ผู้เขียน หัวข้อ: สรุปข่าวเด่นในรอบสัปดาห์ 21-26 ต.ค.2556  (อ่าน 970 ครั้ง)

story

  • Staff
  • Hero Member
  • ****
  • กระทู้: 9785
    • ดูรายละเอียด
สรุปข่าวเด่นในรอบสัปดาห์ 21-26 ต.ค.2556
« เมื่อ: 27 ตุลาคม 2013, 21:24:59 »
1. พุทธศาสนิกชนอาลัย สมเด็จพระสังฆราช สิ้นพระชนม์ - “ในหลวง” ทรงเศร้าสลด โปรดเกล้าฯ ไว้ทุกข์ 30 วัน!
       
       เมื่อช่วงค่ำวันที่ 24 ต.ค. โรงพยาบาลจุฬาลงกรณ์ สภากาชาดไทย ได้ออกแถลงการณ์ฉบับที่ 9 เกี่ยวกับพระอาการประชวรของสมเด็จพระญาณสังวร สมเด็จพระสังฆราช สกลมหาสังฆปริณายก ว่า หลังจากพระอาการโดยรวมทรุดลง ได้สิ้นพระชนม์เมื่อเวลา 19.30น. สาเหตุเนื่องจากติดเชื้อในกระแสพระโลหิต
       
       ทั้งนี้ สมเด็จพระญาณสังวรฯ เสด็จประทับรักษาพระอาการประชวร ณ โรงพยาบาลจุฬาลงกรณ์ตั้งแต่วันที่ 20 ก.พ.2545 เป็นต้นมา ตลอดระยะเวลา 11 ปี ที่พระองค์ทรงประชวร ทางมหาเถรสมาคม(มส.) ได้แต่งตั้งให้สมเด็จพระพุฒาจารย์(เกี่ยว อุปเสโณ) เป็นผู้ปฏิบัติหน้าที่สมเด็จพระสังฆราช แต่ต่อมาสมเด็จพระพุฒาจารย์ มรณภาพลงเมื่อวันที่ 10 ส.ค.2556 จึงได้แต่งตั้งสมเด็จพระมหารัชมังคลาจารย์ (ช่วง วรปุญฺโญ) เจ้าอาวาสวัดปากน้ำ ภาษีเจริญ ซึ่งอาวุโสสูงสุดโดยสมณศักดิ์ ทำหน้าที่ประธานคณะผู้ปฏิบัติหน้าที่สมเด็จพระสังฆราชแทน
       
       สมเด็จพระญาณสังวรฯ ทรงเป็นสมเด็จพระสังฆราชองค์ที่ 19 แห่งกรุงรัตนโกสินทร์ ทรงดำรงตำแหน่งสมเด็จพระสังฆราชยาวนานถึง 24 ปี ทรงดำรงตำแหน่งเจ้าคณะใหญ่คณะธรรมยุต 25 ปี และทรงดำรงตำแหน่งเจ้าอาวาสวัดบวรนิเวศวิหารราชวรวิหาร 52 ปี นอกจากนี้ยังทรงเป็นสมเด็จพระสังฆราชที่มีพระชนมายุยืนยาวที่สุด โดยทรงมีพระชนมายุครบ 100 พรรษาเมื่อวันที่ 3 ต.ค.ที่ผ่านมา
       
       สมเด็จพระญาณสังวรฯ ทรงนิพนธ์เรื่องต่างๆ ไว้จำนวนมาก ทั้งตำรา พระธรรมเทศนา และทั่วไป ได้แก่ ปัญจคุณ 5 กัณฑ์, ทศพลญาณ 10 กัณฑ์, มงคลเทศนา, โอวาทปาฏิโมกข์ 3 กัณฑ์, สังฆคุณ 9 กัณฑ์ เป็นต้น ทรงริเริ่มและดำเนินการให้แปลตำราทางพุทธศาสนา จากภาษาไทยเป็นภาษาอังกฤษ เพื่อใช้ในการศึกษาพระพุทธศาสนา เช่น นวโกวาท, วินัยมุข , พุทธประวัติ, ภิกขุปาติโมกข์ เป็นต้น สำหรับพระนิพนธ์ประเภททั่วไป ได้แก่ วิธีปฏิบัติตนให้ถูกต้องทางธรรมะ, พระพุทธศาสนากับสังคมไทย, การบริหารจิตสำหรับผู้ใหญ่, บุพการี-กตัญญูกตเวที, คำกลอนนิราศสังขาร, และตำนานวัดบวรนิเวศ เป็นต้น
       
