My Community
หมวดหมู่ทั่วไป => ข่าวสมาพันธ์ => ข้อความที่เริ่มโดย: story ที่ 22 มิถุนายน 2012, 00:45:19
-
(http://i1015.photobucket.com/albums/af274/tigerns2505/9999.png)
บันทึกสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกา
เรื่อง การเบิกค่ารักษาพยาบาลตามพระราชกฤษฎีกาว่าด้วยเงินสวัสดิการเกี่ยวกับ
การรักษาพยาบาล กรณีการกำหนดอัตราค่าบริการสาธารณสุขและการกำหนดขั้นตอนในการควบคุมการใช้ยานอกบัญชียาหลักแห่งชาติ
กรมบัญชีกลางได้มีหนังสือ ด่วนที่สุด ที่ กค ๐๔๑๗/๐๗๗๑๗ ลงวันที่ ๓๐ มีนาคม ๒๕๕๐ ถึงสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกา ความว่า สืบเนื่องจากปัจจุบันการเบิกจ่ายค่ารักษาพยาบาลให้แก่ข้าราชการ ลูกจ้างประจำ ผู้รับเบี้ยหวัด/บำนาญ รวมถึงบุคคลในครอบครัว ซึ่งเป็นผู้มีสิทธิตามพระราชกฤษฎีกาเงินสวัสดิการเกี่ยวกับการรักษาพยาบาล พ.ศ. ๒๕๒๓ และที่แก้ไขเพิ่มเติมในระบบการเบิกจ่ายเงินตามบริการที่สถานพยาบาลเรียกเก็บ (Fee for service) มีอัตราสูงขึ้นทุกปี ดังนั้น เพื่อให้การใช้จ่ายเงินของแผ่นดินในการดำเนินการด้านสวัสดิการรักษาพยาบาลเป็นไปโดยถูกต้อง มีวินัย คุ้มค่า โปร่งใส และสามารถตรวจสอบ ควบคุมได้ กรมบัญชีกลางโดยได้รับมอบอำนาจจากกระทรวงการคลัง จึงได้มีการดำเนินการดังนี้
๑. จัดทำอัตราการเบิกจ่ายค่ารักษาพยาบาล โดยกำหนดอัตราค่าบริการสาธารณสุขเพื่อใช้สำหรับการเบิกจ่ายค่ารักษาพยาบาลในสถานพยาบาลของทางราชการ และประกาศใช้ตั้งแต่วันที่ ๑ ธันวาคม ๒๕๔๙
๒. ควบคุมการใช้ยานอกบัญชียาหลักแห่งชาติ โดย
๒.๑ ได้พัฒนาระบบและแนวทางการตรวจสอบ ในการอนุมัติการใช้ยารักษาโรคมะเร็งที่มีราคาสูงก่อนการเบิกจ่าย (Pre authorization) ให้ครอบคลุมทั้งการบริการ รักษาพยาบาลผู้ป่วยภายนอกและผู้ป่วยภายใน ในผู้ป่วยโรคมะเร็งลำไส้ใหญ่ มะเร็งปอด มะเร็ง เม็ดเลือดขาวชนิดเรื้อรัง มะเร็งต่อมน้ำเหลือง มะเร็งลำไส้ชนิด Gastrointestinal stromal tumor และ/หรือ มะเร็งเต้านม
๒.๒ กำหนดแนวทางการใช้ยานอกบัญชียาหลักแห่งชาติ ซึ่งจะประกาศบัญชีรายการยาที่ให้เบิกจ่ายได้พร้อมกำหนดเงื่อนไขการเบิกจ่ายไว้ และยานอกบัญชียาหลักแห่งชาติประเภทใดที่กระทรวงการคลังมิได้ประกาศ หรือมีการใช้ยานอกบัญชียาหลักแห่งชาติที่ไม่เป็นไปตามเงื่อนไข ห้ามนำมาเบิกจ่ายในสิทธิสวัสดิการรักษาพยาบาลข้าราชการ โดยขณะนี้ได้มีการแต่งตั้งคณะทำงานขึ้นเพื่อดำเนินการแล้ว
กรมบัญชีกลางเห็นว่า การดำเนินการในด้านต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นการปฏิรูประบบสวัสดิการรักษาพยาบาลของข้าราชการ และการพัฒนาระบบสวัสดิการรักษาพยาบาลข้าราชการซึ่งเป็นการดำเนินการต่อเนื่อง แม้ว่าวัตถุประสงค์หนึ่งในหลายประการ คือ การควบคุมค่าใช้จ่าย แต่ต้องอยู่ภายใต้หลักการว่า ต้องไม่เป็นการลิดรอนสิทธิที่ได้รับอยู่เดิม นอกจากนี้ต้องอยู่ในขอบเขตของพระราชกฤษฎีกาเงินสวัสดิการเกี่ยวกับการรักษาพยาบาล พ.ศ. ๒๕๒๓ และที่แก้ไขเพิ่มเติมที่สามารถดำเนินการได้ด้วย ดังนั้น เพื่อให้เกิดความชัดเจนในประเด็นข้อกฎหมาย จึงขอหารือดังนี้
