มูลนิธิสาธารณสุขแห่งชาติตั้งขึ้นด้วยความคาดหมายล่วงหน้า กล่าวคือเมื่อ 2 ทศวรรษที่แล้ว มูลนิธิร็อกกีเฟลเลอร์ โดย นายแพทย์สก็อต ฮอลสเตท รองผู้อำนวยการฝ่ายวิทยาศาสตร์สุขภาพ ได้ให้ทุนสนับสนุนกระทรวงสาธารณสุขตั้ง คณะกรรมการระบาดวิทยาแห่งชาติ ขณะนั้นคนไทย ได้ร่วมกันคิดสถานภาพขององค์กร ว่าควรอยู่ภายใต้ระบบราชการ หรือเป็นองค์กรอิสระ ทางฝ่ายร็อกกีเฟลเลอร์ ต้องการให้อยู่กับกระทรวงสาธารณสุข แต่คนไทยจำนวนหนึ่ง ซึ่งคิดว่าต่อไป จะไม่ยั่งยืน ได้ร่วมกันก่อตั้งมูลนิธิสาธารณสุขแห่งชาติรองรับไว้ด้วย โดยความเห็นชอบ ของรัฐมนตรี ว่าการกระทรวงสาธารณสุข และปลัดกระทรวงสาธารณสุขในสมัยนั้น โดย นายแพทย์ไพโรจน์ นิงสานนท์ ดำรงตำแหน่งประธานมูลนิธิคนแรก และ นายแพทย์สงวน นิตยารัมภ์พงศ์ เป็นเลขาธิการ
เมื่อคณะกรรมการระบาดวิทยาแห่งชาติ ถูกมรสุมทางการเมือง โดยรัฐมนตรีท่านหนึ่งสั่งยุบ งานของคณะกรรมการ ระบาดวิทยาแห่งชาติก็โอนมาเป็นงาน ของมูลนิธิสาธารณสุขแห่งชาติ ตามความคาดหมาย โดย คุณหมอจันทร์เพ็ญ ชูประภาวรรณ เลขานุการคณะกรรมการ ระบาดวิทยาแห่งชาติ ได้เข้ามาทำงานมูลนิธิ ซึ่งมีความสำคัญยิ่งในการเปลี่ยนผ่านองค์กรงานทางด้าน สุขภาพ ในประเทศไทย ต้องนับว่ามีองค์กรอิสระหรือกึ่งอิสระมาทำงานมากกว่าสาขาอื่น ๆ เช่น คณะกรรมการระบาดวิทยาแห่งชาติ สวรส. สสส. สปรส. มูลนิธิสาธารณสุขแห่งชาติ สำนักงานหลัก ประกันสุขภาพแห่งชาติ
และมีการทำงานถักทอกันเป็นเครือข่าย ข้ามพรมแดนสาขาวิชา และพรมแดนของสถาบัน ทำให้อยู่ในฐานะที่จะผลักดัน การสร้างเสริมสุขภาพ ให้เกิดขึ้นแก่ปวงชนชาวไทย อันถือเป็นเรื่องยากอย่างยิ่งเรื่องหนึ่ง ฉะนั้นการเรียนรู้ที่จะจัดการ ตัวเราเอง จัดการความรู้ และจัดการองค์กร จึงเป็นเรื่องที่สำคัญยิ่ง สำหรับการทำงานทุกเรื่อง
นายแพทย์ไพบูลย์ สุริยะวงศ์ไพศาล เป็นเลขาธิการก็ดีหรือนายแพทย์สมศักดิ์ ชุณหรัศมิ์ เลขาธิการคนปัจจุบันก็ดี ได้นำบทบาทของมูลนิธิ ไปในทางจัดการการวิจัยสร้างความรู้มากยิ่งขึ้น ในระยะหลัง สกว.ได้ขอให้มูลนิธิรับจัดการสนับสนุน การวิจัยสุขภาพ ในส่วนของ สกว.ให้ด้วย
