิตภัณฑ์อาหารสำเร็จรูปจะทำได้ง่ายกว่า เนื่องจากมีฉลากแสดงปริมาณสัดส่วนของโซเดียมและเกลือในอาหาร ง่ายแก่การควบคุม


ผศ.นพ.สุรศักดิ์ กล่าวว่า อย่างไรก็ตาม การเก็บภาษีความเค็มอาจมีผลกระทบต่อประชาชนบ้างเล็กน้อย เพราะหากปรับสูตรรสชาติทันทีเลย คนที่ยังกินรสชาติเค็มอาจจะไม่ชิน ซึ่งการปรับสูตรลดความเค็มจะต้องปรับให้ลดลงไม่เกิน 10% ซึ่งลิ้นของผู้บริโภคจะจับไม่ได้ว่าความเค็มเปลี่ยน โดยต้องค่อยๆ ลดความเค็มลงไป แต่ข้อดีคือหากปรับก็เป็นการปรับทุกบริษัท เป็นการไปลดความเค็มหรือลดเกลือตั้งแต่ต้นทาง ผู้บริโภคก็ไม่มีทางเลือก แต่คนที่อยากกินเค็มก็มีสิทธิไปเติมเอง ดังนั้น นอกจากมาตรการทางภาษีแล้ว ที่ต้องทำควบคู่กันไป คือ การรณรงค์ลดบริโภคเค็ม เพราะทุกวันนี้คนก็ยังติดการกินเค็มอยู่


“ขณะนี้คนไทยกินเค็มหรือบริโภคโซเดียมเกินกว่าที่ร่างกายต้องการ 2 เท่า โดยเมื่อ 8 ปีก่อนคนไทยบริโภคเกลือมากถึง 4 พันมิลลิกรัมต่อวัน เกินกว่าที่ร่างกายต้องการ 2 เท่า คือ 2 พันมิลลิกรัมต่อวัน โดยเฉพาะอาหารกึ่งสำเร็จรูป เช่น บะหมี่กึ่งสำเร็จรูป โจ๊กซอง โจ๊กถ้วย มีปริมาณโซเดียมมากถึง 1,800 มิลลิกรัมต่อหน่วยบริโภค บางคนทานมากกว่าวันละ 2 ซอง ก็ยิ่งได้รับโซเดียมเกิน อย่างไรก็ตาม จากการสำรวจล่าสุดมีข้อมูลว่าคนเริ่มบริโภคเกลือลดลงเหลือประมาณ 3,500 มิลลิกรัมต่อวัน จึงต้องเดินหน้ารณรงค์ลดบริโภคเค็มลงอีก โดยปริมาณที่เหมาะสมคือ ไม่ควรเกินมื้อละ 600 มิลลิกรัม รวม 3 มื้อต่อวันก็จะอยู่ที่ 1,800 มิลลิกรัมต่อวัน ซึ่งเชื่อว่าขณะนี้คนในสังคมตื่นตัวมากขึ้น เห็นได้จากสินค้าต่างๆ เริ่มมีการปรับตัวทำสูตรลดเค็มกันมากขึ้น เช่น น้ำปลาลดโซเดียม ซีอิ๊วลดโซเดียม เป็นต้น เพราะคนต้องการสินค้าทางเลือกสุขภาพมากขึ้น การมีภาษีความเค็มออกมาเครือข่ายก็ไม่ขัดข้อง ซึ่งหากทางสรรพสามิตเห็นว่ามีผลดีก็ควรเร่งขับเคลื่อน” ผศ.นพ.สุรศักดิ์ กล่าว


เผยแพร่: 7 พ.ย. 2561   โดย: ผู้จัดการออนไลน์

119
กรมวิทย์สำรวจการติดเชื้อวัณโรคแฝงกลุ่มบุคลากรทางการแพทย์ พบอัตราติดเชื้อเฉลี่ยร้อยละ 31.41 อยู่ในอัตราเดียวกับคนทั่วไป ชี้หากร่างกายอ่อนแอสามารถกลายเป็นผู้ป่วยวัณโรคได้ แนะตรวจสุขภาพประจำ