๑. การดำเนินการจัดทำอัตราค่าบริการสาธารณสุขเพื่อใช้สำหรับการเบิกจ่ายค่ารักษาพยาบาลดังกล่าวข้างต้นตามข้อ ๑ ได้อาศัยกรอบอำนาจตามพระราชกฤษฎีกาเงินสวัสดิการเกี่ยวกับการรักษาพยาบาล (ฉบับที่ ๘) พ.ศ. ๒๕๔๕ มาตรา ๑๑ (๑) ซึ่งบัญญัติว่า การจ่ายเงินสวัสดิการเกี่ยวกับการรักษาพยาบาลอย่างอื่นซึ่งมิใช่เป็นการตรวจสุขภาพประจำปีให้เป็นไปตามหลักเกณฑ์และอัตรา ดังนี้
(๑) ผู้ที่เข้ารับการรักษาพยาบาลจากสถานพยาบาลของทางราชการทั้งประเภทผู้ป่วยภายนอกหรือผู้ป่วยภายในให้เบิกค่ารักษาพยาบาลได้เต็มจำนวนที่ได้จ่ายไปจริง ทั้งนี้ กระทรวงการคลังอาจกำหนดอัตราให้เบิกได้ต่ำกว่าจำนวนที่ได้จ่ายไปจริงก็ได้ ซึ่งพิจารณาประกอบกับนิยามตามมาตรา ๔ ที่บัญญัติว่า ค่ารักษาพยาบาล หมายความว่า เงินที่สถานพยาบาลเรียกเก็บในการรักษาพยาบาล ดังนี้
(๑) ค่ายา ค่าเลือดและส่วนประกอบของเลือดหรือสารทดแทน ค่าน้ำยา หรืออาหารทางเส้นเลือด ค่าออกซิเจน และอื่นๆ ทำนองเดียวกันที่ใช้ในการบำบัดรักษาโรค
(๒) ค่าอวัยวะเทียมและอุปกรณ์ในการบำบัดรักษาโรค รวมทั้งค่าซ่อมแซม
(๓) ค่าบริการทางการแพทย์ ค่าตรวจ ค่าวิเคราะห์โรค แต่ไม่รวมถึงค่าจ้างผู้พยาบาลพิเศษ ค่าธรรมเนียมพิเศษ และค่าบริการอื่นทำนองเดียวกันที่มีลักษณะเป็นเงินตอบแทนพิเศษ
(๔) ค่าห้องและค่าอาหารตลอดเวลาที่เข้ารับการรักษาพยาบาล
(๕) ค่าตรวจสุขภาพประจำปี
กรณีการดำเนินการดังกล่าวอยู่ในขอบเขตของพระราชกฤษฎีกาเงินสวัสดิการเกี่ยวกับการรักษาพยาบาล (ฉบับที่ ๘) พ.ศ. ๒๕๔๕ ที่สามารถดำเนินการได้หรือไม่ อย่างไร
๒. พระราชกฤษฎีกาเงินสวัสดิการเกี่ยวกับการรักษาพยาบาล พ.ศ. ๒๕๒๓ และ ที่แก้ไขเพิ่มเติมมาตรา ๔ บัญญัติว่า ค่ารักษาพยาบาล หมายความว่า เงินที่สถานพยาบาลเรียกเก็บในการรักษาพยาบาลดังนี้
(๑) ค่ายา ค่าเลือดและส่วนประกอบของเลือดหรือสารทดแทน ค่าน้ำยา หรืออาหารทางเส้นเลือด ค่าออกซิเจน และอื่นๆ ทำนองเดียวกันที่ใช้ในการบำบัดรักษาโรค
ฯลฯ ฯลฯ
กรณีการพัฒนาระบบและแนวทางการตรวจสอบในการอนุมัติการใช้ยารักษาโรคมะเร็งที่มีราคาสูงก่อนการเบิกจ่าย รวมทั้งการกำหนดแนวทางการใช้ยานอกบัญชียาหลักแห่งชาติดังกล่าวข้างต้นตามข้อ ๒ ซึ่งเป็นการกำหนดขั้นตอนในการควบคุมการใช้ยานอกบัญชียาหลักแห่งชาติ จะสอดคล้องกับนิยามของคำว่า ค่ารักษาพยาบาล หรือไม่ อย่างไร
-
เรื่องเสร็จที่ 333/2550
คณะกรรมการกฤษฎีกา (คณะที่ ๒) ได้พิจารณาข้อหารือของกรมบัญชีกลาง โดยได้รับฟังคำชี้แจงของผู้แทนกระทรวงการคลัง (กรมบัญชีกลาง) และผู้แทนกระทรวงสาธารณสุข (สำนักงานปลัดกระทรวงและกรมสนับสนุนบริการสุขภาพ) แล้ว มีความเห็นดังนี้
ประเด็นที่หนึ่ง ที่ว่า กรมบัญชีกลางจะกำหนดอัตราค่าบริการสาธารณสุขเพื่อใช้สำหรับการเบิกจ่ายค่ารักษาพยาบาลในสถานพยาบาลของทางราชการ โดยอาศัยอำนาจตามมาตรา ๑๑ (๑) แห่งพระราชกฤษฎีกาเงินสวัสดิการเกี่ยวกับการรักษาพยาบาล พ.ศ. ๒๕๒๓ สามารถกระทำได้หรือไม่ นั้น เมื่อพิจารณาบทบัญญัติมาตรา ๑๑ (๑) [๑] แห่งพระราชกฤษฎีกาเงินสวัสดิการเกี่ยวกับการรักษาพยาบาล พ.