4.ศาลฎีกา พิพากษายืนจำคุก สนธิ-สโรชา กับพวก 6 เดือน รอลงอาญา 3 ปี คดีหมิ่นตระกูล ดามาพงศ์ โกงทั้งโคตร!
เมื่อวันที่ 24 ก.ย. ศาลอาญา ถนนรัชดาภิเษก ได้อ่านคำพิพากษาศาลฎีกาคดีที่ พล.ร.ท.เกียรติศักดิ์ ดามาพงศ์ อดีตผู้ทรงคุณวุฒิพิเศษกองทัพเรือ ญาติคุณหญิงพจมาน ณ ป้อมเพชร อดีตภรรยานายทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี เป็นโจทก์ฟ้องนายสนธิ ลิ้มทองกุล ผู้ก่อตั้งหนังสือพิมพ์ผู้จัดการรายวัน, น.ส.สโรชา พรอุดมศักดิ์ ผู้ดำเนินรายการเมืองไทยรายสัปดาห์สัญจร, บริษัท แมเนเจอร์ มีเดียกรุ๊ป จำกัด (มหาชน) เจ้าของหนังสือพิมพ์ผู้จัดการรายวัน, น.ส.เสาวลักษณ์ ธีรานุจรรยงค์ ผู้บริหารแผนฟื้นฟูกิจการของ บ.แมเนเจอร์ฯ, นายขุนทอง ลอเสรีวานิช เจ้าของและผู้จัดทำเว็บไซต์
www.manager.co.th, บริษัท ไทยเดย์ ด็อทคอม จำกัด ผู้ผลิตรายการเมืองไทยรายสัปดาห์สัญจร, นายศุภชัย วงศ์วรเศรษฐ์ (โจทก์ถอนฟ้องแล้ว), นายจิตตนาถ ลิ้มทองกุล, นายพชร สมุทรวณิช ซึ่งเป็นกรรมการบริหาร บ.ไทยเดย์ฯ และนายปัญจภัทร อังคสุวรรณ ผู้ควบคุมดูแลเว็บไซต์
www.manager.co.th เป็นจำเลยที่ 1-10 ในความผิดฐานร่วมกันดูหมิ่น และหมิ่นประมาทด้วยการโฆษณาตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 326, 328, 332, 393 กรณีร่วมกันจัดรายการเมืองไทยรายสัปดาห์สัญจร บริเวณลานพระบรมรูปทรงม้า ถ่ายทอดออกอากาศผ่านสถานีโทรทัศน์ ASTV ช่องนิวส์ 1 และเผยแพร่ตีพิมพ์ทาง นสพ.ผู้จัดการรายวัน และเว็บไซต์
www.manager.co.th โดยกล่าววิจารณ์การขายหุ้นบริษัท ชินคอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) ด้วยถ้อยคำลักษณะใส่ร้ายตระกูลดามาพงศ์ และบุคคลในตระกูลดามาพงศ์ของโจทก์ให้ได้รับความเสียหาย เหตุเกิดเมื่อวันที่ 24 ม.ค. - 4 ก.พ. 2549
คดีนี้ ศาลชั้นต้นมีคำพิพากษาเมื่อวันที่ 25 มิ.ย. 2550 ให้ยกฟ้อง เนื่องจากเห็นว่า ข้อเท็จจริงที่ได้จากคำเบิกความพยานโจทก์มีความคลาดเคลื่อน จึงยังฟังไม่ได้ว่าโจทก์ได้รับความเสียหายจากการกระทำของจำเลย และไม่เข้าองค์ประกอบความผิดฐานหมิ่นประมาทฯ จึงพิพากษายกฟ้องจำเลยทั้งสิบ ต่อมาโจทก์ยื่นอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษาแก้เมื่อวันที่ 3 ส.ค. 2554 ว่า เมื่อพิจารณาจากข้อความตามฟ้องโจทก์ เช่น ชินวัตร...