แสดงกระทู้

This section allows you to view all posts made by this member. Note that you can only see posts made in areas you currently have access to.


Topics - science

หน้า: 1 ... 3 4 [5] 6 7 ... 12
61
 1. สตรอว์เบอร์รี
       
       สตรอว์เบอร์รีอุดมไปด้วยซิลิกา (Silica) อันเป็นปัจจัยสำคัญที่จะช่วยต่อต้านอาการหลุดร่วงของเส้นผม ทั้งยังกระตุ้นการงอกใหม่ของผมอีกต่างหาก สตรอว์เบอร์รีในบ้านเราหาทานได้ง่ายในช่วงปลาย-ต้นปี ราคาก็พอจะอุดหนุนไหวไม่ระคายกระเป๋าสตางค์มาก ถึงฤดูกาลเมื่อไหร่ก็พยายามกินให้บ่อย ส่วนนอกฤดูสตรอว์เบอร์รีจะเลือกกินผลไม้ชนิดไหนทดแทนไปก่อนดี อ่านข้อต่อไปเลยครับ

       
       2. แอปเปิล
       
       โชคดีที่มีผลไม้ที่หากินง่ายตลอดทั้งปีอย่าง แอปเปิล ที่ช่วยต่อต้านเรื่องผมร่วงได้เช่นกัน แอปเปิลมีไฟเบอร์ซึ่งละลายน้ำได้ มีสารประกอบฟีนอลที่เปลือก มีสารแอนตี้ออกซิแดนท์และวิตามิน ดีทั้งกับสุขภาพหนังศีรษะและสุขภาพโดยรวมของคุณ แต่ในการเลือกซื้อแอปเปิลก็ต้องระวังสักนิด พยายามไม่เลือกลูกที่มีผิวมันเงาผิดปกติ เป็นไปได้ว่าอาจเคลือบแวกซ์มามากเกินไป เมื่อซื้อมาแล้วก็ต้องแช่ในน้ำยาล้างผลไม้ และล้างตามด้วยน้ำเปล่าให้สะอาดทุกครั้ง       
       
       3. องุ่น
       
       เคยได้ยินกันแต่ว่าน้ำมันสกัดจากเมล็ดองุ่นหรือเกรปซีดออยล์ มีประโยชน์มากมายเหลือเกิน แต่ที่จริงแล้วองุ่นทั้งลูกก็มีประโยชน์มากมายพอ ๆ กัน และหนึ่งในประโยชน์ข้อนั้นก็คือช่วยขับล้างสารพิษออกจากร่างกาย และป้องกันผมร่วงได้ด้วย

       4. กล้วย
       
       กล้วยหอมวันละหนึ่งใบช่วยให้อยู่ท้องเป็นของว่างคั่นมื้ออาหารชั้นดีทีเดียว และมันยังอุดมไปด้วยโพแทสเซียม แมกนีเซียม วิตามินบี ไฟเบอร์ เพคติน และแร่ธาตุอีกหลายชนิดที่ล้วนมีประโยชน์ต่อสุขภาพ มันทำให้สุขภาพผมแข็งแรง ไม่หลุดร่วงง่าย ๆ จึงไม่ต้องสงสัยเลยว่าการกินกล้วยเป็นประจำจะช่วยป้องกันอาการผมร่วงในอนาคตได้ด้วย
       
       
       5. ส้ม
       
       ส้มผลไม้กลม ๆ อุดมไปด้วยวิตามินซี ที่ช่วยในการดูดซึมธาตุเหล็กและคอลลาเจน ซึ่งมีความสำคัญในการเจริญเติบโตของรากผม แถมยังบวกเพิ่มมาด้วยมีสารแอนตี้ออกซิแดนท์ ฟลาโวนอยด์ เบตาแคโรทีน แมกนีเซียม และไฟเบอร์ครบพร้อม กินส้มวันละ 1 ลูก จึงช่วยให้ผมมีสุขภาพแข็งแรง แถมได้ประโยชน์เรื่องผิวและสุขภาพพ่วงมาด้วย .. แต่ขอแนะนำว่ากินส้มสด ๆ จะดีกว่าน้ำส้มบรรจุกล่องนะครับ
       
       หากินง่ายได้ประโยชน์ขนาดนี้ หนุ่ม ๆ คนไหนไม่อยากให้เส้นผมโบกมือลาหนังศีรษะเร็วเกินไป อย่าลืมหมั่นหาผลไม้ทั้ง 5 ชนิดนี้มาสลับสับเปลี่ยนกินกันเป็นประจำนะครับ ไม่อย่างนั้นอาจหมดหล่อเร็ว จนสาว ๆ เข้าไม่เหลียวแลเอาได้นะครับ


 ASTVผู้จัดการออนไลน์    12 กุมภาพันธ์ 2557

63
ไข่ ความจริงที่ควรทราบ


1. ไข่ และนม จัดเป็นอาหารที่ทรงคุณค่าที่สุดสำหรับร่างกาย โดยเฉพาในวัยเด็กที่กำลังเติบโต

2. ไข่ไม่ใช่สาเหตุของภาวะไขมันในเลือดสูง

3. ไข่ไม่ได้ทำให้มีการอุดตันในหลอดเลือดเลี้ยงหัวใจ จริงๆ แล้วมันช่วยป้องกันเสียด้วยซ้ำ การศึกษาของมหาวิทยาลัยฮาร์วาร์ด ยืนยันว่าการบิโภคไข่เป็นประจำไม่มี
ความสัมพันธ์กับการเกิดโรคหัวใจ และกลับยังพบว่าผู้ที่บริโภคไข่อย่างสม่ำเสมอจะช่วยให้ห่างไกลจากโรคหลอดเลือดสมอง และโรคหัวใจเสียด้วยซ้ำ

4. ไข่จัดเป็นอาหารที่ให้พลังงานต่ำ ลำพังไข่ดิบหรือไข่ลวกขนาดใหญ่ (เบอร์ 0) ฟองเดียวจะให้พลังงานเพียง 70 แคลอรี่ น่าพิจารณาอย่างยิ่งสำหรับผู้ต้องการจำกัดคาลอรี่

5. โปรตีนในไข่มีปริมาณสูง หรือราวๆ 6.3 กรัมในไข่หนึ่งฟอง จัดเป็นอาหารที่ให้ไนโตรเจนสูง เหมาะอย่างยิ่งสำหรับคนฟื้นไข้ หลังผ่าตัด หลังประสบอุบัติเหตุ หรือหลังภาวะช็อกจากเสียน้ำและเลือด ความเชื่อที่ว่าไข่เป็นของแสลงสำหรับคนมีบาดแผลเป็นความเชื่อที่ผิดทั้งเพ

6. ไข่มีปริมาณของวิตามิน ดี ในฟอร์มธรรมชาติอยู่ 17.5 iu (ผู้ใหญ่วัยเกิน 40 ปี ควรได้วิตามิน ดีจากอาหารวันละ 400 iu) วิตามิน ดีนอกจากจะเป็นส่วนสำคัญในเมตาบอลิสมฺของแคลเซี่ยมและฟอสฟอรัส ซึ่งทำให้กระดูกแข็งแรงแล้ว ยังช่วยเสริมความแข็งแกร่งให้กับระบบภูมิต้านทานของร่างกาย ทำให้เป็นหวัดได้ยาก แลยังลดความเสี่ยงต่อมะเร็งแทบทุกชนิดโดยเฉพาะมะเร็งเต้านม โดยพบว่าสตรีที่รับประทานไข่สัปดาห์ละ 6 ฟองจะลดความเสี่ยงต่อมะเร็งเต้านมได้ถึงร้อยละ 44

7. ไข่หนึ่งฟองมีสาร โคลีน จำนวนถึงกว่า 120 มิลลิกรัม สารชนิดนี้มีส่วนสำคัญในการทำงานของสมอง ระบบประสาทระบบหลอดเลือด

8. ไข่ อุดมไปด้วยกรดอมิโน “เมททัยโอนีน” ซึ่งเป็นกรดอมโนที่มีซัลเฟอร์เป็นองค์ประกอบ จากการศึกษาวิจัยพบว่ากรดอมิโนชนิดนี้มีส่วนสำคัญในการทำลายอนุมูลอิสระ ต้นเหตุของความชรา โรคหัวใจ การแปรเปลี่ยนของ ดี.เอ็น.เอ. และมะเร็ง จึงไม่แปลกเลยที่ไข่จะช่วยชะลอความชราได้เป็นอย่างดี

9. ไข่ ช่วยป้องกันภาวะไขมันสะสมในตับ และภาวะจอประสาทตาเสื่อม นอกจากนั้นยังมีการศึกษาที่บอกว่าช่วยชะลอการเกิดต้อกระจก เพราะในไข่มีสารลูเตอิน กับ ซีแซนทิน ที่ช่วยป้องกันการการขุ่นของเลนส์ตา นี่เองคือเหตุผลที่ทำไมคนกินไข่ทุกวันจึงมีสายตาที่ดี เฉียบคม

10. ไข่ ช่วยให้ผม เล็บ แลผิวหนังมีสุขภาพดี

11. นอกจากนั้นไข่ยังอุดมไปด้วยสาร ทริปโตแฟน, ซีลิเนี่ยม, ไอโอดีน และวิตามิน บี2

12. ซีลิเนียมในไข่ เป็นสารธรรมชาติที่ช่วยปกป้องกล้ามเนื้อหัวใจ ทำให้กล้ามเนื้อหัวใจแข็งแรง ไม่เป็นโรคกล้ามเนื้อหัวใจพิการ หัวใจโต หรือหัวใจวายไปง่ายๆ

13. ไข่ ช่วยป้องกันโรคข้อเสื่อม และภาวะจิตใจที่ผิดปกติอีกด้วย


ไข่ฟองใหญ่ (เบอร์ 0) หนึ่งฟองมีสารอาหารอะไรบ้าง

ไข่ฟองใหญ่ (เบอร์ 0) หนึ่งฟองจะมีน้ำหนักประมาณ 50 กรัม
ประกอบไปด้วย ไขมัน 5 กรัม ซึ่งเป็น ไขมันอิ่มตัวเสียราวๆ 2 กรัม (ไขมันอิ่มตัวเชิงซ้อนเพียง 0.5 กรัม) และเป็นโคเลสเตอรอล 211 มิลลิกรัม ไม่มีไขมันทรานส์ เจ้าไขมันตัวร้ายเลยแม้แต่นิดเดียว

ที่น่าสนใจคือมีกรดไขมัน โอเมก้า 3 ถึง 37 มิลลิกรัม และโอเมก้า 6 อีก 574 มิลลิกรัม

มีโปรตีน 6.3 กรัม มากกว่าไขมันอีกเห็นไหม

ไม่มีคาร์โบฮัยเดรต

มี วิตามิน เอ 244 iu วิตามิน ดี 17.4 iu
วิตามิน อี 0.5 ไมโครกรัม วิตามิน เค 0.1 ไมโครกรัม
วิตามิน บี2 0.2 มิลลิกรัม วิตามิน บี6 0.1 มิลลิกรัม
เกลือโฟเลต 23.5 มิลลิกรัม โคลีน 126 มิลลิกรัม

เกลือแร่ในไข่ก็มากมายเช่นกัน คือมี
โซเดียม 70 มิลลิกรัม โปแตสเซี่ยม 67 มิลลิกรัม
แคลเซี่ยม 26.5 มิลลิกรัม แมกนีเซี่ยม 6 มิลลิกรัม
เหล็ก 0.9 มิลลิกรัม ทองแดง 0.1 มิลลิกรัม
สังกะสี 0.6 มิลลิกรัม ซีลิเนี่ยม 15.8 ไมโครกรัม
ฟอสฟอรัส 95.5 มิลลิกรัม ฟลูโอไรด์ 0.5 ไมโครกรัม

มีน้ำอยู่อีกประมาณ 37.9 กรัม


ส่วนพลังงานจากไข่ จะขึ้นกับกรรมวิธีที่นำมาปรุงอาหาร
ไข่ฟองใหญ่ (เบอร์ 0) หนึ่งฟอง
ถ้าเป็นไข่ดิบ ไข่ลวก หรือไข่ต้ม จะให้พลังงาน 70 แคลอรี่
ไข่กวน ใส่น้ำมันแต่น้อย จะให้พลังงาน 90 แคลอรี่
ไข่ดาวจะให้พลังงาน 100 แคลอรี่
ไข่เจียว จะให้พลังงานเกิน 200 แคลอรี่ โดยขึ้นกับปริมาณน้ำมันที่ใช้
แต่ถ้าเอามาทำเป็นแซนวิชไข่ใส่เบคอนแล้วละก็ เกิน 400 แคลอรี่แน่นอน

เห็นหรือยังว่า ลำพังไข่ล้วนๆ ไม่ได้ให้พลังงานมากมายอะไรเลย ไขมันก็ไม่ได้มีมากอย่างที่คิด แถมยังเป็นไขมันดีเสียส่วนใหญ่ ส่วนโคเลสเตอรอลก็ไม่ได้มีมากมายอะไร หนำซ้ำยังเป็นโคเลสเตอรอลที่เป็นส่วนประกอบของวิตามิน เอ, ดี, อี, เค เสียแทบทั้งนั้น
แล้วอย่างนี้จะไปโทษไข่ว่าทำให้อ้วน ทำให้ไขมันในเลือดสูงได้อย่างไร

64
ถ้าเอ่ยถึง "กาแฟขี้ชะมด" แล้วละก็วันนี้ คงไม่มีใครปฏิเสธได้ถึงชื่อเสียง ของกาแฟชนิดนี้ จุดเริ่มต้นที่มาของกาแฟขี้ชะมด มาจาก ประเทศอินโดนีเซีย แหล่งผลิตกาแฟโรบัสต้า แหล่งใหญ่ของโลก แต่สำหรับคนไทยแล้วละก็วันนี้ ไม่ว่าตลาดโลกต้องการอะไร คนไทย เราสามารถทำออกมาแข่งได้หมด วันนี้ ประเทศไทยเราก็มีแหล่งผลิตกาแฟขี้ชะมดออกมาจำหน่ายเช่นกัน