ศ. ๒๕๒๓ ที่บัญญัติว่า ผู้ที่เข้ารับการรักษาพยาบาลจากสถานพยาบาลของทางราชการทั้งประเภทผู้ป่วยภายนอกหรือผู้ป่วยภายในให้เบิกค่ารักษาพยาบาลได้เต็มจำนวนที่ได้จ่ายไปจริง ทั้งนี้ กระทรวงการคลังอาจกำหนดอัตราให้เบิกได้ต่ำกว่าจำนวนที่ได้จ่ายไปจริงก็ได้แล้ว เห็นว่า หลักการของบทบัญญัติดังกล่าวประสงค์ให้ผู้ที่เข้ารับการรักษาพยาบาลจากสถานพยาบาลของทางราชการทั้งประเภทผู้ป่วยภายนอกหรือผู้ป่วยภายในเบิกค่ารักษาพยาบาลได้เต็มจำนวนที่ได้จ่ายไปจริง โดยกำหนดข้อยกเว้นไว้ว่ากระทรวงการคลังอาจกำหนดอัตราให้เบิกค่ารักษาพยาบาลต่ำกว่าจำนวนที่ได้จ่ายไปจริงก็ได้ ดังนั้น การที่กรมบัญชีกลางจะกำหนดอัตราค่าบริการสาธารณสุขเพื่อใช้สำหรับการเบิกจ่ายค่ารักษาพยาบาลในสถานพยาบาลของทางราชการ โดยกำหนดไว้ในข้อ ๔[๒] ของประกาศกระทรวงการคลัง เรื่อง อัตราค่าบริการสาธารณสุขเพื่อใช้สำหรับการเบิกจ่ายค่ารักษาพยาบาลในสถานพยาบาลของทางราชการ ว่า ค่ารักษาพยาบาลในสถานพยาบาลของทางราชการให้เบิกได้ตามหลักเกณฑ์และอัตราเท่าที่จ่ายจริงไม่เกินวงเงินตามรายการอัตราค่าบริการสาธารณสุขที่กำหนด จึงสามารถกระทำได้
อย่างไรก็ดี แม้จะเห็นว่า กรมบัญชีกลางสามารถกำหนดอัตราค่าบริการสาธารณสุขเพื่อใช้สำหรับการเบิกจ่ายค่ารักษาพยาบาลในสถานพยาบาลของทางราชการได้ก็ตาม คณะกรรมการกฤษฎีกา (คณะที่ ๒) มีข้อสังเกตว่า หลักการของพระราชกฤษฎีกาเงินสวัสดิการเกี่ยวกับการรักษาพยาบาลมีเจตนารมณ์ที่จะให้สวัสดิการเกี่ยวกับการรักษาพยาบาลแก่ผู้มีสิทธิและบุคคลในครอบครัวของผู้มีสิทธิ ทั้งนี้ เพื่อเป็นการจูงใจและตอบแทนผู้ปฏิบัติงานภาครัฐ ซึ่งโดยสภาพความเป็นจริงได้รับค่าตอบแทนค่อนข้างต่ำกว่าภาคอื่นๆ และไม่สามารถปรับตามสภาวะเศรษฐกิจได้ เนื่องจากมีข้อจำกัดเรื่องงบประมาณไม่เพียงพอ ด้วยเหตุนี้หากทางราชการเห็นว่าเงินสวัสดิการเกี่ยวกับการรักษาพยาบาลที่สถานพยาบาลเรียกเก็บมีอัตราสูงขึ้นทุกปีและต้องการควบคุมการเบิกจ่ายค่ารักษาพยาบาลดังกล่าว โดยการกำหนดอัตราค่าบริการสาธารณสุขเพื่อใช้สำหรับการเบิกจ่ายค่ารักษาพยาบาลในสถานพยาบาลของทางราชการ ซึ่งปัญหาในเรื่องนี้เกิดขึ้นเพราะสถานพยาบาลของทางราชการมีการเรียกเก็บค่าบริการสาธารณสุขแตกต่างกัน การแก้ปัญหาจึงสมควรที่หน่วยงานที่เกี่ยวข้องได้แก่ กระทรวงการคลัง กระทรวงสาธารณสุข และสถานพยาบาลแต่ละแห่งจะได้ร่วมกันพิจารณากำหนดหลักเกณฑ์ในอันที่จะป้องกันและแก้ไขปัญหาให้มีมาตรฐานตรงกันและสอดคล้องกับสิทธิการได้รับค่ารักษาพยาบาลของข้าราชการ โดยมิใช่เป็นการลดสิทธิการเบิกค่ารักษาพยาบาลของข้าราชการซึ่งจะกระทบต่อค่าตอบแทนของข้าราชการที่ได้รับในอัตราต่ำอยู่แล้ว
ประเด็นที่สอง ที่ว่า กรมบัญชีกลางจะอาศัยอำนาจตามนิยามคำว่า ค่ารักษาพยาบาล ในมาตรา ๔[๓] แห่งพระราชกฤษฎีกาเงินสวัสดิการเกี่ยวกับการรักษาพยาบาลฯ เพื่อกำหนดขั้นตอนในการควบคุมการใช้ยานอกบัญชียาหลักแห่งชาติได้หรือไม่นั้น เห็นว่า สิทธิของข้าราชการในการที่จะได้รับการรักษาพยาบาลเป็นไปตามพระราชกฤษฎีกาเงินสวัสดิการเกี่ยวกับการรักษาพยาบาล พ.ศ. ๒๕๒๓ การใดที่มีผลเป็นการจำกัดสิทธิหรือการตัดสิทธิแล้ว ต้องกำหนดให้อำนาจกระทำได้ไว้อย่างชัดเจน ดังนั้น การที่กระทรวงการคลังโดยกรมบัญชีกลางอาศัยเพียงนิยามของคำว่า ค่ารักษาพยาบาล ในส่วนของ (๑) ค่ายา เพื่อใช้ในการกำหนดขั้นตอนในการควบคุมการใช้ยานอกบัญชียาหลักแห่งชาติ โดยจะกำหนดให้ยานอกบัญชียาหลักแห่งชาติประเภทใดที่กระทรวงการคลังมิได้ประกาศ หรือมีการใช้ยานอกบัญชียาหลักแห่งชาติที่ไม่เป็นไปตามเงื่อนไข ห้ามนำมาเบิกจ่ายเงินสวัสดิการรักษาพยาบาลข้าราชการ นอกจากนี้ยังได้กำหนดหลักเกณฑ์การเบิกจ่ายเงินสวัสดิการเกี่ยวกับการรักษาพยาบาลสำหรับผู้ป่วยโรคมะเร็ง