ผู้เขียน หัวข้อ: ตระกูล ส สสส และ ประชาไท ความใกล้ชิดและเชื่อมโยง  (อ่าน 810 ครั้ง)

story

  • Staff
  • Hero Member
  • ****
  • กระทู้: 9760
    • ดูรายละเอียด
 ช่วงสองสามวันมานี้ ประชาไทเป็นข่าวว่ารับเงินมาจากต่างประเทศ โดยที่นายเทพชัย หย่อง กรรมการ
       บริหารเครือเนชั่น (Facebook: Thepchai Yong) กล่าวว่าประชาไทได้เงินจาก “จอร์จ โซรอส” อภิมหาเศรษฐีพ่อมดการเงินโลกผู้โจมตีค่าเงินบาทของไทยจนเกิดวิกฤติต้มยำกุ้ง นางสาวจีรนุช เปรมชัยพร ผู้อำนวยการประชาไท ให้ข่าวว่าประชาไทได้รับเงินสนับสนุนปีละ 1.7 ล้านบาท จาก Open Society Foundation ของโซรอส จริง
       
       ผู้ช่วยศาสตราจารย์ ดร.เจษฎา เด่นดวงบริพันธ์ (Facebook: Jessada Denduangboripant) ได้กล่าวว่ามีแต่คนเพ่งเล็งประชาไท ทำไมไม่ไปเพ่งเล็ง สสส บ้าง “นอกจากนี้ ประชาไทก็รับทุน สสส. ทุกปี สสส. เป็นองค์กรของ establishment เลยทีเดียว ทำไมไม่พูดถึงบ้าง องค์กรที่รับทุนโซรอสมาบ่อนทำลายชาติ แต่ในขณะเดียว สสส. ก็ให้ทุนเนี่ยนะ คราวนี้ สื่ออย่าง The Nation นี่ก็ไปอ้างข่าวจากสำนักข่าวที่ไม่มีตัวตนอย่าง New Atlas มาโจมตีองค์กรที่มีตัวตน เป็นมูลนิธิจดทะเบียนภายใต้กฎหมายไทยอย่าง ประชาไทและไทยเน็ต”
       
       เช่นเดียวกันกับ ใบตองแห้ง (Facebook: Atukkit Sawangsuk) ก็ยืนยันเช่นกันว่าประชาไทได้รับเงินจาก สสส เช่นกัน
       
       เรื่องนี้ไม่น่าแปลกใจอะไร เช่นเดียวกันกับจุดยืนทางการเมืองของประชาไท ซึ่งเคยมีปัญหามากจนกระทั่ง เว็บบอร์ดประชาไทต้องปิดตัวลงเมื่อ 31 กรกฎาคม 2553 เพราะถูกข้อกล่าวหา “เป็นภัยต่อความมั่นคงของชาติ” ด้วย พ.ร.บ.ว่าด้วยการกระทำความผิดเกี่ยวกับคอมพิวเตอร์, พ.ร.ก.สถานการณ์ฉุกเฉิน และกฎหมายอาญามาตรา 112
       
       ประชาไททั้งก่อตั้งโดยแนวคิดของ จอน อึ๊งภากรณ์ โดยเริ่มต้นในชื่อ “โครงการวารสารข่าวทางอินเทอร์เน็ตเพื่อการศึกษาและสุขภาวะของชุมชน” เมื่อวันที่ 1 มิถุนายน พ.ศ. 2547 โดยได้รับเงินทุนสนับสนุนจากกองทุนส่งเสริมสุขภาพ (สสส.) และสถาบันพัฒนาองค์กรชุมชน (พอช.) ในภายหลังยังได้รับเงินอุดหนุนเพิ่มเติมจากมูลนิธิร็อกเกอะเฟลเลอร์ ภายหลังได้จดทะเบียนเป็น “มูลนิธิสื่อเพื่อการศึกษาของชุมชน” โดยมีคณะกรรมการดำเนินงานดังรายนามต่อไปนี้
       
