ผู้เขียน หัวข้อ: หมอชีวกโกมารภัจจ์  (อ่าน 3283 ครั้ง)

Meem

  • Hero Member
  • *****
  • กระทู้: 2576
    • ดูรายละเอียด
หมอชีวกโกมารภัจจ์
« เมื่อ: 14 ธันวาคม 2010, 22:09:50 »
หมอชีวกโกมารภัจจ์ ได้รับการยกย่องให้เป็นปรมาจารย์ทางด้านแพทย์แผนตะวันออกที่ใช้สมุนไพรรักษา โรคและดูแลสุขภาพ ตัวยาสมุนไพรต่างๆ ที่แพทย์ตะวันออกสั่งสอนและใช้รักษาโรค ส่วนใหญ่มีรากฐานมาจากองค์ความรู้ที่ถ่ายทอดสืบต่อกันมาตั้งแต่ยุคหมอชีวก โกมารภัจจ์ทั้งสิ้น ด้วยเหตุนี้เอง เวลาแพทย์แผนตะวันออกจะปรุงยาแต่ละครั้งต้องไหว้ครูเพื่อรำลึกถึงหมอชีวกโก มารภัจจ์ ต้นตำรับยาสมุนไพรและครูอาจารย์ที่ได้อนุรักษ์ตำรับตำราตกทอดมาถึงปัจจุบัน

หลักฐานที่บันทึกชีวประวัติและผลงานของหมอชีวกโกมารภัจจ์ไว้ ค่อนข้างละเอียด คือพระไตรปิฎก เพราะหมอชีวกโกมารภัจจ์ เป็นแพทย์ประจำองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าและพระเจ้าพิมพิสารผู้ปกครอง แผ่นดินโดยธรรมในระบอบราชาธิปไตยในยุคพุทธกาล

ก่อนที่จะกล่าวถึงประวัติของหมอชีวกโกมารภัจจ์ พระไตรปิฎกได้ระบุถึงเมืองที่รุ่งเรืองมาก 2 เมือง คือเมืองมคธ และเมืองเวสาลี

เมืองมคธ เป็นมหาอำนาจที่ปกครองโดยระบอบราชาธิปไตย อันมีเจ้าผู้ครองนครนามว่า พระเจ้าพิมพิสาร มีเมืองเล็กเมืองน้อยภายใต้ปกครองจำนวนมาก

ส่วนเมืองเวสาลี มีความเจริญรุ่งเรืองด้านเศรษฐกิจ มีภูมิทัศน์สวยงาม ดังที่พรรณนาไว้ในพระไตรปิฎกว่า มีปราสาทถึง

7,000 กว่าหลัง มีสระบัวและสวนดอกไม้อีก 7,000 กว่าแห่ง ปกครองโดยระบอบรัฐสภาที่บรรดาอภิชนที่มีความรู้ดี มีทรัพย์สินมั่งคั่งหมุนเวียนเปลี่ยนกันทำหน้าที่ทั้งฝ่ายบริหาร นิติบัญญัติ และตุลาการ

นอกจากนี้ เมืองเวสาลียังมีชื่อเสียงด้านหญิงงามเมือง หรือนครโสภิณี ที่ทรงเสน่ห์ มีความสามารถในการขับร้องเล่นดนตรีไว้ต้อนรับนักท่องเที่ยวที่มาจากเมือง ต่างๆ หญิงงามเมืองที่โด่งดั่งที่สุด ที่ใครๆ อยากได้พบเห็นชื่อ อัมพปาลี ให้บริการผู้ที่มาเยี่ยมเยือนด้วยความประทับใจ จนชื่อเสียงขจรขจายไปทั่วบ้านเมืองใกล้เคียง

คราวหนึ่ง พ่อค้าและนักลงทุนกลุ่มหนึ่งจากเมืองมคธได้ทราบถึงความอุดมสมบูรณ์และภูมิ ทัศน์ที่สวยงามของเมืองเวสาลี จึงได้พากันไปท่องเที่ยวเพื่อหาลู่ทางลงทุนและดูงานการพัฒนาเศรษฐกิจของ เมืองเวสาลี เมื่อได้พบเห็นและท่องเที่ยวไปทั่วเมือง พร้อมทั้งได้ดูกิจการนครโสภิณี (เรียกแบบไทยๆ ว่า โสเภณี) ด้วย ก็ได้ความคิดว่า น่าจะได้นำเอาเรื่องนี้ไปจัดทำที่เมืองมคธบ้าง จะได้ดึงดูดนักท่องเที่ยวให้มาท่องเที่ยวเมืองมคธมากขึ้น