ที่แพทย์ผู้ทำการรักษาด้วยยานอกบัญชียาหลักแห่งชาติที่มีค่าใช้จ่ายสูง ๖ ชนิดในผู้ป่วย ๗ กลุ่ม ซึ่งกำหนดเงื่อนไขให้โรงพยาบาลต้องดำเนินการจัดทำแผนการรักษา ต้องแจ้งชื่อแพทย์ผู้รักษา ต้องมีการลงทะเบียนผู้ป่วยและต้องแจ้งข้อมูลไปยังกรมบัญชีกลาง รวมทั้งให้โรงพยาบาลต้องขออนุมัติการใช้ยาเพื่อรักษาผู้ป่วยก่อน ถ้าไม่ได้รับอนุมัติให้ใช้ยาในการรักษาแพทย์ก็จะไม่สามารถใช้ยาได้ หากไม่ปฏิบัติตามเงื่อนไขข้างต้น โรงพยาบาลจะไม่สามารถเบิกค่ารักษาตรงจากกรมบัญชีกลางได้ และไม่สามารถออกใบเสร็จให้ผู้มีสิทธิมาเบิกค่ารักษาจากต้นสังกัดได้เช่นกัน ซึ่งแตกต่างจากหลักเกณฑ์เดิมที่กรมบัญชีกลางได้กำหนดแนวทางปฏิบัติในการเบิกจ่ายค่ายาในสถานพยาบาลของทางราชการไว้สำหรับกรณีการเบิกค่ายานอกบัญชียาหลักแห่งชาติให้เป็นดุลพินิจของคณะกรรมการแพทย์ของแต่ละสถานพยาบาลในการกำหนดผู้มีอำนาจลงนามในหนังสือรับรอง การกำหนดหลักเกณฑ์และขั้นตอนเงื่อนไขตามประเด็นที่หารือมา เป็นการกำหนดขั้นตอนเงื่อนไขที่เป็นการตัดสิทธิของผู้มีสิทธิที่จะได้รับการรักษาพยาบาลได้เต็มจำนวนที่ได้จ่ายไปจริงตามมาตรา ๑๑[๔] (๑) แห่งพระราชกฤษฎีกาเงินสวัสดิการเกี่ยวกับการรักษาพยาบาลฯ ถือเป็นการกำหนดหลักเกณฑ์ที่ไม่สอดคล้องกับอำนาจหน้าที่ในฐานะหน่วยเบิกจ่ายเงินสวัสดิการ อีกทั้งยังไม่มีฐานอำนาจตามกฎหมายอันจะกล่าวอ้างได้ ดังนั้น จึงเห็นว่า การกำหนดหลักเกณฑ์ วิธีการ และขั้นตอนการควบคุมการใช้ยานอกบัญชียาหลักแห่งชาติตามที่กรมบัญชีกลางหารือมาเป็นการใช้อำนาจเกินกว่าที่กฎหมายได้ให้อำนาจไว้จึงไม่สามารถกำหนดได้
(ลงชื่อ) พรทิพย์ จาละ
(คุณพรทิพย์ จาละ)
เลขาธิการคณะกรรมการกฤษฎีกา
............................................................
สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกา
พฤษภาคม ๒๕๕๐
ส่งพร้อมหนังสือ ด่วนที่สุด ที่ นร ๐๙๐๑/๐๖๙๒ ลงวันที่ ๒๙ พฤษภาคม ๒๕๕๐ ซึ่งสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกามีถึงสำนักเลขาธิการคณะรัฐมนตรี
[๑]มาตรา ๑๑ การจ่ายเงินสวัสดิการเกี่ยวกับการรักษาพยาบาลอย่างอื่นซึ่งมิใช่เป็นการตรวจสุขภาพประจำปีให้เป็นไปตามหลักเกณฑ์และอัตรา ดังนี้
(๑) ผู้ที่เข้ารับการรักษาพยาบาลจากสถานพยาบาลของทางราชการทั้งประเภทผู้ป่วยภายนอกหรือผู้ป่วยภายในให้เบิกค่ารักษาพยาบาลได้เต็มจำนวนที่ได้จ่ายไปจริง ทั้งนี้ กระทรวงการคลังอาจกำหนดอัตราให้เบิกได้ต่ำกว่าจำนวนที่ได้จ่ายไปจริงก็ได้
ฯลฯ ฯลฯ
[๒]ข้อ ๔ ค่ารักษาพยาบาลในสถานพยาบาลของทางราชการให้เบิกได้ตามหลักเกณฑ์และอัตราเท่าที่จ่ายจริงไม่เกินวงเงินตามรายการอัตราค่าบริการสาธารณสุขที่แนบท้ายนี้
[๓]มาตรา ๔ ในพระราชกฤษฎีกานี้
ค่ารักษาพยาบาล หมายความว่า เงินที่สถานพยาบาลเรียกเก็บในการรักษาพยาบาล ดังนี้
(๑) ค่ายา ค่าเลือดและส่วนประกอบของเลือดหรือสารทดแทน ค่าน้ำยา หรืออาหารทางเส้นเลือด ค่าออกซิเจน และอื่นๆ ทำนองเดียวกันที่ใช้ในการบำบัดรักษาโรค
(๒) ค่าอวัยวะเทียมและอุปกรณ์ในการบำบัดรักษาโรค รวมทั้งค่าซ่อมแซม
(๓) ค่าบริการทางการแพทย์ ค่าตรวจ ค่าวิเคราะห์โรค แต่ไม่รวมถึงค่าจ้างผู้พยาบาลพิเศษ ค่าธรรมเนียมพิเศษ และค่าบริการอื่นทำนองเดียวกันที่มีลักษณะเป็นเงินตอบแทนพิเศษ
ฯลฯ ฯลฯ
[๔] โปรดดูเชิงอรรถที่ ๑ , ข้างต้น
-
มติ ครม ใหญ่กว่ากฤษฎีกา?
