ผู้เขียน หัวข้อ: ขอให้คิดให้รอบคอบก่อนที่จะรับร่าง พรบ.คุ้มครองฯ ซึ่งกำลังเป็นปัญหาอยู่ในขณะนี้  (อ่าน 1921 ครั้ง)

khunpou

  • Full Member
  • ***
  • กระทู้: 111
    • ดูรายละเอียด
ขอให้คิดให้รอบคอบก่อนที่จะรับร่าง พรบ.คุ้มครองฯ ซึ่งกำลังเป็นปัญหาอยู่ในขณะนี้
นพ.เอื้อชาติ กาญจนพิทักษ์

   ร่าง พรบ. ที่จะจ่ายเงินให้ผู้ป่วยที่ได้รับผลกระทบ (ร่าง พรบ.เรียกว่าผู้เสียหาย) จากการรับบริการสาธารณสุขนั้น ดูอย่างผิวเผินน่าจะเรื่องที่ดีมากๆ เลย  แต่มันเป็นไปได้หรือครับในเนื้อหาและวิธีปฏิบัติ ตามร่าง พรบ.ฉบับนี้ ที่ จะมีแต่ได้กับได้จะไม่มีเสียเลยหรือ  ลองพิจารณาดูนะครับ
1.   ผู้ป่วยที่มารับการรักษา สิ่งแรกที่ผู้ป่วย คาดหวังคือ  อยากจะหายจากโรค  หมอและโรงพยาบาลร้อยทั้งร้อยก็อยากจะให้ผู้ป่วยหายจากโรค เช่นกันแต่รักษาไปแล้ว  หายจากโรคก็มีมาก ไม่หายก็มีไม่น้อย  เลวลงและมีโรคแทรกก็มีบ้าง เสียชีวิตก็มีเช่นกัน  พวกที่ไม่หายจนถึงตาย สมควรที่จะได้รับการช่วยเหลือไหม???  และถ้าช่วยจะช่วยอย่างไร
2.   ถ้าคิดแบบก่อนๆ ก็บอกว่ามันเป็น“กรรมเก่า” คนคลอดกันเยอะแยะไม่เป็นอะไร  แต่ภรรยาเราไปคลอดกลับตายทั้งแม่ทั้งลูก  ถ้าคิดว่าเป็นกรรมเก่ามันก็คงจบเรื่อง  แต่ถ้าคิดว่าทำไมภรรยาเราตาย แต่ภรรยาคนอื่นทำไมไม่ตาย?   ก็มีช่องทางให้อยู่แล้ว (นอกเหนือจากการเจรจากับแพทย์และโรงพยาบาลซึ่งอาจจะตกลงกันได้ก็ได้)  คือ
         ๑. การฟ้องร้องคดีผู้บริโภค  ซึ่งง่ายมากไม่ต้องใช้ทนาย ไม่ต้องเสียค่าใช้จ่าย เจ้าหน้าที่ที่ศาลจะเขียนคำฟ้อง
ให้เอง  แล้วรอคอยการไกล่เกลี่ยและถ้าไม่สำเร็จเพราะได้เงินมาไม่พอใจ  ก็รอการตัดสินของศาล หรือ
         ๒. แจ้งความตำรวจ ให้ดำเนินคดีอาญา หรือถ้าไม่อยากรอให้อัยการฟ้องก็
         ๓. นำคดีขึ้นสู่ศาลเอง เพื่อให้ศาลใช้ดุลยพินิจว่าจะประทับรับฟ้องหรือไม่ (ซึ่งส่วนใหญ่เท่าที่เห็นศาลก็จะ
ประทับรับฟ้อง หมอก็คงเป็นจำเลยในคดีอาญานี้ และต้องต่อสู้กันในศาลต่อไป ซึ่งกรณีเช่นนี้ทำให้คุณหมอขวัญเสียมาก เพราะถึงแม้หมอจะชนะแต่ก็ขวัญเสียไปแล้วและคงถอดใจที่จะรักษาต่อไป)
3.   ถ้าคิดว่าผู้ป่วยเป็นผู้ที่น่าสงสาร   ต้องได้รับการช่วยเหลือ อยากจะช่วยเหลือมากน้อยแค่ไหนอย่างไร  รัฐบาลก็จัดวงเงินมาให้เพื่อจ่ายให้ผู้ป่วย (หรือญาติ) ตามสภาพที่เป็นอยู่ก็สามารถทำได้ โดยจ่ายให้เพราะผู้ป่วยเป็นผู้ที่น่าสงสาร เป็นผู้มีเคราะห์กรรม  ก็เป็นสิ่งที่น่ากระทำนะครับ เพราะปัจจุบันนี้รัฐบาลก็ดูแลสงเคราะห์ผู้ที่น่าสงสารอยู่แล้ว  คนแก่ได้ 500 บาท/เดือน  พิการได้ 500 บาท/เดือน  ทั้งแก่ด้วยพิการด้วยได้ 1,000 บาท/เดือน รักษาฟรี การศึกษาฟรี  รถประจำทางฟรี, รถไฟฟรี  ค่าไฟฟ้าฟรี ค่าน้ำฟรี เพิ่มอีก 1 อย่าง  ไม่เห็นจะสิ้นเปลืองเพิ่มเติมอะไรและจะควบคุมว่าปีหนึ่งจะให้เท่าไรก็ได้ เพราะสำนักงบประมาณเป็นผู้กำหนดวงเงิน