ดามาพงศ์ โกงทั้งโคตร ขายชาติเลี่ยงภาษี แม้ไม่มีชื่อโจทก์แต่การที่ลงชื่อตระกูลทำให้ผู้อ่านย่อมเข้าใจไปได้ว่าหมายถึงทั้งตระกูล โจทก์จึงเป็นผู้เสียหาย อีกทั้งข้อความดังกล่าวยังเป็นความหมายในทางลบ ทำให้ประชาชนทั่วไปรู้สึกว่าการกระทำของตระกูลโจทก์กระทบต่อเศรษฐกิจของประเทศ ซึ่งเป็นหน้าที่ของเจ้าหน้าที่รัฐที่จะดำเนินการไม่ใช่หน้าที่จำเลยมาตัดสิน ข้อความตามฟ้องของจำเลยที่ 1 จึงไม่ใช่การเสนอข้อเท็จจริงโดยสุจริต ส่วนจำเลยที่ 2, 3, 5, 6 และ10 มีความผิดฐานเป็นตัวการร่วม ขณะที่จำเลยที่ 4 เป็นเพียงผู้บริหารแผนฯ ของจำเลยที่ 3 ย่อมไม่มีส่วนกระทำผิด ส่วนจำเลยที่ 8 และ 9 ซึ่งเป็นกรรมการผู้มีอำนาจของจำเลยที่ 5 โจทก์ไม่ได้นำสืบให้เห็นว่ามีส่วนร่วมกระทำผิดอย่างไร จึงพิพากษาแก้ว่า จำเลยที่ 1, 2, 3, 5, 6 และ 10 กระทำผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 326, 328, ประกอบมาตรา 83 ให้จำคุกจำเลยที่ 1, 2, 5 และ 10 คนละ 6 เดือน ปรับคนละ 5 หมื่นบาท โทษจำคุกให้รอลงอาญาไว้ 3 ปี ให้ปรับจำเลยที่ 3 และ 6 ซึ่งเป็นนิติบุคคล คนละ 5 หมื่นบาท และให้ร่วมกันลงตีพิมพ์คำพิพากษาลงใน นสพ.ผู้จัดการรายวัน และเว็บไซต์
www.manager.co.th เป็นเวลา 7 วันต่อเนื่องกัน
ต่อมาจำเลยที่ 1, 2, 3, 5, 6 และ 10 ยื่นฎีกาขอให้ยกฟ้อง ศาลฎีกาตรวจสำนวนปรึกษาหารือกันแล้วเห็นว่า คดีมีประเด็นต้องวินิจฉัยว่า จำเลยที่ 3 และ 5 กระทำผิดฐานหมิ่นประมาทด้วยหรือไม่ เห็นว่า แม้ข้อความที่พาดหัวข่าวในหนังสือพิมพ์ผู้จัดการรายวัน และเว็บไซต์แมเนเจอร์ จะกล่าวถึงตระกูลชินวัตรและดามาพงศ์ แต่เมื่อพิจารณาดูในเนื้อหาข่าวนั้นไม่ได้หมายถึงคนของตระกูลดังกล่าวทั้งหมด ยังถือไม่ได้ว่าการกระทำของจำเลยที่ 3 และ 5 จะทำให้โจทก์ได้รับความเสียหายหรือเสื่อมเสียชื่อเสียง จึงไม่เป็นความผิดฐานหมิ่นประมาท ส่วนคำปราศรัยของจำเลยที่ 1 เมื่อพิจารณาคำว่า โกงทั้งโคตร ย่อมหมายถึงทุกคนที่อยู่ในตระกูลดามาพงศ์ได้รับความเสียหาย ไม่ใช่การใส่ความการทำงานของอดีตนายกรัฐมนตรี นายทักษิณ ชินวัตร ตามที่จำเลยกล่าวอ้าง การกระทำของจำเลยที่ 1 จึงเป็นความผิดฐานหมิ่นประมาท ตามมาตรา 326 และ 328 ขณะที่จำเลย 2 อยู่ร่วมเวทีปราศรัยกับจำเลยที่ 1 มาตั้งแต่ต้น จึงกระทำผิดฐานเป็นตัวการร่วมกับจำเลยที่ 1 เช่นเดียวกับจำเลยที่ 6 และ 10 ที่ได้เผยแพร่ข้อความการปราศรัยดังกล่าว ศาลฎีกาพิจารณาแล้วเห็นว่า ที่ศาลอุทธรณ์พิพากษามานั้น ศาลฎีกาเห็นพ้องด้วย พิพากษายืนจำคุก 6 เดือน นายสนธิ จำเลยที่ 1 น.ส.สโรชา จำเลยที่ 2 และนายปัญจภัทร จำเลยที่ 10 พร้อมปรับ 5 หมื่นบาท แต่โทษจำคุกให้รอลงอาญา 3 ปี ส่วนบริษัทไทยเดย์ฯ จำเลยที่ 6 คงโทษปรับ 5 หมื่นบาท และพิพากษาแก้ให้ยกฟ้องบริษัท เมเนเจอร์ มีเดียกรุ๊ป จำกัด (มหาชน) จำเลยที่ 3 และ นายขุนทอง จำเลยที่ 5
5.ศาลอุทธรณ์ พิพากษาจำคุก 4 แนวร่วม นปช.4 ปี คดีระเบิดพรรคภูมิใจไทยปี 53 !