เมื่อกลับมาถึงเมืองมคธ พ่อค้าและนักลงทุนกลุ่มนี้ได้พากันเข้าเฝ้าพระเจ้าพิมพิสาร แล้วกราบทูลให้ทราบถึงความเจริญรุ่งเรืองของบ้านเมือง และมีหญิงงามเมืองเป็นที่เลื่องลือ เป็นที่ติดตาต้องใจแก่ผู้ที่ได้เยี่ยมเยือนและพบเห็น ควรที่เมืองมคธจะได้มีหญิงงามเมืองอย่างนั้นบ้าง

พระเจ้าพิมพิสารได้ทราบถึงข้อมูลเพื่อการพัฒนาอุตสาหกรรมการท่องเที่ยวจาก พ่อค้าและนักลงทุนกลุ่มนั้นแล้วรับสั่งว่า ถ้าอย่างนั้น ท่านจงคัดเลือกสาวงามที่มีลักษณะเพียบพร้อมอย่างนั้นเป็นหญิงงามเมือง (นครโสภิณี) เถิด

พ่อค้าและนักลงทุนได้รับพระบรมราชโองการให้เป็นผู้สรรหาหญิงงามเมืองแล้วจึง ได้กลับไปดำเนินการสรรหาตามพระราชประสงค์ หลังจากส่งแมวมองท่องเที่ยวไปหลายเมือง ก็เดินทางถึงกรุงราชคฤห์ พบหญิงสาวคนหนึ่งชื่อว่า สาลวดี มีความชำนาญในการฟ้อนรำขับร้องและประโคมดนตรีอย่างดีเยี่ยม

แมวมองจึงได้นำเสนอคณะกรรมการสรรหาหญิงงามเมืองเพื่อนำชื่อขึ้นทูลเกล้าแต่งตั้งเป็นหญิงงามเมืองประจำเมืองมคธต่อไป

คณะกรรมการได้คัดเลือกสาวงามชื่อ สาลวดี เป็นหญิงงามเมือง และได้ถวายรายชื่อแก่พระเจ้าพิมพิสารเพื่อโปรดเกล้าฯแต่งตั้งเป็นหญิงงาม เมืองประจำเมืองมคธต่อไป

เมื่อเธอได้รับการแต่งตั้งก็ทำหน้าที่ที่ได้รับมอบหมายอย่างเต็มความสามารถ เป็นที่ประทับอกประทับใจแก่ผู้ที่ได้พบเห็นและได้รับบริการจากเธอ หากใครปรารถนาจะว่าจ้างเธอไปร่วมอภิรมย์ด้วยต้องจ่ายค่าบริการคืนละ 100 กหาปนะ ราคานี้ถือว่าแพงมากทีเดียว เพราะโดยปกติแรงงานที่รับจ้างทำงานตามบ้านเศรษฐีโดยทั่วไป จะได้รับค่าจ้างวันละครึ่งกหาปนะ หรือ 1 กหาปนะ หรืออย่างมากก็ 5 กหาปนะ ต่อ 1 วัน

พิจารณาจากเรื่องราวแวดล้อมก็พอจะบ่งชี้ได้ว่า คนที่จะไปเที่ยวหาความอภิรมย์กับหญิงงามเมืองได้ในยุคนั้น ส่วนใหญ่น่าจะเป็นพ่อค้าหรือคหบดี หรือพวกหนุ่มๆ ในราชสกุลเท่านั้น เพราะราคาบริการที่ตั้งไว้สูงเป็นการจำกัดกลุ่มนักท่องเที่ยวอยู่ในที