       สมเด็จพระญาณสังวรฯ ได้ปฏิบัติหน้าที่พิเศษหลายวาระ ที่สำคัญ ทรงเป็นพระอภิบาล(พระพี่เลี้ยง) ของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว เมื่อครั้งทรงผนวชในปีพุทธศักราช 2499 และ ทรงเป็นพระราชกรรมวาจาจารย์ ในสมเด็จพระบรมโอรสาธิราชฯ สยามมกุฎราชกุมาร เมื่อครั้งทรงผนวชในปีพุทธศักราช 2521
       
       ทั้งนี้ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ทรงเศร้าสลดพระราชหฤทัยอย่างยิ่ง จึงทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้ไว้ทุกข์ในพระราชสำนัก จาก 15 วัน เป็น 30 วัน ตั้งแต่วันที่ 25 ต.ค.-23 พ.ย. และโปรดเกล้าฯ ให้ประดิษฐานพระศพไว้ ณ พระตำหนักเพ็ชร วัดบวรนิเวศวิหารฯ และถวายพระเกียรติยศตามราชประเพณีทุกประการ นอกจากนี้ยังทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ พระราชทานโกศกุดั่นใหญ่ ภายใต้เศวตฉัตร 3 ชั้น และให้มีพระพิธีธรรมสวดพระอภิธรรมพระศพในพระบรมราชานุเคราะห์ 7 วัน ตั้งแต่วันที่ 25-31 ต.ค. ทั้งกลางวันและกลางคืน
       
       ด้านสำนักนายกรัฐมนตรีได้ออกประกาศให้สถานที่ราชการ หน่วยงานรัฐ รัฐวิสาหกิจ และสถานศึกษา ทุกแห่งลดธงครึ่งเสาเป็นเวลา 3 วัน ตั้งแต่วันที่ 25-27 ต.ค.รวมทั้งให้ข้าราชการ ลูกจ้าง พนักงานของส่วนราชการ หน่วยงานของรัฐ และรัฐวิสาหกิจ ไว้ทุกข์เป็นเวลา 30 วัน นอกจากนี้รัฐบาลยังมอบหมายให้นายธงทอง จันทรางศุ ปลัดสำนักนายกรัฐมนตรี ประสานเตรียมจัดพิธีบำเพ็ญพระราชกุศลสมเด็จพระสังฆราชอย่างสมพระเกียรติด้วย
       
       สำหรับการเคลื่อนพระศพสมเด็จพระสังฆราชจากโรงพยาบาลจุฬาลงกรณ์มายังวัดบวรนิเวศวิหารฯ มีขึ้นเวลา 12.15น.วันที่ 24 ต.ค. จากนั้น เวลา 16.59น. พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้สมเด็จพระบรมโอรสาธิราชฯ สยามมกุฏราชกุมาร เสด็จพระราชดำเนินแทนพระองค์ไปถวายน้ำสรงพระศพสมเด็จพระสังฆราช ณ พระตำหนักเพ็ชร วัดบวรนิเวศวิหารฯ โดยมีสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี เฝ้ารับเสด็จ ในการนี้ พระเจ้าวรวงศ์เธอ พระองค์เจ้าศรีรัศมิ์ พระวรชายา โดยเสด็จด้วย
       
       เป็นที่น่าสังเกตว่า สำนักข่าวต่างประเทศได้รายงานข่าวการสิ้นพระชนม์ชองสมเด็จพระสังฆราชว่า พุทธศาสนิกชนทุกเพศ ทุกวัย นับพันคนได้เดินทางไปร่วมถวายอาลัยที่โรงพยาบาลจุฬาลงกรณ์ รวมทั้งระบุด้วยว่า สมเด็จพระสังฆราชทรงเป็นพระสหายขององค์ทะไล ลามะ ผู้นำทางจิตวิญญาณของทิเบต โดยองค์ทะไล ลามะ ทรงยกย่องสมเด็จพระสังฆราชว่า เป็น “พี่ชายของฉัน” ซึ่งองค์ทะไล ลามะ เสด็จเยือนประเทศไทยบ่อยครั้ง และทุกครั้งจะเสด็จมาที่วัดบวรนิเวศวิหารฯ เพื่อสนทนากับสมเด็จพระสังฆราชด้วย
       
       2. กมธ.สายเพื่อไทย เร่งเครื่องดันร่างนิรโทษฯ ฉบับ “สุดซอย” เข้าสภาวาระ 2 ไม่สน “เสื้อแดง” ต้าน ด้าน ปชป. ลั่น เป่านกหวีดชุมนุม-ยื่นศาล รธน.หลังผ่านวาระ 3 !

