ผู้เขียน หัวข้อ: พายุลูกสุดท้าย(สารคดี-เนชั่นแนลจีโอกราฟฟิก)  (อ่าน 988 ครั้ง)

pani

  • Hero Member
  • *****
  • กระทู้: 756
    • ดูรายละเอียด
ติดตามภารกิจสุดท้ายของทิม ซามารัส นักล่าพายุในตำนาน

          ไม่นานหลังหกโมงเย็นของวันที่ 31 พฤษภาคม ปี 2013 นักล่าพายุวัย 55 ปีที่นั่งเบาะข้างคนขับของรถเก๋งเชฟโรเลตโคบอลต์หันไปมองกล้องวิดีโอที่คนขับรถยื่นมาตรงหน้าครู่หนึ่ง ก่อนจะเหลียวมองกระจกหลังไปยังชานเมืองเอลรีโน รัฐโอคลาโฮมา ทุ่งข้าวสาลีทอประกายชวนขนลุกและวูบไหวจากกระแสลมเกรี้ยวกราด เมฆงวง (funnel cloud) สองก้อนหมุนวนเป็นเกลียวทิ้งตัวลงจากท้องฟ้าดำทะมึนไล่หลังรถมาในระยะไม่เกิน 3.5 กิโลเมตร น้ำเสียงของผู้ชายในวิดีโอไม่ใช่ความหวาดกลัวเสียทีเดียว ทว่าคำพูดนั้นก็หาได้เรียบเฉยเยี่ยงนักวิทยาศาสตร์ที่เขาบังเอิญเป็นด้วยเช่นกัน

          “โอ้ พระเจ้าช่วย พายุลูกนี้จะต้องใหญ่น่าดู” เขาพูดพลางขมวดคิ้วและลูบคางตัวเองไปมาด้วยท่าทีหนักใจ นี่คือทิม  ซามารัส ผู้ใช้ชีวิตส่วนใหญ่ในช่วงวัยหนุ่มคลุกคลีกับพายุอันตรายอย่างทอร์นาโด เขาหมกมุ่นกับการศึกษาพายุถึงขนาดที่แคทีผู้เป็นภรรยา พูดประชดประชันสามีของเธอว่า “มีความสัมพันธ์กุ๊กกิ๊กกับธรรมชาติ”

          ความสัมพันธ์นั้นเริ่มช้ากว่าปกติในฤดูใบไม้ผลิปีนี้ แต่แล้วเดือนที่เหล่านักล่าพายุเรียกว่า “พฤษภาหน้าพายุ” (May Magic) ก็มาถึง ในช่วงเดือนนั้น แรงเฉือนลม (wind shear) แนวตั้งจากลมใต้ที่มาจากอ่าวเม็กซิโกเริ่มพัดขึ้นมาปะทะเข้ากับกระแสลมเย็นที่พัดมาทางตะวันออกจากเทือกเขาร็อกกี ส่งผลให้เกิดพายุฝนฟ้าคะนอง พร้อมๆกับจุดประเด็นในวงสนทนาออนไลน์ของเหล่านักล่าพายุผู้ยินดีปรีดาทั่วสหรัฐฯ ทำนองว่า สภาพอากาศเลวร้าย! สภาพอากาศเลวร้ายอย่างยอดเยี่ยม!

          เช้าวันที่ 18 พฤษภาคม ซามารัสจูบลาแคที ก่อนที่เขากับลูกทีมสองคน คือ คาร์ล ยัง นักอุตุนิยมวิทยาวัย 45 และพอล ลูกชายวัย 24 ของซามารัส จะออกจากบ้านในเมืองเบนเนต รัฐโคโลราโด รุดไปทางตะวันออกสู่ที่ราบในแถบมิดเวสต์ซึ่งรู้จักกันในชื่อ ทอร์นาโดแอลลีย์ (Tornado Alley)