        ๕.๑ นายเกษม ศิริสัมพันธ์ ประธานกรรมการ
       ๕.๒ นายรุจน์ โกมลบุตร รองประธานกรรมการ
       ๕.๓ นายจำนงค์ จิตรนิรัตน์ กรรมการ
       ๕.๔ นายนิรันดร์ พิทักษ์วัชระ กรรมการ
       ๕.๕ นางสาวสารี อ๋องสมหวัง กรรมการและเหรัญญิก
       ๕.๖ นายจอน อึ๊งภากรณ์ กรรมการและเลขาธิการ
       
        เลขทะเบียน ลำดับที่ กท ๑๕๐๙ ตั้งแต่วันที่ ๑๓ มกราคม ๒๕๔๙
       
        ทั้งนี้ จอน อึ๊งภากรณ์ เคยนำการเคลื่อนไหวของกลุ่มคนรักหลักประกันสุขภาพ ที่ปรึกษากลุ่มคนรักหลักประกันสุขภาพและอดีตกรรมการหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ ซึ่งเป็นแนวทางและพันธมิตรชิดใกล้กับทั้ง สสส และ สปสช หรือสำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ สองหลักใหญ่ของตระกูล ส โดยที่ สสส เป็นเสมือนเสบียงกรังของ NGO และเป็นพลาธิการของตระกูล ส ในขณะที่ สปสช เปรียบเสมือนทัพหลวงตระกูล ส ใน ยุทธการสามเหลี่ยมเขยื้อนภูเขาเพื่อเปลี่ยนแปลงประเทศไทยสู่สังคมแนวราบตามแนวคิดของนายแพทย์ประเวศ วะสี
       
        ส่วนนางสาวสารี อ่องสมหวัง ผู้ร่วมก่อตั้งประชาไท เป็นกรรมการคณะกรรมการหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ (พ.ศ. 2557-2558) กรรมการคณะกรรมการควบคุมคุณภาพและมาตรฐานบริการสาธารณสุข (พ.ศ. 2546-2549) ของ สปสช กรรมการและผู้จัดการมูลนิธิเพื่อผู้บริโภค (พ.ศ. 2549) เลขาธิการมูลนิธิเพื่อผู้บริโภค (พ.ศ. 2551) และ เลขาธิการสหพันธ์คุ้มครองผู้บริโภค (พ.ศ. 2555) และมูลนิธิเพื่อผู้บริโภคเองก็ได้เงินจากทั้ง สสส และ สปสช ไปมากมาย โดยที่กรรมการมูลนิธิเพื่อผู้บริโภคต่างก็ดำรงตำแหน่งใน สสส และ สปสช ด้วย อาจจะกล่าวได้ว่าเป็น NGO ตระกูล ส เต็มตัว
       
        อันที่จริงไม่ใช่เรื่องน่าแปลกใจอะไรที่ ทาง สสส ใช้เงินโฆษณาซื้อสื่อโฆษณาเป็นจำนวนมาก และอุดหนุนหรือสนับสนุนโครงการของสำนักข่าวต่างๆ เป็นจำนวนมาก สำนักข่าวอิศรา เองก็ได้เงินไปจาก สสส เกือบหนึ่งร้อยล้านบาท และ สสส เองก็ตกเป็นข่าวฉาวโฉ่เรื่องการใช้เงินผิดประเภทและการขัดกันแห่งผลประโยชน์จนนายกรัฐมนตรีต้องลงนามในคำสั่งมาตรา 44 ปลดกรรมการบอร์ด สสส ไปถึง 7 คนมาแล้ว
       
       ตระกูล ส นั้นนอกจากจะเก่งกาจเรื่องการสื่อสารมวลชนมีสายสัมพันธ์อันดียิ่งกับนักข่าวต่างๆ สำนักข่าวต่างๆ แล้วยังมีความสามารถพิเศษในการเข้าหาได้ทุกพรรค รักได้ทุกคน เพื่อผลประโยชน์มาเสมอมา
       
       สปสช นั้นก็เกิดขึ้นมาได้เพราะนักโทษชายทักษิณ ชินวัตร โดยมีนายแพทย์ประเวศ วะสีเป็นคนผลักดัน ร่วมกับนายแพทย์สงวน นิตยารัมพงศ์ และมีนายแพทย์สุรพงษ์ สืบวงศ์ลี และ นายแพทย์พรหมินทร์ เลิศสุริย์เดช เป็นกาวใจประสานใจให้กับนักโทษชายทักษิณ ชินวัตร
       