       วันนี้ ถ้าใครเดินทางไป จังหวัดชุมพร ของฝากที่ขึ้นชื่อ และติดไม้ติดมือมาฝากคนทางบ้าน หนึ่งในนั้น ก็ต้องเป็นกาแฟทูอินวัน หรือ เมล็ดกาแฟสด และชื่อเสียงที่โด่งดังของกาแฟชุมพร จึงได้เป็นที่มาของงาน คอฟฟี่เฟสติวัล ได้รวบรวมกาแฟขึ้นอยู่ของจังหวัดชุมพรมารวมไว้ที่งาน และหนึ่งในไฮไลท์ของงานนี้ ก็คือ กาแฟขี้ชะมด จากฟาร์ม ของ นายชินวัตร มนตรีประสาท เจ้าของฟาร์มกาแฟขี้ชะมด Goat หลังสวน จังหวัดชุมพร

กาแฟขี้ชะมด ในซองขนาด 100 กรัม ราคา2,000 บาท

       ก่อนอื่น แนะนำกาแฟขี้ชะมดให้รู้จักกันก่อน สำหรับคนที่ไม่ใช่คอกาแฟ กาแฟชนิดนี้มาจากไร่บนเกาะสุมาตรา โดยเริ่มต้นจากชาวไร่กาแฟจะเลี้ยงชะมดพันธุ์พื้นเมืองนี้ไว้ในไร่กาแฟและปล่อยให้มันกินผลของกาแฟสุกที่อยู่ในไร่ เมื่อชะมดถ่ายมูลของมันออกมาก็จะมีเมล็ดกาแฟติดออกมาด้วย

       ซึ่งที่มาของจุดเริ่มต้นจริง เกิดจากความบังเอิญ ที่ชาวอินโดนีเซียไปเดินป่าแล้วพบเห็น ขี้ชะมด มีกาแฟที่ไม่ถูกย่อย ยังคงเป็นรูปเมล็ดอยู่ จึงเกิดความเสียดายเอามาล้างและลองคั่วชงดื่มดู ปรากฏว่าได้รสชาติและกลิ่นที่หอมหวน แปลกใหม่ เข้มข้น แบบที่โรบัสต้าเดิมให้ไม่ได้ [จุดเด่นของกาแฟโรบัสต้า ขึ้นชื่อเรื่องความเข้มข้นของ Body แต่อ่อนเริ่องกลิ่นและรสชาติ] ต่อมาจึงเกิดการเพาะเลี้ยงชะมดในไร่กาแฟเป็นล่ำเป็นสันขึ้นเพื่อเพิ่มมูลค่าโรบัสต้า
       
       สำหรับคอกาแฟ การดื่มกาแฟขี้ชะมด ถือว่า ได้ลิ้มรสชาติกาแฟ ที่ถือว่าสุดยอดแล้วในขณะนี้ เพราะเป็นกาแฟที่ราคาแพงและหายากที่สุดในขณะนี้ ส่วนหนึ่งเป็นเพราะกระบวนการได้มาของกาแฟขี้ชะมด ที่ยุ่งยาก และซับซ้อนกว่า การปลูกกาแฟทั่วไป เพราะชะมดเป็นสัตว์ที่กินยาก และเลือกกินเฉพาะเมล็ดกาแฟที่สุกดีแล้วเท่านั้น

       และสาเหตุที่ทำให้กาแฟขี้ชะมด มีกลิ่นหอมและลักษณะเฉพาะตัว เพราะในขณะที่ผลกาแฟอยู่ในท้องของตัวชะมดนั้นเมล็ดจะผสมกับเอมไซม์และสารเคมีที่อยู่ในกระบวนการย่อยของมัน ผู้เชี่ยวชาญกาแฟบางรายระบุว่ากาแฟที่เก็บจากมูลชะมดทำได้ยากกว่าเก็บจากต้นจึงทำให้กาแฟชนิดนี้มีราคาสูง
       
       สำหรับฟาร์มกาแฟขี้ชะมด ของลุงชินวัตร เกิดขึ้นมาจากความบังเอิญ เดิมลุงเลี้ยงชะมดไว้คู่หนึ่ง และที่อาชีพหลักของลุง คือ การปลูกกาแฟจำหน่าย และลองนำกาแฟมาให้ชะมดกิน ทำแบบลองผิดลองถูก มีความรู้เรื่องของกาแฟขึ้ชะมดอยู่บ้าง ว่าที่ประเทศอินโดนีเซีย เขามีกาแฟขี้ชะมดที่ราคาแพงมาก

       โดยลุงชินวัตร บอกกับเรา ไม่ใช่เรื่องง่าย เพราะชะมดเป็นสัตว์กินยาก เราต้องรู้จักวิธี ที่ทำให้เขากินกาแฟได้มาก โดยต้องศึกษาการเลี้ยงแบบลองผิดลองถูก และหาวิธีทำอย่างให้ให้เขามีกระเพาะอาหารที่ใหญ่ ก่อน เพื่อที่จะได้กินเมล็ดกาแฟได้มาก เริ่มจากให้เขากินอาหารอย่างอื่นก่อน พอกระเพาะใหญ่ได้ที่ เราก็จะให้กินเมล็ดกาแฟอย่างเดียว ก็จะกินเมล็ดกาแฟได้มาก พอถ่ายออกมาก็จะได้เมล็ดกาแฟออกมาในปริมาณที่ต้องการ ปัจจุบัน เมล็ดกาแฟ 20-30 กิโลกรัม จะได้กาแฟขึ้ชะมด เพียง 3 กิโลกรัมเท่านั้น
       
       สำหรับฟาร์มกาแฟชะมดที่หลังสวนแห่งนี้ ปัจจุบันมีชะมดอยู่ประมาณ 70 ตัว ให้ปริมาณกาแฟขี้ชะมดตัวละ 5 กิโลกรัมต่อปี ปริมาณที่ได้ถือว่า น้อยมาก ไม่เพียงพอต่อความต้องการของตลาด ซึ่งปัจจุบันมีส่งจำหน่ายที่ แหล่งท่องเที่ยวในจังหวัดชุมพร หลักๆ ที่สวนเกษตรลุงดำ ราคาขายต่อกิโลกรัมประมาณ 20,000 บาท ราคาจะขึ้นอยู่กับการเก็บบ่มเมล็ดกาแฟด้วย ถ้าบ่มนานราคายิ่งแพง อย่างถ้าบ่มนานถึง 9 เดือน หรือ 1 ปี ราคาสูงไปถึงกิโลกรัมละ 1 แสนบาท ถ้าเก็บถึง 3 ปี กิโลกรัมละ 2 แสนบาท อย่างฟาร์มกาแฟชะมดของลุง .... เก็บตั้งแต่ 3 เดือนถึง 9 เดือน

       ส่วนราคาขายกาแฟหน้าร้านต่อแก้ว ช่วงนี้ เดิมราคาแก้วละ 499 บาท สำหรับกาแฟเย็น แต่ช่วงนี้ เป็นช่วงจัดรายการ ทางร้านลุง ลดราคาให้พิเศษ เหลือ แก้วละ 199 บาท ซึ่งถ้าเป็นคอกาแฟแล้วละก็ถือว่าไม่แพง มีลูกค้านักท่องเที่ยว เดินทางมาเที่ยวชุมพร ก็จะต้องแวะมากินกาแฟขึ้ชะมด วันหนึ่ง ร้านกาแฟ ที่สวนลุงดำ ขายได้วันละ 30-40 แก้ว ยอดขายต่อเดือนอยู่ในหลักพันแก้ว ตอนนี้กำลังการผลิตยังไม่เพียงพอ จึงไม่ได้มีการขยายตลาดมากนัก
       
       สำหรับในส่วนของขั้นตอนเหมือนการทำกาแฟชนิดอื่นๆ ด้วยการนำไปล้างเอามูลชะมดออกให้หมดจด และตากแดดให้แห้ง 7-8 แดด ก่อนนำไปบ่ม และขั้นตอนสุดท้ายคือนำไปคั่วเพื่อพร้อมที่จะนำส่งให้บรรดาร้านกาแฟต่อไป ลุงบอกกับเรา จริงๆ การทำกาแฟชะมดไม่ใช่เรื่องง่าย เพราะชะมดเป็นสัตว์ป่าการนำมาเลี้ยง ต้องใช้เวลาในการสร้างความคุ้นเคยกับธรรมชาติที่เรากำหนดให้ เพื่อจะได้ให้เขากินได้เยอะ วันหนึ่งต้องจ่ายค่าอาหารชะมดทั้ง 70 ตัวประมาณ 5,000 บาท ทุกวันนี้ กำไรในส่วนของกาแฟชะมดยังถือว่าได้ไม่มากนัก แต่รายได้หลักของเรามาจากกาแฟที่เราทำส่งให้กับทางเซเว่นอีเลฟเว่นมากกว่า
       
       โทร.08-1616-8992

เมล้ดกาแฟพันธุ์ โรบัสต้า สุกสีแดงอาหารของชะมด
       เก็บมาฝาก ปิดท้าย ด้วยข่าวขำ วงการกาแฟ
       กาแฟขี้ชะมดโดนล้มแช้มป์ โดย "กาแฟลิง"
       
       เมืองเกษตรกรรมอย่างไทยเรารู้จักใช้ประโยชน์จากมูลสัตว์โดยนำไปเป็นปุ๋ยบำรุงต้นไม้มานาน อีกทั้งรู้ว่าวัตถุดิบจากสัตว์บางชนิดสามารถนำไปเป็นส่วนประกอบของยารักษาโรคได้ ความมหัศจรรย์หนึ่งที่เกิดจากสัตว์แต่ไม่ได้ค้นพบในบ้านเรา ไปปรากฏที่อินโดนีเซีย คือขี้ชะมดนำไปทำกาแฟดื่มเรียกว่า กาแฟโกปิลูวัก (Kopi luwak) ก้าวขึ้นมาเป็นยอดกาแฟราคาแพงที่สุดในโลก แต่ล่าสุดกาแฟขี้ชะมดเสียแชมป์ด้านความอร่อยไปแล้วเมื่อนักชิมระดับโลกฟันธงว่ากาแฟขี้ชะมดรสชาติสู้ “กาแฟลิง” ไม่ได้
       
       ทิฟฟานี โซเปอร์ ประชาสัมพันธ์ของ 49th Parallel บริษัทจำหน่ายกาแฟชื่อดังแห่งแคนาดา เผยกับเหยี่ยวข่าว Vancouver Sun ว่ายอดกาแฟน้องใหม่มาแรงดังกล่าวชื่อ India Devon Estate 795 Arabica ปรุงจากเมล็ดกาแฟที่ลิงวอกในอินเดียบ้วนออกมา ลิงวอก (Rhesus Monkey) ชื่อวิทยาศาสตร์ Macaca mulatta พบในภาคเหนือของไทย ในจีน และอัฟกานิสถานด้วย โซเปอร์เล่าว่าชาวไร่กาแฟในอินเดียนำเมล็ดกาแฟที่ลิงบ้วนทิ้งมาปรุงดื่มนานแล้ว แต่นำมาผสมกับเมล็ดกาแฟเก็บจากต้น ก่อนจะทดลองรสชาติกาแฟลิงล้วนๆเมื่อไม่นานที่ผ่านมา และพบว่ารสชาติโดนใจกว่า
       
       ผู้เชี่ยวชาญเผยว่ากาแฟลิงกลิ่นหอมยวนใจ รสชาติกลมกล่อมปิดท้ายด้วยรสหวานฉ่ำลิ้น เป็นผลมาจากเมล็ดกาแฟที่ลิงเลือกไปกินเปลือกนอกและบ้วนส่วนที่เหลือออกมาเป็นเมล็ดที่สมบูรณ์และสุกเต็มที่ เว็บไซต์ Canada.com ระบุว่า ประธานคณะกรรมการตัดสินการปรุงกาแฟชิงแชมป์โลกเทคะแนนให้ India Devon Estate 795 Arabica ถึง 98 คะแนนจากคะแนนเต็ม 100 ส่วนกาแฟขี้ชะมดได้ 74 คะแนน ร้าน 49th Parallel ขายกาแฟลิงปรุงแบบ Espresso ที่สาขาในแวนคูเวอร์ ถ้วยละ 2.36 ดอลลาร์สหรัฐ (75.50 บาท)

ASTVผู้จัดการออนไลน์    7 ตุลาคม 2556

65
ไม่ใช่เรื่องไกลเกินฝันอีกต่อไปเมื่อทีมไทยคว้ารางวัล “อิกโนเบล” สาขาสาธารณสุข ประจำปี 2013 จากผลงานต่ออวัยวะเพศชาย ด้านงานวิจัย “ด้วงกุดจี่” เคลื่อนที่ตามการหมุนของทางช้างเผือกก็คว้ารางวัลในสาขาชีววิทยาและดาราศาสตร์
       
       ผลการประกาศรางวัลอิกโนเบล (Ig Nobel Prizes) ประจำปี 2013 ที่จัดขึ้นโดยนิตยสารรายปี "งานวิจัยที่ไม่น่าเป็นไปได้"* (Annals of Improbable Research) เมื่อคืนวันพฤหัสบดี วันที่ 12 ก.ย.2013 ตามเวลาท้องถิ่น ณ มหาวิทยาลัยฮาวาร์ด (Harvard University) สหรัฐฯ ปรากฏว่ามีรายชื่อคณะจากประเทศไทยได้รับรางวัลในสาขาสาธารณสุข จากผลงานการต่ออวัยวะเพศชาย
       