       ความคืบหน้าการผลักดันร่าง พ.ร.บ.นิรโทษกรรมฯ หลังที่ประชุมคณะกรรมาธิการ(กมธ.) พิจารณาร่าง พ.ร.บ.นิรโทษกรรม เสียงข้างมากเห็นด้วยให้ปรับแก้มาตรา 3 ตามที่นายประยุทธ์ ศิริพานิชย์ รองประธาน กมธ.คนที่ 1 เสนอ โดยแก้เป็น “ให้บรรดาการกระทำทั้งหลายทั้งสิ้นของบุคคลหรือประชาชนที่เกี่ยวเนื่องกับการชุมนุมทางการเมือง การแสดงออกทางการเมือง หรือความขัดแย้งทางการเมือง หรือถูกกล่าวหาว่าเป็นผู้กระทำความผิดโดยคณะบุคคลหรือองค์กรที่จัดตั้งขึ้นภายหลังการรัฐประหารเมื่อวันที่ 19 ก.ย.2549 รวมทั้งองค์กรหรือหน่วยงานที่ดำเนินการในเรื่องดังกล่าวสืบเนื่องต่อมาที่เกิดขึ้นระหว่าง พ.ศ.2547 ถึงวันที่ 8 ส.ค.2556 ไม่ว่าผู้กระทำจะได้กระทำในฐานะตัวการ ผู้สนับสนุน ผู้ใช้ให้กระทำ หรือผู้ถูกใช้ หากการกระทำนั้นผิดต่อกฎหมาย ก็ให้พ้นจากความผิดและความรับผิดโดยสิ้นเชิง การกระทำตามวรรคหนึ่ง ไม่รวมถึงการกระทำผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 112” ซึ่งการปรับแก้ดังกล่าวถูกวิพากษ์วิจารณ์ว่าเป็นการนิรโทษฯ แบบเหมาเข่ง หรือนิรโทษฯ แบบสุดซอย เพราะไม่ใช่นิรโทษฯ เฉพาะผู้ชุมนุมตามร่างฉบับนายวรชัย เหมะ ส.ส.สมุทรปรา พรรคเพื่อไทย ที่ที่ประชุมรัฐสภาเสียงข้างมากรับหลักการไปแล้วในวาระ 1 แต่บรรดาแกนนำและผู้สั่งการ รวมทั้ง พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร จะได้รับอานิสงส์ทั้งหมด ซึ่งนอกจากจะหลุดคดีทุจริตแล้ว ยังอาจจะได้เงินที่ถูกยึดทรัพย์กลับคืน 4.6 หมื่นล้านบาทด้วยนั้น
       
       ปรากฏว่า นอกจากพรรคประชาธิปัตย์จะไม่เห็นด้วยแล้ว บรรดาแกนนำคนเสื้อแดงก็รับไม่ได้เช่นกัน โดยเฉพาะญาติผู้สูญเสียจากเหตุการณ์การชุมนุมเมื่อเดือน พ.ค.2553 นำโดยนางพะเยาว์ อัคฮาด มารดา น.ส.กมนเกด อัคฮาด พยาบาลอาสาที่ถูกยิงเสียชีวิตในวัดปทุมวนาราม ได้เข้ายื่นหนังสือถึงนายสามารถ แก้วมีชัย ส.ส.เชียงราย พรรคเพื่อทย ในฐานะประธาน กมธ.พิจารณาร่าง พ.ร.บ.นิรโทษฯ เพื่อขอให้พรรคเพื่อไทยและ กมธ.ทบทวนการปรับแก้ร่างดังกล่าว “สิ่งที่รัฐบาลกำลังยืนยันว่า จะเดินหน้าออก พ.ร.บ.นิรโทษกรรมแบบสุดซอย คือการฆ่าพวกเราซ้ำสอง การบอกให้เสียสละเพื่อให้ประเทศเดินหน้านั้น พวกดิฉันเสียสละมามากแล้ว โดยดิฉันและพี่น้องคนเสื้อแดงสูญเสียญาติพี่น้อง ยังไม่ถือว่าเป็นการเสียสละอีกหรือ ดังนั้นขอให้ พ.ต.ท.ทักษิณเสียสละบ้าง และขอเรียกร้องไปยังแกนนำให้ออกมาบนถนนและคัดค้านรัฐบาลอย่างเต็มตัว หากไม่ออกมา พวกดิฉันก็จะขอต่อสู้ด้วยตนเองและพร้อมจะอยู่ฝั่งตรงข้างรัฐบาล”
       
       ขณะที่นายจตุพร พรหมพันธุ์ แกนนำกลุ่มแนวร่วมประชาธิปไตยต่อต้านเผด็จการแห่งชาติ(นปช.) ก็แถลงจุดยืนของ นปช.เช่นกันว่า รับไม่ได้กับร่าง พ.ร.บ.นิรโทษฯ ฉบับสุดซอย “ผมได้มีโอกาสคุยกับทางพรรค ซึ่งทุกคนเห็นพ้องต้องกันว่าอยากเห็นนายกฯ ทักษิณกลับบ้าน เราต่างพร้อมและยินดีที่จะต่อสู้ แต่เราจะไม่แลกการกลับมาของนายกฯ ทักษิณกับการปลดปล่อยฆาตกรให้ลอยนวลได้”
       