       ใบตองแห้งได้เขียนไว้ว่า
       
       รัฐประหาร 2549 ที่แพทย์ตระกูล ส. ได้อำนาจเบ็ดเสร็จ หมอมงคล ณ สงขลา เป็นรัฐมนตรี หมอวิชัย โชควิวัฒน เป็นประธานบอร์ดองค์การเภสัช ร่วมกับหมอสงวน นิตยารัมภ์พงศ์ เลขาธิการ สปสช.ทำ CL หักคอบริษัทข้ามชาติจนยาละลายลิ่มเลือดเม็ดละ 80 บาทเหลือ 1.50 บาท ประกาศคุณงามความดีของการ "ร่วมมือกับรัฐประหาร จนถึงวันนี้
       
       นี่คือวิถีแพทย์ตระกูล ส. เครือข่ายหมอประเวศ วะสี ซึ่งรวบรวมแพทย์ชนบทผู้มีอุดมการณ์ตั้งแต่ยุค 14 ตุลา มารวมกลุ่ม "หมอสามพราน" วางยุทธศาสตร์สามเหลี่ยมเขยื้อนภูเขา เอากับอำนาจทุกขั้ว ไม่สนว่าเลือกตั้งหรือรัฐประหาร ขอเพียงได้สร้างองค์กรขับเคลื่อนสุขภาพนอกระบบราชการ (ซึ่งก็ทำให้ขัดแย้งกับข้าราชการกระทรวงสาธารณสุข)
       
        ตั้งแต่ยุคอานันท์ก็ได้สถาบันวิจัยระบบสาธารณสุข ยุคชวนได้ สสส.ภาษีบาป 2% เป็น "ท่อน้ำเลี้ยง" สร้างเครือข่ายใหญ่โต เลี้ยงไปถึง NGO และสื่อ (สถาบันอิศราได้งบ 8 ปี เกือบ 100 ล้าน) ยุคทักษิณได้ 30 บาทรักษาทุกโรค ยุค พล.อ.สุรยุทธ์ได้คณะกรรมการสุขภาพแห่งชาติ และได้ไทยพีบีเอสแถมพก
       
        ดังนั้นอย่าได้สงสัยเลยว่า ตระกูล ส และ สสส และ ประชาไท มีรากเหง้ามาจากที่เดียวกัน มีความเชื่อมโยงสัมพันธ์กันลึกซึ้ง โดยมีนายแพทย์ประเวศ วะสีเป็นหัวเรือใหญ่ตระกูล ส ส่วนความสัมพันธ์ระหว่างนายแพทย์ประเวศ วะสี กับนักโทษชายทักษิณ ชินวัตร เป็นไปอย่างราบรื่นหวานชื่นเพียงใด โปรดอ่านได้จากจดหมายฉบับนี้ http://www.komchadluek.net/news/politic/33490 หรือ http://www.siamintelligence.com/thaksin-is-a-force-of-transformation/

อาจารย์ ดร.อานนท์ ศักดิ์วรวิชญ์
       สาขาวิชาวิทยาการประกันภัยและการบริหารความเสี่ยง
       สาขาวิชา Business Analytics and Intelligence
       คณะสถิติประยุกต์ สถาบันบัณฑิตพัฒนบริหารศาสตร์     
24 สิงหาคม 2559

story

  • Staff
  • Hero Member
  • ****
  • กระทู้: 9760
    • ดูรายละเอียด
จดหมายเปิดผนึกประเวศ วะสีถึงทักษิณ
« ตอบกลับ #1 เมื่อ: 30 สิงหาคม 2016, 02:04:48 »
คุณทักษิณที่รัก