นายแพทย์สมศักดิ์ ชุณหรัศมิ์ เป็นผู้อำนวยการคนแรกของ สวรส. มีความเชี่ยวชาญเกี่ยวกับการจัดการการวิจัยมาก ที่สำคัญคือก่อให้เกิด ความศรัทธาและร่วมมือจากคนที่เป็นผู้นำในการวิจัยสุขภาพอย่าง นายแพทย์อารี วัลยะเสวี นายแพทย์จรัส สุวรรณเวลา นายแพทย์ธาดา ยิบอินซอย นายแพทย์วิจารณ์ พานิช เป็นต้น กลุ่มคนเหล่านี้ทำให้มูลนิธิสาธารณสุขแห่งชาติมีฐานะพิเศษอย่างหนึ่ง แต่ละคนแต่ละองค์กร จะมีฐานะหรือจุดแข็ง เฉพาะแตกต่างกัน และควรทำงานที่สอดคล้องกับจุดแข็งของตน ๆ มีผู้เสนอว่ามูลนิธิสาธารณสุขแห่งชาติควรทำในสิ่งที่คนอื่นทำไม่ได้ นั่นคือประสานความร่วมมือระหว่างสถาบัน ให้ทำงานในเรื่องยาก ๆ แต่สำคัญยิ่งสำหรับประเทศ ในกาลอันวิกฤตที่ประเทศไทย จะต้องรักษาดุลยภาพ ของตนเองไว้ให้ได้ ท่ามกลางกระแสความผันผวนกระแทกกระทั้น ทั้งจากภายใน และภายนอก จำเป็นที่คนไทยจะต้องตระหนักรู้ว่าใช้แต่ความเห็น แก้ปัญหาของประเทศไม่ได้ ต้องใช้ความรู้ การจัดการให้มีการสร้างความรู้ที่สอดคล้องกับปัญหา ทำความรู้ให้อยู่ในรูปใช้งานได้ ใช้ความรู้ให้ถูกต้อง ประเมินผลการใช้ความรู้ และนำผลไปปรับตัว อย่างต่อเนื่อง เป็นกระบวนการที่จะทำให้แก้ปัญหาได้จริง ในการนี้จำเป็นต้องมีบุคคล และหน่วยที่ทำงานความรู้เชื่อมโยง กันเป็นเครือข่ายเต็มสังคม เหมือนโครงสร้างสมอง หรือประดุจมีดวงดาวเต็มท้องฟ้า มูลนิธิสาธารณสุขแห่งชาติ เปรียบเสมือนเทียนดวงเล็ก ๆ ดวงหนึ่งเท่านั้น
หน้าที่ของคนไทยทั้งหมด คือช่วยกันสร้างเทียนแห่งปัญญาให้มากดวง และเชื่อมต่อจูน คลื่นกันให้เกิดแสงเลเซอร์แห่งปัญญา เป็นพลังให้ประเทศไทยรักษาดุลยภาพไว้ได้ท่ามกลางกระแสวิกฤตดุลยภาพ คือปรกติภาพ สุขภาพ และความยั่งยืนขอให้ท่านมีความสุข และพลังสร้างสรรค์สิ่งดีงาม ให้บ้านเมืองของเรา
๑. ต้นทางของความคิดในการก่อตั้งมูลนิธิสาธารณสุขแห่งชาติิ
ในช่วงทศวรรษ ๒๕๒๐ ประเทศไทยต้องเผชิญทั้งปัญหาไฟสงคราม คือสงครามเวียตนามและกัมพูชา และปัญหาสาธารณสุขที่ต้นเหตุหลัก ของการเจ็บป่วยมิได้มาจากเชื้อโรคอีกต่อไป หากมาจากพฤติกรรมและสภาพแวดล้อมที่เสื่อมโทรมลง และถือเป็นวิกฤตของสังคม ที่รัฐมิอาจแก้ไขได้เพียงลำพัง และมิใช่ด้วยการทุ่มงบประมาณลงไป หากต้องมาจากการใช้ความรู้และความร่วมมือ
ระหว่างปี พ.ศ. ๒๕๒๗-๒๕๒๙ มีการจัดตั้งองค์กรอิสระ ขึ้นหลายองค์กร ทั้งเพื่อเคลื่อนไหวสังคมและมุ่งจัดการความรู้ เพื่อสร้างความเข้มแข็งทางปัญญา แก่สังคม โดยในด้านพัฒนาชนบทนั้น
