ผู้เขียน หัวข้อ: ต่างชาติฮิต! ทำสวยในไทย วอนรัฐหนุนไทยเมืองหลวงศัลยกรรมเอเชีย  (อ่าน 1066 ครั้ง)

story

  • Staff
  • Hero Member
  • ****
  • กระทู้: 9760
    • ดูรายละเอียด
ต่างชาติฮิตแห่ทำศัลยกรรมในไทย แม้การประชาสัมพันธ์น้อย แพทยสภาวอนรัฐบาลดันไทยเป็นเมืองหลวงศัลยกรรมเอเชีย แนะทำทัวร์ศัลยกรรม เตือนทำศัลยกรรมเกาหลีแก้ไขยาก เตรียมจัดประชุมวิชาการเสริมจมูก 2-3 มี.ค.นี้ เพิ่มความชำนาญแพทย์ไทย
       
       วันนี้ (21 ก.พ.) ที่แพทยสภา นพ.สัมพันธ์ คมฤทธิ์ เลขาธิการแพทยสภา กล่าวระหว่างการแถลงข่าว “ชูไทยเมืองหลวงศัลยกรรมความงาม” รวมกับ นพ.ชลธิศ สินรัชตานันท์ นายกสมาคมศัลยกรรมตกแต่งใบหน้าแห่งประเทศไทย และ นพ.อรรถพันธ์ พรมณฑารัตน์ นายกสมาคมศัลยกรรมและเวชศาสตร์เพื่อการเสริมสวยประเทศไทย ว่า แพทยสภาสนับสนุนนโยบายเมดิคัล ฮับ (Medical Hub) ของรัฐบาล แม้ 10 ปีที่ผ่านมาจะยังไม่เห็นผลรูปธรรมมากนัก จึงอยากวอนให้รัฐบาล โดยกระทรวงสาธารณสุข (สธ.) นำจุดแข็งทางการแพทย์โดยเฉพาะด้านศัลยกรรมตกแต่งความงามมาเผยแพร่ให้ทั่วโลกรับรู้ เนื่องจากปัจจุบันได้รับความนิยมสูง ซึ่งจากข้อมูลของสมาคมเสริมความงามนานาชาติ ระบุว่าปริมาณการทำศัลยกรรมทั้งประเภทผ่าตัด และไม่ผ่าตัดในกลุ่มภูมิภาคเอเชียนั้น จีนมีสัดส่วนการทำศัลยกรรมสูงสุด ตามด้วยญี่ปุ่น เกาหลีใต้ และไต้หวัน โดยล้วนเดินทางมาทำที่ประเทศไทย ขณะที่สหรัฐอเมริกา และฝั่งยุโรปก็มีความสนใจเช่นกัน ตกปีละประมาณร้อยละ 10 โดยส่วนใหญ่จะนิยมศัลยกรรมจมูกและกรีดตา ส่วนการผ่าตัดแปลงเพศเป็นที่นิยมขนาดสภาผู้แทนราษฎรของประเทศโปแลนด์ยังสนใจ
       
       นพ.สัมพันธ์ กล่าวอีกว่า เห็นได้ว่าไทยมีจุดแข็งและศักยภาพในการศัลยกรรมตกแต่งมาก ทั้งต่างชาติยังให้การยอมรับ แต่ที่ผ่านมาไม่มีการประชาสัมพันธ์เหมือนประเทศเกาหลี ทั้งที่คนเกาหลียังมาทำศัลยกรรมในไทย ทำให้ที่ผ่านมาเมื่อพูดถึงการทำศัลยกรรมจะนึกถึงเกาหลีก่อน ซึ่งหากคนไทยไปทำจะเสี่ยงมาก เพราะเมื่อทำมาแล้วไม่ดีหรือเกิดผลแทรกซ้อนต้องบินกลับไปแก้ไขที่เกาหลี เนื่องจากการแก้ไขในไทยจะทำได้ยาก จึงอยากให้ภาครัฐตระหนักถึงความสำคัญและออกนโยบายเร่งด่วนเพื่อรองรับการขยายตัวของธุรกิจศัลยกรรมความงามที่มีช่องทางเติบโตสูงด้วยการสนับสนุนธุรกิจสุขภาพและความงามในรูปแบบของทัวร์ศัลยกรรมทั้งระบบ และร่วมผลักดันให้ไทยก้าวสู่ศูนย์กลางด้านศัลยกรรมตกแต่งของเอเชีย
       
       “ปัจจุบันธุรกิจด้านการรักษาทางการแพทย์ในภาพรวมมีมูลค่าเพียง 30,000 ล้านบาท จำเป็นต้องสนับสนุนให้สูงขึ้นถึง 60,000 ล้านบาท ภายใน 4-5 ปี ซึ่งไทยมีศักยภาพทำได้ ยิ่งจะใกล้เปิดประชาคมเศรษฐกิจอาเซียน (AEC) ในปี 2558 ธุรกิจนี้จะยิ่งเติบโต ถึงเวลาที่รัฐบาลไทยต้องนำจุดแข็งทางการแพทย์มาเป็นจุดขายเพื่อประโยชน์ของคนไทยเอง” เลขาธิการแพทยสภา กล่าวและว่า ขอเตือนคนไทยที่จะไปทำศัลยกรรมที่เกาหลีให้ระวังตัว เพราะปัจจุบันมีธุรกิจนำทัวร์ศัลยกรรมเกาหลี ซึ่งหากผลลัพธ์ไม่ดีธุรกิจนั้นอาจไม่รับผิดชอบ ซึ่งทางแพทยสภาไม่สามารถเอาผิดได้ เพราะเป็นความสมัครใจของผู้ไปทำเอง แต่หากเป็นคลินิกไทยรับแพทย์ต่างชาติมาทำให้ หากมีข้อผิดพลาดและแพทย์คนทำกลับประเทศไป คลินิกไทยต้องรับผิดทั้งทางแพ่งและอาญา ขณะที่แพทย์ต่างชาติที่เข้ามาหากไม่ได้รับอนุญาตจากแพทยสภาก็ถือว่าผิดเช่นกัน
       