วันที่ 19 มิถุนายน 2555
วันนี้ เมื่อเวลา 09.00 น. ณ โรงแรมรอยัล คลิฟ โฮเต็ล กรุ๊ป พัทยา จ.ชลบุรีนางสาวยิ่งลักษณ์ ชินวัตร นายกรัฐมนตรี เป็นประธานการประชุมคณะรัฐมนตรีนอกสถานที่
จากนั้น นางสาวศันสนีย์ นาคพงศ์ โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี พร้อมด้วยนายอนุสรณ์ เอี่ยมสะอาด นายชลิตรัตน์ จันทรุเบกษา และนายภักดีหาญส์ หิมะทองคำ รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี ได้แถลงข่าวผลการประชุมคณะรัฐมนตรี สรุปสาระสำคัญได้ดังนี้
...............
5. เรื่อง มาตรการเกี่ยวกับระบบบริหารยา เวชภัณฑ์ การเบิกจ่ายค่าตรวจวินิจฉัย และค่าบริการทางการแพทย์
คณะรัฐมนตรีเห็นชอบมาตรการเกี่ยวกับระบบบริหารยา เวชภัณฑ์ การเบิกจ่ายค่าตรวจวินิจฉัย และค่าบริการทางการแพทย์ รวมทั้งหน่วยงานรับผิดชอบตามที่คณะกรรมการกำหนดระบบบริหาร เวชภัณฑ์ การเบิกจ่ายค่าตรวจวินิจฉัย และค่าบริการทางการแพทย์เสนอ เพื่อให้จัดทำแผนการดำเนินงานงบประมาณ รวมถึงเป้าหมายการลดค่าใช้จ่ายที่เป็นรูปธรรมในการดำเนินงานตามระยะเวลาที่กำหนด และมอบหมายให้คณะกรรมการกำหนดระบบบริหารยา เวชภัณฑ์ การเบิกจ่ายค่าตรวจวินิจฉัย และค่าบริการทางการแพทย์ติดตามกำกับการดำเนินงานของหน่วยงานที่เกี่ยวข้องและรายงานต่อคณะรัฐมนตรีเป็นระยะ
สาระสำคัญของเรื่อง
รัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข ประธานกรรมการกำหนดระบบบริหารยา เวชภัณฑ์ การเบิกจ่ายค่าตรวจวินิจฉัย และค่าบริการทางการแพทย์รายงานว่า ในการประชุมคณะกรรมการกำหนดระบบบริหารยา เวชภัณฑ์ การเบิกจ่ายค่าตรวจวินิจฉัย และค่าบริการทางการแพทย์ ครั้งที่ 1/2555 เมื่อวันที่ 6 มิถุนายน 2555 ได้มีมติเห็นชอบในการกำหนดมาตรการเกี่ยวกับระบบบริหารยา เวชภัณฑ์ การเบิกจ่ายค่าตรวจวินิจฉัย และค่าบริการทางการแพทย์ รวมทั้งมอบหมายหน่วยงานเพื่อรับผิดชอบมาตรการที่ได้กำหนดขึ้นอย่างเป็นรูปธรรม ดังนี้
1. การควบคุมกำกับการใช้ยาให้เป็นไปอย่างเหมาะสมและคุ้มค่าในระบบประกันสุขภาพ
1.1 การมีกลไกกลางในการเจรจาต่อรองราคายาที่มีราคาแพง โดยเฉพาะรายการยานอกบัญชียาหลักแห่งชาติที่มีราคาแพงและมีผู้จำหน่ายรายเดียว มอบหมายให้องค์การเภสัชกรรมเป็นหน่วยงานรับผิดชอบหลักร่วมกับสำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา สำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ สำนักงานประกันสังคม กรมบัญชีกลาง กลุ่มสถาบันแพทยศาสตร์ สำนักงานปลัดกระทรวงสาธารณสุข และสำนักงานปลัดกระทรวงกลาโหม
1.2 มาตรการควบคุมการกำกับการเบิกจ่ายค่ายานอกบัญชียาหลักแห่งชาติและยาต้นแบบในระบบประกันสุขภาพ ได้แก่ การกำหนดเป้าหมายการลดค่าใช้จ่าย การกำหนดอัตราอ้างอิง การเบิกจ่ายยากลุ่มเป้าหมาย การปรับโครงสร้างชดเชยค่ายาและค่าบริการ ระบบสารสนเทศข้อมูลการเบิกจ่ายและการสั่งจ่ายยา มอบหมายให้กรมบัญชีกลาง และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเป็นหน่วยงานรับผิดชอบ
1.3 นโยบายส่งเสริมการใช้ยาในบัญชียาหลักและยาชื่อสามัญ ได้แก่ การกำหนดเป้าหมายการใช้ยาในบัญชียาหลักแห่งชาติ/ยาชื่อสามัญ การมีระบบประกันสุขภาพยา ชื่อสามัญที่มีจำหน่ายในท้องตลาด การสร้างความเข้าใจที่ถูกต้องแก่ประชาชน มอบหมายให้สำนักงานปลัดกระทรวงสาธารณสุข สำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา กรมวิทยาศาสตร์การแพทย์ รวมทั้งกรมในกระทรวงที่เกี่ยวข้อง เป็นหน่วยงานรับผิดชอบ