เมื่อวันที่ 21 ก.ย. ศาลอาญา ถ.รัชดาภิเษก ได้นัดอ่านคำพิพากษาศาลอุทธรณ์คดีวางระเบิดพรรคภูมิใจไทย ที่พนักงานอัยการฝ่ายคดีพิเศษ 1 เป็นโจทก์ฟ้องนายเดชพล พุทธจง อายุ 60 ปี อาชีพค้าขาย, นายกำพล คำคง อายุ 46 ปี อาชีพขี่รถจักรยานยนต์รับจ้าง, นายกอบชัย หรืออ้าย บุญปลอด อายุ 47 ปี อาชีพค้าขาย, นางวริศรียา หรืออ้อ บุญสม อายุ 47 ปี อาชีพตกแต่งภายใน และนายสุริยา หรืออ้วน ภูมิวงษ์ อายุ 43 ปี อาชีพช่างทำบั้งไฟ ซึ่งเป็นแนวร่วมกลุ่มแนวร่วมประชาธิปไตยต่อต้านเผด็จการแห่งชาติ(นปช.) เป็นจำเลยที่ 1-5 ในความผิดฐานร่วมกันทำวัตถุระเบิด มีวัตถุระเบิดไว้ในครอบครองโดยไม่ได้รับอนุญาต พาอาวุธ(วัตถุระเบิด) ไปในเมืองฯ โดยไม่มีเหตุอันควร และกระทำให้เกิดระเบิดฯ ตามความผิด พ.ร.บ.อาวุธปืนฯ พ.ศ. 2490 มาตรา 4, 38, 74, ประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 221, 222, 218, 371
คดีนี้ โจทก์ฟ้องว่า เมื่อช่วงต้นเดือน มิ.ย. 2553 จำเลยทั้งห้ากับพวกได้ร่วมกันผลิต และมีวัตถุระเบิดที่ทำขึ้น โดยร่วมกับนายเอนก สิงขุนทด ซึ่งเป็นผู้เข็นรถเข็นผลไม้ที่ซุกซ่อนระเบิดไว้ในถังแก๊ส เข็นผ่านไปที่ทำการพรรคภูมิใจไทย ใกล้ซอยพหลโยธิน 43 แขวงลาดยาว เขตจตุจักร กทม.จนเกิดระเบิดขึ้น เป็นเหตุให้ผนังด้านหลังอาคารพรรคภูมิใจไทยแตกเสียหาย เพิงร้านค้าขายอาหารตามสั่งของนายแถม ตรุพิมาย ถูกแรงระเบิดพังเสียหายทั้งหลัง รถยนต์ของว่าที่ ร.ต.ภูมิรัตน์ นาคอุดม ได้รับความเสียหาย ส่วนนายอเนก สิงขุนทด ได้รับบาดเจ็บสาหัส จนตาบอดทั้งสองข้างจากเหตุระเบิดดังกล่าว ซึ่งในชั้นสอบสวนจำเลยให้การรับสารภาพ แต่ให้การปฏิเสธในชั้นศาล
ซึ่งศาลชั้นต้นมีคำพิพากษาเมื่อวันที่ 16 ก.ย. 2556 ว่า จำเลยทั้งห้าเป็นกลุ่ม นปช. ไม่พอใจรัฐบาลนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ในขณะนั้น โดยมีจำเลยที่ 1-3 เป็นผู้สั่งการให้นายเอนกเข็นรถผลไม้ไปที่หน้าพรรคภูมิใจไทยก่อนที่จะเกิดระเบิดขึ้น จึงมีส่วนร่วมในการกระทำผิดกับนายเอนก ขณะที่จำเลยที่ 5 รับว่า เป็นผู้ประกอบระเบิดอย่างเดียว แต่ไม่มีส่วนรู้เห็นในการวางระเบิด ส่วนจำเลยที่ 4 พยานโจทก์ยังมีข้อสงสัย จึงยกประโยชน์แห่งความสงสัยให้จำเลยที่ 4