       ด้าน ส.ส.พรรคเพื่อไทย โดยเฉพาะที่อยู่ใน กมธ.พิจารณาร่าง พ.ร.บ.นิรโทษฯ ยืนยันว่า เหตุที่ต้องแก้มาตรา 3 เพื่อให้ทุกฝ่ายได้รับการนิรโทษฯ นั้น เนื่องจาก กมธ.ไม่สามารถเขียนกฎหมายยกเว้นใครคนใดคนหนึ่งได้ เพราะจะขัดต่อรัฐธรรมนูญมาตรา 30 ที่ระบุว่า บุคคลย่อมเสมอภาคกันในกฎหมาย
       
       ขณะที่นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ ชี้ว่า การผลักดันร่าง พ.ร.บ.นิรโทษฯ ของรัฐบาลมีเป้าหมายใหญ่ที่จะนิรโทษฯ ให้พวกตัวเองและคดีทุจริตของ พ.ต.ท.ทักษิณ ซึ่งในส่วนของตนและนายสุเทพ เทือกสุบรรณ ที่ถูกกล่าวหาเป็นฆาตกร ไม่ประสงค์ที่จะได้ประโยชน์จากกฎหมายฉบับนี้ แต่พร้อมต่อสู้คดีในศาล นายอภิสิทธิ์ ยังถาม น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร นายกรัฐมนตรี ถึงท่าทีต่อร่าง พ.ร.บ.นิรโทษฯ ด้วยว่า “รัฐบาลท้าทายสังคมมากหากยังพยายามเดินหน้าในเรื่องนี้ เพราะเป็นปัจจัยที่จะทำให้เกิดความรุนแรงในประเทศ ดังนั้นนายกรัฐมนตรีต้องตัดสินใจว่าจะเอาประเทศชาติหรือพี่ชาย หากเลือกประเทศชาติก็คงได้อยู่กับประเทศชาติ แต่หากเลือกพี่ชาย ก็คงต้องไปอยู่กับพี่ชาย”
       
       ด้าน น.ส.ยิ่งลักษณ์ ไม่ยอมพูดถึงร่าง พ.ร.บ.นิรโทษฯ โดยอ้างเพียงว่า เป็นเรื่องของสภา แต่ยืนยันว่า ร่างกฎหมายดังกล่าวไม่ใช่กฎหมายการเงิน ตนจึงไม่ต้องเซ็นรับรอง
       
       ขณะที่นายชวนนท์ อินทรโกมาลย์สุต โฆษกพรรคประชาธิปัตย์ แถลงจี้ให้นายกฯ ตอบคำถามว่ากฎหมายนิรโทษฯ ไม่เกี่ยวกับการเงินได้อย่างไร เพราะหากได้รับนิรโทษฯ ก็เท่ากับว่า พ.ต.ท.ทักษิณไม่มีความผิด จึงมีสิทธิที่จะเรียกร้องทรัพย์สินที่ถูกยึดไปคืนมา ซึ่งขณะนี้รัฐบาลกำลังหาทางนำเงินมาคืน พ.ต.ท.ทักษิณ ด้วยการขึ้นภาษีมูลค่าเพิ่มจาก 7% เป็น 8% คิดเป็นปีละ 5 หมื่นล้านบาท เท่ากับว่าประชาชนต้องเสียเงินซื้อของแพงขึ้นอีก 1% เพื่อเอาเงินให้ พ.ต.ท.ทักษิณ
       
       ทั้งนี้ หลายฝ่ายมองว่า การแก้มาตรา 3 เพื่อนิรโทษฯ แบบเหมาเข่ง อาจส่งผลให้คดีที่ดำเนินการโดยคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ(ป.ป.ช.) และศาลรัฐธรรมนูญเป็นอันโมฆะด้วย แต่ทาง กมธ.จากพรรคเพื่อไทย ยืนยันว่า หมายถึงคดีที่ดำเนินการโดย คตส.เท่านั้น พร้อมอ้างว่า ร่าง พ.ร.บ.นิรโทษฯ ไม่ใช่กฎหมายการเงิน นายกรัฐมนตรีจึงไม่ต้องเซ็นรับรอง ส่วนเรื่องคืนเงิน 4.6 หมื่นล้านแก่ พ.ต.ท.ทักษิณนั้น ส.ส.พรรคเพื่อไทย ยังพูดกันไปคนละทาง บางคนบอกว่า นิรโทษฯ เฉพาะคดี ไม่รวมถึงการคืนเงิน แต่บางคนบอกว่า พ.ต.ท.ทักษิณอาจฟ้องต่อศาลให้คืนเงินได้
       