1.4 การกำหนดแนวเวชปฏิบัติและข้อบ่งชี้การใช้ยานอกบัญชียาหลักแห่งชาติในยากลุ่มเป้าหมายที่มีมูลค่าการใช้จ่ายสูง รวมถึงข้อบ่งชี้การตรวจวินิจฉัยโรคและการรักษาด้วยเทคโนโลยีราคาแพง มอบหมายให้กรมการแพทย์ กลุ่มสถาบันแพทยศาสตร์ และราชวิทยาลัยที่เกี่ยวข้อง รวมทั้งโครงการประเมินเทคโนโลยีและนโยบายสุขภาพ เป็นหน่วยงานรับผิดชอบ
1.5 การกำหนดกลไกกลางในการตรวจสอบการเบิกจ่ายและการจ่ายยา มอบหมายให้สำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ เป็นหน่วยงานรับผิดชอบหลักร่วมกับสำนักงานประกันสังคม และกรมบัญชีกลาง
2. การพัฒนาบัญชียาและรหัสยามาตรฐานเพื่อสนับสนุนการบริหารเวชภัณฑ์ มอบหมายให้สำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา เป็นหน่วยงานรับผิดชอบหลักร่วมกับศูนย์พัฒนามาตรฐานระบบข้อมูลสุขภาพไทย (ศมส.) สำนักงานปลัดกระทรวงสาธารณสุข สำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ สำนักงานประกันสังคม กรมบัญชีกลาง รวมทั้งสถานพยาบาลทั้งภาครัฐและเอกชน
3. การปรับอัตราการจ่ายตามกลุ่มวินิจฉัยโรคร่วมให้เป็นเอกภาพระหว่างกองทุน มอบหมายให้สำนักงานปลัดกระทรวงสาธารณสุข เป็นหน่วยงานรับผิดชอบหลักร่วมกับสำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ สำนักงานประกันสังคม กรมบัญชีกลาง นักวิชาการ/ราชวิทยาลัย รวมทั้งสถานพยาบาลทั้งภาครัฐและเอกชน
4. การวิจัยและพัฒนารูปแบบการจ่ายแบบตกลงราคาล่วงหน้าบริการผู้ป่วยนอก ทั้งในลักษณะต่อครั้งต่อคนที่สอดคล้องกับต้นทุนและยกระดับคุณภาพการดูแลโรคเรื้อรัง เพื่อเป็นมาตรฐานและใช้ร่วมกันระหว่างกองทุนประกันสุขภาพต่าง ๆ อันจะนำมาซึ่งความยั่งยืนในการควบคุมค่าใช้จ่ายระยะยาว มอบหมายให้ศูนย์พัฒนาโรคร่วมไทย เครือสถาบันวิจัยระบบสาธารณสุขเป็นหน่วยงานรับผิดชอบ
-
999/38 วิภาวดีรังสิต 60 หลักสี่ กทม. 10210
22 มิถุนายน 2555
เรื่อง ขอให้ดำเนินการแก้ไขการลิดรอนสิทธิ์ในสวัสดิการรักษาพยาบาลข้าราชการโดยด่วน
เรียน นายกและคณะกรรมการสมาคมข้าราชการพลเรือนอาวุโส
จากข่าวไทยรัฐออนไลน์(1)นั้น ครม.ได้มีการตั้งคณะกรรมการบริหารยาแห่งชาติ มีนายวิทยา บุรณศิริ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุขเป็นประธาน ซึ่งนายวิทยา บุรณศิริได้ให้สัมภาษณ์ตามข่าวไทยรัฐออนไลน์วันที่ 17 มิถุนายน 2555 ว่า ครม.ได้แต่งตั้งให้ตนเองเป็นประธานคณะกรรมการบริหารยา เพื่อกำหนดการใช้ยาอย่างเหมาะสม โดยจะเน้นให้ใช้ยาเฉพาะใน"บัญชียาหลักแห่งชาติ"เท่านั้น โดยอ้างว่า "เพื่อประหยัดงบประมาณ"
การทำเช่นนี้เกิดขึ้นแล้วในกองทุนหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ และสวัสดิการค่ารักษาพยาบาลของข้าราการ จนไปก้าวก่ายการ "ประกอบวิชาชีพอิสระของแพทย์
ในปัจจุบันนี้ มีความพยายามที่จะทำให้ "กองทุนสุขภาพ 3กองทุน" คือกองทุนข้าราชการ กองทุนประกันสังคมและกองทุนหลักประกันสุขภาพแห่งชาติทำให้แพทย์ต้อง"ขออนุญาตกรรมการที่ไม่ใช่แพทย์" ในการสั่งจ่ายยาให้แก่ผู้ป่วยที่แพทย์ดูแลรักษา และเป็นการ “ลิดรอน สิทธิ์ข้าราชการ” โดยที่สำนักงานกฤษฎีกาก็ได้วินิจฉัยแล้วว่ากรมบัญชีกลางใช้อำนาจเกินขอบอำนาจที่กฎหมายกำหนดไว้ (อ้างถึงบันทึกคณะกรรมการกฤษฎีกา(คณะที่2) เรื่องเสร็จที่ 330/2550