4.   แต่ถ้าสร้างระบบที่จ่ายให้ผู้ป่วยเหล่านี้แล้ว ต้องไปหาข้อมูลเพิ่มเติมจากโรงพยาบาลและแพทย์อีก ต้องเรียกแพทย์มาให้การ ต้องไปให้โรงพยาบาลรายงานว่าจะปรับปรุงอย่างไร  ในขณะที่เวลานี้โรงพยาบาลมีขบวนการพัฒนาดูแลเรื่องความปลอดภัยของผู้ป่วยและความเสี่ยงอยู่ทุกโรงพยาบาลอยู่แล้ว  อยู่ดี ๆ ก็ไปเพิ่มภาระให้ทางโรงพยาบาลอีก  โดยเฉพาะโรงพยาบาลประจำจังหวัดต่าง ๆ  ของกระทรวงสาธารณสุขมีงานล้นมาก  แต่ก็ตั้งใจทำสุดความสามารถของมนุษย์ (ไม่ใช่ทำชุ่ย ๆ)  แต่ว่า ยิ่งงานมากผลลัพธ์ออกมาไม่ดี ก็จะมีจำนวนมากเป็นเงาตามตัวและก็ต้องไปให้การต้องเขียนแผนการแก้ไขมากราย ซึ่งต้องใช้เวลาทั้งนั้น  รักษาผู้ป่วยก็เป็นภาระหนักอยู่แล้ว  ต้องมีภาระเพิ่มเติมอีก  ผลสุดท้ายจะกลายเป็นว่าเราไม่ได้ออกแบบระบบให้แพทย์และโรงพยาบาลอยากจะทำงานช่วยผู้ป่วยให้มากที่สุดเท่าที่จะมีกำลังทำได้   กลับกลายเป็นว่าทำมาก ๆ   ไปทำไม เสี่ยงมากก็มีเรื่อง ต้องเข้าให้การมาก   ต้องเขียนแผนการแก้ไขมาก  สู้ทำน้อย ๆ  ทำโรคง่าย ๆ  ไม่ดีกว่าหรือ  ? ถ้าเมื่อไรแพทย์และโรงพยาบาลทั้งหมดคิดอย่างนี้ผมว่าผู้ป่วยลำบากแน่นอน
5.   ถ้ากองทุนมาจากภาษีก็คงจะไม่มีเรื่อง แต่ถ้าต้องไปเก็บจากโรงพยาบาลคนไข้ยิ่งมามากโรงพยาบาลก็ต้องจ่ายให้กองทุนมาก  ดูมันสวนทางกับความเป็นจริงยังไงก็ไม่รู้   ถ้ายังงั้น ให้มาน้อยๆ ไม่ดีกว่าหรือผู้ป่วยในก็รับตามจำนวนที่มีอยู่  ตามโรงพยาบาลประจำจังหวัดต่างๆ ที่ตั้งเตียงเสริมไว้ตามระเบียงตามทางเดินก็จะค่อยๆ หายไป  ผู้ป่วยก็จะต้องเดือดร้อนอีก
          ส่วนโรงพยาบาลเอกชนที่ไม่ได้เป็นคู่สัญญากับบัตรทอง ประกันสังคม ที่เป็นทางเลือกของประชาชนก็ต้องเก็บเงินส่งเข้ากองทุน โรงพยาบาลคิดราคาตามต้นทุนอยู่แล้ว ถ้าต้นทุนสูงขึ้นการคิดราคาก็สูงขึ้น  ซึ่งเป็นเรื่องปรกติถ้าต่อครั้งไม่มากนัก คงจะไม่เป็นไร  แต่ถ้ามากขึ้นเรื่อยๆ ผู้ป่วยก็จะเดือดร้อนโดยไม่ได้รับอะไรชัดเจน ที่จับต้องได้  เพราะโดยปรกติแล้ว ต้นทุนสูงขึ้น จากการที่มีแพทย์ให้เลือกมากขึ้น  มีเครื่องมือใหม่ๆ ทันสมัยมีสถานที่สะดวกสบายเพิ่มขึ้น  เป็นสิ่งที่ผู้ป่วยสามารถจับต้องได้ และได้รับโดยตรง แต่ต้นทุนสูงขึ้นประเภทนี้ผู้ป่วยส่วนใหญ่ที่จ่ายไป จะไม่ได้รับอะไรตอบแทนกลับมาเลยที่เกี่ยวกับการรักษาโรค