       ขณะที่โพลหลายสำนัก เช่น นิด้าโพล สำรวจความคิดเห็นประชาชน พบว่า ส่วนใหญ่ไม่เห็นด้วยกับการนิรโทษฯ แบบเหมาเข่ง โดยเห็นว่าควรดำเนินการตามกฎหมาย ใครผิดก็ว่ากันไปตามผิด รวมทั้งไม่เห็นด้วยกับการคืนเงิน 4.6 หมื่นล้านให้ พ.ต.ท.ทักษิณ เพราะเชื่อว่า พ.ต.ท.ทักษิณทำผิดและเป็นทรัพย์ที่ได้มาโดยมิชอบ นอกจากนี้ยังมองว่า หากเดินหน้าร่าง พ.ร.บ.นิรโทษฯ จะทำให้กลุ่มคนที่ไม่เห็นด้วยออกมาประท้วง และเกิดความขัดแย้งวุ่นวายตามมา
       
       เป็นที่น่าสังเกตว่า กมธ.พิจารณาร่าง พ.ร.บ.นิรโทษฯ ซึ่งส่วนใหญ่มาจากพรรคเพื่อไทย ได้พยายามเร่งการแปรญัตติ ซึ่งเดิมกำหนดให้ ส.ส.เข้าชี้แจงคำแปรญัตติในวันที่ 30-31 ต.ค. แต่ภายหลังกลับร่นให้เร็วขึ้นเป็นวันที่ 24-25 ต.ค. ซึ่งแม้ว่า จะมี ส.ส.จำนวนมากที่ยังไม่ได้ชี้แจงคำแปรญัตติ แต่ กมธ.เสียงข้างมากก็ไม่ยอมเพิ่มวันให้ชี้แจง กลับใช้เสียงข้างมากชิงปิดประชุม สร้างความไม่พอใจให้พรรคประชาธิปัตย์อย่างมาก
       
       ด้านนายชวลิต วิชยสุทธิ์ ส.ส.บัญชีรายชื่อ พรรคเพื่อไทย ในฐานะเลขานุการ กมธ.พิจารณาร่าง พ.ร.บ.นิรโทษฯ ย้ำว่า กมธ.ยืนยันตามร่างที่มีการแก้ไข ซึ่งพิจารณาอย่างรอบคอบแล้ว และว่า ทุกอย่างจบแล้ว จะไม่มีการแก้ไขเนื้อหาใดๆ อีก หลังจากนี้ขึ้นอยู่กับที่ประชุมสภาฯ ว่าจะเห็นชอบตามร่างที่ กมธ. เสนอหรือจะแก้ไขเนื้อหาเป็นอย่างอื่น พร้อมเผยว่า วันที่ 28 ต.ค.คณะ กมธ. จะประชุมนัดสุดท้ายเพื่อลงนามเห็นชอบร่าง พ.ร.บ.นิรโทษฯ ฉบับสมบูรณ์ตามที่กรรมาธิการฯ เสียงข้างมากได้แก้ไข จากนั้นจะส่งให้ประธานสภาฯ เพื่อบรรจุเข้าสู่ระเบียบวาระการประชุมต่อไป และขึ้นอยู่กับประธานสภาฯ ว่าจะนัดประชุมลงมติวาระ 2 และ 3 เมื่อใด กมธ.ไม่อยากคาดการณ์ล่วงหน้า เกรงจะถูกมองว่าไปบีบหรือเร่งรัด
       
       ด้านนายจุรินทร์ ลักษณวิศิษฎ์ ประธานคณะกรรมการประสานงานพรรคร่วมฝ่ายค้าน(วิปฝ่ายค้าน) เผยว่า หากร่าง พ.ร.บ.นิรโทษฯ ผ่านวาระ 3 เมื่อใด ฝ่ายค้านจะยื่นเรื่องต่อศาลรัฐธรรมนูญให้วินิจฉัยว่าเป็นการกระทำที่ขัดต่อรัฐธรรมนูญ มาตรา 154 ก่อนที่นายกรัฐมนตรีจะนำขึ้นทูลเกล้าฯ เนื่องจากร่าง พ.ร.บ.ฉบับนี้มีข้อความที่ขัดหรือแย้งต่อรัฐธรรมนูญ
       