ทั้งนี้ ศาลชั้นต้นพิพากษาว่าจำเลยที่ 1-3 กระทำผิดหลายกรรม แต่ให้ลงโทษบทหนักสุด ในความผิดฐานร่วมกันทำให้เกิดระเบิด จำคุกคนละ 5 ปี ฐานร่วมกันมีวัตถุระเบิดไว้ในครอบครอง จำคุกคนละ 5 ปี และฐานพาวัตถุระเบิดไปในเมือง ปรับคนละ 100 บาท รวมโทษจำคุกคนละ 10 ปี และปรับคนละ 100 บาท ส่วนจำเลยที่ 5 มีความผิดฐานประกอบระเบิด และ พ.ร.บ.อาวุธปืน ลงโทษจำคุก 5 ปี แต่จำเลยที่ 1-3 และ 5 ให้การเป็นประโยชน์ ลดโทษให้ 1 ใน 3 คงจำคุกจำเลยที่ 1-3 คนละ 6 ปี 8 เดือน และปรับ 66.66 บาท ส่วนจำเลยที่ 5 คงจำคุกไว้ 3 ปี 4 เดือน ยกฟ้องจำเลยที่ 4 แต่ให้ขังไว้ระหว่างอุทธรณ์ ต่อมา จำเลยยื่นอุทธรณ์ขอให้ศาลยกฟ้อง ขณะที่อัยการโจทก์ยื่นอุทธรณ์ ขอให้ลงโทษจำเลยทั้งห้าสถานหนัก
ด้านศาลอุทธรณ์พิจารณาแล้วเห็นว่า ข้อเท็จจริงจากการนำสืบพบว่า จำเลยที่ 1 -4 เป็นตัวการร่วมกัน สั่งการ โดยแบ่งหน้าที่กันทำ และมีวัตถุระเบิดที่จำเลยที่ 5 ประกอบขึ้น เพียงแต่วันเกิดเหตุ จำเลยที่ 1-3 และนายเอนกเป็นผู้เข็นรถผลไม้ที่ซุกซ่อนระเบิดไปใกล้บริเวณที่ทำการพรรคภูมิใจไทย ส่วนจำเลยที่ 4 แม้จะไม่ได้ร่วมในเหตุการณ์ระเบิด แต่ก็คอยใช้โทรศัพท์มือถือสอบถามติดตามสถานการณ์โดยตลอด ย่อมมีความผิดร่วมกับจำเลยที่ 1-3 ด้วย อุทธรณ์โจทก์ฟังขึ้นบางส่วน พิพากษาแก้ว่า จำเลยที่ 1-4 กระทำผิดหลายกรรมต่างกัน ลงโทษทุกกรรม ฐานร่วมกันกระทำให้ระเบิดจนเป็นอันตรายแก่บุคคล และทรัพย์สินอื่นๆ จำคุกคนละ 3 ปี ,ฐานร่วมกันมีวัตถุระเบิดไว้ในครอบครองโดยไม่ได้รับอนุญาต จำคุกคนละ 3 ปี รวมจำคุกจำเลยที่ 1-4 คนละ 6 ปี ปรับคนละ 100 บาท ส่วนจำเลยที่ 5 ผิดฐานประกอบวัตถุระเบิดโดยไม่ได้รับอนุญาต จำคุก 4 ปี อย่างไรก็ตาม คำให้การในชั้นสอบสวนของจำเลยทั้งห้า เป็นประโยชน์อยู่บ้าง ลดโทษให้กระทงละ 1 ใน 3 คงจำคุกจำเลยที่ 1-4 ไว้คนละ 4 ปี ปรับคนละ 66.66 บาท ส่วนจำเลยที่ 5 จำคุก 2 ปี 8 เดือน
สำหรับนายสุริยา จำเลยที่ 5 ได้หลบหนี ศาลจึงออกหมายจับ และปรับนายประกัน 5 แสนบาท เนื่องจากไม่สามารถติดตามตัวจำเลยที่ 5 มาฟังคำพิพากษาได้ ศาลจึงได้อ่านคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ลับหลังจำเลย ส่วนนายอเนกซึ่งเป็นคนเข็นรถขายผลไม้ซุกซ่อนระเบิด อัยการได้แยกฟ้องอีกคดี โดยก่อนหน้านี้ศาลอุทธรณ์ได้มีคำพิพากษาแก้ จากเดิมที่ศาลชั้นต้นพิพากษาจำคุก 35 ปี โดยลดโทษจำคุกเหลือ 5 ปี และปรับ 50 บาท
อย่างไรตามในส่วนของนางวริศรียา จำเลยที่ 4 นั้น ญาติได้ยื่นคำร้องพร้อมหลักทรัพย์ขอปล่อยชั่วคราวระหว่างฎีกาสู้คดี ซึ่งศาลพิจารณาแล้วอนุญาต โดยตีราคาประกัน 5 แสนบาท พร้อมกำหนดเงื่อนไขห้ามเดินทางออกนอกประเทศ
โดย ASTVผู้จัดการออนไลน์ 26 กันยายน 2558