เมื่อนางสาลวดีได้ทำหน้าที่ฟ้อนรำขับร้องประโคมดนตรีและร่วมอภิรมย์กับผู้ รับบริการได้นานพอสมควร เธอทราบว่า เธอตั้งครรภ์แล้ว จึงพิจารณาว่า ธรรมดาหญิงมีครรภ์ย่อมไม่เป็นที่พอใจของบุรุษ ถ้าใครทราบว่าตนมีครรภ์ ลูกค้าขาประจำก็จะพากันถอนตัวหมด อย่ากระนั้นเลย เราควรแจ้งว่าเราป่วย แล้วสั่งคนเฝ้าประตูไว้ว่า นายประตูจ๋า ท่านอย่าอนุญาตให้ชายใดเข้ามา ถ้ามีคนมาถามหาดิฉัน ก็จงตอบให้เขาทราบว่า ดิฉันเป็นไข้

เมื่อเธอตั้งครรภ์ครบกำหนดคลอด ได้คลอดบุตรเป็นชาย เธอจึงสั่งสาวใช้ว่า จงวางทารกนี้ลงในกระด้งเก่าๆ แล้วนำไปทิ้งที่ข้างกองขยะ หญิงสาวใช้รับคำสั่งของนางสาลวดีแล้วนำทารกแรกคลอดไปทิ้งที่กองขยะใกล้ๆ ทางใหญ่ที่คนสัญจรไปมา

พอดีเช้าวันนั้น เจ้าชายอภัย กำลังเสด็จกลับพระราชวัง ทอดพระเนตรเห็นฝูงกาล้อมทารกนั้นอยู่ จึงตรัสถามผู้ติดตามว่า ฝูงกากำลังล้อมอะไรอยู่

ผู้ติดตามจึงกราบทูลว่า ฝูงกากำลังล้อมทารกอยู่พระเจ้าข้า

เจ้าชายอภัย ตรัสถามว่า ทารกยังมีชีวิตอยู่หรือ

ผู้ติดตามกราบทูลว่า ยังมีชีวิตอยู่พระเจ้าข้า

เจ้าชายอภัย จึงตรัสว่า จงนำทารกนี้เข้าไปในพระราชวัง มอบให้แม่นมเลี้ยงดูเถิด

ผู้ติดตามได้นำไปมอบให้แม่นมในพระราชวังเลี้ยงดู ตามพระดำริของเจ้าชายอภัยและตั้งชื่อว่า ชีวก เพราะทารกนั้นยังมีชีวิตอยู่ และคำว่า โกมารภัจจ์ บ่งชี้ว่า พระราชกุมารเป็นผู้รับสั่งให้เลี้ยงดู

กาลเวลาผ่านไปตามลำดับ พระราชกุมารทรงรักชีวกเหมือนบุตรของตน จึงดูแลอย่างใกล้ชิด วันหนึ่ง ชีวกกราบทูลถามพระราชกุมารว่า ใครคือบิดามารดาที่แท้จริงของเกล้ากระหม่อมพระเจ้าข้า

พระราชกุมารรับสั่งว่า พ่อไม่รู้จักแม่ของลูกเลย แต่พ่อนี้แหละ เป็นพ่อของลูก เพราะพ่อเลี้ยงเจ้ามา

เมื่อชีวกหมดหนทางที่จะค้นหาชาติกำเนิดของตนเองพบ ด้วยพื้นฐานจิตใจที่ใฝ่ดีจึงดำริว่า คนที่ไม่มีศิลปวิทยาการ จะพึ่งพาอาศัยราชสกุลตลอดไปคงยาก จึงตัดสินใจหนีออกจากพระราชวังดั้นด้นหาแหล่งศิลปวิทยาการ พื่อเพิ่มพูนคุณค่าชีวิตให้แก่ตนเองต่อไป

สมัยนั้น เมืองตักกสิลา เป็นศูนย์รวมศิลปวิทยาการมากมายหลายสาขา ชีวกมีความปรารถนาจะศึกษาศิลปวิทยาการไว้ช่วยบรรเทาความทุกข์แก่เพื่อน มนุษย์ จึงเดินทางตรงไปยังคณะแพทยศาสตร์ ที่ให้การศึกษาเกี่ยวกับการดูแลรักษาสุขภาพด้วยการใช้พืชสมุนไพรเป็นตัวยา หลักในการดูแลรักษา

