บันทึกสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกา
เรื่อง การเบิกค่ารักษาพยาบาลตามพระราชกฤษฎีกาว่าด้วยเงินสวัสดิการเกี่ยวกับ
การรักษาพยาบาล กรณีการกำหนดอัตราค่าบริการสาธารณสุขและการกำหนดขั้นตอนในการควบคุมการใช้ยานอกบัญชียาหลักแห่งชาติ
กรมบัญชีกลางได้มีหนังสือ ด่วนที่สุด ที่ กค ๐๔๑๗/๐๗๗๑๗ ลงวันที่ ๓๐ มีนาคม ๒๕๕๐ ถึงสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกา ความว่า สืบเนื่องจากปัจจุบันการเบิกจ่ายค่ารักษาพยาบาลให้แก่ข้าราชการ ลูกจ้างประจำ ผู้รับเบี้ยหวัด/บำนาญ รวมถึงบุคคลในครอบครัว ซึ่งเป็นผู้มีสิทธิตามพระราชกฤษฎีกาเงินสวัสดิการเกี่ยวกับการรักษาพยาบาล พ.ศ. ๒๕๒๓ และที่แก้ไขเพิ่มเติมในระบบการเบิกจ่ายเงินตามบริการที่สถานพยาบาลเรียกเก็บ (Fee for service) มีอัตราสูงขึ้นทุกปี ดังนั้น เพื่อให้การใช้จ่ายเงินของแผ่นดินในการดำเนินการด้านสวัสดิการรักษาพยาบาลเป็นไปโดยถูกต้อง มีวินัย คุ้มค่า โปร่งใส และสามารถตรวจสอบ ควบคุมได้ กรมบัญชีกลางโดยได้รับมอบอำนาจจากกระทรวงการคลัง จึงได้มีการดำเนินการดังนี้
๑. จัดทำอัตราการเบิกจ่ายค่ารักษาพยาบาล โดยกำหนดอัตราค่าบริการสาธารณสุขเพื่อใช้สำหรับการเบิกจ่ายค่ารักษาพยาบาลในสถานพยาบาลของทางราชการ และประกาศใช้ตั้งแต่วันที่ ๑ ธันวาคม ๒๕๔๙
๒. ควบคุมการใช้ยานอกบัญชียาหลักแห่งชาติ โดย
๒.๑ ได้พัฒนาระบบและแนวทางการตรวจสอบ ในการอนุมัติการใช้ยารักษาโรคมะเร็งที่มีราคาสูงก่อนการเบิกจ่าย (Pre authorization) ให้ครอบคลุมทั้งการบริการ รักษาพยาบาลผู้ป่วยภายนอกและผู้ป่วยภายใน ในผู้ป่วยโรคมะเร็งลำไส้ใหญ่ มะเร็งปอด มะเร็ง เม็ดเลือดขาวชนิดเรื้อรัง มะเร็งต่อมน้ำเหลือง มะเร็งลำไส้ชนิด Gastrointestinal stromal tumor และ/หรือ มะเร็งเต้านม
๒.๒ กำหนดแนวทางการใช้ยานอกบัญชียาหลักแห่งชาติ ซึ่งจะประกาศบัญชีรายการยาที่ให้เบิกจ่ายได้พร้อมกำหนดเงื่อนไขการเบิกจ่ายไว้ และยานอกบัญชียาหลักแห่งชาติประเภทใดที่กระทรวงการคลังมิได้ประกาศ หรือมีการใช้ยานอกบัญชียาหลักแห่งชาติที่ไม่เป็นไปตามเงื่อนไข ห้ามนำมาเบิกจ่ายในสิทธิสวัสดิการรักษาพยาบาลข้าราชการ โดยขณะนี้ได้มีการแต่งตั้งคณะทำงานขึ้นเพื่อดำเนินการแล้ว
กรมบัญชีกลางเห็นว่า การดำเนินการในด้านต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นการปฏิรูประบบสวัสดิการรักษาพยาบาลของข้าราชการ และการพัฒนาระบบสวัสดิการรักษาพยาบาลข้าราชการซึ่งเป็นการดำเนินการต่อเนื่อง แม้ว่าวัตถุประสงค์หนึ่งในหลายประการ คือ การควบคุมค่าใช้จ่าย แต่ต้องอยู่ภายใต้หลักการว่า ต้องไม่เป็นการลิดรอนสิทธิที่ได้รับอยู่เดิม นอกจากนี้ต้องอยู่ในขอบเขตของพระราชกฤษฎีกาเงินสวัสดิการเกี่ยวกับการรักษาพยาบาล พ.ศ. ๒๕๒๓ และที่แก้ไขเพิ่มเติมที่สามารถดำเนินการได้ด้วย ดังนั้น เพื่อให้เกิดความชัดเจนในประเด็นข้อกฎหมาย จึงขอหารือดังนี้