       คณะกรรมการได้มอบรางวัลจากรายงานทางด้านเทคนิคการแพทย์เกี่ยวกับการศัลยกรรมชั้นผิวหนังของอวัยวะเพศชายในประเทศไทย ซึ่งทีมแพทย์ที่ได้รับรางวัลรับรองว่าเทคนิคดังกล่าวให้ผลดี ยกเว้นกรณีที่อวัยวะเพศชายถูกเป็ดกินไปบางส่วน
       
       สำหรับรายชื่อทีมไทยที่ได้รับรางวัลในสาขานี้ ได้แก่ เกษียร ภังคานนท์, ตู้ ชัยวัฒนา**, ชุมพร พงษ์นุ่มกุล, อนันต์ ตัณมุขยกุล, ปิยะสกล สกลสัตยาทร, คริต โคมาราทาล** และ เฮนรี ไวลด์
       
       สาขาจิตวิทยา : มอบให้แก่การทดลองที่พบว่า คนที่คิดว่าตัวเองเมาจะคิดว่าตัวเองนั้นมีสเน่ห์ดึงดูดด้วย ซึ่งเป็นงานวิจัยที่นำโดย เลอเรนต์ เบก (Laurent Bègue) อูลมานน์ เซอร์ฮูนี (Oulmann Zerhouni) แบพติสต์ ซูบรา (Baptiste Subra) และ เมธี อูราบาห์ (Medhi Ourabah) จากฝรั่งเศส และ แบรด บุชแมน (Brad Bushman) ศาสตราจารย์จากมหาวิทยาลัยโอไฮโอสเตท (Ohio State University) สหรัฐฯ ซึ่งสอนที่เนเธอร์แลนด์ด้วย
       
       สาขาร่วมระหว่างชีววิทยาและดาราศาสตร์ : มอบให้แก่งานวิจัยที่แสดงให้เห็นว่าด้วงขี้ควายหรือกุดจี่ที่หลงทางนั้น สามารถหาทางกลับบ้านได้โดยใช้ทางช้างเผือกนำทาง ซึ่งวิจัยนี้เป็นของ มารี ดัคเก (Marie Dacke) เอมิลี เบียร์ด (Emily Baird) มาร์คัส ไบรน์ (Marcus Byrne) คลาร์ก สคอลต์ซ (Clarke Scholtz) และ อีริค วอร์แรนต์ (Eric Warrant) ทีมจากสวีเดน ออสเตรเลีย แอฟริกาใต้ สหราชอาณาจักร และ เยอรมนี
       
       สาขาการแพทย์ : เป็นการศึกษาการประเมินผลกระทบจากการฟังโอเปราที่มีต่อผู้ป่วยที่ได้รับการปลูกถ่ายหัวใจ ในกรณีนี้คือหนู ซึ่งรางวัลสาขานี้มอบให้แก่ มาซาเทรุ อูชิยามะ (Masateru Uchiyama) จิน เซียง หยวน (Xiangyuan Jin) โทชิฮิโตะ ฮิราอิ (Toshihito Hirai) อาสึชิ อามาโนะ (Atsushi Amano) ฮิซาชิ บาชุดะ (Hisashi Bashuda) และ มาซาโนริ นิอิมิ (Masanori Niimi) จากญี่ปุ่น จีนและสหราชอาณาจักร
       
       สาขาวิศวกรรมความปลอดภัย : มอบให้แก่ผลงานระบบกลศาสตร์ไฟฟ้าสำหรับจับกุมสลัดเครื่องบิน โดยการหยุดผู้ร้ายด้วยประตูดักจับ และผนึกไว้ในหีบห่อ จากนั้นปล่อยออกจากเครื่องบินพร้อมร่มชูชีพ ลงไปยังพื้นที่มีตำรวจรอรับอยู่ มอบให้แก่ กัสตาโน ปิซโซ (Gustano Pizzo) จากสหรัฐฯ ซึ่งเสียชีวิตไปเมื่อปี 2006
       
       สาขาฟิสิกส์ : มอบให้แก่การค้นพบว่าบางคนมีความสามารถทางกายภาพที่วิ่งบนพื้นผิวของสระน้ำได้ หากทั้งคนและสระน้ำอยู่บนดวงจันทร์ ซึ่งเป็นงานวิจัยของ อัลเบอร์โต มิเนตติ (Alberto Minetti) ยูริ อิวาเนนโก (Yuri Ivanenko) เจอร์มานา แคปเปลลินิ (Germana Cappellini) นาเดีย โดมินิซี (Nadia Dominici) และฟรานซิสโก แลคควินิตี (Francesco Lacquaniti) จากอิตาลี สหราชอาณาจักร สวิตเซอร์แลนด์ รัสเซีย และฝรั่งเศส
       
       สาขาเคมี : เป็นการค้นพบว่ากระบวนการทางชีวเคมีที่เกิดจากหัวหอมที่ทำให้คนเราร้องไห้นั้นมีความซับซ้อนมากกว่าที่นักวิทยาศาสตร์เคยเข้าใจ ผลงานวิจัยของ ชินซุเกะ อิมาอิ (Shinsuke Imai) โนบุอากิ สึเกะ (Nobuaki Tsuge) มูเนอากิ โทโมทาเกะ (Muneaki Tomotake) โยชิอากิ นากาโทเมะ (Yoshiaki Nagatome) โทชิยูกิ นากาตะ (Toshiyuki Nagata) และ ฮิเดฮิโกะ กุมกาอิ (Hidehiko Kumgai) จากญี่ปุ่น และเยอรมนี
       
       สาขาโบราณคดี : มอบให้แก่ 2 นักวิจัยที่นึ่งซากหนูผี (shrew) จากนั้นกลืนซากโดยไม่เคี้ยว เพื่อตรวจสิ่งที่พวกเขาขับถ่ายออกมาว่า กระดูกชิ้นไหนที่ถูกย่อยในระบบทางเดินอาหารของมนุษย์ได้บ้าง และชิ้นไหนที่ย่อยไม่ได้ ซึ่งเป็นผลงานของ ไบรอัน แคนดัลล์ (Brian Crandall) จากสหรัฐฯ และ ปีเตอร์ สตาห์ล (Peter Stahl) จากแคนาดาและสรัฐฯ
       
       สาขาสันติภาพ* : มอบให้แก่ชาวเบลารุสและประธานาธิบดีของประเทศนี้ ที่ทำให้การปรบมือในที่สาธารณะกลายเป็นเรื่องผิดกฎหมาย และแก่ตำรวจของรัฐในเบลารุส ที่จับกุมชายแขนข้างเดียวที่ปรบมือ
       
       สาขาความน่าจะเป็น : มอบให้แก่นักวิจัยที่ค้นพบว่า ยิ่งวัวเอนตัวลงนอนไปนานแล้วเท่าไหร่ อีกไม่นานก็จะยืนขึ้น แต่เมื่อวัวยืนขึ้นแล้ว ก็ยากที่จะคาดเดาว่าวัวจะล้มตัวลงนอนอีกเมื่อไหร่ รางวัลนี้มอบให้แก่ เบิร์ต โทลแกมป์ (Bert Tolkamp) มารี แฮสเกลล์ (Marie Haskell) ฟรีธา แลงฟอร์ด (Fritha Langford) เดวิด โรเบิร์ตส (David Roberts) และ โคลิน มอร์แกน (Colin Morgan) จากสหราชอาณาจักร เนเธอร์แลนด์ และ แคนาดา

ASTVผู้จัดการออนไลน์    13 กันยายน 2556

66
 ลุ้นประกาศผลรางวัลโนเบลประจำปี 2013 ประเดิมด้วยสาขาแพทย์เป็นรางวัลแรก โดย 2 อเมริกัน และ 1 เยอรมันคว้ารางวัลสาขาการแพทย์ไปครอง จากผลงานค้นพบกลไกนำส่งระดับเซลล์ที่แม่นยำ
       
       รางวัลโนเบล (Nobel Prize) ตั้งขึ้นโดย อัลเฟร็ด เบอร์นาร์ด โนเบล (Alfred Bernhard Nobel) นักเคมีชาวสวีเดนผู้สร้างนวัตกรรมระเบิดไดนาไมต์เพื่อใช้ในกิจการระเบิดเหมือง แต่กลับถูกนำไปใช้ในการเข่นฆ่าเพื่อนมนุษย์ โดยเขาได้ทิ้งมรดกคิดเป็นเงิน กว่า 8,300 ล้านบาท ในปัจจุบันเพื่อเป็นทุนสำหรับรางวัล และทุกปีจะประกาศรางวัลในช่วงต้นเดือน ต.ค.และมีพิธีพระราชทานรางวัล ณ สตอกโฮล์ม คอนเสิร์ตฮอลล์ สวีเดน ในวันที่ 10 ธ.ค.ซึ่งตรงกับวันครบรอบวันเสียชีวิตของเขา

       
การประกาศผลรางวัลประจำปี 2013
       (ตามเวลาประเทศไทย)
       ************************


(ซ้ายไปขวา) เจมส์ อี รอธแมน, แรนดี เชคมาน และ โทมัส ซูดอฟ ผู้ได้รับรางวัลโนเบลแพทย์ปี 2013
       1. สาขาสรีศาสตร์ หรือการแพทย์
       วันที่ 7 ต.ค.2013 เวลา 16.30 น.       
     
       ผู้ได้รับรางวัล : เจมส์ อี รอธแมน (James E. Rothman) ชาวอเมริกันจากมหาวิทยาลัยเยล (Yale University) สหรัฐฯ แรนดี เชคมาน (Randy Schekman) ชาวอเมริกันจากมหาวิทยาลัยแคลิฟอร์เนีย เบิร์กลีย์ (University of California, Berkeley) สหรัฐฯ และ โทมัส ซูดอฟ (Thomas Sudhof) ชาวเยอรมันจากมหาวิทยาลัยสแตนฟอร์ดในพาโลอัลโต (Stanford University, Palo Alto)
       
       “สำหรับการค้นพบของพวกเขา, รอธแมน, เชคมาน และซูดอฟ ได้เผยถึงระบบควบคุมที่แม่นยำอย่างยอดเยี่ยมในการขนส่งและนำส่งสิ่งของระดับเซลล์” คำแถลงของคณะกรรมการรางวัลโนเบลจากสมัชชาโนเบล ที่สถาบันแคโรลินสการะบุ
       
       ประกาศรางวัลโดย : โกรังค์ ฮานสัน (Göran K. Hansson) เลขาธิการคณะกรรมการรางวัลโนเบลสาขาสรีศาสตร์ หรือการแพทย์
       
       มอบรางวัลโดย : สมัชชาโนเบล ที่สถาบันแคโรลินสกา (The Nobel Assembly at the Karolinska Institute) สตอกโฮล์ม สวีเดน
         

       2.สาขาฟิสิกส์
       วันที่ 8 ต.ค.2013 เวลา 16.45 น.
       
       ผู้ได้รับรางวัล :
       
       ประกาศรางวัลโดย : สตัฟฟาน นอร์มาร์ก (Staffan Normark) เลขาธิการราชบัณฑิตสภาด้านวิทยาศาสตร์แห่งสวีเดน
       
       มอบรางวัลโดย : ราชบัณฑิตสภาด้านวิทยาศาสตร์แห่งสวีเดน (The Royal Swedish Academy of Sciences) สตอกโฮล์ม สวีเดน

       3.สาขาเคมี
       วันที่ 9 ต.ค.2013 เวลา 16.45 น.
       
       ผู้ได้รับรางวัล :
       
       ประกาศรางวัลโดย : สตัฟฟาน นอร์มาร์ก (Staffan Normark) เลขาธิการราชบัณฑิตสภาด้านวิทยาศาสตร์แห่งสวีเดน
       
       มอบรางวัลโดย : ราชบัณฑิตสภาด้านวิทยาศาสตร์แห่งสวีเดน (The Royal Swedish Academy of Sciences) สตอกโฮล์ม สวีเดน

       4. สาขาสันติภาพ
       วันที่ 11 ต.ค.2013 เวลา 16.00 น.       
       
       ผู้ได้รับรางวัล :
       
       ประกาศรางวัลโดย : ธอร์บียอร์น ยักลันด์ (Thorbjørn Jagland) ประธานคณะกรรมการโนเบลแห่งนอร์เวย์ (The Norwegian Nobel Committee)
       
       มอบรางวัลโดย : สถาบันโนเบลแห่งนอร์เวย์ (The Norwegian Nobel Institute) ออสโล นอร์เวย์

       5.สาขาเศรษฐศาสตร์
       วันที่ 14 ต.ค.2013 เวลา 18.00 น.       
         
       ผู้ได้รับรางวัล :
       
       ประกาศรางวัลโดย : สตัฟฟาน นอร์มาร์ก (Staffan Normark) เลขาธิการราชบัณฑิตสภาด้านวิทยาศาสตร์แห่งสวีเดน
       
       มอบรางวัลโดย : ราชบัณฑิตสภาด้านวิทยาศาสตร์แห่งสวีเดน (The Royal Swedish Academy of Sciences) สตอกโฮล์ม สวีเดน

       และ 6.สาขาวรรณกรรม
       10 ต.ค.2013 เวลา 17.00 น.
       