รัฐบาลไทยได้ร่วมมือกับองค์กรสนับสนุนความช่วยเหลือระหว่างประเทศของรัฐบาลแคนาดา (Canadian International Development Agency: CIDA) จัดตั้ง "กองทุนพัฒนาท้องถิ่นไทย-แคนาดา" (Local Development Assistance Program: LDAP) ขึ้น เพื่อส่งเสริมและสนับสนุนองค์กร สถาบัน และกลุ่มต่างๆ ที่ดำเนินการด้านการพัฒนาท้องถิ่น ให้สามารถขยายขีดความสามารถที่เอื้อประโยชน์ต่อชุมชน ทั้งในระดับหมู่บ้าน ท้องถิ่นและประเทศโดยรวม ต่อมาได้ขยายบทบาทของกองทุนดังกล่าวให้เป็นสถาบันนิติบุคคล ภายใต้ซื่อว่า "มูลนิธิชุมชนท้องถิ่นพัฒนา" พร้อมกับก่อตั้ง สถาบันชุมชนท้องถิ่นพัฒนา (สทพ.) เพื่อดำเนินงานต่อไป
สำหรับองค์กรที่ทำการวิจัยเชิงนโยบายเพื่อสนับสนุนการกำหนดนโยบายระยะยาว อันมีผลต่อการพัฒนาเศรษฐกิจและสังคม และเผยแพร่ผลงานวิจัย ต่อภาครัฐบาลและเอกชน และถือว่าเป็นสถาบันวิจัยเชิงนโยบายแห่งแรกของประเทศไทยคือ มูลนิธิเพื่อการพัฒนา ประเทศไทย ซึ่งก่อตั้งในปี พ.ศ. ๒๕๒๗ โดยความริเริ่มของสำนักงานคณะกรรมการ พัฒนาการเศรษฐกิจ และสังคมแห่งชาติ มี พลเอกเปรม ติณสูลานนท์ นายกรัฐมนตรีขณะนั้น และ มร.ปิแอร์ ทรูโด นายกรัฐมนตรีแห่งประเทศแคนาดา เป็นประธานร่วมในพิธีลงนาม ในข้อตกลง ให้ความช่วยเหลือเพื่อมอบทุนดำเนินการจัดตั้งสถาบันในระยะเริ่มแรก ในช่วงเวลาเดียวกันงานด้านสาธารณสุข ก็ได้มีการคิด เรื่ององค์กรอิสระ และเป็นกลางพอที่เชิญผู้เกี่ยวข้อง มาร่วมสร้างและพัฒนานโยบาย เพื่อให้เกิดการเปลี่ยนแปลงที่ดีขึ้น ในการพัฒนา สาธารณสุข
๒. จากผลึกแห่งความคิดสู่การจัดตั้งองค์กร
ประมาณปี พ.ศ. ๒๕๓๐ นายแพทย์ไพโรจน์ นิงสานนท์ ซึ่งขณะนั้นดำรงตำแหน่งปลัดกระทรวงสาธารณสุข นายแพทย์ประเวศ วะสี พร้อมกลุ่มแพทย์และนักวิชาการทางด้านสุขภาพ มีความเห็นพ้องกันว่า ประเทศไทยควรมีหน่วยงานอิสระ ที่ทำหน้าที่ระดมสมอง ของฝ่ายต่าง ๆ โดยเน้นหนักในการพัฒนาส่วนที่เป็นนโยบาย เพื่อให้เกิดการเปลี่ยนแปลงที่ดีขึ้นในระบบสาธารณสุขของไทย จนเมื่อวันที่ ๒๗ มิถุนายน ๒๕๓๑ ได้มีการประชุมร่วมกันของคณะผู้ก่อตั้ง เพื่อร่วมกันจัดทำตราสาร (ปัจจุบันเรียนว่า "ข้อบังคับ") และขออนุญาต ให้ดำเนินการจัดตั้ง ได้ไปยังคณะกรรมการวัฒนธรรมแห่งชาติ และขออนุญาตจดทะเบียนโดยกรุงเทพมหานคร กระบวนการ ในการจัดตั้งมูลนิธิสาธาณสุข แห่งชาติตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์เสร็จสิ้นเมื่อวันที่ ๒๘ ตุลาคม ๒๕๓๔ รวมใช้เวลากว่า ๓ ปี