       ขณะที่นายนิพิฏฐ์ อินทรสมบัติ ส.ส.พัทลุง พรรคประชาธิปัตย์ ได้ออกมาย้ำเหมือนที่นายสุเทพ เทือกสุบรรณ ส.ส.สุราษฎร์ธานี พรรคประชาธิปัตย์ เคยพูดก่อนหน้านี้ว่า พรรคพร้อมพร้อมเป่านกหวีดทันทีที่ร่าง พ.ร.บ.นิรโทษฯ เข้าสู่วาระ 3 “หากเดินหน้าผลักดันร่าง พ.ร.บ.นิรโทษกรรมเข้าสู่วาระ 3 เมื่อถึงเวลานั้น เราอยู่เฉยไม่ได้ ก็ถึงเวลาเป่านกหวีดเพื่อแสดงออกให้เห็นว่า คนในสังคมส่วนใหญ่ไม่เห็นด้วยกับการออกกฎหมายที่ผิดและขัดต่อหลักนิติรัฐนิติธรรม หากทำได้ครั้งนี้ หลักกฎหมายบ้านก็ไม่เหลืออะไรแล้ว”
       
       3. ป.ป.ช. ฟัน “แซม-ยุรนันท์” ฐานซุกหุ้น เตรียมส่งศาลฎีกาฯ ตัดสิทธิการเมือง 5 ปี ขณะที่เจ้าตัว อ้าง ไม่เจตนา แค่เหตุสุดวิสัย!

       เมื่อวันที่ 25 ต.ค. นายวรวิทย์ สุขบุญ รองเลขาธิการสำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ(ป.ป.ช.) เผยว่า ที่ประชุม ป.ป.ช.มีมติชี้มูลว่านายยุรนันท์ ภมรมนตรี ที่ปรึกษารัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย อดีต ส.ส.บัญชีรายชื่อ พรรคเพื่อไทย จงใจปกปิดบัญชีทรัพย์สินกรณีไม่แจ้งการถือครองหุ้นบริษัท วิลล่า เมดิก้า (ประเทศไทย) จำกัด มูลค่า 14 ล้านบาทต่อ ป.ป.ช.เมื่อครั้งเข้ารับตำแหน่ง ส.ส.เมื่อวันที่ 31 ส.ค.2554 นอกจากนี้ในการไต่สวนยังพบด้วยว่า นายยุรนันท์ไม่ได้ยื่นข้อมูลเงินฝากสหกรณ์การบินไทยของภรรยาด้วยจำนวน 3 ล้านบาท
       
       นายวรวิทย์ เผยขั้นตอนหลังจากนี้ด้วยว่า ป.ป.ช.จะยื่นฟ้องต่อศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง เพื่อให้นายยุรนันท์พ้นจากตำแหน่ง และห้ามมิให้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองหรือดำรงตำแหน่งใดๆ ในพรรคการเมืองเป็นเวลา 5 ปี ฐานจงใจปกปิดบัญชีทรัพย์สิน โดยขณะนี้ ป.ป.ช.อยู่ระหว่างร่างคำร้องเพื่อยื่นต่อศาลฎีกาฯ คาดว่าจะแล้วเสร็จประมาณต้นเดือน พ.ย.นี้
       
       ด้านนายยุรนันท์ ได้ให้สัมภาษณ์ก่อนหน้านี้ว่า ตนและภรรยาได้เข้าให้ข้อมูลต่อ ป.ป.ช.เรียบร้อยแล้ว โดยยืนยันว่าไม่ได้มีเจตนาปกปิดบัญชีทรัพย์สินต่อ ป.ป.ช.ตามที่ถูกร้องเรียน แต่ปัญหาเกิดจากเหตุสุดวิสัยบางประการ ไม่ว่าจะเป็นการส่งมอบเอกสาร ที่ติดปัญหาน้ำท่วม รวมทั้งการแจ้งข้อมูลเรื่องการลงทุนในบริษัท แต่ไม่ได้แจ้งมูลค่าหุ้น “เรื่องข้อมูลบริษัท ผมไม่เคยมีเจตนาจะปิดบังอะไร เพราะสังคมรับทราบกันดีอยู่แล้วว่า เรามีตำแหน่งอะไรในบริษัท จึงไม่มีความจำเป็นที่เราจะต้องไปปิดบังข้อมูลอะไร”
       
       4. ศาลอุทธรณ์ พิพากษาแก้ยกฟ้อง “เสี่ยขาว” ชี้ ไม่ได้ประมาทโดยตรงให้เกิดไฟไหม้ซานติก้าผับ แต่ให้คงจำคุกเจ้าของ บ.ทำเอฟเฟ็กต์ 3 ปี ด้านผู้เสียหายเตรียมฎีกา!