         
       ผู้ได้รับรางวัล :
       
       ประกาศรางวัลโดย : ปีเตอร์ เอ็งลุนด์ (Peter Englund) เลขาธิการสถาบันวิชาการสวีเดน
       
       มอบรางวัลโดย : สถาบันวิชาการสวีเดน (The Swedish Academy) สต็อล์คโฮม สวีเดน

       และประเดิมก่อนใครด้วยรางวัล “อิกโนเบล” (IgNobel) รางวัลสำหรับงานวิจัยที่ไม่ธรรมดาที่กระตุกต่อมฮาก่อนให้เราได้ขบคิด ซึ่งมอบรางวัลกันไปตั้งแต่วันที่ 12 ก.ย.2012 ซึ่งมีผลงานของทีมวิจัยไทยได้รับรางวัลในสาขาสาธารณสุขด้วย

ASTVผู้จัดการออนไลน์    7 ตุลาคม 2556

67
วันนี้ นึกถึงสิ่งที่อาจถูกมองข้ามในการดูแลพ่อแม่สูงอายุที่ป่วย (และอาจดื้อมาก) ได้เป็นข้อๆ เลยนำประสบการณ์มาแบ่งปันให้ได้ตระหนักกัน ดังนี้ครับ

๑. ไม่ว่าเราจะโตแค่ไหน มีความรู้เยอะเพียงใด อายุก็ยังห่างกับพ่อแม่เท่าเดิม

อย่าพยายามที่จะเปลี่ยนพฤติกรรมของท่าน ถึงแม้จะเป็นพฤติกรรมที่ไม่เป็นผลดีต่อโรคเลยก็ตาม เถียงกันไปเราจะเหนื่อยทั้งกายและปวดทั้งใจ

ให้ค่อยๆ แทรกซึมเข้าไปในชีวิตท่านอย่างเนียนๆ วันนึงที่พ่อแม่เห็นด้วยตัวเองว่า ทำแบบนี้แล้วสบายตัวขึ้น ท่านจะยอมทำเอง โดยไม่มีใครเสียฟอร์ม ไม่มีใครแพ้ ไม่มีใครชนะ

. . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . .

๒. ดูแลพ่อแม่อย่างลูกพึงดู ไม่ใช่อย่างแพทย์ ผู้รู้ นักวิชาการ สปอนเซอร์ หรือผู้ปกครอง

อย่าลืมว่าพ่อแม่ทุกคนต้องการความรัก ความอบอุ่น และความเคารพจากลูกมากกว่าอะไรทั้งหมด ถึงแม้บางท่านอาจจะแสดงออกในทางตรงกันข้ามก็ตาม

. . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . .

๓. ไม่มีใครอยากป่วย อยากเป็นคนป่วย อยากช่วยเหลือตัวเองไม่ได้ หรืออยากเป็นคนแก่ ที่สูญเสียความเคารพตัวเอง

อย่าลืมว่ามนุษย์ทุกคนมีศักดิ์ศรีของความเป็นมนุษย์ ข้อนี้คนเป็นลูกมักจะมองข้ามมากที่สุด

ไม่ว่าท่านจะป่วยหรือแก่ขนาดไหนก็ตาม ท่านมีสิทธิเต็มที่ ที่จะได้รับการปฏิบัติต่อด้วยความเคารพในเกียรติและศักดิ์ศรีนั้น

. . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . .

๔. อย่ายัดเยียดสิ่งที่เราเห็นว่า เหมาะที่สุดกับพ่อแม่ โดยท่านไม่เต็มใจ ถึงแม้มันจะเป็นสิ่งที่เลิศเหลือเกินในสายตาเรา หรือชาวโลกก็ตาม

หลายๆ คนบ่นให้ฟังว่า หาคนมาดูแลก็ไม่เอา ซื้อเตียงใหม่ให้ก็ไม่ชอบ ทำห้องให้ใหม่ก็ไม่ยอมอยู่ หมอที่เรารู้จักเก่งกว่าตั้งเยอะ ก็ไม่ยอมเปลี่ยนหมอ ฯลฯ

ขอให้ค่อยๆ เป็นค่อยๆ ไป เมื่อความไว้เนื้อเชื่อใจเกิดขึ้น ผู้ใหญ่จะรับความหวังดีจากเราด้วยความเต็มใจเอง

. . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . .

๕. การเปลี่ยนบทบาทจากผู้ถูกดูแล มาเป็นผู้ดูแล ทั้งทางกาย ทางใจ ทางการเงิน เป็นการเปลี่ยนผ่านที่อาศัยเวลาและความเข้มแข็งมหาศาล

อย่าโทษตัวเอง ถ้าพบว่ามันไม่ง่ายและท้อแท้ คิดถึงหัวใจที่ยิ่งใหญ่ของพ่อแม่ที่มีต่อเรา แล้วจะพบว่าหัวใจของลูกที่พร้อมจะทำทุกอย่างเพื่อตอบแทนท่าน ไม่ได้ยิ่งใหญ่น้อยไปกว่ากันเลย

. . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . .

๖. ถึงเวลาแล้ว ที่ต้องรู้เวลากิน นอน ขับถ่าย ความดันเลือด ชีพจร ปริมาณน้ำ อาหารและยา และการตอบสนองทั้งหมดต่อสิ่งเหล่านั้น
รวมทั้งเลขหมายโทรศัพท์โรงพยาบาล หมอ และบริการฉุกเฉิน เพราะภ่าวะฉุกเฉินเกิดขึ้นได้ทุกเมื่อ

ยิ่งข้อมูลพร้อมเท่าไหร่ การรักษาพยาบาลจะผิดทางน้อยลงเท่านั้น

. . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . .

๗. เป็นคนพาพ่อแม่ไปหาหมอทุกครั้ง

แรกๆ อาจได้รับการปฏิเสธไม่ให้ไปด้วย ให้พยายามแทรกซึมจนท่านชินที่มีเราไปอำนวยความสะดวก ที่สุดแล้วท่านจะรู้สึกชินกับความสบายนี้ และเปิดใจให้เราเป็นส่วนหนึ่งของการดูแลรักษา

. . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . .

๘. หากจะจ้างคนดูแล เราต้องแน่ใจที่สุด ว่าเรามีเวลาในการดูแลการทำงานของเขาอย่างใกล้ชิด

คนดูแลไม่ได้รู้อะไรมากไปกว่าเรา และไม่ได้มีใจรักพ่อแม่เราอย่างที่เรามีแน่นอน

. . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . .

๙. จัดหาทุกอย่างที่พ่อแม่เคยชอบเคยใช้ แม้ว่าจะไม่ค่อยได้ใช้แล้วก็ตาม
เช่น เสื้อผ้าที่นานๆ จะมีโอกาสใส่สักครั้งนึง

นอกจากท่านจะรู้สึกว่าเราเอาใจใส่แล้ว ท่านจะยังรู้สึกว่าตัวเองมีคุณค่า
ไม่มีอะไรเสื่อมถอยจนด้อยค่า ใช้ของดีๆ สวยๆ ไม่ได้แล้ว
คุณค่าทางใจแบบนี้ประมาณค่าไม่ได้เลย

. . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . .

๑๐. แบ่งหน้าที่กันกับพี่น้อง หรือคนในครอบครัวให้ชัดเจน
จะช่วยลดภาระทางกายและทางใจลงได้เยอะ
อย่างน้อยที่สุด ก็ลดความตึงเครียดในครอบครัว
รวมทั้งลดการดูแลซ้ำซ้อน เช่น การให้ยาซ้ำ อันอาจเป็นอันตรายได้

. . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . .

๑๑. คุยทิศทางการรักษา และการดูแล กับคนในครอบครัวให้ชัดเจนก่อนคุยกับหมอ

เมื่อหมอเสนอวิธีการรักษาอะไร อย่ากลัวที่จะถาม
อย่ากลัวที่จะขอเวลาหมอหาข้อมูลเพิ่มเติม
ความเห็นที่สอง (2nd opinion) ความเห็นที่สาม (3rd opinion) สำคัญเสมอ
อย่าหลับหูหลับตาเชื่ออะไรที่ไม่เข้าใจ

และก่อนตัดสินใจอะไรสำคัญๆ ทุกครั้ง อย่าลืมหาข้อมูลของแต่ละทิศทาง
และผลข้างเคียงประกอบการตัดสินใจด้วย

. . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . .

๑๒. ถ้าคุยกับคนในครอบครัวไม่รู้เรื่อง ญาติที่ไกลออกไปหน่อยที่มีความเป็นกลาง จะช่วยไกล่เกลี่ยได้ดีมาก

จำไว้เสมอว่าเราอาจเป็นคนที่คิดผิดเองก็ได้ และทิฏฐิมานะไม่เคยช่วยให้อะไรดีขึ้น

. . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . .

๑๓. เกิดอะไรผิดพลาด อย่ามัวแต่โทษตัวเองหรือปิดบังความจริง
ให้รีบแจ้งหมอ แจ้งครอบครัว และช่วยกันแก้ไขปัญหา
ทุกข้อมูลสำคัญกับการรักษาทั้งสิ้น

. . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . .

ขออนุโมทนากับลูกทุกคนที่มีโอกาสดูแลพ่อแม่
เมื่อเราทำเต็มที่ใจจะไม่รู้สึกขาดเลย ใจจะอิ่มจะเต็ม และเป็นพลังชีวิตที่ยิ่งใหญ่

พฺรหฺมาติ มาตาปิตโร ปุพฺพาจริยาติ วุจฺจเร
อาหุเนยฺย จ ปุตฺตานํ ปชาย อนุกมฺปกา

มารดา บิดา ท่านว่าเป็นพรหม เป็นบุรพาจารย์
เป็นที่นับถือของบุตร และเป็นผู้อนุเคราะห์บุตร
(พุทธภาษิตจาก อังคุตตรนิกาย ติกนิบาต พรหมสูตร ข้อ ๔๗๐)


เครดิต : พล.ต. สรานุวัตร ประดิษฐพงษ์

68
เรื่องดีๆๆ อ่านไว้เตือนภัยคนใกล้ตัวคะ!! นักศึกษาปริญญาโท นิติศาสตรมหาบัณฑิต คณะนิติศาลตร์ ภาควิชาอาชญวิทยา เก็บข้อมูลจากนักโทษข้อหาข่มขืนจากคุกบางขวางและลาดยาว จำนวน 100 คน

- 90% เลือกผู้หญิงผมยาว คือหางเปีย หางม้าปล่อยตามธรรมชาติ เพราะกระชากจากข้างหลังได้ง่าย

- 87% เลือกผู้หญิงที่สวมเสื้อผ้าถอดง่าย แต่หากพบผู้หญิงถูกใจแต่สวมเสื้อผ้าที่ต้องใช้เวลาถอดนาน เขาจะกลับมาดักรอเป็นครั้งที่สองพร้อมกรรไกรหรือคัตเตอร์

- 84% เลือกผู้หญิงที่เดินไปด้วยคุยโทรศัพท์ไปด้วย มือถือสามารถนำไปขายต่อได้ หรืออ่านการ์ตูน หรือหนังสืออื่นขณะเดินเพราะไม่ได้ระวังตัว

- 96% เลือกผู้หญิงที่เดินทางไปไหนมาไหนเวลากลางคืน เพราะผู้ชายส่วนใหญ่มีประสบการณ์ทางเพศครั้งแรกตอนกลางคืนโดยไม่คำนึงว่าต้องเป็นผู้หญิงสวยหรือหุ่นดี ขอให้มีเพียงอย่างใดอย่างหนึ่งก็พอ มีนักโทษบางขวางคนหนึ่งให้ข้อมูลว่าหากเวลานั้นเป็นเวลาที่เขาต้องการปลดปล่อยแล้วเขาไม่เลือกว่าจะเป็นผู้หญิงหรือผู้ชาย วัว ควาย

- 99% เลือกผู้หญิงที่เดินทางคนเดียว มีนักโทษบางขวางคนหนึ่งทำทีเป็นวินมอเตอร์ไซค์รับผู้หญิงคนที่ถูกใจจากกลุ่มเพื่อนของเธอที่เดินด้วยกันไปข่มขืน

- 80% สามารถข่มขืนได้ในการกระทำครั้งแรกโดยใช้อุปกรณ์ที่อยู่ในผู้หญิงนั่นเองเป็นอุปกรณ์ช่วยประกอบการกระทำผิด เช่น เข็มขัด ลูกกุญแจ กระจกส่องหน้า

- 70% เลิกล้มความตั้งใจหากผู้หญิงคนนั้นจ้องหน้าเขาแล้วเริ่มต้นสนทนาสั้นๆกับเขาก่อน ขณะที่เขาเข้าประชิดตัว เช่น โทษค่ะ กี่โมงแล้ว

หากใครมีเพื่อนพ้องน้องพี่ผู้หญิงโปรดแจ้งข้อมูลนี้ต่อด้วยคะ

CR:Tactical Shopaholic's photo

69
เพื่อนส่งมาให้ ขออนุญาตแชร์ต่อเพราะอยู่ USA พอดี นาทีนี้ต้องรู้ไว้บ้าง 8 คำถาม 8 คำตอบ

ผลกระทบและสาเหตุุการปิดทำการของรัฐบาลกลางสหรัฐฯ หลังจากรัฐสภาไม่ผ่านการพิจารณางบประมาณประจำปี

1. การปิดทำการจะมีผลต่อความสัมพันธ์ต่อสังคมสหรัฐอเมริกาและทั่วโลกหรือไม่

- งานบริการด้านกงสุล กงสุลสหรัฐ ในต่างประเทศ จะยังคงดำเนินงานตราบเท่าที่มีงบประมาณเพียงพอที่จะสนับสนุนในการทำงาน ตามคำสั่งของกระทรวงการต่างประเทศ ดังนั้นบริการ การขอวีซ่า และการทำหนังสือเดินทาง และ การให้บริการแก่ พลเมืองสหรัฐ ในต่างประเทศ จะดำเนินต่อไปเท่าที่สามารถทำได้

- นโยบายการทูต : การเดินทาง กระทรวงการต่างประเทศ จะถูก จำกัด ให้เฉพาะสำหรับภารกิจเท่าที่จำเป็น เช่นเพื่อความมั่นคงของชาติ หรือ การรับมือภัยพิบัติเหตุฉุกเฉิน ที่เกี่ยวข้องกับ ความปลอดภัยของชีวิตมนุษย์ หรือ การคุ้มครองทรัพย์สิน