๓. พร้อมด้วยพลังสมอง แต่พร่องปัจจัยสนับสนุน
ในช่วงเวลาเดียวกันของปี พ.ศ.๒๕๓๐ นั้นเอง มูลนิธิร็อกกีเฟลเลอร์ (Rockefeller Foundation) ซึ่งดำเนินโครงการระบาดวิทยานานาชาติ (International Clinical Epidemiology Network) ในหลายประเทศ อาทิ ประเทศเม็กซิโก, แอฟริกาใต้ ฯลฯ มีแนวคิดที่จะตั้งกรรมการระบาดวิทยา ขึ้นในประเทศไทย เพื่อส่งเสริมการใช้ทฤษฎี และความรู้ทางระบาดวิทยา ให้เป็นประโยชน์ แนวคิดนี้สอดคล้องกับแนวคิด ของการก่อตั้งมูลนิธิสาธารณสุขแห่งชาติ
ประกอบกับในช่วงต้นของการก่อตั้งมูลนิธิสาธารณสุขแห่งชาติยังไม่ได้งบประมาณสนับสนุนในการดำเนินงานจากองค์กรใด จึงมีแนวคิดที่จะเสนอให้มูลนิธิร็อกกีเฟลเลอร์ นำงบประมาณที่จะจัดตั้งคณะกรรมการระบาดวิทยาแห่งชาติ มาสนับสนุนการดำเนินงาน ของมูลนิธิสาธารณสุขแห่งชาติ โดยผู้ที่ทำหน้าที่ไปเจรจากับ นายแพทย์สก็อต ฮอลสเตท ผู้บริหารของมูลนิธิร็อกกีเฟลเลอร์ ก็คือ นายแพทย์สงวน นิตยารัมภ์พงศ์ และนายแพทย์สมศักดิ์ ชุณหรัศมิ์ ณ โรงแรมสยามอินเตอร์คอนติเนนตัล แต่ไม่สำเร็จ
เนื่องจากวัตถุประสงค์หลัก ของโครงการ คือ การส่งเสริมการใช้ทฤษฎีและความรู้ทางระบาดวิทยา จึงต้องจัดตั้งคณะกรรมการ ระบาดวิทยาแห่งชาติ (The National Epidemiology Board of Thailand - NEBT) ขึ้นดำเนินงานตามวัตถุประสงค์นั้น โดยมี ศาสตราจารย์ นพ.ประเวศ วะสี ดำรงตำแหน่งประธานคณะกรรมการ
อย่างไรก็ตาม การเดินหน้าหาทุนยังคงดำเนินต่อไป รวมถึงการเจรจากับผู้บริหารของโครงการ International Health Policy Program (IHPP) ที่ส่งเสริมนโยบายสาธารณสุขที่เกิดจากการวิจัยและการใช้ความรู้ อันตรงกับวัตถุประสงค์ของการจัดตั้งมูลนิธิสาธารณสุขแห่งชาติ แต่ก็ไม่สามารถได้งบประมาณเพื่อดำเนินการอย่างจริงจัง
กิจกรรมของมูลนิธิสาธารณสุขแห่งชาติตั้งแต่เริ่มก่อตั้งจนถึงปี พ.ศ. ๒๕๓๖ จึงเน้นไปที่การร่วมทำงาน ร่วมวิจัย และจัดประชุม ที่มีความสำคัญ (เช่น การประชุมสมัชชาสาธารณสุขไทย ครั้งที่ ๑) กับหน่วยงานอื่น ๆ รวมทั้งคณะกรรมการระบาดวิทยาแห่งชาติ"