       นพ.อรรถพันธ์ กล่าวว่า กรณีไปทำศัลยกรรมกับทัวร์ไทยต้องมีการสอบถามให้ถี่ถ้วนว่า หากไปทำจะมีโอกาสผิดพลาดมากน้อยแค่ไหน หากมีรับผิดชอบในการบินกลับไปแก้ไขด้วยหรือไม่ และการแก้ไขไม่ว่าจะเป็นจมูกเบี้ยว หรืออะไรก็ตาม จะต้องแก้ไขกี่ครั้งจึงจะแล้วเสร็จ ตรงนี้ต้องสอบถามและสัญญาเป็นลายลักษณ์อักษร เป็นการปกป้องสิทธิของตัวเอง
       
       นพ.ชลธิศ กล่าวว่า ปัจจุบันมีคลินิกความงามหลายแห่งผันตัวเองเป็นตัวแทนโรงพยาบาลเกาหลีเพื่อส่งลูกค้าไปทำศัลยกรรม ซึ่งเมื่อทำมาแล้วมีข้อผิดพลาด กลับหันมาหาแพทย์ไทยเพื่อขอแก้ไข ซึ่งยากมากในการแก้ไข เพราะกว่าจะทราบว่าแพทย์เกาหลีทำอะไรบ้างต้องใช้เวลาและอาจแก้ไขได้ไม่เหมือนเดิม ไม่เหมือนแพทย์ไทยหากทำศัลยกรรมแล้วไม่พอใจการปรับเปลี่ยนยังทำได้ง่าย ทั้งนี้ การไปทำศัลยกรรมถึงเกาหลีเป็นความนิยมส่วนบุคคล หากจะทำต้องศึกษาข้อมูลให้ดี เพราะที่เกาหลีจะมีเขตพิเศษเฉพาะ ไม่มีการตรวจสอบพิเศษใดๆ หากมีการทำศัลยกรรมที่นั่นแล้วผิดพลาด แพทยสภาเกาหลีอาจไม่สามารถดำเนินการใดๆ ได้ อย่างไรก็ตาม ที่ผ่านมามีคนไทยที่ไปทำศัลยกรรมที่เกาหลี โดยการร้อยไหมปรากฏว่ากลับมาไทยหน้าบวมช้ำ ต้องให้แพทย์ไทยแก้ไข ขณะที่การไปเสริมจมูกก็มีปัญหาเบี้ยว ทะลุบ้างเช่นกัน จะเห็นว่าผลข้างเคียงที่เกิดขึ้น เกิดขึ้นได้หมดทั่วโลกไม่ว่าจะไปทำศัลยกรรมที่ประเทศไหน แม้แต่ประเทศไทยก็มีโอกาส เพราะการทำศัลยกรรมหรือการรักษาใดๆ ย่อมมีผลข้างเคียงไม่มากก็น้อยแล้วแต่ร่างกายคน แต่หากรักษาที่ประเทศไทยเองย่อมมีโอกาสช่วยเหลือแก้ไขได้ทัน
       
       นพ.ชลธิศ กล่าวอีกว่า เพื่อให้เกิดความเชื่อมั่นการทำศัลยกรรมของไทย ในวันที่ 2-3 มีนาคมนี้ ที่โรงแรมอีสติน แกรนด์ สาทร แพทยสภา ร่วมกับสมาคมศัลยกรรมตกแต่งฯ และราชวิทยาลัย โสต ศอ นาสิกแพทย์ประเทศไทย ร่วมจัดงานประชุมวิชาการเชิงปฏิบัติการแพทย์ด้านศัลยกรรม และเวิร์กชอปครั้งแรกในภูมิภาคเอเชีย (Masterclass Project : Rhinoplasty) ซึ่งจะอบรมแพทย์ศัลยกรรมตกแต่ง จากเดิมมีความชำนาญอยู่แล้ว ให้ยิ่งชำนาญเฉพาะทางมากขึ้น โดยปีนี้จะเน้นการเสริมจมูก ฉีดจมูก รวมไปถึงการแก้ไขปัญหาจากการศัลยกรรมจมูกด้วย โดยในการประชุมจะเปิดเผยวัสดุที่ผลิตขึ้นใหม่ของ นพ.สัมพันธ์ เพื่อให้เป็นเครื่องมือแพทย์ในการทำจมูกแบบใหม่ ที่ปลอดภัยและมีรูปทรงเหมาะกับคนไทย ขณะนี้อยู่ระหว่างจดสิทธิบัตร และกำลังยื่นขอขึ้นทะเบียนกับสำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา (อย.) ให้เป็นเครื่องมือแพทย์ต่อไป ที่สำคัญในวันที่ 3 มี.ค.นี้ จะมีการสอนการผ่าตัดเสริมจมูกจริงอีกด้วย

ASTVผู้จัดการออนไลน์    21 กุมภาพันธ์ 2556