       เมื่อวันที่ 22 ต.ค. ศาลอาญากรุงเทพใต้ ได้อ่านคำพิพากษาศาลอุทธรณ์คดีเพลิงไหม้ซานติก้าผับ ที่อัยการฝ่ายคดีอาญากรุงเทพใต้ 1 เป็นโจทก์ยื่นฟ้องนายวิสุข เสร็จสวัสดิ์ หรือเสี่ยขาว กรรมการผู้จัดการบริษัท ไวท์ แอนด์ บราเธอร์(2003) จำกัด ผู้บริหารซานติก้าผับ ,นายธวัชชัย ศรีทุมมา ผู้อำนวยการฝ่ายปฏิบัติการ ,นายพงษ์เทพ จินดา ผู้จัดการฝ่ายบันเทิง ,นายวุฒิพงศ์ ไวลย์ลิกรี ผู้จัดการฝ่ายการตลาด ,นายสราวุธ อะริยะ นักร้องวงเบิร์น ผู้จุดพลุไฟ ,บริษัท ไพกัสไลท์ ซาวน์ซิสเต็ม จำกัด ซึ่งรับจ้างติดตั้งการทำเอฟเฟ็กต์ ซานติก้าผับ และนายบุญชู เหล่าสีหนาท กรรมการผู้มีอำนาจบริษัท โพกัสไลท์ฯ เป็นจำเลยที่ 1-7 ในความผิดฐานทำให้เกิดเพลิงไหม้ เป็นเหตุให้ทรัพย์สินผู้อื่นเสียหายและเป็นอันตรายกับชีวิตผู้อื่น กระทำการประมาทเป็นเหตุให้ผู้อื่นถึงแก่ความตาย กระทำการให้ผู้อื่นได้รับอันตรายสาหัส ได้รับอันตรายแก่กายและจิตใจ ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 225 ,291 ,300 ,390 และกระทำผิด พ.ร.บ.สถานบริการ พ.ศ.2509
       
        คดีนี้ โจทก์ฟ้องสรุปว่า เมื่อคืนวันที่ 31 ธ.ค.2551 ต่อเนื่องวันที่ 1 ม.ค.2552 จำเลยได้กระทำโดยประมาทจัดให้มีงานรื่นเริงในโอกาสฉลองเทศกาลวันส่งท้ายปีเก่าต้อนรับปีใหม่ภายในตัวอาคารซานติก้าผับ ย่านเอกมัย ซึ่งภายในอาคารไม่มีแบบแปลนแผนผังอาคารแสดงไว้ ไม่มีป้ายบอกทางหนีไฟ และไม่ได้ติดตั้งไฟฉุกเฉินให้เพียงพอที่จะเปิดส่องสว่างแก่ลูกค้าเพื่อการหลบหนีออกจากตัวอาคารได้สะดวกและปลอดภัย อีกทั้งอาคารมีพื้นที่จุคนได้ไม่เกิน 500 คน แต่ขณะเกิดเหตุมีลูกค้าเข้าไปใช้บริการมากกว่า 1,000 คน โดยจำเลยที่ 5 นักร้องวงเบิร์นได้จุดพลุไฟบริเวณหน้าเวที ซึ่งมีความสูงประมาณ 5 เมตร จนลูกไฟขึ้นไปชนเพดานเวที ทำให้เกิดเพลิงลุกไหม้บริเวณเพดานและภายในตัวอาคาร เป็นเหตุให้ลูกค้าที่เข้าไปใช้บริการถึงแก่ความตาย 67 คน บาดเจ็บสาหัส 32 คน และบาดเจ็บอีก 71 คน
       