ไปร่วมกิจกรรมที่มุ่งเน้น การแก้ไขนโยบาย โดยเฉพาะอย่างยิ่งกิจกรรมของคณะกรรมการระบาดวิทยาแห่งชาติ เช่น นโยบาย เรื่องสมองไหล นโยบายเรื่องว่าควรจะมีวัคซีนไวรัสตับอักเสบบีหรือไม่ เนื่องจากตอนนั้นไวรัสตับอักเสบบี ยังไม่ได้เข้ามาอยู่ในโปรแกรม การฉีดวัคซีน ของประเทศ การควบคุมโรคไข้เลือดออก จึงเป็นในลักษณะไปร่วมมือกับฝ่ายอื่น ๆ ทำในเรื่องของการระดมสมองเป็นหลัก
" (บทสัมภาษณ์นายแพทย์สงวน นิตยารัมภ์พงศ์)
๔. ยุคของการรวมตัว
เมื่อวันที่ ๒๙ มีนาคม พ.ศ.๒๕๓๖ มีการยุบคณะกรรมการระบาดวิทยาแห่งชาติ (ในช่วงเวลาต่อเนื่องกับการจัดตั้งสถาบันวิจัย ระบบสาธารณสุขที่พระราชบัญญัติมีผลใช้บังคับและมีการแต่งตั้งผู้อำนวยการคนแรกคือ นพ.สมศักดิ์ ชุณหรัศมิ์ วันที่ ๒๑ ธันวาคม ๒๕๓๕) จึงมีการโอนทั้งบุคลากร แผนการดำเนินงาน และงบประมาณ มาเป็นส่วนหนึ่งของมูลนิธิสาธารณสุขแห่งชาติ
"
แนวคิดอาจารย์ประเวศก็คือ พอยุบคณะกรรมการระบาดวิทยา ส่วนของคณะกรรมการไม่ได้เข้ามาเป็นส่วนหนึ่งของมูลนิธิฯ แต่มายุบเป็น THRI ขณะเดียวกันก็มีผู้ที่เกษียณอายุ ๒ ท่าน คือ อาจารย์หทัย และอาจารย์มรกต อาจารย์ประเวศมีแนวคิดในการทำงานว่า ต้องมีผู้ใหญ่ 1 คน คนหนุ่ม 1 คน ทำงานประกบกันในทุกเรื่อง จึงเกิดเป็น ๓ สถาบันดังชื่อที่ประตูทางเข้า คือของอาจารย์หทัยชื่อสถาบันส่งเสริมสุขภาพไทย ของอาจารย์มรกตคือสถาบันวิชาการเพื่อการคุ้มครอง ผู้บริโภคด้านสุขภาพ
"(สัมภาษณ์ นายแพทย์สงวน นิตยารัมภ์พงศ์)
จากแนวคิดดังกล่าว มูลนิธิสาธารสุขแห่งชาติได้จัดตั้ง "สถาบันวิจัยสาธารณสุขไทย - สวสท. (Thailand Health Research Institute -THRI)" เป็นองค์กรในกำกับในช่วงหลังจากการยุบคณะกรรมการระบาดวิทยาเพียง ๒ เดือน เพื่อทำงานสำคัญที่ต่อเนื่องจากคณะกรรมการ ระบาดวิทยาแห่งชาติ โดยมี ศ.นพ.ประเวศ วะสี เป็นประธานคนแรก และมี พญ.จันทร์เพ็ญ ชูประภาวรรณ (เป็นผู้ทำงานหลักคนหนึ่ง ในการผลักดันงานของคณะกรรมการระบาดวิทยา) เป็นตัวหลักในการดูแลงานของสถาบันฯ ซึ่งรวมไปถึงการดูแลงาน ของมูลนิธิสาธารณสุข แห่งชาติในภาพรวมอีกด้วย เมื่อ ศ.นพ.ประเวศ วะสี เป็นประธานมูลนิธิสาธารณสุขแห่งชาติ ศ.นพ.อารี วัลยะเสวี ได้มาทำหน้าที่ประธาน สวสท. โดยมี รศ.นพ.ไพบูลย์ สุริยะวงศ์ไพศาล เป็นเลขานุการ