นพ.โอภาส การย์กวินพงศ์ อธิบดีกรมวิทยาศาสตร์การแพทย์ กล่าวว่า กลุ่มบุคลากรทางการแพทย์ เป็นผู้ที่มีความเสี่ยงต่อการติดเชื้อวัณโรคระหว่างปฏิบัติงานจากการสัมผัสผู้ป่วย ผู้ที่ติดเชื้อวัณโรคหากร่างกายแข็งแรงมีภูมิต้านทานที่ดี จะติดเชื้อแบบไม่มีอาการป่วย เรียกว่า “วัณโรคแฝง” ซึ่งไม่สามารถแพร่เชื้อสู่บุคคลอื่นได้ แต่ผู้ที่มีเชื้อวัณโรคแฝงมีโอกาสที่จะพัฒนาเป็นผู้ป่วยวัณโรคได้ร้อยละ 5-10 เมื่อภูมิต้านทานของร่างกายลดต่ำลง องค์การอนามัยโลกคาดการณ์ว่า 1 ใน 3 ของประชากรทั่วไปมีการติดเชื้อวัณโรคแฝง และในจำนวนนี้ มีประชากรบางกลุ่มมีความเสี่ยงสูงที่จะเกิดวัณโรค โดยเฉพาะในเด็กอายุต่ำกว่า 5 ปีที่มีผู้ป่วยวัณโรคร่วมบ้าน และผู้ติดเชื้อเอชไอวี สำหรับในกลุ่มบุคลากรทางการแพทย์ ควรมีการตรวจคัดกรองหาวัณโรค ซึ่งส่วนใหญ่ตรวจด้วยการเอกซเรย์ทรวงอก และควรตรวจเป็นประจำ พร้อมทั้งแนะนำให้ตรวจหาการติดเชื้อวัณโรคแฝงร่วมด้วยโดยเฉพาะผู้ที่สัมผัสผู้ป่วยวัณโรค โดยปัจจุบันนี้สามารถตรวจการติดเชื้อแบบไม่มีอาการป่วยที่เรียกว่าวัณโรคแฝงได้โดยการตรวจตัวอย่างเลือด



นพ.โอภาส กล่าวว่า จากการสำรวจการติดเชื้อวัณโรคแฝงในบุคลากรทางการแพทย์ที่มีการสัมผัสผู้ป่วยวัณโรคที่ปฏิบัติงานด้านต่างๆ และในบุคลากรที่เข้าปฏิบัติงานใหม่ ด้วยวิธี IGRA ตรวจสารอินเตอร์เฟอรอนแกมมาที่จำเพาะต่อเชื้อวัณโรค โดยสถาบันวิจัยวิทยาศาสตร์สาธารณสุข ที่โรงพยาบาล จำนวน 4 แห่ง พบอัตราการติดเชื้อวัณโรคเฉลี่ยร้อยละ 31.41 ซึ่งอยู่ในอัตราเดียวกับบุคคลทั่วไปที่องค์การอนามัยโลกประมาณการ ปัจจัยเสี่ยงต่อการติดเชื้อในกลุ่มบุคลากรทางการแพทย์โดยทั่วไป ได้แก่ มีอายุมาก อายุงานนาน ลักษณะงานที่ปฏิบัติ และการใช้อุปกรณ์ป้องกันที่ไม่เหมาะสม ผลการตรวจช่วยสร้างความตระหนักรู้ในการใส่ใจสุขภาพ ระมัดระวังป้องกันการติดเชื้อและเฝ้าระวังโรค นอกจากนี้ผู้ที่มีผลตรวจเป็นบวกยังได้รับคำแนะนำในการปฏิบัติตน หากตรวจแล้วยังไม่พบอาการป่วยเป็นวัณโรคแต่เป็นวัณโรคแฝง ก็อาจพิจารณาให้ยาป้องกันตามความเหมาะสมเฉพาะราย


“โรงพยาบาลจะต้องมีระบบป้องกันที่ดีและควบคุมการติดเชื้อในโรงพยาบาลที่มีมาตรฐานหรือการจัดการที่ดี บุคลากรทางการแพทย์ควรมีความรู้เกี่ยวกับวัณโรคและวิธีการป้องกันการติดต่อของโรค ใช้อุปกรณ์ป้องกันที่เหมาะสม เพื่อลดการติดเชื้อ รวมทั้งควรตรวจสุขภาพและตรวจคัดกรองวัณโรคเป็นประจำทุกปี สำหรับประชาชนทั่วไปก็ควรดูแลและป้องกันตนเองจากเชื้อวัณโรค โดยฉีดวัคซีนป้องกันวัณโรค (BCG) ตามที่แพทย์แนะนำ หลีกเลี่ยงการคลุกคลีกับผู้ป่วย โดยเฉพาะเด็กเล็กและผู้ที่มีโรคประจำตัว ผู้ป่วยที่มีอาการทางเดินหายใจ หากมีอาการไอจาม ให้ใช้ผ้าเช็ดหน้าปิดปาก จมูก เวลาไอจาม หรือใส่หน้ากากอนามัย และหากมีอาการไอเรื้อรังเกิน 2 สัปดาห์ ไม่ทราบสาเหตุ ให้พบแพทย์เพื่อตรวจวินิจฉัยหาสาเหตุต่อไป” นพ.โอภาส กล่าว