- บริการด้านกรีนการ์ด : งานบริการด้านเกี่ยวกับพิจารณาให้สัญชาติสหรัฐ และการให้บริการตรวจคนเข้าเมือง จะยังคงดำเนินต่อ เพราะกระบวนการขอ บัตรเขียว หรือ การขอถิ่นที่อยู่ถาวรในสหรัฐ ได้รับงบประมาณส่วนใหญ่จาก ค่าธรรมเนียมการใช้บริการ มากกว่างบประมาณจากส่วนกลาง

- หน่วยงานด้านความมั่นคงแห่งมาตุภูมิ : ส่วนใหญ่ยังคงทำงานตามปกติ เพราะมีความจำเป็นต่อความมั่นคง ปลอดภัยโดยรวม เช่น หน่วยยามฝั่ง และ จนท.ภาษีศุลกากร และ หน่วนงานป้องกันชายแดน พนักงาน เจ้าหน้าที่ ตรวจคัดกรอง ที่สนามบิน แต่อาจจะเกิดความล่าช้าได้ในบางหน่วยงาน

- หน่าวยงานทางทหาร: ทหาร 1.4 ล้านนายที่อยู่ในระหว่างปฏิบัติหน้าที่และประจำการ จะยังคงทำหน้าที่ต่อไปแต่จะได้รับเงินภายหลัง ขณะที่ ครึ่้งหนึ่งของเจ้าหน้าที่ พนักงาน พลเรือนกระทรวงกลาโหม จำนวน 400,000 คน จะถูกพักงาน ขณะที่อีกครึ่งหนึ่งจะทำงานโดยไม่ได้รับเงิน

- การท่องเที่ยว: อุทยานแห่งชาติทั่วอเมริกาการวมทั้งเว็บไซต์จะปิดบริการชั่วคราว รวมไปถึงอนุสรณ์สถานแห่งชาติ และพิพิธภัณฑ์ ที่จะสูญเสียรายได้จากนับล้านค่าตั๋วเข้าชม นอกจากนี้ยังอาจส่งผลต่อ ชุมชนใกล้เคียงแหล่งท่องเที่ยวและธุรกิจที่พึ่งพาการท่องเที่ยว

2. ผลกระทบทางเศรษฐกิจที่อาจจะมีต่อสหรัฐอเมริกา และทั่วโลก ? -ถ้าปิดในเวลาไม่กี่วัน จะส่งผลต่อความลำบากทางการเงิน โดยเฉพาะพนักงานที่ถูกพักงานและไม่ได้รับค่าจ้าง -ถ้าปิดในเวลาไม่กี่สัปดาห์ที่ รายได้จากการท่องเที่ยว จะเริ่มได้รับผลกระทบ และผู้บริโภคและภาคธุรกิจ จะไตร่ตรองมากขึ้นในการใช้จ่าย - ถ้าปิดนานกว่านั้น จะส่งผลต่อการชำระหนี้ ของรัฐบาลกลาง ทำหน้าที่นักลงทุนต่างชาติ เริ่มต้องกังวลเกี่ยวกับ ความแข็งแกร่งของเศรษฐกิจสหรัฐ และอาจจะสูญเสีย ความเชื่อมั่น ศักยภาพในการใช้จ่าย การให้กู้ยืมเงิน และอัตราดอกเบี้ยจากผู้ให้กู้จากต่างประเทศอาจเพิ่มขึ้น นักลงทุนต่างชาติ ไม่มีความเชื่อมั่นการซื้อ พันธบัตร รัฐบาลสหรัฐ

3. ทำไมรัฐบาลสหรัฐ ต้องปิดทำการ? ตอบง่ายๆ ให้เห็นภาพ รัฐบาลก็เหมือน รถ ที่ต้องใช้น้ำมันเชื้อเพลิง นั่นก็คืองบประมาณในการบริหาร หากไม่มีน้ำมันรถก็แล่นไม่ได้ ขณะที่รัฐสภาเป็นเสมือนผู้รับผิดชอบในการเติมน้ำมันในทุกๆ ปีงบประมาณใหม่

4. เหตุที่ ฝ่ายนิติบัญญัติ ไม่สามารถตกลงกับฝ่ายบริหารได้ เพราะ? พรรคริพับลิกันซึ่งถือเสียงข้างมากในสภาผู้แทนฯไม่เห็นด้วยกับ กฏหมายการประกันสุขภาพ หรือ รู้จักกันในชื่อ Obamacare จึงปฏิเสธที่จะลงนามในการจัดสรรงบประมาณประจำปี ที่มีนโยบายดังกล่าว ขณะที่ สมาชิกวุฒิสภาซึ่งพรรคเดโมแครตถือเสียงข้างมาก ก็ปฏิเสธที่จะลงนามอนุมัติงบประมาณประจำปีที่มี กองทุน Obamacare รวมอยู่ด้วย

5. เคยเกิดเหตุการณ์แบบนี้มาก่อนหรือไม่ เกิดขึ้น 17ครั้ง ตั้งแต่ ค.ศ. 1977 จนถึงครั้งล่าสุดซึ่งเป็นเวลายาวนานที่สุด ถึง 21 วันนับจากวันที่ 16 ธันวาคม 1995 ถึง 5 มกราคม 1996

6. วิธีปิดทำงาน จะดำเนินการอย่างไร ในเวลานี้ ? หน่วยงานรัฐบาลกลาง จะมีการแจ้งให้ พนักงาน หรือเจ้าหน้าที่แต่ละคนว่า ว่าใคร คือ " จำเป็น " หรือ " ไม่จำเป็น " ที่จะต้องเข้ามาทำงานในสถานการณ์นี้ เจ้าหน้าที่รัฐที่เห็นว่ามีความ เห็นว่า จำเป็น จะยังคง ทำงานตามปกติ ส่วนคนอื่นที่เหลือจะถูกพักงาน ที่บ้าน โดยไม่ได้รับเงินเดือน ส่วนคนที่มาทำงานจะจ่ายให้ภายหลังหากมีการจัดสรรงบประมาณเรียบร้อยแล้ว

7. มีเจ้าหน้าที่รัฐบาลกลางกี่คนที่จะถูกพักงาน? ประมาณ 800,000 จากจำนวน 2.2 ล้านคนของเจ้าหน้าที่รัฐบาลกลางทั่วอเมริกาจะถูกพักงาน อยู่ที่บ้าน โดยไม่ได้รับเงินเดือน

8. ผู้ที่ถูกพักงานจะสามารถทำงานได้หรือไม่ ? สามารถทำได้ แต่ อาจจะมี ผลกระทบตามมา เพราะในแง่กฏหมายแล้วจะไม่สามารถทำได้ และอาจมีความผิดทางกฎหมาย ที่เจ้าหน้าที่ของรัฐบาลจะดำเนินการ ใด ๆ เกี่ยวกับงานในระหว่างการถูกปิดทำการ ซึ่งรวมไปถึง การตรวจอีเมลของที่ทำงานก็ไม่สามารถทำได้

น.พ.พรชัย พิญญพงษ์'s photo.

70
 วันนี้ (3-10-56) โรลส์-รอยส์ มอเตอร์ คาร์ส แบงคอก เปิดตัว โกสท์ อัลไพน์ ไทรอัล เซ็นเท็นเนรี่ ที่ผลิตเพียง 35 คันทั่วโลก และนำเข้ามาขายคันเดียวในประเทศไทย สนนราคา 28.5 ล้านบาท
       
       ฉัตรวิทัย ตันตราภรณ์ ผู้จัดการทั่วไปโรลส์-รอยซ์ มอเตอร์ คาร์ส แบงคอก กล่าวว่า อัลไพน์ เซ็นเท็นเนรี เป็นคอลเล็คชั่นพิเศษ ที่เป็นโมเดลอันทรงคุณค่าของโรลส์-รอยซ์ บริษัทฯมีความภาคภูมิใจอย่างยิ่งที่ได้โชว์โฉม อัลไพน์ ในกรุงเทพวันนี้ และเชื่อว่าจะตอบสนองต่อความต้องการของลูกค้าที่ต้องการสะสมรถ รุ่นลิมิเต็ดได้เป็นอย่างดี
       
       "ตำนานแห่งความภาคภูมิใจของโรลส์-รอยซ์ โดยยนตรกรรมรุ่นลิมิเต็ค อิดิชั่น จากโรลส์-รอยซ์ โกสท์มีการออกแบบที่สร้างขึ้นอย่างปราณีต ในแบบฉบับเดียวกันกับอัลไพน์ ไทรอัลในยุคปี 1913 โดยเฉดสีของตัวรถภายนอก คือตัวอย่างที่เห็นได้ชัดเจนว่าได้รับแรงบันดาลใจจากรุ่น ซิลเวอร์ โกสท์ ซึ่งเข้าร่วมการแข่งขันในรายการอัลไพน์ ไทนอัล ในปี 1913 และขับขี่โดย เจมส์ แรดเลย์ ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของทีมแข่งจากโรสล์-รอยซ์"
       
       กระจังหน้าและล้อเป็นสีดำ ซึ่งถือเป็นครั้งแรกที่กระจังทาสีได้ถูกนำมาตกแต่งในแบบร่วมสมัยกับยนตรกรรมของโรลส์-รอยซ์ ภายในตกแต่งอย่างปราณีตบอกเล่าเรื่องราวของอัลไพน์ ไทรอัล อาทิ นาฬิกาจับเวลาการแข่งขันแรลลี่ในแต่ละสเตจ ขณะที่โต๊ะปิกนิคด้านหลังแผงหน้าปัดด้านหน้าแสดงภูมิประเทศ และระยะทางของเส้นทางบนเทือกเขาอัลไพน์ แต่ละองค์ประกอบล้วนถูกรังสรรค์ด้วยงานช่างฝีมือ อย่างพิถีพิถัน พร้อมการวิจัยข้อมูลในทุกด้านเพื่อให้แน่ใจว่าถูกต้องตามมาตรฐานของแบรนด์ โรลส์-รอยซ์
       
       การรังสรรค์งานฝีมือของเส้นโค้ชไลน์อ้างอิงจากโรลส์-รอยซ์ ทั้ง 4 คัน ที่เข้าร่วมในการแข่งขันแรลลี่ ครั้งนั้น พร้อมสีที่เข้าคู่กับวัสดุบุหลังคารถของแรลลีย์ อันเป็นการแสดงถึงการให้เกียร์ติ อย่างดงามสมบูรณ์
       
       อนึ่งอัลไพน์ เซ็นเท็นเนรี่ คอลเลคชั่น ถือกำเนิดขึ้นภายใต้แรงบันดาลใจอันน่าทึ่งเมื่อ 100 ปี ที่ผ่านมา จากโรลส์-รอยซ์ ซิลเวอร์ โกสท์ 4 คัน ที่เข้าร่วมการแข่งขันแรลลี่ในรายการ ออสเตรียน อัลไพน์ ไทรอัล ซึ่งเป็นที่สุดแห่งบททดสอบในด้านความแกร่งของยานยนต์ได้เป็นอย่างดี     
       

       ปฎิบัติการบนเส้นทางที่ทุรกันดาร และยาวไกลกว่า 1,820 ไมล์ (ประมาณ 2,912 กิโลเมตร) ของทีมแข่งจากโรลส์-รอยซ์ และ เจมส์ แรดเลย์ ได้สร้างชื่อเสียง ความน่าเชื่อถือ และความเป็นเลิศอันหาที่เปรียบไม่ได้ในด้านวิศวกรรมยานยนต์ให้กับ โรลส์-รอยซ์ สู่ความภาคภูมิใจในวันนี้ ซิลเวอร์ โกสท์ จึงเป็นตำนานที่สร้างให้ โรลส์-รอยซ์ คือยนตรกรรมที่ดีที่สุดในโลก
       
       ฝ่ายพัฒนาผลิตภัณฑ์ บีสโป๊กของโรลส์-รอยซ์ ณ โรงงานกู๊ดวู๊ด ประเทศอังกฤษ จึงได้ฉลองตำนานแห่งความสำเร็จด้วยการเปิดตัว อัลไพน์ เซ็นเท็นเนรี่ คอลเล็คชั่น ที่มากับเครื่องยนต์ 6,600 ซีซี 564 แรงม้า กับราคา 28.5 ล้านบาท งานนี้เศรษฐีท่านใดสนใจ จะซื้อเก็บไว้เป็นคอลเล็คชั่นก็ไม่ว่ากัน


ASTVผู้จัดการออนไลน์    3 ตุลาคม 2556

71
มาสเตอร์การ์ดชี้การเติบโตของเศรษฐกิจในตลาดต่างๆ มีความสัมพันธ์อย่างใกล้ชิดกับการเปิดโอกาสให้ผู้หญิง ซึ่งมีจำนวนกว่าครึ่งของประชากรทั้งหมด นอกจากโอกาสทางการศึกษา จำเป็นอย่างยิ่งที่จะต้องสนับสนุนให้เกิดความเท่าเทียมและเพิ่มขีดความสามารถของผู้หญิง ย้ำปัจจัยต่างๆ ทางวัฒนธรรม หนุนให้อัตราการมีส่วนร่วมของสตรีในภาคแรงงานไทยอยู่ในระดับดีมาก เผย 4 ประเด็นน่าสนใจ
       
       การศึกษาเกี่ยวกับบทบาทของสตรีกับการมีส่วนร่วมในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจ ภายใต้หัวข้อ ‘พลังสตรีและการเติบโตทางเศรษฐกิจในเอเชีย’ (Women Power and Economic Growth in Asia) จากมาสเตอร์การ์ด เป็นการมุ่งวิเคราะห์เกี่ยวกับการมีส่วนร่วมของแรงงานสตรีในภูมิภาคเอเชียตะวันออก เอเชียตะวันออกเฉียงใต้ และเอเชียใต้ ที่มีความสำคัญต่อภาคเศรษฐกิจโดยรวม และเน้นไปที่ 17 ประเทศในเอเชีย โดยศึกษาถึงบทบาทของการศึกษาที่มีต่อการส่งเสริมผลิตภาพแรงงาน
       