          ระหว่างขับรถหลายพันกิโลเมตรตลอดสี่วันหลังจากนั้นผ่านแคนซัส โอคลาโฮมา และเทกซัส ซามารัสกับทีมวิจัยพายุของเขาซึ่งรู้จักกันในชื่อย่อว่า ทวิสเท็กซ์ (TWISTEX) เผชิญกับทอร์นาโดอย่างน้อย 11 ลูก และหลังกลับไปพักที่บ้านสี่วัน ซามารัสก็ออกเดินทางอีกครั้งโดยไปพร้อมกับรถกระบะที่ติดตั้งกล้องความไวสูงขนาดยักษ์เพื่อใช้ศึกษาฟ้าผ่าในแคนซัส แม้เขาจะยอมรับในเฟซบุ๊กว่า “นำรถสำรองมาด้วยเพื่อล่าทอร์นาโดเป็น ‘เครื่องเคียง’”

          ในเทปวิดีโอบันทึกไว้เมื่อวันที่ 31 พฤษภาคม ซามารัสอยู่ในรถสำรองคันนั้น นักล่าพายุผู้นี้ออกไล่ล่าอีกครั้ง กระนั้นก็เห็นได้ชัดว่า ครั้งนี้มีบางสิ่งไม่เหมือนเดิม

          “มันตรงดิ่งไปยังโอคลาโฮมาซิตีเลย” เขาพึมพำ

          ทอร์นาโดลูกนี้เกิดจากพายุฝนฟ้าคะนองหลายลูก ซึ่งก่อตัวตามแนวปะทะอากาศเย็นเหนือพื้นที่ตอนกลางของโอคลาโฮมาในช่วงบ่ายวันนั้น หลังเวลา 18.00 น. เล็กน้อย มันก็ทิ้งตัวลงใต้พายุซูเปอร์เซลล์ (supercell) ที่อยู่ใต้สุดซึ่งมีอากาศอุ่นและชื้นมากที่สุด และกลายร่างเป็นอสุรกายใหญ่ยักษ์ดำทะมึนหมุนทวนเข็มนาฬิกา ต้นไม้น้อยใหญ่ที่อยู่ในเส้นทางพายุสั่นระริกราวกับเจ้าเข้า

          “เอาละ ผมจะจอดนะ” คาร์ล ยัง ซึ่งรับหน้าที่ขับรถและบันทึกวิดีโอ เอ่ยขึ้น

          รถโคบอลต์ค่อยๆจอด ซามารัสกับยังลงจากรถ พร้อมกับพอลซึ่งมองผ่านกล้องวิดีโออีกตัว ทั้งสามยืนอยู่ที่ขอบถนนโรยกรวดและหรี่ตาฝ่าสายฝน ขณะนั้นเอง เมฆงวงก้อนที่สามก็ก่อตัวขึ้นบนท้องฟ้า

          “สามงวง!” ยังอุทาน

          “ใช่แล้ว” ซามารัสตอบ เมื่อหันกลับไปยังกล้อง เขาก็ต้องตื่นตะลึงกับสิ่งที่เห็น “โอ้โห นี่ต้องเป็นทอร์นาโดยักษ์เลยล่ะ”

          ยังเห็นด้วย “อาจเป็นทอร์นาโดอายุยืนมากๆก็ได้นะ ดีไม่ดีอาจหมุนไปหลายไมล์เลย”

          พวกเขากลับขึ้นรถในอีกไม่กี่นาทีต่อมา และขับต่อไปทางตะวันออกอย่างเงียบๆโดยมีเพียงเสียงที่ปัดน้ำฝนทำงาน ทอร์นาโดเคลื่อนตัวขนานอยู่ทางใต้ ฟ้าแลบแปลบปลาบบนฟ้ามืดหม่น สายไฟแกว่งไกวไปมาอย่างบ้าคลั่ง พายุขยายตัวขึ้นเรื่อยๆ บดบังแสงอาทิตย์จนหมดสิ้น ชายสามคนในรถตกอยู่ท่ามกลางความมืดมิด

          “นั่นไง ป้ายหยุด” ซามารัสบอกเสียงดังเมื่อมองเห็นทางหลวงสาย 81 “ถ้าจะมีโอกาสวางอุปกรณ์ เราต้องไปทางตะวันออกและขับลงใต้ ดักวางอุปกรณ์เมื่อทอร์นาโดเคลื่อนไปทางตะวันตก นั่นคือโอกาสเดียวของเรา”