การที่ครม.มีมติให้ตั้งคณะกรรมการบริหารยา เพื่อกำหนดการใช้ยาอย่างเหมาะสม โดยเน้นการควบคุมการใช้ยานอกบัญชียาหลัก ตามที่นายวิทยา บุรณศิริ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุขในฐานะกรรมการบริหารยาให้ข่าวกับสื่อมวลชนว่าแนวโน้มการใช้ยาในบัญชียาหลักมากขึ้นถึง 65% และกลัวว่าจะเพิ่มมากกว่า 65% โดยนายวิทยาอ้างว่าค่ายาของคนไทยเพิ่มมากขึ้นจาก 31%ในปี2542 เป็น 46%ในปีพ.ส. 2551 และพบว่ากลุ่มที่ใช้สิทธิสวัสดิการข้าราชการเป็นกลุ่มที่ใช้ยานอกบัญชียาหลักถึง 65% แทนที่จะคิดว่า ทำไมแพทย์จึงใช้ยานอกบัญชียาหลักถึง 65% เป็นเพราะว่ายาในบัญชียาหลักอาจมีไม่ครอบคลุมการรักษาที่มีมาตรฐานและทันสมัยในปัจจุบัน นายวิทยาฯในฐานะประธานกรรมการยากลับมี “ความเห็นตรงกันข้าม” คือจะ “ควบคุมการใช้ยานอกบัญชียาหลัก ทั้งๆที่นายวิทยาฯเองก็ไม่มีความรู้ทางการแพทย์ และจะเห็นว่าจากรายชื่อของคณะกรรมการส่วนใหญ่นั้นเป็นนักเศรษฐศาสตร์ หรือเป็นผู้บริหารกองทุน (ที่บางคนอาจจะเป็นแพทย์ แต่ไม่ได้เป็นผู้ประกอบวิชาชีพเวชกรรมมานานแล้ว จึงไม่น่าจะเป็นผู้มีความรู้ความเชี่ยวชาญในการรักษาโรคระดับสูง ) มิใช่ผู้เชี่ยวชาญหรือนักวิชาการด้านการแพทย์เฉพาะทาง ที่มีความรู้ความเข้าใจที่เหมาะสมและทันสมัยกับวิทยาการแพทย์และการรักษาโรคสมัยใหม่ที่มีประสิทธิภาพและประสิทธิผลแต่อย่างใด
จึงเห็นได้ว่าคณะกรรมการชุดนี้ คงจะใช้ความ "จำกัดของเม็ดเงินงบประมาณ" เป็นหลักการสำคัญในการกำหนดการ "ใช้ดุลพินิจของแพทย์" ในการ "สั่งการรักษาแก่ผู้ป่วยเฉพาะราย"
การกระทำเช่นนี้ ย่อมเกิดผลกระทบที่เลวร้ายของ "คุณภาพการรักษาหรือคุณภาพทางการแพทย์"ของประเทศไทยอย่างแน่นอน แสดงว่ารัฐบาลไทยกำลังเห็นคุณภาพชีวิตของประชาชน "ด้อยค่ากว่าเม็ดเงิน" แทนที่ผู้ป่วยจะหายจากอาการเจ็บป่วย แต่เมื่อได้รับการรักษาที่ด้อยมาตรฐาน ก็จะทำให้เชื้อดื้อยา กลายเป็นผู้ป่วยเรื้อรัง คุณภาพชีวิตเลวลง และประชาชนที่มีโรคย่อมไม่สามารถ"ผลิตรายได้หรือทำงานเพื่อพึ่งพาตนเองได้ แต่ต้องตกเป็นภาระของครอบครัว" ฉะนั้นการที่ผู้บริหารหรือรัฐบาลไทย จะเป็นผู้กำหนดการใช้ยาแทนผู้เชี่ยวชาญทางการแพทย์เสียเอง ย่อมเป็นผลเสียหายแก่สุขภาพและคุณภาพชีวิตของประชาชนไทยอย่างแน่นอน
ประชาชนที่พอจะมีเงินอยู่บ้าง ก็คงจะหันไปใช้บริการของโรงพยาบาลเอกชน ที่คงจะเจริญรุ่งเรืองมากยิ่งขึ้น เพื่อรองรับผู้มีฐานะดี และชาวต่างชาติ แต่ประชาชนไทยส่วนใหญ่ที่ไม่มีเงิน โดยเฉพาะอย่างยิ่งข้าราชการที่ยอมทำงานเงินเดือนน้อยเพราะหวังที่จะได้รับการดูแลรักษาเมื่อเจ็บป่วยหรือแก่ชรา ก็คงจะได้รับการดูแลรักษาสุขภาพแบบ "ด้อยมาตรฐาน" เพราะไม่สามารถได้รับยาที่เหมาะสมที่สุดในการรักษาความเจ็บป่วยของตน
นอกจากนั้นนายวิทยา บุรณศิริยังกล่าวว่าเขามีแผนการระยะยาวที่จะให้ 3 กองทุนสุขภาพพัฒนารูปแบบการจ่ายค่ารักษาพยาบาลแบบตกลงราคาล่วงหน้าเป็นแบบเหมาจ่ายรายหัวแบบประกันสังคมและแบบหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ ซึ่งเราก็เห็นแล้วว่าในระบบเหล่านั้น มีการ "จำกัดการใช้ยา จำกัดการรักษาเป็นเพียงบางอย่าง" และการให้งบประมาณที่ไม่เพียงพอกับค่าใช้จ่ายจริงที่เกิดขึ้น มีผลให้โรงพยาบาลที่ต้องรับภาระการรักษาผู้ป่วยในระบบหลักประกันสุขภาพประสบกับการขาดทุน ไม่มีงบประมาณเพียงพอที่จะรักษาผู้ป่วยตามมาตรฐาน การแพทย์ที่ดี เหมือนที่เป็นอยู่ในปัจจุบันนี้ และผู้ที่ได้รับผลเสียหายจากการที่โรงพยาบาลไม่มีเงินมาจัดหายาที่เหมะสมในการรักษาก็คือประชาชนที่ใช้สิทธิ์ในการรักษาพยาบาลจากกองทุนเหล่านี้นั่นเอง