       ดร. ยุวะ เฮ็ดริก-หว่อง ที่ปรึกษาด้านเศรษฐกิจโลก มาสเตอร์การ์ด เวิลด์วายด์ กล่าวว่า “การทำความเข้าใจถึงความสำคัญในการมีส่วนร่วมของสตรีในภาคแรงงาน เป็นเรื่องที่ต้องเร่งศึกษา เราพบว่า อายุเฉลี่ยของแรงงานในญี่ปุ่นและเกาหลีสูงขึ้นกว่าแต่ก่อนมาก ในขณะที่กัมพูชาและพม่าก็อยู่ระหว่างการปฏิรูปทางเศรษฐกิจเพื่อก้าวเข้าสู่เวทีเศรษฐกิจโลก ดังนั้น การเพิ่มจำนวนสตรีในภาคแรงงานในกลุ่มประเทศเหล่านี้ จึงน่าจะเป็นหนทางในการบรรลุถึงเป้าหมายในการพัฒนาเศรษฐกิจได้”
       
       จากการศึกษาเชิงสถิติเกี่ยวกับความสัมพันธ์ระหว่างวุฒิการศึกษากับอัตราการมีส่วนร่วมในภาคแรงงาน พบความสัมพันธ์เชิงบวกอย่างชัดเจนสำหรับผู้ที่เข้าเรียนในระดับชั้นมัธยมและผลิตภาพในการทำงานของลูกจ้างต่อคน ความสัมพันธ์นี้ ยังพบในผู้ที่เข้าเรียนระดับชั้นอุดมศึกษา แต่ไม่ชัดเจนนักเมื่อถึงระดับหนึ่ง ดูเหมือนกับว่าการศึกษาที่สูงขึ้น ไม่ได้มีส่วนช่วยให้สตรีมีส่วนร่วมในภาคแรงงานเพิ่มขึ้นแต่อย่างใด สิ่งเหล่านี้ทำให้เห็นว่า นอกจากการศึกษาแล้ว ยังมีปัจจัยอื่นๆ ที่ส่งผลกระทบต่ออัตราการมีส่วนร่วมในภาคแรงงานของสตรี ไม่ว่าจะเป็น พื้นฐานทางสังคมและวัฒนธรรม ความเชื่อ และนโยบายของภาครัฐ ยังเป็นสิ่งที่จะต้องศึกษาต่อไป

   
       สำหรับประเทศไทย พบว่าอัตราการมีส่วนร่วมของสตรีในภาคแรงงานอยู่ในระดับที่ดีมาก เนื่องจากการฝากดูแลดูบุตรหลานและผู้สูงอายุมีราคาไม่สูงนักและหาได้ง่าย อีกทั้ง ยังมีวัฒนธรรมแบบเครือญาติที่คนในครอบครัวพร้อมให้ความช่วยเหลือ รวมถึงการมีทัศนคติที่ดีต่อการจ้างงานสตรีในสถานที่ทำงาน
       
       ไซม่อน โอกุส ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร DSG Asia Limited ผู้จัดทำรายงานฉบับนี้ กล่าวว่า การสำรวจครั้งนี้พบว่า กลุ่มประเทศเอเชียตะวันออกและเอเชียใต้ ประสบความสำเร็จในการพัฒนาการศึกษาให้แก่บุคลากรในประเทศในช่วง 4 ทศวรรษที่ผ่านมา ส่งผลต่อการเพิ่มบุคลากรด้านแรงงานของประเทศในกลุ่มดังกล่าว ซึ่งถือเป็นข่าวดีสำหรับการสำรวจครั้งนี้
       
       อย่างไรก็ตาม เห็นได้ว่ากลุ่มสตรีที่มีการศึกษายังคงต้องใช้ความพยายามในการหาโอกาสทางการจ้างงานที่เหมาะสม ซึ่งอาจเกิดขึ้นจากหลายปัจจัย เช่น การขาดแคลนผู้ดูแลบุตรหลานและผู้สูงอายุ ซึ่งเป็นอุปสรรคทำให้สตรีไม่สามารถทำงานได้ หรืออาจเกิดจากขนบธรรมเนียมประเพณีและวัฒนธรรม ไม่ว่าด้วยเหตุผลใดก็ตาม รัฐบาลของแต่ละประเทศจึงควรมีส่วนร่วมสนับสนุนกำหนดนโยบายในการว่าจ้างสตรี เพื่อเปิดโอกาสให้สตรีที่มีการศึกษามีส่วนช่วยในการพัฒนาเศรษฐกิจของประเทศได้อีกทางหนึ่งด้วย

   
       4 ประเด็นที่น่าสนใจในตลาดเอเชีย
       
       • ประเทศญี่ปุ่นและประเทศอุตสาหกรรมเกิดใหม่ (ฮ่องกง เกาหลี สิงคโปร์ และไต้หวัน) - ประชากรสตรีในประเทศเหล่านี้ได้รับการศึกษาชั้นมัธยมศึกษาในระดับที่สูง แต่อัตราเฉลี่ยการมีส่วนร่วมในตลาดแรงงานมีประมาณร้อยละ 50 เท่านั้น แสดงให้เห็นว่ายังมีอีกหลายปัจจัยที่สามารถทำได้ เพื่อให้สตรีที่มีการศึกษาดังกล่าวได้สร้างประโยชน์ให้กับเศรษฐกิจเพิ่มขึ้น
       
       • เสือแห่งเอเชีย (จีน อินโดนีเซีย มาเลเซีย ฟิลิปปินส์ และไทย) - ดูเหมือนว่า ประเทศในกลุ่มนี้จะดำเนินรอยตามกลุ่มประเทศอุตสาหกรรมเกิดใหม่ ในด้านการได้รับการศึกษาที่ดีในช่วง 2 ศตวรรษที่ผ่านมา แต่ไม่พบว่าอัตราการมีส่วนร่วมต่อภาคอุตสาหกรรมมีมากเท่าที่ควร โดยมีอัตราการจ้างแรงงานสตรีเพียงร้อยละ 55 แต่สำหรับไทยและจีน ถือเป็นประเทศที่เปิดโอกาสให้สตรีมีส่วนร่วมในการทำงานสูงกว่าประเทศอื่นๆ
       
       • เอเชียใต้ (บังกลาเทศ อินเดีย ปากีสถาน และศรีลังกา) - หากไม่นับประเทศบังกลาเทศ อัตราการมีส่วนร่วมทางแรงงานในกลุ่มนี้ถือว่าอยู่ในระดับต่ำที่สุดในทวีปเอเชีย ค่าเฉลี่ยของการมีส่วนร่วมของสตรีในกลุ่มประเทศนี้ อยู่ที่ระดับต่ำกว่าร้อยละ 40 ในขณะที่กลุ่มประเทศเหล่านี้มีการผลักดันด้านการศึกษาทั้งในระดับมัธยมและอุดมศึกษาในช่วง 2 ทศวรรษที่ผ่านมา แต่ยังพบความจำเป็นในการเพิ่มการสนับสนุนการมีส่วนร่วมของสตรีในภาคแรงงานให้มากขึ้น
       
       • ตลาดเกิดใหม่ในอาเซียน (กัมพูชา พม่า และเวียดนาม) - เมื่อดูจากระดับการศึกษาและการจ้างงานสตรีของประเทศในกลุ่มนี้แล้ว ถือว่ามีการพัฒนาในทางที่ดี ผู้หญิงได้รับการศึกษาระดับชั้นประถม ในขณะที่อัตราการเข้าเรียนระดับมัธยมก็เพิ่มขึ้นเรื่อยๆ ซึ่งสิ่งนี้จะส่งผลดีต่อการเติบโตของตลาดแรงงานในอนาคต โดยเฉพาะอย่างยิ่งหากมีการออกกฎหมายแรงงานที่เอื้อต่อผู้ว่าจ้างและนักลงทุน รวมทั้ง การยกระดับโครงสร้างพื้นฐานของประเทศ


ASTVผู้จัดการออนไลน์    2 ตุลาคม 2556

72
 จวกนโยบายรถคันแรก ถล่มธุรกิจหนังสือ 30,000 ล้านบาท ร่วง 20% ต่ำสุดตั้งแต่ดำเนินการมา ชี้โครงการกรุงเทพฯ เมืองหนังสือโลก 2013 ไม่ช่วยอะไร ภาครัฐสนับสนุนน้อย คาดงานมหกรรมหนังสือระดับชาติครั้งที่ 18 ยอดขายต่ำกว่าปีที่ผ่านมา
       
       นายจรัญ หอมเทียนทอง นายกสมาคมผู้จัดพิมพ์และผู้จัดจำหน่ายหนังสือแห่งประเทศไทย(PUBAT) เปิดเผยว่า จากภาพรวมเศรษฐกิจที่ถดถอย ทำให้กำลังซื้อลดลง ส่งผลให้ 9 เดือนที่ผ่านมาร้านหนังสือทั่วประเทศมียอดขายลดลงกว่า 20% ส่วนสำคัญมองว่ามาจากนโยบายรถคันแรก ที่ทำให้ผู้บริโภคต้องกันเงินไว้ผ่อนรถในแต่ละเดือน ทำให้ไม่พร้อมที่จะใช้จ่ายในการซื้อหนังสือ
       
       โดยในส่วนของสำนักพิมพ์ต่างๆ มีการปรับตัวมากขึ้น ไม่ว่าจะเป็นหันมาขายหนังสือเอง พิมพ์ขายแบบออนดีมานด์มากขึ้น สร้างกลุ่มผู้อ่านโดยตรง ใช้โซเชียลเน็ตเวิร์กเป็นช่องทางการขายใหม่ๆ และเลือกสรรผลงานที่มีคุณภาพออกวางจำหน่ายมากขึ้น ส่วนอีบุ๊กมีแนวโน้มลดลง ขณะที่ภาพรวมการปิดตัวของสำนักพิมพ์ในปีนี้ยังมีอยู่บ้างแต่เป็นไปในอัตราปกติของแต่ละปี ไม่ได้ลดลงรุนแรงแต่อย่างไร
       
       ทั้งนี้ ใน 3 เดือนสุดท้าย เชื่อว่าตลาดหนังสือจะไม่ตกลงไปมากกว่านี้ และอาจจะมีแนวโน้มเติบโตขึ้นเล็กน้อย เพราะเป็นช่วงเทศกาลซื้อของฝาก บวกกับการจัดงานมหกรรมหนังสือแห่งชาติครั้งที่ 18 จะเป็นอีกส่วนหนึ่งที่จะช่วยกระตุ้นตลาดหนังสือในปลายปีนี้ได้ แต่ถึงสิ้นปีนี้มองว่าภาพรวมตลาดหนังสือมูลค่า 20,000-30,000 ล้านบาท น่าจะลดลงจากปีก่อน 10-20% ต่ำสุดตั้งแต่ดำเนินการมา
       
       “โดยปกติธุรกิจหนังสือจะได้รับผลกระืทบจากสภาวะเศรษฐกิจเป็นลำดับสุดท้าย หรืออาจจะไม่ได้รับผลกระทบเลย เห็นได้จากปีที่ฟองสบู่แตกหรือในปี 2550 ตลาดหนังสือยังไปได้อยู่ แต่กลุ่มสินค้าอุปโภคบริโภคได้รับผลกระทบเป็นลำดับต้นๆ ส่วนในปีนี้ถือเป็นปีที่ธุรกิจหนังสือได้รับผลกระทบสูงสุด ส่วนสำคัญมาจากนโยบายรถคันแรกที่เพิ่มเข้ามาจากปัจัยเศรษฐกิจถดถอย ทำให้ผู้บริโภคไม่พร้อมใช้จ่ายอย่างที่ผ่านมา ถึงแม้ว่าปีนี้ประเทศไทยจะมีการจัดงานกรุงเทพฯ เมืองหนังสือโลก 2013 ด้วยก็ตาม แต่โครงการดังกล่าวไม่ได้ช่วยให้ภาพรวมตลาดเติบโตขึ้น เหตุเพราะนักการเมือง ภาครัฐ และผู้ที่เกี่ยวข้องกล่าวถึงเรื่องนี้น้อยมาก”
       
       อย่างไรก็ตาม ปีนี้ทางสมาคมฯ ยังพร้อมจัดงาน มหกรรมหนังสือระดับชาติ ครั้งที่ 18 ขึ้น ระหว่างวันที่ 16-27 ต.ค. 2556 ณ ศูนย์การประชุมแห่งชาติสิริกิติ์ โดยมีสำนักพิมพ์เข้าร่วมกว่า 450 สำนักพิมพ์ จำนวนพื้นที่กว่า 900 บูท ซึ่งปีนี้จะเน้นสร้างจุดขายและจัดกิจกรรมสัมมนาและนิทรรศการมากกว่าทุกปี ด้วยงบประมาณกว่า 4 ล้านบาท เพื่อต้องการดึงดูดคนให้เข้ามาร่วมงาน ขณะที่ภาพรวมยอดขายในปีนี้มองว่าอาจจะต่ำกว่าครั้งก่อน สาเหตุหลักมาจากกำลังซื้อที่หดตัวลง
       
       แต่ทั้งนี้ในภาพรวมของการขายลิขสิทธิ์หนังสือไปตลาดต่างประเทศ มีแนวโน้มเติบโตดีขึ้นจากปีก่อนถึง 40% ซึ่งตลาดใหญ่คือ เอเชีย ส่วนหนังสือที่ขายลิขสิทธิ์ได้ คือ หนังสือสร้างแรงบันดาลใจ การ์ตูน เป็นต้น