          ขณะที่พวกเขาชะลอรถใกล้สี่แยก กลุ่มเมฆดำก็บดบังทัศนียภาพทางใต้จนหมดสิ้น “ว้าว” ยังพึมพำ “ใหญ่เอาเรื่องจริงๆ”

          แต่ไม่มีใครในรถบอกได้ว่าพายุที่อยู่ใต้เมฆฝนทะมึนนั้นใหญ่แค่ไหน สิ่งที่พวกเขาเห็นมีเพียงความดำทะมึนและพร่ามัวที่บ่งบอกถึงความรุนแรง

          ทางหลวงสาย 81 ไม่มีสิ่งกีดขวาง อันที่จริง ถนนปิดการจราจรทางใต้ ทางเหนือคือเส้นทางหนีฉุกเฉินของพวกเขา ตอนนี้นักล่าพายุคนอื่นๆเลือกที่จะออกจากเอลรีโนแล้ว ซามารัสกับลูกทีมอาจทำอย่างเดียวกัน พวกเขาเคยทำแบบนั้นมาแล้วหลายครั้ง แต่ครั้งนี้มีปัจจัยอื่นๆให้พิจารณา ถนนสภาพดี ทอร์นาโดมีขนาดมหึมา พวกเขาอยู่ใกล้ทางผ่านของพายุ จึงเป็นที่เข้าใจว่าทีมทวิสเท็กซ์ตั้งใจจะนำอุปกรณ์ติดตามพายุไปวาง

          “ขับไปแบบนั้นแหละดีแล้ว” ซามารัสเอ่ยชม ขณะที่ยังนำรถโคบอลต์ข้ามทางหลวงและแล่นต่อไปบนถนนโรยกรวด

          “มันเคลื่อนที่ด้วยความเร็ว 30 ถึง 40 ไมล์ต่อชั่วโมงไปทางตะวันออก” ซามารัสพึมพำ เขาดูสับสนอย่างเห็นได้ชัด ท้องฟ้าทางใต้เหมือนหม้อต้มน้ำเดือดสีเทาขุ่น เมฆและฝนยังคงบดบังทอร์นาโดจนมองไม่เห็น “อา ผมเห็นมันแล้ว” เขาพูดขึ้น ก่อนจะกลับลำอย่างหงุดหงิดว่า “อ้าว สงสัยจะไม่ใช่ ขอโทษที ฝนตกหนักเหลือเกิน”

          สิ่งที่เขาเห็น เมื่อมันปรากฏแก่สายตาในที่สุด คือสิ่งที่ทิม ซามารัส ไม่เคยเห็นมาก่อนและจะไม่ได้เห็นอีก มันคือภาพทีทำให้นักล่าพายุผู้คร่ำหวอดที่อยู่ในระยะปลอดภัยกว่าถึงกับนั่งไม่ติด ทอร์นาโดเปลี่ยนเส้นทางในฉับพลัน มันตีวงไปทางซ้าย ซึ่งปกติมักเป็นสัญญาณบ่งบอกถึงการอ่อนกำลัง เว้นแต่ในกรณีนี้ ทอร์นาโดขยายขนาดขึ้น

          ในช่วงเวลาหนึ่งนาที พายุขยายตัวอย่างน่าขนลุก จากเส้นผ่านศูนย์กลางราว 1.5 กิโลเมตร มันใหญ่ขึ้นอีก 2.5 เท่า ใหญ่กว่าพายุใดๆที่เคยบันทึกไว้ รอบๆทอร์นาโดลูกหลักซึ่งจู่ๆก็พัดด้วยความเร็ว 65 ถึง 80 กิโลเมตรต่อชั่วโมงและมีความเร็วลมภายในสูงกว่านั้นสี่เท่า ยังมีเกลียววนย่อยสี่หรือห้าเกลียวที่หมุนควงขึ้นๆลงๆด้วยความเร็วลมเกือบถึง 485 กิโลเมตรต่อชั่วโมงด้วย พายุหักเลี้ยวและควบตะบึงขึ้นเหนือไปตามถนนแอลฟาเดลอย่างไม่ลดราวาศอก ทำลายทุกอย่างที่ขวางหน้า มุ่งหน้าสู่ถนนรอยเตอร์ ถนนที่มันทิ้งตัวลงมาเป็นครั้งแรก