ใครๆ ก็ลงความเห็นว่า คุณทักษิณเป็นคนที่มีศักยภาพยิ่งกว่าใครๆ ในแผ่นดิน ที่จะบันดาลให้เกิดความปั่นป่วนก็ได้หรือความสงบก็ได้ นายกรัฐมนตรีคนก่อนๆ ที่ถูกรัฐประหารแล้วจะไปลับ แต่คุณเป็นนายกรัฐมนตรีก็ได้ สั่งให้พรรคเพื่อไทยซ้ายหัน ขวาหันก็ได้ ทำให้มวลชนคนเสื้อแดงคึกคักหรือซบเซาก็ได้ ไม่มีใครมีศักยภาพที่จะทำได้เท่าคุณทักษิณ

เมื่อพบกันครั้งสุดท้ายในงานศพภรรยาอาจารย์หมอแสม พริ้งพวงแก้ว ขณะนั้นคุณเป็นนายกรัฐมนตรี คุณกล่าวถึงผมว่า มาตรฐานของผมสูงเกินคุณยังทำไม่ได้ ผมว่ามาตรฐานของผมไม่สูงหรอก แต่คุณนั่นแหละมีศักยภาพสูงมาก ที่จะทำเรื่องใหญ่ๆ ใหญ่กว่าเรื่องที่คุณกำลังทำอยู่ขณะนี้

ผมคิดว่าขณะนี้ประเทศติดอยู่ในหลุมดำแห่งวิกฤตการณ์ที่เสี่ยงต่อการเกิดมิคสัญญี กลียุค เพราะกรรมร่วมหลายอย่างบรรจบกัน ซึ่งรวมเรียกว่าปัญหาเชิงโครงสร้าง ในช่วง 80 ปีที่ผ่านมา แนวคิดทางการเมืองอยู่ในเรื่องการโค่นล้มและการแก้แค้นกันไปมา เมื่อคณะราษฎรโค่นล้มเจ้า พวกเจ้าก็โค่นล้มคณะราษฎร หลัง 14 ตุลาเมื่อเห็นว่าขบวนการนักศึกษาชักจะมีอำนาจมากก็เกิดการฆ่านักศึกษากลางเมือง เมื่อ 6 ตุลาคม แนวทางกระทำและปฏิกิริยาต่อการกระทำดำเนินเรื่อยมา และก่อให้เกิดความแตกแยกในหมู่คนไทยมากขึ้นเรื่อยๆ

จริงอยู่คุณทักษิณสามารถ shake loose หรือเขย่าให้ทุกองค์กรและสถาบันในประเทศไทยหลวมหมด ซึ่งอาจมองว่ามีข้อดีที่จะประกอบเครื่องไปสู่การพัฒนาระดับใหม่ (New Order) แต่ก็สุ่มเสี่ยงเกินไปที่จะหลุดเข้าไปสู่มิคสัญญีกลียุค เพราะในยามที่สังคมมีอารมณ์รุนแรง ย่อมเกิดการรับรู้ผิดๆ และคิดผิดๆ ไม่มีปัญญาพอที่จะใช้วิกฤตเป็นโอกาสที่จะพัฒนาไปสู่จุดลงตัวใหม่ได้

ผมไม่คิดว่าการต่อสู้ตอบโต้กันไปมาอย่างที่เป็นไปขณะนี้จะสามารถพาสังคมไทยออกจากหลุมดำแห่งวิกฤตการณ์ได้ วิกฤตการณ์ของเราใหญ่และลึกเกินกว่าที่การต่อสู้แย่งชิงอำนาจกันจะมีพลังพอ ที่จะขยับสังคมไทยออกจากมหาวิกฤตการณ์ครั้งนี้ได้

เราต้องการอะไรที่ใหญ่กว่านั้น

แล้วไอ้ที่ว่าใหญ่กว่านั้นมันคืออะไร

เรื่องใหญ่ที่สุดคือ จิตสำนึกใหม่ (New Consciousness)

คนไทยเรามีจิตสำนึกเล็กๆ แคบๆ มองไม่เห็นทั้งหมด ทำเฉพาะส่วนอย่างแยกส่วน ทำเพื่อตนและพวกตน นำไปสู่การเสียดุลยภาพอย่างรุนแรงทั้งหมดทั้งสิ้น คือเสียดุลระหว่างกายกับใจ เสียดุลทางสังคมเศรษฐกิจ สิ่งแวดล้อม การเมือง การเสียดุลยภาพคือ ความเจ็บป่วย และนำไปสู่การล่มสลาย