        อย่างไรก็ตาม จำเลยทั้งหมดให้การปฏิเสธ โดยจำเลยที่ 1 อ้างว่า ขณะเกิดเหตุไม่ได้เป็นกรรมการผู้จัดการบริษัท ไวท์ แอนด์บราเธอร์ส(2003) จำกัด ซึ่งบริหารร้านซานติก้าผับ ส่วนจำเลยที่ 6 และ 7 ต่อสู้คดีว่า เพลิงที่ลุกไหม้ไม่ได้เกิดจากเอฟเฟ็กต์ ซึ่งศาลชั้นต้นพิพากษาเมื่อวันที่ 20 ก.ย.2554 ว่า การกระทำของจำเลยที่ 1 ,6 และ 7 เป็นการกระทำโดยประมาท เป็นเหตุให้ผู้อื่นถึงแก่ความตายและได้รับบาดเจ็บจำนวนมาก แม้ว่าจำเลยที่ 1 จะให้เงินช่วยเหลือทายาทผู้เสียชีวิตและผู้บาดเจ็บแล้วเป็นเงินกว่า 3.3 ล้านบาท แต่การที่จำเลยที่ 1 ในฐานะผู้บริหารสถานบริการซึ่งเป็นอาคารสาธารณะที่ต้องมีระบบความปลอดภัยเกี่ยวกับอัคคีภัย แต่กลับไม่ยอมปฏิบัติตามกฎหมาย เป็นเหตุให้เกิดเพลิงไหม้ ทำให้มีผู้เสียชีวิตและบาดเจ็บจำนวนมาก การกระทำของจำเลยเป็นความผิดกรรมเดียว แต่ผิดกฎหมายหลายบท ให้ลงโทษตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 291 อันเป็นบทหนักสุด โดยให้จำคุกนายวิสุข หรือเสี่ยขาว จำเลยที่ 1 และนายบุญชู กรรมการผู้มีอำนาจบริษัท โพกัสไลท์ฯ จำเลยที่ 7 คนละ 3 ปี และปรับบริษัท โพกัสไลท์ฯ ซึ่งรับติดตั้งการทำเอฟเฟ็กต์ ซานติก้าผับ จำเลยที่ 6 เป็นเงิน 20,000 บาท นอกจากนี้ยังให้จำเลยที่ 6 และ 7 ร่วมกันชดใช้ค่าสินไหมทดแทนแก่โจทก์ร่วมที่ 4-6 เป็นเงินรายละ 1,540,000 บาท และชดใช้ให้โจทก์ร่วมที่ 7-8 เป็นเงินรายละ 2,040,000 บาท รวมทั้งสิ้น 8.7 ล้านบาท ส่วนจำเลยที่ 5 ยกฟ้อง ซึ่งต่อมา จำเลยที่ 1 ,6 และ 7 ยื่นอุทธรณ์ขอให้ศาลยกฟ้อง ขณะที่โจทก์ยื่นอุทธรณ์ขอให้ศาลลงโทษจำเลยที่ 5
       
        ทั้งนี้ ศาลอุทธรณ์พิเคราะห์พฤติการณ์ของจำเลยที่ 1 แล้วเห็นว่า ไม่ใช่ผู้กระทำประมาทโดยตรงที่จะทำให้เกิดเหตุเพลิงไหม้ หากจะมีพฤติกรรมดังกล่าวก็เป็นเรื่องของการไม่ได้ติดแบบแปลนแผนผังอาคาร ป้ายบอกทาง และไฟฉุกเฉินให้เพียงพอตาม พ.ร.บ.ควบคุมอาคาร พ.ศ.2522 และว่า เหตุเพลิงไหม้นั้นสืบเนื่องจากการจุดเอฟเฟ็กต์ด้วยไฟฟ้าที่จำเลยที่ 6 และ 7 ดูแล พยานหลักฐานที่โจทก์นำสืบรับฟังได้ว่า จำเลยที่ 6 และ 7 กระทำการโดยประมาท ส่วนนักร้องวงเบิร์น จำเลยที่ 5 ในชั้นนำสืบไม่ปรากฏว่าจำเลยที่ 5 ได้ถือกระบอกพลุและจุดตามคำเบิกความของพยานโจทก์บางปาก ขณะที่ภาพในแผ่นดีวีดี พบเพียงแค่จำเลยที่ 5 ยืนถือไมค์เพียงมือเดียว ซึ่งหากจะถือกระบอกพลุด้วย ต้องถือ 2 มือ พยานหลักฐานโจทก์ยังมีความขัดแย้งกัน ศาลอุทธรณ์จึงพิพากษาแก้ยกฟ้องจำเลยที่ 1 ทุกข้อหา ส่วนจำเลยคนอื่นๆ นั้น ศาลพิพากษายืนตามศาลชั้นต้นให้ยกฟ้องจำเลยที่ 5 และให้จำคุกจำเลยที่ 7 เป็นเวลา 3 ปี ปรับจำเลยที่ 6 จำนวน 20,000 บาท พร้อมทั้งให้จำเลยที่ 6 และ 7 ชำระค่าสินไหมทดแทนแก่โจทก์ร่วมที่ 4-8 เป็นเงิน 8.7 ล้านบาท
       
        หลังฟังคำพิพากษา นายบุญชู จำเลยที่ 7 ได้ให้ทนายยื่นหลักทรัพย์เป็นเงินสด 5 แสนบาทเพื่อขอประกันตัวระหว่างฎีกา ศาลพิจารณาแล้วอนุญาต ขณะที่นายวิสุข หรือเสี่ยขาว ซึ่งศาลยกฟ้อง ได้เดินทางกลับทันทีโดยไม่ให้สัมภาษณ์ใดๆ ด้าน น.ส.มาลี ถนอมปัญญารักษ์ ญาติผู้เสียหาย เผยว่า จะยื่นฎีกาต่อ เพราะต้องการให้ผู้บริหารซานติก้าผับร่วมรับผิดชอบกับบริษัทที่ติดตั้งเอฟเฟ็กต์ด้วย


ASTVผู้จัดการออนไลน์    27 ตุลาคม 2556