ASTVผู้จัดการออนไลน์    3 ตุลาคม 2556

73
หากคิดว่าธุรกิจของไปรษณีย์ไทย (ปณท.) จำกัด อยู่ที่การส่งจดหมายและขายแสตมป์ ถึงวันนี้ ไปรษณีย์ไทย (ปณท.) ได้ขยายการส่งตั้งแต่ลิ้นจี่ ลำไย แหนมเนือง ขนมไหว้พระจันทร์ ไปจนถึงน้ำยาล้างไต ตู้เย็น มอเตอร์ไซค์ ยันสกายแล็ป

นอกจากพันธกิจ “การส่ง” ณ ที่ทำการไปรษณีย์ไทยยังมีบริการรับชำระบิล ฝาก-โอนเงิน เติมเงินมือถือ ขายตั๋วรถทัวร์ ขายบัตรละครเวที ฯลฯ กระทั่งรับเช่าพระก็ทำมาแล้ว และในวันที่ 1 พ.ย. ศกนี้ ปณท.ยังจะมีบริการขายประกันเพิ่มด้วย

นี่อาจเป็นเพียงบางส่วนของการปรับตัวตลอด 10 ปี หลังแปรสภาพและแยกตัวจาก “การสื่อสารแห่งประเทศไทย” มาเป็น “บริษัท ไปรษณีย์ไทย จำกัด” เมื่อวันที่ 14 สิงหาคม 2546

กิจการไปรษณีย์ไทยเป็นหน่วยงานรัฐที่ถือกำเนิดในสมัยรัชกาลที่ 5 ถึงวันนี้ก็มีอายุกว่า 130 ปี แต่ด้วยความเจริญของเทคโนโลยีสื่อสารที่คุกคามการดำรงอยู่ของกิจการฯ รูปแบบเดิม ซึ่งทำให้บริการโทรเลขต้องเลิกไป ถึงแม้วันนี้ จดหมาย ธนาณัติ และไปรษณียบัตร จะยังไม่สูญหาย แต่ก็ลดลงอย่างมาก นี่จึงเป็นเหตุให้ ปณท.ต้องเร่งปรับตัว

มีเรื่องเล่าต่อกันมาว่า จุดเปลี่ยนจากธุรกิจเดิมของ ปณท. เริ่มต้นในยุคที่ “จตุคามรามเทพ” เฟื่องฟูสุดขีด การผันตัวมาเป็นผู้นำส่งเหรียญจตุคามฯ ช่วยสร้างรายได้เป็นกอบเป็นกำ ทำให้ ปณท. เริ่มคิดจะผันตัวเองเป็น “ผู้เชี่ยวชาญด้านการส่ง” โดยมีหลักการคือ “ส่งทุกอย่าง”

หลักการดังกล่าวนำพา ปณท. ก้าวมาถึงปีที่ 10 ด้วยผลงานที่น่าภูมิใจ ด้วยรายได้รวมกว่า 1.82 หมื่นล้านบาท และกำไรสุทธิ 1.13 พันล้านบาท สูงสุดในรอบ 10 ปี และยังทำให้โครงสร้างรายได้ของ ปณท. เปลี่ยนแปลงไป

จากปี 2547 ที่รายได้จากตลาดสื่อสาร (ส่งจดหมาย ไปรษณียบัตร ของตีพิมพ์ และจดหมายลงทะเบียน) สูงกว่า 60% ลดเหลือ 48% ในปีที่ผ่านมา โดยกลุ่มที่ขยับความสำคัญขึ้นมาคือ ธุรกิจขนส่ง (ส่งสิ่งของหรือสินค้าที่เป็นหีบห่อ) ซึ่งเพิ่มจากกว่า 20% มาเป็น 40%

นอกจากธุรกิจการส่ง ปณท. ยังมีธุรกิจค้าปลีก ได้แก่ การขายแสตมป์สะสมและของที่ระลึก และธุรกิจการเงิน ได้แก่  ธนาณัติ ตั๋วแลกเงิน Bill Payment เติมเงินมือถือ รับฝาก-โอนเงิน ฯลฯ ล่าสุดคือ ขายประกัน

หลังได้รับใบอนุญาตนายหน้าประกันภัยนิติบุคคลทั้งประกันชีวิตและประกันวินาศภัยสำหรับรายย่อย ปณท. ได้ร่วมกับ 5 บริษัทประกันภัย ได้แก่ ทิพยประกันภัย ไทยซัมซุงประกันชีวิ, วิริยะประกันภัย อาคเนย์ประกันชีวิต และสยามซิตี้ประกันภัย ในการขาย “ไมโครอินชัวรันส์” ที่เบี้ยประกันไม่เกิน 1 พันบาทต่อปี และมีเงื่อนไขไม่ซับซ้อน

“จุดแข็งของ ปณท. คือความเป็นเครือข่ายที่ครอบคลุม มีที่ทำการไปรษณีย์ทั้งของ ปณท. เองและของเอกชนราว 4 พันแห่ง มีพนักงานกว่า 2.4 หมื่นคน สามารถเข้าถึง 20 ล้านครัวเรือน เข้าถึง “รากหญ้า” มากที่สุด ปณท. มองว่าการใช้เครือข่ายให้เกิดประโยชน์จะช่วยสร้างโอกาสเติบโตในตลาดการเงินได้ ซึ่งนี่คงเป็นแหล่งรายได้ใหม่ ที่ทดแทนรายได้จาก Bill Payment ที่หายไป” อานุสรา จิตต์มิตรภาพ กรรมการผู้จัดการใหญ่แห่ง ปณท. กล่าว

ก่อนนี้ ตลาดการเงินของ ปณท.ไปได้ดีมาก โดยเฉพาะบริการรับชำระ (Bill Payment) เพราะเก็บค่าธรรมเนียม 10 บาท ถูกกว่า “เคาน์เตอร์เซอร์วิส” ที่เก็บ 15 บาท แต่ทันทีที่เทสโก้ฯ และบิ๊กซี เข้าสู่ตลาดด้วยค่าธรรมเนียมเพียง 5 บาท รายได้ของ ปณท. จากบริการตรงนี้ก็ดิ่งลง

“การแข่งขันในธุรกิจการเงินรุนแรงมาก อย่างธนาณัติ วันนี้ก็ขายได้แต่คนแก่ เพราะคนส่วนใหญ่ใช้เอทีเอ็มกันหมด ไม่เกิน 10 ปี ธนาณัติก็คงต้องหยุด ตั๋วแลกเงินเอง สิ้นปีนี้ก็ไม่ขายแล้ว วันนี้ ปณท. ถึงต้องหารายได้ทางอื่นเข้ามาแทนที่” สมชาย ธรรมเวช ผู้จัดการฝ่ายตลาดการเงินและค้าปลีก กล่าว

สำหรับเป้ารายรับค่าธรรมเนียมการขายประกันในปีแรก สมชายตั้งไว้ที่ 100 ล้านบาท โดย “ไมโครอินชัวรันส์” จะถือเป็นการชิมลางตลาดนี้ ก่อนที่ ปณท. จะพัฒนาไปสู่ธุรกิจนายหน้าประกันเต็มรูปแบบในราว 2 ปีข้างหน้า
         
แน่นอนว่าคู่แข่งอย่างร้าน 7-11 ก็เปิดขายไมโครอินชัวรันส์แล้ว แต่นำหน้ากว่าด้วยการร่วมมือกับ “เมืองไทยประกันชีวิต” เปิดช่องทางรับค่าสินไหมฯ ที่ยอดไม่เกิน 1 หมื่นบาท ผ่านเคาน์เตอร์เซอร์วิสได้เลย นอกจากนี้ยังมีเทสโก้ฯ และเซ็นทรัล ที่เตรียมลงมาขายประกันรายย่อยเช่นกัน

ขณะที่ช่องทางใหม่ในตลาดการเงินดูจะไม่ง่าย การสร้างช่องทางเพิ่มรายได้ในอีก 3 กลุ่มธุรกิจก็ดูเป็นเรื่องน่าจะ “เหนื่อยเอาการ”
 
ในธุรกิจสื่อสาร นอกจากการเป็นพันธมิตรกับหน่วยงานและองค์กรธุรกิจในการส่งเอกสารและใบแจ้งหนี้ให้แล้ว ปณท. ยังรุกสู่ตลาดไดเร็กต์เมล์ โดยชูจุดแข็งความ “เข้าถึง” ชุมชนทั่วประเทศ และ “รู้จริง” ว่าบ้านไหน ชุมชนไหน น่าจะเป็นกลุ่มเป้าหมายของโบรชัวร์นั้น

ส่วนธุรกิจขนส่งซึ่งทวีความสำคัญอย่างยิ่งต่อ ปณท. ทั้งในปัจจุบันและอนาคต แต่เพราะมี “ผู้เล่น” มากราย ตั้งแต่ยักษ์ใหญ่ขนส่งข้ามชาติ จนถึงบริษัทรถทัวร์ที่มีบริการรับส่งสินค้า ปณท. จึงต้องงัดกลยุทธ์มาสู้แบบไม่ยั้ง

อาทิ บริการขนส่งสินค้าทุกอย่าง ทั้งสินค้าเกษตร สินค้าอุตสาหกรรม ถึงสินค้าเฉพาะด้าน อย่างสินค้าการแพทย์ บริการ “ตัวกลาง” วางระบบขนส่งสินค้าสำหรับกลุ่มเอสเอ็มอี โอทอป อี-คอมเมิร์ช และขายตรง บริการขนส่งสินค้าและอุปกรณ์สำหรับบูธงานแสดงสินค้า บริการส่งอาหารแคมเปญ “อร่อยทั่วไทย” และ “ของดีเยาวราช” ที่เป็นการคัดสรรอาหารขึ้นชื่อของชุมชนโดยคน ปณท. บริการส่งด่วนข้ามจังหวัดภายใน 1 วัน (Super EMS) โดยร่วมกับแอร์เอเชียเพื่อเพิ่มมูลค่าบริการ EMS เดิม ซึ่งเบื้องต้นเปิดให้บริการเฉพาะเขตเมืองเชียงใหม่ ภูเก็ต และหาดใหญ่

ขณะเดียวกัน ยังเตรียมจับมือกับแอร์เอเชียในการส่งสินค้าไทยไปยังตลาดอาเซียน โดยปัจจุบัน ปณท. ได้เริ่มนำร่องบริการไปรษณีย์กับธนาณัติระหว่างประเทศในกัมพูชาและลาวแล้ว

และเพื่อให้ธุรกิจขนส่งแข็งแกร่งยิ่งขึ้น ปณท. เตรียมจัดตั้งบริษัท “ไปรษณีย์ ดิสทริบิวชั่น” ด้วยงบ 500 ล้านบาท สำหรับการสร้างศูนย์กระจายสินค้าเพิ่มเติมจากปัจจุบันที่มีอยู่เพียง 10 ศูนย์ทั่วประเทศ
 
สำหรับตลาดค้าปลีก แม้จะไร้คู่แข่งแต่ก็หาได้ซื้อง่ายขายคล่อง ที่ผ่านมา ปณท. ต้องงัดหลาก “ไอเดีย” มาใช้สร้างแบบแสตมป์ โดย “ไม้ตาย” คือ แสตมป์เหตุการณ์ เช่น แสตมป์สายัณห์ แสตมป์เทศกาล เช่น ตรุษจีน แสตมป์มงคล เช่น ชุดเบญจภาคี และแสตมป์ครบรอบหน่วยงานหรือความสัมพันธ์ เป็นต้น

นอกจากนี้ ยังใช้ “แสตมป์โลโก” เจาะกลุ่มองค์กรธุรกิจในการผลิตแสตมป์โลโกของบริษัทห้างร้านสำหรับการใช้งานขององค์กรนั้น และ “แสตมป์ส่วนตัว” สำหรับการใช้งานของบุคคลทั่วไป

ล่าสุด เพื่อเพิ่มช่องทางรายได้ ปณท. ยังเปิดให้เช่าพื้นที่ “อาคารไปรษณีย์กลาง” โดยให้ “อิมแพ็ค” บริหารให้เป็นเวลา 5 ปี ด้วยราคาขายพื้นที่ที่สูงกว่าอิมแพ็ค เจาะตลาดงานประชุม สัมมนา แสดงสินค้า อีเว้นต์ กาลาดินเนอร์ และงานแต่งงาน โดยชูจุดขายที่ตั้งเขตบางรักและความโรแมนติกของอาคาร ซึ่งงานแต่งของปีเตอร์ คอร์ป ไดเรนดัล เป็นงานแต่งแรกของที่นี่

“อาจมองว่า วันนี้ ปณท. ขายอะไรเยอะ ทำอะไรแยะไปหมด ก็เพราะเราต้องหาอะไรมารองรับ ถ้าเราหยุดนิ่ง ถ้าวันนี้เรายังส่งแต่จดหมาย วันนี้คงได้ทำข่าวปิดกิจการไปรษณีย์แทนข่าวที่เราจะเป็นนายหน้าประกัน” สมชายทิ้งท้าย

ความพยายามดิ้นรนต่อสู้ในทุกทางของ ปณท. ช่วยพลิกสถานการณ์ “ขาดทุน” เมื่อกว่า 10 ก่อน มาเป็น “กำไร” ในวันนี้ ภาพเช่นนี้ดูจะตรงกันข้ามกับรัฐวิสาหกิจเพื่อนบ้าน อย่าง “ทีโอที” ที่ไม่ยอมปรับตัว จนต้องตกอยู่ในสภาพ “ขาดทุน” มาโดยตลอด และกำลังประสบภาวะ “อยู่ลำบาก” เฉกเช่นวันนี้