ในส่วนของการจะกำหนดแนวทางเวชปฏิบัติโดยกลุ่มสถาบันแพทยศาสตร์ กรมการแพทย์และราชวิทยาลัยต่างๆ ก็เป็นแนวทางที่สมควรจะทำมานานแล้ว เพื่อเปิดโอกาสให้ผู้เชี่ยวชาญทางการแพทย์ เป็นผู้กำหนดแนวทางการใช้ยาที่เหมาะสม มีประสิทธิผลสูงสุด และควรจะมีการทบทวนแนวทางเวชปฏิบัติทุกๆ 2 ปี เพื่อให้แนวทางการรักษาทางการแพทย์ มีประสิทธิผลสูงสุดทันยุค ของการแพทย์แผนปัจจุบัน
ที่สำคัญก็คือ รัฐบาลควรจะกำหนดว่า "ยาที่จะให้ในแต่ละกองทุน" มียาอะไรบ้าง ส่วนยาที่นอกเหนือจากนี้ ก็ควรให้ผู้ใช้สิทธิในแต่ละกองทุนรับรู้ว่า จะต้อง"จ่ายเงินค่ายา" เพิ่มเติม ไม่ใช่ "ห้าม" แพทย์จ่ายยาที่เหมาะสม แต่ในขณะเดียวกันกองทุนหลักประกันสุขภาพฯกลับไปโฆษณา "ว่ารักษาได้ทุกโรค"ทั้งๆที่ไม่เป็นความจริง ทำให้ประชาชนเกิดความคาดหวังสูงกว่าความเป็นจริง และทำให้ประชาชนกล่าวโทษผู้รักษาและร้องขอค่าช่วยเหลือหลังการรักษามากขึ้น(และจำนวนเม็ดเงินชดเชยก็มากขึ้นด้วย)เหมือนปัจจุบัน
ฉะนั้นแทนที่รัฐบาลจะต้องจ่ายเงินค่าช่วยเหลือผู้ป่วยหลังจากการรักษาที่ไม่ได้ผลดี รัฐบาลควรจะจัดงบประมาณให้มีการรักษาที่มีคุณภาพดี หรือให้ประชาชนร่วมจ่ายเพื่อให้ได้รับการรักษาที่ดี เพื่อจะไม่ต้องจ่ายเงินชดเชยโดยไม่จำเป็น
ผู้ที่จะได้รับความเดือดร้อน และถูกลิดรอนสิทธิ์จากโครงการของนายวิทยา บุรณศิริ ประธานกรรมการบริหารยาและคณะกรรมการ ที่คงจะเร่งรีบดำเนินการให้เกิดผลโดยเร่งด่วนในการที่จะลดรายการยาของผู้ใช้สิทธิสวัสดิการข้าราชการก็คือกลุ่มข้าราชการบำนาญ ที่ยังชีพอยู่ด้วยเงินบำนาญเพียงเล็กน้อย ก็จะถูกทอดทิ้งไม่ให้ได้รับการรักษาอย่างเหมาะสม และก็คงไม่มีรายได้พอจะไปซื้อยาที่ดีๆมารักษาอาการป่วยเหมือนเดิม
จึงเห็นว่าสมาคมข้าราชการพลเรือน/ทหาร/ตำรวจ อาวุโส ต้องดำเนินการฟ้องศาลปกครองโดยด่วน เพื่อไม่ให้คณะกรรมการบริหารยาและกรมบัญชีกลางได้ทำการละเมิดและลิดรอนสิทธิ์ข้าราชการเกินอำนาจที่กฎหมายกำหนดอีกต่อไป ทั้งนี้เพื่อไม่ให้สุขภาพและคุณภาพชีวิตของข้าราชการต้องได้รับความเดือดร้อนเสียหายมากยิ่งขึ้น
ขอแสดงความนับถือ
พญ.เชิดชู อริยศรีวัฒนา
สมาชิกสมาคมข้าราชการพลเรือนอาวุโส
เอกสารอ้างอิง
1.ข่าวไทยรัฐออนไลน์ 17 มิ.ย. 55
นายกฯ มอบ รมว.สธ.เป็นประธานกรรมการบริหารยา กำหนดมาตรการการใช้ยาอย่างเหมาะสม คุ้มค่า บูรณาการร่วม 3 กองทุน เน้นควบคุมการเบิกจ่ายยานอกบัญชีหลัก ห่วงแนวโน้มเพิ่ม 65%
-
กรมบัญชีกลางจะตัดสิทธิ์ จนพวกเราคนธรรมดาจะไม่มีสิทธิ์แล้ว ยังมาเข้มงวดในการใช้ยา ในการรักษาของแพทย์อีก
ถ้าเราไม่ช่วยเหลือกัน แล้วใครเล่าจะช่วยเหลือเรา
แพทย์ ข้าราชการ ประชาชน เราต้องรวมตัวกันซะที เพื่อแสดงจุดยืนแลกเปลี่ยนความคิดเห็นกันได้ที่.....
https://www.facebook.com/pages/%E0%B8%81%E0%B8%A3%E0%B8%A1%E0%B8%9A%E0%B8%B1%E0%B8%8D%E0%B8%8A%E0%B8%B5%E0%B8%81%E0%B8%A5%E0%B8%B2%E0%B8%87-%E0%B8%95%E0%B8%B1%E0%B8%94%E0%B8%AA%E0%B8%B4%E0%B8%97%E0%B8%98%E0%B8%B4%E0%B9%8C%E0%B9%80%E0%B8%9A%E0%B8%B4%E0%B8%81%E0%B8%A2%E0%B8%B2%E0%B9%83%E0%B8%99%E0%B8%81%E0%B8%B2%E0%B8%A3%E0%B8%A3%E0%B8%B1%E0%B8%81%E0%B8%A9%E0%B8%B2%E0%B8%9E%E0%B8%A2%E0%B8%B2%E0%B8%9A%E0%B8%B2%E0%B8%A5%E0%B8%82%E0%B9%89%E0%B8%B2%E0%B8%A3%E0%B8%B2%E0%B8%8A%E0%B8%81%E0%B8%B2%E0%B8%A3%E0%B9%81%E0%B8%A5%E0%B8%B0%E0%B8%9B%E0%B8%A3%E0%B8%B0%E0%B8%8A%E0%B8%B2%E0%B8%8A%E0%B8%99%E0%B8%99%E0%B9%89%E0%B8%B3%E0%B8%95%E0%B8%B2%E0%B8%95%E0%B8%81%E0%B9%83%E0%B8%99/252362108219014