ผู้เขียน หัวข้อ: คำผวน..ลีลาลูกเล่นพราวเสน่ห์ของภาษาไทย! เอ่ยของลับแบบปลุกอารมณ์ขัน ไม่ปลุกอารมณ์  (อ่าน 303 ครั้ง)

story

  • Staff
  • Hero Member
  • ****
  • กระทู้: 9797
    • ดูรายละเอียด
คำผวน เป็นวิธีสลับคำโดยใช้สระและ ตัวสะกดของพยางค์หน้ากับพยางค์สุดท้ายมาสลับกัน เกิดเป็นคำใหม่ที่อาจไม่มีความหมายแต่ก็สื่อความหมายกันได้ คำผวนนั้นนิยมใช้กับคำสองหรือสามพยางค์เป็นส่วนใหญ่ ส่วนคำพยางค์เดียวนั้นไม่สามารถผวนได้ อย่างเช่น เฉอรักทัน รังเทอจั๊ก ปุ๊บน่าจาก ไลน์เธอไปจนตั๊ก ยักรอด ดีแต่หู ผีจับหัว ฯลฯ คำผวนนี้ส่วนมากก็ใช้หยอกล้อกันด้วยความสนุกสนาน น่ารัก บ้างก็เป็นคำสัปดนกล่าวถึงของลับ ก็แล้วแต่กาลเทศะ

ปัจจุบันก็ยังมีคนทำสติ๊กเกอร์คำผวนออกมาขาย

ในสมัยก่อนที่ความบันเทิงยังไม่มากมายเหมือนวันนี้ คำผวนจึงเป็นความสนุกอย่างหนึ่งที่นิยมเล่นกันอย่างกว้างขวาง ซึ่งผู้ที่เชี่ยวชาญเรื่องคำผวนจะต้องเป็นคนที่มีสมองไว มีทักษะด้านภาษา เล่ากันว่ามีชายสูงอายุท่านหนึ่งได้รับการกล่าวขานว่าเป็นปรมาจารย์เรื่องคำผวน จึงมีนักเลงรุ่นใหม่ไปท้าลองกันอยู่เสมอ วันหนึ่งเด็กหนุ่มไปขอท้า ท่านผู้เฒ่าชาวใต้ก็รับคำท้าว่า

“อ๋อ ได้”

ต่อมามีผู้หญิงไปท้า ท่านก็รับท้าว่า

“อ๋อ ดี”

แค่คำแรกก็ได้ไปคนละดุ้นแล้ว

นอกจากนี้ ยังมีคำผวนที่แต่งเป็นเรื่องราวแบบนิทานจักรๆวงศ์ๆ แต่แหกกฎเป็นคำผวนทางเพศตลอดเรื่อง และมีหลายสำนวน ที่ได้รับความนิยมจนเป็นอมตะ ก็คือ “สรรพลี้หวน” ซึ่งสันนิษฐานว่าแต่งในราว พ.ศ.๒๔๒๕-๒๔๓๙ มีความยาวถึง ๑๙๗ บท แต่ก็ยังไม่จบสมบูรณ์ เป็นเรื่องเล่าต่อกันมาหลายชั่วคน จนมีผู้รวบรวมพิมพ์เป็นเล่มออกวางตลาดในเดือนกุมภาพันธ์ ๒๕๑๖ ใช้นามผู้แต่งเป็นนามแฝงว่า “ขุนพรหมโลก” ซึ่งคาดว่าเป็นชาวนครศรีธรรมราช

สรรพลี้หวน เป็นกลอนที่เนื้อหาเป็นคำผวนเกี่ยวกับเรื่องทางเพศ อวัยวะเพศ ตลอดเรื่อง แต่ก็ไม่ได้มุ่งกิจกรรมทางเพศ เพียงชวนให้ขบขันมากกว่าที่จะทำให้เกิดอารมณ์ทางเพศ

สารานุกรมวัฒนธรรมไทยภาคใต้ ได้ประเมินคุณค่าทางวรรณคดีของวรรณคดีเรื่องนี้ว่า
“สรรพลี้หวนมิใช่หนังสือลามก แต่เป็นหนังสือสัปดนอย่างมีศิลปะ และผู้แต่งเป็นนายของภาษาอย่างแท้จริง”