อาจารย์ผู้บริหารคณะแพทยศาสตร์ได้ทราบความตั้งใจของชีวกโกมารภัจจ์แล้ว จึงรับเขาไว้เป็นศิษย์ศึกษาวิชาการตามที่เขาได้มีความตั้งใจ ตั้งแต่เริ่มต้นศึกษาชีวกมีความสุภาพอ่อนโยนเชื่อฟังอาจารย์และรับใช้ อาจารย์อย่างใกล้ชิด เป็นเหตุให้ชีวกได้ความรู้ทั้งในภาคทฤษฎีและภาคปฏิบัติอย่างครบถ้วน ดังข้อความในพระไตรปิฎกว่า ชีวกโกมารภัจจ์ เรียนได้มาก เรียนได้เร็ว ทรงจำได้ดี ที่เรียนแล้วก็ไม่ลืม

เวลาที่อาจารย์สอนหรือฝึกชีวกเองหรือฝึกศิษย์อื่นๆ ชีวกก็ยังได้รับความรู้ด้านการวินิจฉัยโรคและประสบการณ์ในด้านการขุดค้นหา ตัวยา การผสมยา การปรุงยา การให้ยา การติดตามผลการรักษา จนมีความชำนาญในระดับหนึ่ง

เวลาผ่านไป 7 ปี ชีวกสงสัยว่า ความรู้และความสามารถที่ตนเองเรียนมานั้น มีมากน้อยแค่ไหน เพียงพอต่อการดูและรักษาเพื่อนมนุษย์ผู้ป่วยไข้แล้วหรือยัง วันหนึ่งจึงได้นำความสงสัยนั้นไปกราบเรียนถามท่านอาจารย์ที่ตนศึกษาและรับ ใช้อย่างใกล้ชิดว่า ความรู้ที่ตนมีอยู่เพียงพอที่จะรักษาเพื่อนมนุษย์ได้แล้วหรือยัง

อาจารย์หมอได้ตอบชีวกด้วยความเมตตาดังพ่อมีต่อลูกว่า พ่อชีวก ถ้าเช่นนั้น เธอจงถือเสียมแล้วเดินไปขุดค้นต้นไม้ใบหญ้ารอบๆ กรุงตักกสิลา ระยะ 1 โยชน์ หากพบสิ่งใดที่ไม่ใช่ตัวยาก็จงนำมาด้วย

ชีวกโกมารภัจจ์ รับคำของอาจารย์หมอแล้วถือเสียมเดินไปขุดค้นพิจารณาต้นไม้ใบหญ้าทุกต้นที่ ขวางหน้า โดยมิให้คลาดสายตาไปแม้แต่ต้นเดียว เมื่อขุดขึ้นมาแล้วก็พิจารณาต้นไม้ใบหญ้าทุกส่วนมิให้พลาดคลาดสายตาแม้แต่ ส่วนเดียว ไม่ว่าจะเป็น ผล ดอก ใบ ใย ยาง เปลือก ลำต้น รากแก้ว รากฝอย ของต้นไม้

เมื่อพิจารณาอย่างถ้วนทั่วแทบจะทุกตารางนิ้วในพื้นที่บริเวณกว้างยาว 1 โยชน์ ตามที่อาจารย์หมอได้สั่งไป จึงตัดสินใจเดินทางกลับมาหาอาจารย์หมอด้วยคำตอบจากงานวิจัยภาคสนามเชิง ปฏิบัติการอย่างละเอียดว่า ไม่มีต้นไม้ใบหญ้าต้นใดหรือสิ่งใดที่ไม่เป็นตัวยาเลย ทุกอย่างเป็นตัวยาทั้งสิ้น

อาจารย์หมอได้ฟังรายงานดังนั้น จึงกล่าวว่า พ่อชีวก เธอเรียนได้ดีเจนจบครบถ้วนดีแล้ว ความรู้ของเธอมากพอจะดูแลรักษาเพื่อนมนุษย์และได้รับรางวัลจากการรักษาพอที่ จะเลี้ยงชีพได้อย่างสบาย