วิถีดุลยภาพคือทางไป

แต่วิถีดุลยภาพเกิดขึ้นไม่ได้ ถ้าเรายังมีจิตสำนึกเล็กๆ แคบๆ เราต้องการจิตสำนึกใหม่ที่เป็นจิตสำนึกที่เห็นความเป็นหนึ่งเดียวของทั้งหมด (The Same Oneness) ของคนทั้งหมดและธรรมชาติทั้งหมด

จิตสำนึกใหม่ที่เข้าถึงความเป็นทั้งหมดจะทำให้เป็นอิสระ มีความสุขอันลึกซึ้ง เกิดความรักอันไพศาลต่อเพื่อนมนุษย์และธรรมชาติทั้งหมด ทำให้ดำเนินไปบนวิถีดุลยภาพได้

จิตสำนึกใหม่ที่ว่านี้เกิดขึ้นได้จริงๆ คุณลองไปอ่านเรื่องของมนุษย์อวกาศที่ชื่อ Edgar Mitchell เมื่อเขายืนบนดวงจันทร์ มองมาเห็นความเป็นหนึ่งเดียวของโลกใบนั้น จิตเขาเปลี่ยนโดยสิ้นเชิง เขากล่าวว่า “I came back to Earth, a totally changed man” เขารู้ว่าจิตสำนึกใหม่เกิดขึ้นได้ และเมื่อเกิดขึ้นแล้วมันมหัศจรรย์เพียงใด จึงตั้งสถาบันที่เรียกว่า Instiute of Noetic Sciences ที่แคลิฟอร์เนีย เพื่อค้นคว้าวิจัยและเผยแพร่เรื่องจิตสำนึกใหม่ ซึ่งไม่จำเป็นจะต้องไปนอกโลก แต่มีวิธีอันหลากหลายที่ทำให้เกิดขึ้น ขณะนี้หนังสือกลุ่มที่ขายดีที่สุดในโลกคือ กลุ่มที่เกี่ยวกับจิตสำนึกใหม่ เพราะในตะวันตกเกิดตระหนักกันมากยิ่งขึ้นเรื่อยๆ ว่าวิกฤตโลกคราวนี้เป็นวิกฤตอารยธรรม หรือแบบแผนการดำรงชีวิต ไม่มีทางที่มนุษย์จะดำเนินไปในอารยธรรมเดิม โดยไม่ทำลายดุลยภาพของการอยู่ร่วมกัน ลาสโก โกรฟ และรัสเซลล์ ในหนังสือของเขาชื่อ Consciousness Revolution เห็นว่าทางเดียวเท่านั้นที่มนุษยชาติจะอยู่รอดได้ คือการปฏิวัติจิตสำนึก

หนังสืออีกเล่มหนึ่งที่ปีเตอร์ รัสเซลล์ เขียนคนเดียวชื่อ Waking up in time ก็ทำนองเดียวกันที่ไม่เห็นว่าโลกจะรอดได้เพราะเทคโนโลยีใหม่หรือเศรษฐกิจ ใหม่ใดๆ นอกจากจิตสำนึกใหม่

วิถีทางใหม่ที่มนุษยชาติ คือวิถีดุลยภาพ

ซึ่งจะเป็นไปได้ด้วยจิตสำนึกใหม่เท่านั้น

วิกฤตการณ์ประเทศไทยก็เช่นเดียวกับวิกฤตการณ์โลก ที่เกิดจากการดำเนินไปบนวิถีที่ขาดดุลยภาพไม่มีทางออกด้วยการแก้เล็กแก้น้อย หรือด้วยการทะเลาะวิวาทแบบเด็กตีกัน แต่เราต้องการวิถีทางใหม่ซึ่งเป็นวิถีดุลยภาพ ซึ่งจะเป็นไปได้ต่อเมื่อคนไทยมีจิตสำนึกใหม่