แค่ชื่อตัวละครในเรื่อง “สรรพลี้หวน” ก็ออกรสเสียแล้ว เช่น ท้าวโบตัก ท้าวโคตวย เจ้าคีแหม เจ้าชายไดหยอ นางไหหยี ฤาษีแหบ ทั้งรายการอาหารก็เด็ด อย่าง “หอยกับหมียีหำยำให้พอ ดาวให้ยอไข่เป็ดเด็ดให้ยำ”

ถ้าออกเสียงเป็นสำเนียงใต้แล้วยิ่งชัดเจน
เอกชัย ศรีวิชัย นักร้องคนดังของภาคใต้ ได้นำบางตอนของสรรพลี้หวน มาเป็นเพลง “สัพรีหวน” มีเนื้อร้องว่า

“...นครรังยังมีเท่าผีแหน
กว้างยาวแสนหนึ่งคืบสืบยศถา
เมืองห้างกวีรีหับระยับตา
พันหญ้าคาปูรากเป็นฉากบัง
สูงพอดีหยีหิบพอหยิบติด
ทองอังกฤษสลับสีด้วยหนีหัง
กำแพงมีรีหายไว้ขอดัง
เจ้าจอมวังพระราโชท้าวโคตวย
มีเมียรักภักตร์ฉวีดีทุกแห่ง
นั่งแถลงชมเชยเคยฉีหวย
เจ้าคีแหมรูปโอเมียโคตวย
ท้าวหวังรวยกอดินอยู่กินกัน
มีลูกชายไว้ใยชื่อไดหยอ
เด็กไม่ลอเกิดไว้ให้ทีหัน
นอนเป็นทุกข์ดุกลอยิ่งคอดัน
ให้ลูกนั้นหาคู่เป็นหูรี
ต้องไปขอลูกสาวท้าวโบตัก
มันตั้งหลักอยู่ไกลชื่อไหหยี
เป็นลูกเนื้อเชื้อนิลนางหิ้นปลี
เมืองห้างชีปกครองทั้งสองคน
หยิบกระดาษดินสอมาจอดับ
เขียนแล้วพับอ่านดีครบสี่หน
ให้เสนีมีหือถือนิพนธ์
เด็กหนึ่งคนก้มพักตร์มาดักรอ
จึงตรัสใช้เสนีให้คลีหาน
สูรีบผ่านบ่ายพักตร์เถาะดักหยอ
ผมเป็นโรคเหน็ดเหนื่อยหัวเดือยปอ
รักษาพอมาคลายกินหายควี

แต่นายใช้จำกัดดัดไม่ขอ
ถึงเด็กรอต้องไปถึงไหหยี
รักษาโรโคตวยพวยทันที
จากบุรีเร็วพลันดันไม่รอ
เข้าป่าแกแลทั่วกลัวผีเห็น
เดินเย็นๆตัดตรงใต้ดงหลอ
พบสระศรีบัวชุกดุกขึ้นออ
เด็ดสองลอดุ่มกลิ่นหอกหมินดี
ชะนีหงส์ลงดินลงกินน้ำ
เดินมุ่งตามเห็นรอยหอยกับหมี
พบเบื้องอ่างถางใหญ่ไหของคี
ใครมาตีแตกสะเก็ดเหมือนเด็ดยอ
เที่ยวจรดลยนเค็จไม่เสร็จเรื่อง
ใกล้ถึงเมืองหิวจี้ไม่มีหอ
อดข้าวน้ำสามวันดันทั้งวอ
บอบเสียพอตัวกูเรื่องหูรี
พบดอกปอกอดำจำต้องเด็ด
ยีให้เหม็ดเกลี้ยงวาวเหมือนหาวสี
บรรลุถึงเขตทางเมืองห้างชี
จบพอดีฟังตอนสองต่อพี่น้องเห้อ”

สรรพลี้หวน ถือได้ว่าเป็น “เดอตี้โจ๊ก” สไตล์ไทย เช่นเดียวกับลำตัดของภาคกลาง ว่ากันล้วนแต่เรื่องต่ำกว่าสะดือทั้งนั้น แต่คนฟังฮากันตึงท้องคัดท้องแข็งด้วยอารมณ์ขัน ไม่มีใคร “เป๋าตุง” เพราะอารมณ์ใคร่กันเลย

4 มิ.ย. 2564 โรม บุนนาค
https://mgronline.com/onlinesection/detail/9640000053875