เป็นอันว่า ชีวกโกมารภัจจ์ จบการศึกษาคณะแพทยศาสตร์จากมหาวิทยาลัยตักกสิลา ด้วยการสำรวจ ค้นคว้าตัวยาอย่างครบถ้วนไม่มีเหลือ นับเป็นนักศึกษาแพทย์ที่จบการศึกษาด้วยคะแนนยอดเยี่ยม ความเก่งกล้าด้านตัวยาสมุนไพรที่ไร้เทียมทาน ทำให้ชื่อเสียงของหมอชีวกขจรขจายไปอย่างรวดเร็ว และยังคงอยู่ถึงปัจจุบันนี้ แม้เวลาจะล่วงเลยมาถึง 2,550 กว่าปีแล้วก็ตาม ดังโคลงโลกนิติที่ว่า สถิตทั่วแต่ชั่วดี ประดับไว้ในโลกา นั้นแล

หมอชีวกเรียนจบแพทย์แล้ว ได้กราบลาอาจารย์ทิศาปาโมกข์เดินทางกลับกรุงราชคฤห์บ้านเกิดเมืองนอน ที่ได้จากมาเป็นเวลาหลายปี แต่ระยะทางจากเมืองตักกสิลาไปยังกรุงราชคฤห์ห่างไกลมาก ประกอบกับถนนหนทางสัญจรก็ทุรกันดาร ต้องรอนแรมเดินทางหลายวันกว่าจะพบหมู่บ้านร้านตลาดสักครั้งหนึ่ง แล้วต้องตะบึงเข้าสู่เส้นทางที่ยากลำบากต่อไป นอกจากหนทางที่สัญจรขรุขระเป็นหลุมเป็นบ่อ ต้องย่ำโคลนตมไปอย่างทุลักทุเลในฤดูฝนแล้ว เมื่อแดดส่องแรงไม่นานฝุ่นคละคลุ้งเกาะติดตามใบหน้า เนื้อตัวเหมือนหุ่นดินปั้นเดินได้แล้ว ยังต้องเผชิญหน้ากับสิงสาราสัตว์ที่ไม่เคยพบเคยเห็นอีกมากมาย แม้จะไม่มีสัตว์ตัวใดมุ่งเข้ามาทำร้าย แต่ก็ทำให้หวาดกลัวและอกสั่นขวัญแขวนไม่น้อยเหมือนกัน

ด้วยสภาพภูมิประเทศที่เป็นป่าเป็นดงพงไพรห่างไกลถิ่นฐานบ้านเรือนดังกล่าว อาจารย์หมอจึงได้จัดเครื่องเดินทางพร้อมเสบียงอาหารที่เก็บไว้รับประทานได้ นานจำนวนหนึ่ง ที่พอแก่การยังชีพในช่วงการเดินทางระยะต้นเท่านั้นให้แก่หมอคนใหม่ที่เพิ่ง ออกเดินทางจากสถาบันการศึกษาด้วยความภาคภูมิใจในความรู้ที่ได้รับมาจาก อาจารย์อย่างหาค่ามิได้ ตั้งใจจะใช้ความรู้เหล่านี้รักษาเพื่อนมนุษย์ที่ได้รับความทุกข์ทรมานจากโรค ภัยไข้เจ็บอย่างไม่เลือกหน้า

เมื่อหมอชีวกดั้นด้นผ่านป่าดงพงไพรและถิ่นแห้งแล้งกันดาร ก็เข้าสู่เขตแดนของเมืองสาเกต ก้าวแรกที่หมอชีวกได้สัมผัสดินแดนแห่งนี้ก็รู้สึกได้ถึงความอุดมสมบูรณ์สงบ ร่มเย็นของอาณาประชาราษฎร์ได้เป็นอย่างดี ยิ่งเดินเข้าใกล้ตัวเมืองเท่าไร ก็ได้เห็นผู้คนเดินขวักไขว่ไปมาค้าขายแลกเปลี่ยนสินค้าต่างๆ ส่งเสียงซื้อขายและต่อรองราคากันอย่างสนุกสนาน แสดงถึงความปกติสุขของคนที่นี้ได้อย่างดี