ถ้าคนไทยมีจิตสำนึกใหม่ เข้าถึงความเป็นหนึ่งเดียวของประเทศไทยทั้งหมด จะเกิดความเป็นอิสระเกิดความสุขอย่างล้ำลึก เกิดความรักอันไพศาลต่อเพื่อนมนุษย์และธรรมชาติทั้งหมด นำไปสู่วิถีชีวิตใหม่ที่ก้าวข้ามความขัดแย้งและความติดขัด

คุณทักษิณ คุณเป็นคนมีศักยภาพสูงที่จะทำเรื่องใหญ่ ปล่อยความแค้นหรือการคิดแก้แค้นใดๆ เพราะมันอยู่ในอกุศลภูมิแห่งโลภะ โทสะ โมหะ เท่านั้นเอง คุณต้องไปทำเรื่องใหญ่กว่านั้น คือเรื่องการสร้างจิตสำนึกใหม่ของคนไทยทั้งหมดและมนุษย์ในโลกด้วย ด้วยศักยภาพของคุณผมคิดว่าคุณสามารถเปลี่ยนแปลงโลกได้

ถ้าคุณเปลี่ยนแปลงจากการทำเพราะแรงแค้น อันเป็นเรื่องในระดับต่ำๆ ไปสู่การทำงานใหญ่เรื่องสร้างจิตสำนึกใหม่ คุณจะพบความสงบและความสุขที่ไม่เคยได้พบมาก่อน ใครๆ ก็จะหันมารักคุณ และในที่สุดอย่าว่าแต่เรื่องเงิน 70,000 กว่าล้านของคุณเท่านั้นเลย ใครๆ ก็อยากจะเห็นคุณมีมากๆ เพื่อเพิ่มศักยภาพของคุณในการทำเพื่อเพื่อนมนุษย์

คุณมีหลานสาวคนหนึ่งที่มีความรู้ความชำนาญเรื่องจิตสำนึกใหม่ ถ้าคุณสนใจเรื่องนี้ เขาคงยินดีเดินทางมาพบคุณที่ดูไบหรือที่อื่นใด ผมขออธิษฐานให้คุณเป็นพลังแห่งการเปลี่ยนแปลงขั้นพื้นฐาน (Transformation) ของมนุษยชาติ

ด้วยความระลึกถึง
ประเวศ วะสี

http://www.komchadluek.net/news/politic/33490
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 30 สิงหาคม 2016, 02:07:11 โดย story »

story

  • Staff
  • Hero Member
  • ****
  • กระทู้: 9760
    • ดูรายละเอียด
 Unter • 7 ปีที่แล้ว

ออกจะขำๆ ที่พี่หมอพยายามออกมาเขียน และเผยแพร่วาทะกรรม
เรื่องจิตสำนึกใหม่ (New Consciousness) ถึงท่านนายกทักษิณ

นอกจากจะลงในมติชนแล้ว พี่หมอ ยังพยายามเผยแพร่อีโก้ของพี่หมอไปตามเว็บต่างๆมากมายหลายแห่ง
และเป็นหลายแห่งที่ผมดันทะลึ่งเปิดไปเจอไปอ่าน

อ่านแล้วก็ขำ

ก็เอาเถอะ มันเป็นอัตตาถาวรอันไม่อาจแก้ไขของพี่หมอไปแล้ว
ประหนึ่งว่า ประเวศ แคน ดู โน วรอง อย่างนั้น

ก็ดีเหมือนกัน ที่พี่หมออ่านหนังสือเล่มเดียวกันกับที่ผมอ่าน
The Consciousness Revolution
โดย Ervin Laszlo, Stan Grof, Peter Russell

ผมมีความเชื่ออยู่ลึกๆว่า ท่านนายกทักษิณก็คงได้อ่านหนังสือเล่มนี้แล้วเช่นกัน

ผมเชื่ออย่างนั้นเพราะว่า สมัยที่ท่านนายกทักษิณยังบริหารประเทศ และดูแลประชาชนคนไทยเป็นอย่างดี ท่านนายกทักษิณได้แนะนำหนังสือดีๆหลายเล่ม ที่ผมอยากจะบอกพี่หมอในครั้งนี้ก็คือ หนังสือที่ท่านนายกทักษิณแนะนำ 9 ใน 10 เล่ม มักจะตรงกับหนังสือที่ผมอ่าน