          ขณะที่รถเข้าใกล้สี่แยกที่ถนนรอยเตอร์ตัดกับถนนแอลฟาเดล ทิม ซามารัส มองออกไปนอกหน้าต่างฝั่งผู้โดยสารทางด้านทิศใต้ เมื่อเขาเห็นสิ่งที่เห็น เขาก็พูดด้วยน้ำเสียงที่ทั้งสงบและเร่งร้อนว่า “อันที่จริง เอ้อ รีบไปเถอะ ตรงนี้เป็นจุดที่แย่มากๆ”

          เทปหยุดที่เวลา 18.20 น. สามนาทีก่อนที่พายุกับนักล่าจะพบกัน

         ไม่ถึงหนึ่งชั่วโมงต่อมา เวลา 19.06 น. ของคืนวันศุกร์ ตำรวจประจำสำนักงานนายอำเภอขับรถมาตามถนนรอยเตอร์ และเห็นซากรถคันหนึ่งอยู่กลางทุ่งคาโนลาทางเหนือของถนน แต่เพราะฝนและลูกเห็บยังไม่หยุดตก ท้องทุ่งแฉะเกินกว่าจะลุยฝ่าไปได้ เขาย้อนกลับมาอีกครั้งในคืนนั้นและลุยเข้าไปถึงประตูฝั่งคนขับ ไม่มีใครที่นั่น แล้วเขาก็เห็นผู้โดยสาร นายตำรวจหยิบวิทยุและแจ้งว่าต้องมีการตัดศพเพื่อนำร่างออกจากซากรถ

          ร้อยเวรมาถึงที่เกิดเหตุและบังเอิญมองเห็นร่างหนึ่งอยู่ในคูน้ำ ห่างจากซากรถคันนั้นไปทางตะวันตกเกือบครึ่งกิโลเมตร ร่างนั้นนอนคว่ำหน้า ในกระเป๋าสตางค์มีบัตรประชาชนของคาร์ล ยัง จากเมืองเซาท์เลกทาโฮ รัฐแคลิฟอร์เนีย ผลการตรวจเลขตัวถังรถยนต์สีขาวบ่งบอกว่าเป็นรถของทิม ซามารัส ซึ่งตรงกับชื่อในใบขับขี่ที่พบในกระเป๋ากางเกงของผู้โดยสาร

          แคที ซามารัส กับลูกสาว เอมี นั่งเครื่องบินมายังโอคลาโฮมาซิตีหลังเกิดทอร์นาโดสามวัน พวกเธออยากเห็นสถานที่เกิดเหตุ และประหลาดใจที่เห็นกุหลาบก้านยาวสามดอกวางอยู่บนพื้นริมถนนรอยเตอร์ตรงจุดที่พบรถโคบอลต์กับร่างของทิม พวกเธอประหลาดใจซ้ำสองที่ผู้อำนวยการสถานที่ทำศพในโอคลาโฮมาซิตี ผู้แต่งศพให้ทิมอย่างสุดฝีมือ ไม่ยอมรับค่าตอบแทน

          “เขาทำวิจัย พยายามช่วยคนในชุมชนของเราครับ” ผู้อำนวยการบอกอย่างหนักแน่น เป็นอันยุติข้อโต้แย้ง

          ทว่าเรื่องอื่นๆไม่จบลงง่ายๆเช่นนั้น แม้จะมีเทปวิดีโอที่บันทึกเหตุการณ์อีกสามม้วนหลังเกิดโศกนาฏกรรมที่เอลรีโน ทั้งจากนักล่าพายุรายหนึ่งที่รถอยู่ห่างจากจุดที่รถโคบอลต์ของทิมหายไปจากสายตาครึ่งกิโลเมตรจากนักล่าพายุอีกรายที่บันทึกภาพรถคันเล็กร่วงลงจากท้องฟ้า และจากกล้องของพอล ซามารัส ที่กู้ขึ้นมาได้ แต่คงไม่มีใครรู้อย่างแน่ชัดว่าเกิดอะไรขึ้นเมื่อเวลา 18.23 น. ของวันที่ 31 พฤษภาคม ปี 2013

เรื่องโดย โรเบิร์ต เดรเพอร์
พย 2556