   ผมอยากจะชี้ให้เห็นว่า วัตถุประสงค์เดียวและแท้จริง ของผู้ป่วยที่มาโรงพยาบาลเพื่อพบแพทย์นั้น  ต้องการมารักษาโรค ซึ่งอาจจะหายบ้างไม่หายบ้าง  ตายบ้างก็ตามสภาพที่มีความหลากหลาย และมีเงื่อนไขและองค์ประกอบเยอะมากๆ  ผู้ป่วยคงไม่ได้มาโดยตั้งใจว่าถ้ามันไม่ได้ตามวัตถุประสงค์  ก็จะมีการตอบแทนให้ในรูปแบบของการช่วยเหลือ และชดเชย  แต่ถ้ามีกฎหมายว่าด้วยการช่วยเหลือและชดเชยแล้ว ซึ่งแน่นอนเลยว่า  ผู้ได้รับการช่วยเหลือและชดเชยอาจจะมีน้อยครั้ง ซึ่งไม่น่าจะเกิน 1%  ของจำนวน 200 ล้านครั้ง  ของการมารับบริการสาธารณสุข แต่กลับไปปรากฏว่าทำให้แพทย์และโรงพยาบาลเกิดความกังวล  ความไม่แน่ใจ ความไม่เต็มใจ ในการรักษาพยาบาล    ดังนั้น  ประชาชนคนไทยทั้ง 64 ล้านคน ที่ไปรับการรักษาปีละกว่า 200 ล้าน ก็ต้องเป็นผู้เสียประโยชน์อย่างแน่นอน (กรุณาอ่านข้อ 4  อีกครั้งหนึ่ง) แล้วเหตุไฉนจึงจะให้มันเกิดขึ้นละครับ  ช่องทางที่จะให้การช่วยเหลือก็สามารถทำได้ตามข้อ 3  โดยร่าง พรบ.ใหม่ หรือจะเอา ม.๔๑ ซึ่งได้ดูแล 47 ล้านคนมาแก้ไขเพิ่มเติมจนครอบคลุมทั้ง 63 ล้านคน  โดยที่จะเพิ่มเติมเงินเป็นเท่าไรก็ให้สำนักงบประมาณกำหนดให้เหมาะสมและสอดคล้องกับฐานะของประเทศ
   ข้อคิดข้อเสนอของผมนี้ อาจจะไม่ถูกใจคนบางกลุ่มที่ตั้งใจว่า  ถ้าโรงพยาบาลและหมอทำไม่ดีต้องจ่ายเงินเข้ากองทุนตามอำนาจศาลเตี้ย (เพราะไม่ได้เอาความรู้เฉพาะวิชาชีพมากำหนดเป็นมาตรฐาน) และนอกเหนือจากนี้แล้วก็อยากที่จะมีอำนาจในการควบคุมโรงพยาบาลโดยให้เขียนแผนที่จะพัฒนาและปรับปรุงมาให้ดู  (โดยที่ตัวเองก็ไม่ได้เป็นผู้มีประสบการณ์สูงในการบริหารโรงพยาบาลและบริหารความเสี่ยงเลย)  ตลอดจนได้แสดงความเกลียดชัง  และอาฆาตมาดร้ายอย่างปกปิดไว้ไม่อยู่  โดยไปเขียนกฎหมายลงโทษถ้าส่งเงินเข้ากองทุนช้ากว่ากำหนดถึงร้อยละ  24  ต่อปี  แต่แอบแฝงโดยเขียนว่า  ร้อยละ 2 ต่อเดือน  ซึ่งแพงกว่าเงินกู้นอกระบบ  ที่รัฐบาลกำลังจัดการช่วยเหลือประชาชนอย่างเร่งด่วน  น่าละอายไหมครับ  ที่ พรบ.ของรัฐบาลแท้ๆ กลับปล่อยปละละเลยผ่านหูผ่านตาให้ออกมาเช่นนี้ได้  และนอกจากนี้ยังเขียนกฎหมายแสดงอำนาจด้วยความสะใจว่า  ถ้าขัดขืนให้เอาไปเข้าคุกเสีย 6 เดือน จะได้เข็ดหลาบจำ  กฎหมายออกมาอย่างนี้มันจะปรองดอง (ตามนโยบายของรัฐอีกนั่นแหละ)  ได้อย่างไรครับ
   ผมขอยืนยันว่าในหัวจิตหัวใจของแพทย์ทุกคนก็มีความสงสารและเห็นใจผู้ป่วยเหล่านี้เสมอ และอยากเร่งให้รัฐบาลได้จ่ายเงินช่วยเหลือสงเคราะห์ตามฐานานุรูป  ตามฐานะทางการเงินของรัฐบาล  ดังนั้นจัดการได้เลยครับ  อย่าให้ความแตกแยกมันเกิดขึ้นและต่อเนื่องไปเรื่อย ๆ โดยที่ประชาชนส่วนใหญ่ยังไม่รู้ผลกระทบแต่รู้สึกไม่ชอบใจว่าของดี ๆ อย่างนี้พวกแพทย์ไปต่อต้านมันทำไม   เพราะประชาชนไม่ได้ทราบถึงผลกระทบที่ผมกล่าวแล้ว   ดังนั้นจะช่วยผู้ป่วยก็จ่ายเถอะครับ และขอให้จบลงแค่การจ่าย อย่าไปทำเรื่องยุ่งให้กับโรงพยาบาลและแพทย์อีกเลย