(ถึงแม้ว่ามีเล่มไหนที่ไม่ตรงกับที่ผมมี ผมก็ต้องรีบไปหามาอ่าน
เพราะผมมีความเชื่อมั่นใน Leadership’s Vision ของท่านนายกทักษิณ)

ไหนๆพี่หมอก็อ้างถึง Peter Russell แล้ว ผมก็อยากแนะนำให้พี่หมออ่านเล่มนี้ครับ

The Global Brainครับ โดยเฉพาะบท Inner Evolution ที่พูดถึงเรื่อง The Skin-Encapsulated Ego ผมว่าพี่หมอน่าจะได้รับประโยชน์อย่างมากนะครับ
เพราะ Encapsulated Ego นี่ เป็นอุปสรรคอย่างยิ่งในกระบวนการพัฒนาทุกกระบวนการ
ไม่ว่าจะเป็นการหัดเขียน ก.ไก่ การนับเลขบวกเลข หากมีไอ้ Encapsulated Ego ติดอยู่
เหมือนกับที่พี่หมอมีอยู่อย่างหนาเตอะ ผมว่าประเทศไม่เจริญ
เพราะมีคนประเภทเดียวกันกับพี่หมอนี่แหละ มาคอยถ่วงรั้งเอาไว้

ล่าสุดก็มีคนออกมาบอกให้ชาวนากลับไปใช้ควายไถนา เพราะจะได้ประหยัดน้ำมัน

และผมว่า คนอย่างท่านนายกทักษิณ เป็น Global Brain ไม่ใช่ Local Brain หรือ Domestic Brain อย่างที่พี่หมอกำลังเป็นอยู่

As The Future Catches You(เล่มโปรดของผมเลยนะเนี่ย)
Juan Enriquez พูดถึงเทคโนโลยีที่มาครอบงำสังคมมนุษย์โดยไม่ทันตั้งตัว และเทคโนโลยีก็มีผลกระทบในวงกว้างต่อทุกวงการ ทางรอดที่จะสร้างความมั่นคงและความมั่งคั่งในสังคม คือ (ถึงตรงนี้ พี่หมออ่านให้ดีๆนะครับ)
สร้างความสามารถในการแข่งขัน การเปิดโอกาสทางเศรษฐกิจให้ผู้คน โดยจะต้องนำเทคโนโลยีมาประกอบการจัดการด้วย

IT is Alive
Christopher Meyer บอกว่าการบริหารเทคโนโลยีในอนาคตอีก 10 ปีข้างหน้า ระบบทุกระบบ จะเคลื่อนไหวเป็นอิสระเปรียบเสมือนสิ่งมีชีวิต ผู้บริหารจะต้องปรับตัวให้เข้ากับการเปลี่ยนแปลงที่ทันสมัย โดยเป็นการเน้นย้ำถึงเทคโนโลยีที่สำคัญคือ Molecular Technology ประกอบด้วย Nano Technology, Bio Technology , Material Technology โดยในอนาคตอัตราเร่งทางเทคโนโลยีจะเร็วมากขึ้น 2 เท่าของในอดีต ดังนั้น อย่ามัวแต่พร่ำเพ้อวางแผนหนึ่งแผนสองเหมือนสมัยโบราณ ผู้บริหารต้องมีความเร็วด้านการบริหารจัดการด้วยทั้งการดูแลบริหารในแนวดิ่งและแนวระนาบ

The New Leaders
แปลงศิลป์ให้เป็นศาสตร์ โดย Daniel Goleman คนที่ทำให้คนทั้งโลกรู้จักอีคิว พี่หมอจะได้รู้จักกับ The Power of Emotional Intelligence และ The Neuroanatomy of Leadership ซึ่งคงจะมีอยู่มากมายในตัวท่านนายกทักษิณ ก็หวังว่า พี่หมอคงจะรู้จักตัวตนของท่านนายกทักษิณได้ดีขึ้น
คราวหน้าคราวหลัง พี่หมอจะได้ระมัดระวังในการเขียนให้มากขึ้น จะได้ไม่ถูกรุมด่าซ้ำแล้วซ้ำเล่า