เผยแพร่: 7 พ.ย. 2561    โดย: ผู้จัดการออนไลน์

120
MGR Online - กองปราบปรามตามจับหนุ่มเพชรบูรณ์ใช้วุฒิศึกษามหาวิทยาลัยขอนแก่นปลอมสมัครงานที่โรงพยาบาลศิครินทร์ บางนา ผู้ต้องหาให้การรับสารภาพ


วันนี้ (6 พ.ย.) ที่กองปราบปราม พ.ต.อ.จิรภพ ภูริเดช รรท.ผบก.ป. สั่งการ พ.ต.อ.ภูมินทร์ พุ่มพันธุ์ม่วง ผกก.5 บก.ป. พ.ต.ท.อภิสันฐ์ ไชยรัตน์ รอง ผกก.5 บก.ป. พ.ต.ท.วันพิชิต วัฒนศักดิ์มณฑา รอง ผกก.5 บก.ป. พ.ต.ท.วิศิษฏ์ ศรียาภัย สว.กก.5 บก.ป.นำกำลังจับกุม นายเกียรติศักดิ์ กุลกรม อายุ 27 ปี อยู่บ้านเลขที่ 91 หมู่ 1 ต.หินฮาว อ.หล่มเก่า จ.เพชรบูรณ์ ตามหมายจับศาลจังหวัดพระโขนง ที่ 630/2561 ลงวันที่ 31 ต.ค. 2561 ข้อหาปลอมเอกสารสิทธิอันเป็นเอกสารราชการ และใช้เอกสารสิทธิอันเป็นเอกสารราชการ ในประการที่น่าจะเกิดความเสียหายแก่ผู้อื่นหรือประชาชน ได้ที่หน้าบริษัท เซ็นทรัลแอ็ดวานซ์ ฮะบิลลิเทชั่น จำกัด เลขที่ 219/290 ต.พิมลราช อ.บางบัวทอง จ.นนทบุรี


ทั้งนี้ เมื่อเดือนมีนาคม 2559 นายเกียรติศักดิ์ ผู้ต้องหาได้ปลอมวุฒิการศึกษาปริญญาตรีหลักสูตรวิทยาศาตรบัณฑิต คณะสาธารณสุขศาสตร์ สาขาวิทยาศาสตร์อนามัยสิ่งแวดล้อม หลักสูตรปริญญาตรี 4 ปี มหาวิทยาลัยขอนแก่น เพื่อใช้สมัครงานที่โรงพยาบาลศิครินทร์ บางนา-ตราด ต่อมาทางโรงพยาบาลได้ส่งวุฒิการศึกษาไปให้มหาวิทยาลัยขอนแก่นตรวจสอบ ปรากฏว่าเป็นวุฒิการศึกษาปลอม ทางมหาวิทยาลัยจึงให้ฝ่ายกฎหมายมาแจ้งความดำเนินคดีไว้ที่ สน.บางนา


ต่อมาศาลได้อนุมัติหมายจับผู้ต้องหาไว้ กระทั่งเจ้าหน้าที่สืบทราบว่านายเกียรติศักดิ์ได้หลบหนีไปทำงานเป็นพนักงานบริษัทอยู่ที่บริษัท เซ็นทรัลแอ็ดวานซ์ ฮะบิลลิเทชั่น จำกัด จึงนำกำลังจับกุมได้ดังกล่าว สอบสวนเบื้องต้นผู้ต้องหาให้การรับสารภาพว่าได้ปลอมแปลงวุฒิการศึกษาไปสมัครงานที่โรงพยาบาลจริง จึงควบคุมตัวส่ง สน.บางนา ดำเนินคดีตามกฎหมายต่อไป


เผยแพร่: 6 พ.ย. 2561    โดย: ทีมข่าวอาชญากรรม

หน้า: 1 ... 6 7 [8] 9 10 ... 20