เสบียงอาหารที่อาจารย์หมอใหญ่เตรียมมาให้ก็หมดลงพอดี ครั้นจะเดินผ่านเมืองไปโดยไม่แวะชมตลาดเสียเลยก็จะไม่มีอะไรยังชีพในมื้อต่อ ไป แต่พอมาตรวจตราเงินทองก็ไม่มีติดตัวเลยแม้แต่น้อย การที่จะหาเสบียงเพิ่มเติมได้ต้องมีเงินทองซื้อข้าวของอย่างเพียงพอ จึงคิดว่า จะต้องใช้วิชาแพทย์ที่ร่ำเรียนมานี่แหละแลกกับค่ารักษาเพื่อจะได้เป็นทุนหา เสบียงเดินทางต่อ คิดได้ดังนั้น จึงเดินเข้าไปในตัวเมืองสาเกต ผ่านกลุ่มชนที่ยืนสนทนาเรื่องราวข่าวคราวต่างๆ ไปหลายกลุ่ม

เมืองเล็กๆ แห่งนี้ ไม่กว้างขวางนัก เวลาใครมีเรื่องราวอะไรก็จะเล่าขานกันสามบ้านเจ็ดบ้าน ไม่ช้าก็กระจายไปอย่างรวดเร็ว หมอชีวกเห็นชาวเมืองสาเกตกลุ่มหนึ่งยืนคุยกันอย่างเฮฮาครื้นเครง จึงเดินเข้าไปถามว่า ชาวเมืองสาเกตทุกท่าน ใครเจ็บป่วยเป็นโรคอะไร บอกข้าพเจ้าได้นะ ข้าพเจ้าจะรักษาให้

ชาวเมืองเห็นหน้าเด็กหนุ่มคนนี้เดินถามหาคนไข้ก็ให้ฉงนใจยิ่งนัก จึงถามว่า พ่อหนุ่มมาจากไหน ยังหนุ่มยังน้อยไม่มีหนวดสักเส้นเดียว มาเที่ยวป่าวร้องโฆษณารักษาโรคไปทั่วเมืองอย่างนี้ พ่อหนุ่มมีดีอะไรหรือ ธรรมดาคนที่จะเป็นหมอรักษาโรคและรักษาคนไข้ได้จะต้องมีวัยวุฒิสูง มีหนวดเครายาวหรือขาวโพลนเท่านั้น พวกเราสงสัยในความเป็นมาของพ่อหนุ่มยิ่งนัก เล่าให้เราฟังได้ไหม ว่าพ่อหนุ่มน้อยหน้าใสไปอย่างไร มาอย่างไร

หมอชีวกยกมือไหว้ไปรอบๆ ผู้ใหญ่ที่ยืนคุยกันอยู่อย่างออกรส แล้วกล่าวว่า ลุง ป้า น้า อา ทั้งหลายเอ้ย ฝูงชนทั้งหลายก็ร้องรับพร้อมกันว่า เอ้ย อย่างครึกครื้น หมอชีวกกล่าวต่อไปว่า ข้าพเจ้าเพิ่งกลับมาจากเมืองตักกสิลา

ชายกลางคนคนหนึ่งถามด้วยความเอ็นดูว่า ไปธุระอะไรมาหรือพ่อหนุ่ม

หมอชีวกตอบอย่างนอบน้อมชัดเจนว่า ไปเรียนวิชาแพทย์มาครับ

เด็กหนุ่มที่ยืนอยู่ในกลุ่มนั้นรีบสอดขึ้นมาอย่างยียวนว่า เรียนไม่ไหว หนีมาหรือว่าถูกไล่ออกกลางคันมิทราบ

พี่ชาย ผมจบการศึกษาแพทย์มาจริงๆ หากไม่เชื่อก็เดินทางไปถามอาจารย์หมอใหญ่ได้เลย

คนกลางคนที่ยืนอยู่ตรงนั้น จึงเอ่ยขึ้นว่า เออ! ก็น่าสนใจนะ จบหมอตั้งแต่หนุ่ม เห็นท่าอนาคตไกล ว่าแต่ว่าพ่อหนุ่มพร้อมที่จะรักษาแล้วหรือยัง มีอุปกรณ์มาพร้อมไหม