อีกเกือบครบขวบปีหลังจากการจัดตั้ง สวสท. ก็ได้มีการจัดตั้งอีก 2 สถาบัน คือ
-สถาบันส่งเสริมสุขภาพไทย - สสท. (Thailad Health Promotion Institute-THPI) โดยมี นพ.หทัย ชิตานนท์ ประธาน และ คุณภัทรา จุลวรรณา เป็นเลขานุการ สสท. อีกทั้งมี อาจารย์ลักษณา เติมศิริกุลชัย ร่วมทำงานอย่างเข้มแข็ง
- สถาบันวิชาการเพื่อการคุ้มครองผู้บริโภคด้านสุขภาพ - สวคส. (Institute of Health Consumer Protection - IHCP) โดยมี นพ.มรกต กรเกษม ประธาน และ นพ.สุวิทย์ วิบุลผลประเสริฐ เป็นเลขานุการ
๕. จากเลขาธิการคนแรกสู่คนปัจจุบัน
หลังจาก นายแพทย์สงวน นิตยารัมภ์พงศ์ ทำหน้าที่เป็นเลขาธิการของคณะผู้ก่อตั้งเมื่อปี พ.ศ.๒๕๓๐ เป็นต้นมาจนได้จัดตั้ง ตามกฎหมายเป็นเลขาธิการ ถึงต้นปี พ.ศ.๒๕๓๖ จึงได้โอนงานในบทบาทของเลขาธิการให้แก่ พญ.จันทร์เพ็ญ ชูประภาวรรณ และมีผู้รับหน้าที่เลขาธิการต่อ ๆ กันมา คือ นายแพทย์สุวิทย์ วิบุลผลประเสริฐ (เมย. ๒๕๓๙ - พย.๒๕๓๙) นายแพทย์ไพบูลย์ สุริยะวงศ์ไพศาล (พย.๒๕๔๐ ถึง เมย.๒๕๔๒) และนายแพทย์สมศักดิ์ ชุณหรัศมิ์ (๑๑ เมษายน ๒๕๔๓ จนถึงปัจุบัน)
๑. ภารกิจเปลี่ยน แต่ความมุ่งมั่นคงเดิม
ภารกิจในระยะแรกของการจัดตั้งมูลนิธิสาธารณสุขแห่งชาติ คือ การร่วมจัดเวทีวิชาการ เพื่อผลักดันนโยบายในด้านกว้าง ไม่ได้ลงลึกในเรื่องใดเรื่องหนึ่ง แต่เมื่อมีการจัดตั้ง สถาบันวิจัยธารณสุขไทย จึงมีการดำเนินการด้านการวิจัย เช่น วิจัยการพัฒนาระบบ สาธารณสุข วิจัยโรคติดต่อ วิจัยอนามัยสิ่งแวดล้อม วิจัยโรคไม่ติดต่อ โดยการสร้างเครือข่าย วิชาการ ทั้งภายในและภายนอกประเทศ
มูลนิธิสาธารณสุขแห่งชาติ มีการปรับเปลี่ยนทิศทางภารกิจในยุคที่ นายแพทย์สมศักดิ์ ชุณหรัศม์ เป็นเลขาธิการ ไปสู่ภารกิจใน ๓ ด้าน คือ การจัดการงานวิจัย การจัดการความรู้ และการสื่อสาร โดยมีเป้าหมายเพื่อส่งเสริมการสร้างสังคมบนฐานความรู้เพื่อสุขภาพ" (Knowledge -based Society for Health) โดยงานในบางส่วนลงลึกในเรื่องงานวิจัย ด้านคลินิกวิทยามากขึ้น อาทิ สนับสนุนการวิจัยเรื่องโรคหลอดเลือดและหัวใจ โรคไข้เลือดออก โรคธาลัสซีเมีย โรคกระดูพรุน เป็นต้น หากแต่ยังให้ความสำคัญกับการวิจัยในเชิงนโยบาย เช่น โครงการชีวจริยธรรม โครงการพัฒนาระบบวิจัยของประเทศ เป็นต้น