๑. การดำเนินการจัดทำอัตราค่าบริการสาธารณสุขเพื่อใช้สำหรับการเบิกจ่ายค่ารักษาพยาบาลดังกล่าวข้างต้นตามข้อ ๑ ได้อาศัยกรอบอำนาจตามพระราชกฤษฎีกาเงินสวัสดิการเกี่ยวกับการรักษาพยาบาล (ฉบับที่ ๘) พ.ศ. ๒๕๔๕ มาตรา ๑๑ (๑) ซึ่งบัญญัติว่า การจ่ายเงินสวัสดิการเกี่ยวกับการรักษาพยาบาลอย่างอื่นซึ่งมิใช่เป็นการตรวจสุขภาพประจำปีให้เป็นไปตามหลักเกณฑ์และอัตรา ดังนี้
(๑) ผู้ที่เข้ารับการรักษาพยาบาลจากสถานพยาบาลของทางราชการทั้งประเภทผู้ป่วยภายนอกหรือผู้ป่วยภายในให้เบิกค่ารักษาพยาบาลได้เต็มจำนวนที่ได้จ่ายไปจริง ทั้งนี้ กระทรวงการคลังอาจกำหนดอัตราให้เบิกได้ต่ำกว่าจำนวนที่ได้จ่ายไปจริงก็ได้ ซึ่งพิจารณาประกอบกับนิยามตามมาตรา ๔ ที่บัญญัติว่า ค่ารักษาพยาบาล หมายความว่า เงินที่สถานพยาบาลเรียกเก็บในการรักษาพยาบาล ดังนี้
(๑) ค่ายา ค่าเลือดและส่วนประกอบของเลือดหรือสารทดแทน ค่าน้ำยา หรืออาหารทางเส้นเลือด ค่าออกซิเจน และอื่นๆ ทำนองเดียวกันที่ใช้ในการบำบัดรักษาโรค
(๒) ค่าอวัยวะเทียมและอุปกรณ์ในการบำบัดรักษาโรค รวมทั้งค่าซ่อมแซม
(๓) ค่าบริการทางการแพทย์ ค่าตรวจ ค่าวิเคราะห์โรค แต่ไม่รวมถึงค่าจ้างผู้พยาบาลพิเศษ ค่าธรรมเนียมพิเศษ และค่าบริการอื่นทำนองเดียวกันที่มีลักษณะเป็นเงินตอบแทนพิเศษ
(๔) ค่าห้องและค่าอาหารตลอดเวลาที่เข้ารับการรักษาพยาบาล
(๕) ค่าตรวจสุขภาพประจำปี
กรณีการดำเนินการดังกล่าวอยู่ในขอบเขตของพระราชกฤษฎีกาเงินสวัสดิการเกี่ยวกับการรักษาพยาบาล (ฉบับที่ ๘) พ.ศ. ๒๕๔๕ ที่สามารถดำเนินการได้หรือไม่ อย่างไร
๒. พระราชกฤษฎีกาเงินสวัสดิการเกี่ยวกับการรักษาพยาบาล พ.ศ. ๒๕๒๓ และ ที่แก้ไขเพิ่มเติมมาตรา ๔ บัญญัติว่า ค่ารักษาพยาบาล หมายความว่า เงินที่สถานพยาบาลเรียกเก็บในการรักษาพยาบาลดังนี้
(๑) ค่ายา ค่าเลือดและส่วนประกอบของเลือดหรือสารทดแทน ค่าน้ำยา หรืออาหารทางเส้นเลือด ค่าออกซิเจน และอื่นๆ ทำนองเดียวกันที่ใช้ในการบำบัดรักษาโรค
ฯลฯ ฯลฯ
กรณีการพัฒนาระบบและแนวทางการตรวจสอบในการอนุมัติการใช้ยารักษาโรคมะเร็งที่มีราคาสูงก่อนการเบิกจ่าย รวมทั้งการกำหนดแนวทางการใช้ยานอกบัญชียาหลักแห่งชาติดังกล่าวข้างต้นตามข้อ ๒ ซึ่งเป็นการกำหนดขั้นตอนในการควบคุมการใช้ยานอกบัญชียาหลักแห่งชาติ จะสอดคล้องกับนิยามของคำว่า ค่ารักษาพยาบาล หรือไม่ อย่างไร