ผู้จัดการ360ํ
Submitted by Supattha Sukchoo on Mon,

74
นาซายืนยันยานอวกาศ "วอยเอเจอร์ 1" เป็นสิ่งประดิษยฐ์ชิ้นแรกของมนุษย์ที่หลุดพ้นระบบสุริยะไปแล้ว หลังจากถูกส่องออกไปท่องอวกาศตั้งแต่ปี 1977
       
       องค์การบริหารการบินอวกาศสหรัฐ (นาซา) ยืนยันยานวอยเอเจอร์ 1 (Voyager-1) ได้เคลื่อนออกจากฟองก๊าซร้อนของดวงอาทิตย์ ออกไปสู่อวกาศภายนอกระบบสุริยะแล้ว และกลายเป็นสิ่งประดิษย์ชิ้นแรกของมนุษย์ที่หลุดพ้นระบบสุริยะ
       
       วอยเอเจอร์ 1 ถูกปล่อยออกจากโลกเมื่อ 5 ก.ย.1977 ไม่กี่วันหลังจากแฝดผู้น้อง วอยเอเขอร์ 2 (Voyager-2) ทะยานฟ้าขึ้นไปก่อน ทั้งคู่มีภารกิจหลักในการสำรวจดาวเคราะห์วงนอกระบบสุริยะ คือ ดาวพฤหัสบดี ดาวเสาร์ ยูเรนัส และเนปจูน แต่หลังจบภารกิจเมื่อปี 1989 ทั้งคู่ก็ยังปฏิบัติภารกิจอย่างต่อเนื่อง
       
       ตอนนี้ยานอวกาศรุ่นบุกเบิกของนาซาอยู่ไกลจากโลกเกือบ 1.9 หมื่นล้านกิโลเมตร ซึ่งที่ระยะไกลขนาดนั้น ทำให้วอยเอเจอร์ต้องใช้เวลาถึง 17 ชั่วโมงเพื่อส่งสัญญาณวิทยุกลับมาบนโลก
       
       "นี่เป็นเหตุการณ์สำคัญอย่างยิ่งที่เราได้คาดหวังมาตลอดว่าเราจะมาถึง นับแต่เราเริ่มโครงการนี้เมื่อกว่า 40 ปีก่อน ที่เราอยากจะส่งยานอวกาศออกไปยังอวกาศข้างนอก" ศ.เอ็ด สโตน (Prof.Ed Stone) หัวหน้าทีมวิทยาศาสตร์ในภารกิจผจญภัยทางอวกาศนี้กล่าว
       
       ศ.สโตนเผยแก่บีบีซีนิวส์ว่า ในทางวิทยาศาสตร์แล้วเป็นเหตุการณ์สำคัญอย่างยิ่ง และยังมีแง่ประวัติศาสตร์ และการเดินทางของยานอวกาศครั้งนี้ก็เหมือนกับเหตุการณ์เดินทางรอบโลกได้เป็นครั้งแรกในอดีต หรือเหตุการณ์ฝากรอยเท้าบนดวงจันทร์เป็นครั้งแรก
       
       "นี่เป็นครั้งแรกที่เราเริ่มต้นสำรวจอวกาศระหว่างดวงดาว*" ศ.สโตนให้ความเห็นแก่บีบีซีนิวส์

ASTVผู้จัดการออนไลน์    13 กันยายน 2556

75
แม้ดวงจันทร์จะเป็นเพื่อนบ้านในอวกาศของโลกที่อยู่ใกล้เราที่สุด แต่มีหลายเรื่องของบริวารดวงนี้ที่เราอาจไม่เคยรู้ และสเปซด็อทคอมได้รวบรวมไว้ 10 เรื่อง ดังนี้

       1.กำเนิดจากการชน
       ตามทฤษฎีที่ยอมรับกันส่วนใหญ่ ดวงจันทร์เกิดจากหินอวกาศขนาดเท่าดาวอังคารพุ่งชนโลก หลังระบบสุริยะก่อตัวได้ไม่นาน เมื่อประมาณ 4.5 ล้านปีก่อน

       2.ล็อคด้านเดียวเข้าหาโลก
       การที่ดวงจันทร์ทั้งหมุนรอบตัวเองและโคจรรอบโลกที่หมุนรอบตัวเองแล้วโคจรไปรอบดวงอาทิตย์ โดยที่หันด้านเดียวเข้าหาโลกนั้นเป็นเรื่องอัศจรรย์ โดยข้อมูลจากสเปซด็อทคอมระบุว่า แรงโน้มถ่วงโลกทำให้การหมุนรอบแกนหมุนของดวงจันทร์ช้าลง และการหมุนของดวงจันทร์ก็ช้าจนพอดีกับการโคจรรอบโลกและคงที่อยู่เช่นนั้น ซึ่งดวงจันทร์ของดาวเคราะห์อื่นๆ ก็มีรูปแบบคล้ายๆ กัน
       
       เมื่อดวงจันทร์หมุนรอบโลกจะมีช่วงที่รับแสงสว่างจากดวงอาทิตย์มองไม่เห็นจากบนโลก เรียกระยะดังกล่าวว่า “เดือนมืด” (new moon) ดังนั้น จึงไม่มี “ด้านมืดของดวงจันทร์” แต่มีเพียงด้านที่เราไม่เคยได้เห็นเท่านั้น และเมื่อดวงจันทร์หมุนไปตามวงโคจรเราจะได้เห็นเสี้ยวของด้านที่สะท้อนแสงอาทิตย์ด้วยหรือที่เรียกว่า “จันทร์เสี้ยว” และเมื่อดวงจันทร์อยู่ตรงข้ามกับดวงอาทิตย์เราก็จะได้เห็นดวงจันทร์สะท้อนแสงอาทิตย์เต็มๆ หรือที่เรียกว่า “พระจันทร์เต็มดวง”

       3.ต้นไม้จากดวงจันทร์
       มีต้นไม้กว่า 400 ต้นที่เคยไปไกลถึงดวงจันทร์ก่อนหยั่งรากบนโลก โดยเมื่อปี 1971 สจ็วต รูสา (Stuart Roosa) มนุษย์อวกาศประจำปฏิบัติการอพอลโล 14 (Apollo 14) ขององค์การบริหารการบินอวกาศสหรัฐฯ (นาซา) ได้นำเมล็ดพันธุ์ติดต่อขึ้นไปด้วย ระหว่างที่ อลัน เชพเพิร์ด (Alan Shepard) และ เอ็ดการ์ มิทเชลล์ (Edgar Mitchell) กับยุ่งอยู่กับการสำรวจไปบนพื้นผิวดวงจันทร์นั้น รูสาก็ทำหน้าที่ปกป้องเมล็ดพันธุ์อยู่ในวงโคจรรอบดวงจันทร์
       
       หลังจากกลับมายังโลกเมล็ดพันธุ์เหล่านั้นก็ถูกปลูกไปทั่วสหรัฐฯ และเจริญงอกงามดี ซึ่งส่วนใหญ่ยังเติบโตดีและถูกเรียกว่า “ต้นดวงจันทร์”

       4.ดวงจันทร์อาจมีน้องสาว
       ดวงจันทร์อาจไม่ใช่บริวารเพียงดวงเดียวของโลก โดยเมื่อปี 1999 นักวิทยาศาสตร์ได้พบอุกกาบาตขนาด 5 กิโลเมตร ที่ถูกจับไว้ด้วยแรงโน้มถ่วงโลก เมื่อเป็นเช่นนั้นอุกกาบาตดังกล่าวซึ่งถูกเรียกว่า “ครูธเน” (Cruithne) จึงกลายเป็นบริวารของโลกไปโดยปริยาย น้องสาวของดวงจันทร์ดวงนี้ใช้เวลา 770 ปีโคจรรอบโลกเป็นรูปเกือกม้า ซึ่งนักวิทยาศาสตร์ระบุว่าอุกกาบาตลูกนี้จะอยู่ในอิทธิพลของแรงโน้มถ่วงโลกไปอย่างน้อย 5,000 ปี

       5.ผ่านไปหลายล้านปีพื้นผิวก็ไม่เปลี่ยนแปลง
       มีหลุมอุกกาบาตลึกขนาดใหญ่บนดวงจันทร์ ซึ่งเป็นผลจากการถูกหินอุกกาบาตพุ่งชนอย่างรุนแรงเมื่อระหว่าง 4.1-3.8 พันล้านปีก่อนหน้านี้ ซึ่งร่องรอยความรุนแรงดังกล่าวไม่สึกกร่อนเป็นเพราะ 2 เหตุผลหลัก คือ ดวงจันทร์ไม่มีความเคลื่อนไหวทางธรณีวิทยามากเหมือนโลก ไม่ว่าภูเขาไฟหรือภูเขาก็ไม่ทำลายภูมิทัศน์เหมือนอย่างบนโลก และอีกเหตุผลคือดวงจันทร์แทบจะไม่มีชั้นบรรยากาศ ดังนั้น การสึกกร่อนจึงเกิดขึ้นเพียงเล็กน้อย

       6.ดวงจันทร์ไม่กลม
       รูปร่างของดวงจันทร์คล้ายรูปร่างของไข่มากกว่า และศูนย์กลางมวลของดวงจันทร์ไม่ได้อยู่ตรงศูนย์กลางตามรูปทรงเรขาคณิต แต่อยู่ห่างจากศูนย์กลางรูปทรงเรขาคณิตดังกล่าวออกมา 2 กิโลเมตร

       7.“มูนเควก” ดวงจันทร์ไหว
       มนุษย์อวกาศในโครงการอพอลโลได้ใช้เครื่องมือวัดการสั่นสะเทือนบนดวงจันทร์ และพบว่าดวงจันทร์เทาๆ นี้ยังไม่ได้ตายด้าน แต่ยังยังมีการสั่นสะเทือนเบาๆ ที่มีต้นกำเนิดแรงสั่นสะเทือนอยู่ลึกใต้พื้นผิวลงไปหลายกิโลเมตร ซึ่งเชื่อว่าการสั่นสะเทือนนั้นเป็นผลพวงจากแรงดึงของแรงโน้มถ่วงโลก บางครั้งมีรอยแยกบนพื้นผิวและมีก๊าซเล็ดลอดออกมา
       
       นักวิทยาศาสตร์เชื่อว่าบางทีดวงจันทร์อาจจะมีแกนกลางที่ร้อนจัดหรืออาจจะหลอมเหลวด้วยบางส่วน เหมือนแกนกลางของโลก แต่ข้อมูลจากยานอวกาศลูนาร์โพรสเปคเตอร์ (Lunar Prospector) ของนาซาได้เผยให้เห็นตั้งแต่ปี 1999 ว่า แกนกลางของดวงจันทร์นั้นเล็กมาก อาจมีมวลอยุ่เพียง 2-4% ของมวลทั้งหมด ซึ่งเล็กมากเมื่อเทียบกับโลกที่มีแกนเป็นเหล็กและมีมวลถึง 30% ของมวลทั้งหมด

       8.ดวงจันทร์อาจจะเป็นดาวเคราะห์?
       ดวงจันทร์ของเราใหญ่กว่าพลูโต และมีเส้นผ่านศูนย์กลางยาวๆ 1 ใน 4 ของเส้นผ่านศูนย์กลางโลก นักวิทยาศาสตร์บางส่วนเชื่อว่า ดวงจันทร์น่าจะเป็นดาวเคราะห์มากกว่า และเรียกระบบโลกกับดวงจันทร์ว่า “ดาวเคราะห์คู่” (double planet) ซึ่งพลูโตและชารอน (Charon) ซึ่งเป็นดวงจันทร์ก็ถูกเรียนกว่า “ระบบดาวเคราะห์คู่” จากนักวิทยาศาสตร์บางส่วนด้วย

       9.กระตุกน้ำขึ้น-น้ำลง
       เป็นที่ทราบดีว่าปรากฏการณ์น้ำขึ้น-น้ำลงบนโลกนั้นได้รับอิทธิพลส่วนใหญ่จากดวงจันทร์ ขณะที่ดวงอาทิตย์มีอิทธิพลต่อน้ำขึ้นน้ำลงเพียงเล็กน้อย โดยแรงดึงดูดของดวงจันทร์จะดึงน้ำในมหาสมุทร โดยน้ำขึ้นจะเกิดขึ้นเมื่อโลกเรียงอยู่ในระดับใต้ดวงจันทร์ และอีกกรณีคือด้านของโลกที่ไปไม่ได้หันเข้าหาดวงจันทร์จะเกิดน้ำขึ้น เพราะแรงดึงดูดดึงโลกเข้าหาดวงจันทร์มากกว่าดึงน้ำ และเมื่อพระจันทร์เต็มดวงกับคืนเดือนมืด ดวงอาทิตย์ โลกและดวงจันทร์จะเรียงเป็นแวเดียวกัน ทำให้เกิดน้ำขึ้นสูงกว่าปกติ
       
       นอกจากนี้แรงดึงจากดวงจันทร์ยังทำให้โลกหมุนช้าลง เนื่องจากพลังงานการหมุนของโลกถูกดวงจันทร์ดึงไป ทำให้โลกของเราช้าลงประมาณ 1.5 มิลลิวินาทีทุกๆ 100 ปี

       10.เตรียมบอกลาดวงจันทร์
       ดวงจันทร์กำลังเคลื่อนออกห่างจากโลกไปเรื่อยๆ ในทุกปีดวงจันทร์ขโมยพลังงานจากโลก และใช้ในการขับดันตัวเองให้วงโคจรถ่างออกไป 3.8 เซ็นติเมตร ซึ่งนักวิจัยเผยว่า เมื่อดวงจันทร์เริ่มก่อกำเนิดนั้นอยู่ห่างจากโลกเพียง 22,530 กิโลเมตร แต่ตอนนี้ดวงจันทร์อยู่ห่างออกไป 450,000 แล้ว

ASTVผู้จัดการออนไลน์    25 กันยายน 2556

หน้า: 1 ... 3 4 [5] 6 7 ... 12