ในช่วงปี พ.ศ.๒๕๔๔ เป็นต้นมามูลนิธิสาธาณณสุขแห่งชาติ โดยได้รับการสนับสนุน จากองค์กรให้ทุน เช่น สำนักงานกองทุนสนับสนุนการวิจัย (สกว.) ศูนย์พันธุวิศวกรรม และเทคโนโลยีแห่งชาติ (ไบโอเทค) องค์การอนามัยโลก ฯลฯ
มูลนิธิสาธารณสุขแห่งชาติ ดำเนินการจดทะเบียน เมื่อวันที่ ๒๘ ตุลาคม พ.ศ. ๒๕๓๔ โดยกำหนดวัตถุประสงค์สำคัญ ๆ ประกอบด้วย
1. สนับสนุนการประชุมและการแลกเปลี่ยนความคิดเห็น เพื่อให้ได้ข้อยุติในนโยบายสำคัญ ๆ ที่มีผลต่อการพัฒนาสาธารณสุขของชาติ
2. สนับสนุนให้เกิดการตระหนักถึงความสำคัญในการใช้วิจัยสาธารณสุขเพื่อพัฒนาระบบงานและบริการสาธารณสุข
3. ส่งเสริมและฝึกอบรมให้เกิดผู้เชี่ยวชาญในด้านเสริมสร้างสุขภาพดีถ้วนหน้า ทั้งในและนอกประเทศ
4. เพื่อดำเนินการเพื่อสาธารณประโยชน์ หรือร่วมมือกับองค์การการกุศลอื่น ๆ เพื่อสาธารณสุขประโยชน์
5. ไม่ดำเนินการเกี่ยวข้องกับการเมืองแต่ประการใด
เมื่อวันที่ ๑๕ ธันวาคม ๒๕๔๕ คณะกรรมการมูลนิธิสาธารณสุขแห่งชาติได้มีมติให้ทบทวนและแก้ไขวัตถุประสงค์ของมูลนิธิ เพื่อให้การดำเนินงานของมูลนิธิได้สร้างประโยชน์ต่อสังคมมากขึ้น โดยมีวัตถุประสงค์ ดังนี้
1. บริหารจัดการเพื่อให้เกิดการสร้างความรู้ และใช้ความรู้ในการพัฒนาระบบ
2. สุขภาพในเรื่องที่มีความสำคัญสูง
3. สนับสนุนให้สังคมและกลุ่มต่าง ๆ ในระบบสุขภาพ ตระหนักและให้ความสำคัญในการใช้ความรู้เพื่อประกอบการตัดสินใจ การวางแผน และการดำเนินงาน
4. ส่งเสริมและฝึกอบรมให้เกิดผู้มีความรู้ความชำนาญในการบริหารจัดการเพื่อสร้างระบบสุขภาพที่อยู่บนฐานของความรู้ ทั้งในและต่างประเทศ
5. ดำเนินการเพื่อสาธารณประโยชน์ โดยร่วมมือกับองค์การกุศลอื่น ๆ ที่มีเป้าหมายสาธารณประโยชน์
6. ไม่ดำเนินการเกี่ยวข้องกับการเมืองแต่ประการใด
๒. สองภารกิจสำคัญ
จัดเวทีเพื่อสร้างความเข้าใจให้กับสาธารณชนและกลุ่มเป้าหมายเฉพาะในแต่ละเรื่อง โดยใช้องค์ความรู้เป็นตัวกลางในการสื่อสาร สร้างเครือข่ายและร่วมมือกับหน่วยงานและองค์กรต่างๆ เพื่อร่วมสร้างและร่วมใช้ประโยชน์จากความรู้