อันที่จริง มีอีกหลายเล่มที่อยากให้พี่หมอได้อ่าน
อย่างเช่น
Rethinking the Future
Lateral Thinking
Business@The Speed of Thougth

ผมแนะนำมาด้วยความปรารถนาดี
ดีกว่าพี่หมอเอาเวลาไปอ่าน ผู้จัดการ และนั่งดู เอเอสทีวี
มันเป็นอันตรายต่อสุขภาพนะครับ

ในหนังสือ Waking up in timeที่พี่หมออ้างถึง Peter Russell บอกว่า
”ไม่เห็นว่าโลกจะรอดได้เพราะเทคโนโลยีใหม่หรือเศรษฐกิจ ใหม่ใดๆ นอกจากจิตสำนึกใหม่”

ผมไม่ทราบว่าพี่หมออ่านจนจบเล่มแล้วหรือยัง
อ่านจบแล้วจับความเฉพาะตอนมากล่าวอ้าง

Peter Russell ไม่ได้ปฏิเสธเทคโนโลยีใหม่หรือเศรษฐกิจ
แต่เขาเน้นย้ำให้ใช้ทั้งเทคโนโลยีใหม่ๆและรักษาสภาพแวดล้อมทั้งทางธรรมชาติและสังคมมนุษย์เพื่อการพัฒนาความมั่งคั่งทางเศรษฐกิจ
โดยไม่ทำลายสังคมและดุลยภาพธรรมชาติอย่างที่พี่หมอและคนประเภทเดียวกันกับพี่หมอพยายามทำมาตลอด

ผมคิดว่า พี่หมออ้าง Peter Russell เพราะเขาเป็นนักคิดในแนว Spiritual ที่น่านับถือคนหนึ่งของโลก

ผมก็ติดตามอ่านทุกเล่ม ขอย้ำว่า ผมอ่านทุกเล่ม
และอ่านทุกบทความในบล็อกของเขา
แต่ผมไม่ใช่สาวกของเขา แม้จะนับถือในแนวคิดของเขาเป็นอันมาก
ผมก็ไม่เคยอ้างบางประโยคบางวลีมาทำร้ายผู้อื่น

ต่างจากพี่หมอที่มีอคติแฝงเร้นในแนวคิดของตนเอง
เป็นเพราะวันนี้ พี่หมอไม่สามารถอ้างแนวคิดของตนหรืออ้างพระไตรปิฎกแบบงูๆปลาๆได้อีกต่อไป

สังคมวันนี้เป็นสังคมโลก ที่โลกได้เรียนรู้และถ่ายทอดประสบการณ์ทุกอย่างแก่กันในความเร็วแสง

คนไทยอ่านหนังสือเยอะนะครับพี่หมอ หนังสือหลายเล่มผมก็ซื้อไม่ทัน ต้องสั่งซื้อทางอินเตอร์เน็ท

อีกอย่างหนึ่ง ผมและคนอ่านหนังสือจำนวนมากในโลกเบี้ยวๆใบนี้ ไม่ได้เชื่อตามหนังสืออย่างหัวปักหัวปำ
จนต้องนำบางประโยคในหนังสือจากคนเขียนที่มีชื่อเสียงมากล่าวร้ายผู้อื่น
วิชาคืออาวุธเสริมสร้างความแข็งแกร่งแก่ตนเอง
วิชาไม่ใช่อาวุธที่จะนำมาประหัตประหารผู้อื่น

พี่หมอควรจะตั้งหลักให้ดี และยอมรับการเปลี่ยนแปลงของโลก
หากพี่หมอยังอ่านหนังสือไม่จบเล่ม หรือแค่ฉวยโอกาสเอาประโยคหรือวลีในหนังสือดังๆ
มากล่าวอ้างเป็นวาทะกรรมตามจิกท่านนายกทักษิณเพียงคนเดียว
พี่หมอก็ไร้ค่าในสังคมอุดมปัญญา