หมอชีวกจึงบอกกับท่านผู้นั้นว่า ตัวยามีอยู่ทั่วพื้นปฐพีรักษาโรคได้ทั้งนั้น เพียงแต่ขอพบคนไข้วินิจฉัยอาการไข้อย่างถ้วนทั่วแล้วจึงหาเครื่องประกอบยา ภายหลังก็ได้ครับน้า

ผู้สูงอายุในที่นั้นจึงบอกข่าวหมอชีวกว่า พ่อหนุ่มน้อย ได้ข่าวมาว่าภรรยาเศรษฐีคนหนึ่งในเมืองนี้แหละ ป่วยเป็นโรคปวดศีรษะมาเป็นเวลา 7 ปี นายแพทย์เก่งๆ ที่จบจากตักกสิลา มีอายุมาก มีประสบการณ์เชี่ยวชาญมาเป็นเวลาหลายปีหลายคน มารักษา รับเงินค่ารักษากลับไปแล้ว อาการของภรรยาท่านเศรษฐีก็ยังคงที่ จ่ายเงินไปมากมาย ถ้าเป็นคนธรรมดาสถานะอย่างเรา คงตายไปนานแล้วละ

ข่าวดังกล่าว ทำให้หมอชีวกดีใจถึงกับยกมือไหว้แสดงคารวะท่านผู้อาวุโสด้วยความอ่อนน้อม เพราะเป็นผู้นำโชคมาให้แท้ๆ จึงถามต่อไปว่า ผมจะเดินไปทางไหนดีละพ่อลุง จึงจะถึงเรือนชานท่านเศรษฐีนั้นได้เล่า

ท่านผู้อาวุโสประจำชุมชนคนรักถิ่นของเมืองสาเกตจึงบอกทางให้หมอชีวกอย่าง สว่างกระจ่างใจ เพียงแต่เดินทางไปตามเส้นทางที่บอกไว้ ก็จะถึงบ้านท่านเศรษฐีคนดังกล่าวโดยไม่ยากนัก

หมอชีวกจึงเดินเข้าไปยังบ้านเศรษฐีตามทิศทางดังกล่าว เดินไปเรื่อยๆ จนถึงบ้านท่านเศรษฐีในเวลาต่อมาไม่นาน แล้วแนะนำตัวเองกับยามเฝ้าประตูว่า ได้ข่าวว่าภรรยาท่านเศรษฐีป่วยมาหลายปี ขออนุญาตให้ผมได้เข้าไปดูอาการหน่อยได้ไหม

ยามเฝ้าประตูได้ฟังดังนั้น จึงเข้าบ้านไปรายงานให้ภรรยาท่านเศรษฐีทราบว่า เด็กหนุ่มคนหนึ่งมายืนอยู่หน้าประตู แจ้งความประสงค์ว่า เขาเป็นหมอจะมาดูอาการของท่าน เผื่อบางทีจะรักษาได้ขอรับ

ภรรยาเศรษฐีถามอีกว่า หมอคนนั้นยังหนุ่มเหรอ

ยามเฝ้าประตูตอบว่า ขอรับ

ภรรยาเศรษฐีจึงบอกว่า ไปบอกให้เขากลับไปเถิด หมอแก่ๆ เก่งๆ เชี่ยวชาญจากทิศาปาโมกข์หลายคนมารักษาแล้วก็ไม่หาย จ่ายเงินค่ารักษาไปไม่รู้เท่าไรต่อเท่าไรแล้ว

ยามเฝ้าประตูจึงกลับไปบอกให้หมอชีวกกลับไป

หมอชีวกใจเย็น บอกยามเฝ้าประตูคนนั้นว่า จงไปบอกภรรยาท่านเศรษฐีเถิดว่า จะขอรักษาก่อน ถ้ารักษาไม่หายก็จะไม่ขอรับเงินค่ารักษาหรอกครับ

ภรรยาเศรษฐีได้ยินข้อต่อรองของหมอชีวกที่ตนเองไม่เสียเปรียบอะไรเลย หากทุกอย่างมาบรรจบครบกันเข้าอาจจะหายก็ได้จึงใช้ให้คนเฝ้าประตูไปบอกหมอชี วกว่า เชิญหมอเข้ามาลองรักษาดูเถอะ

หมอชีวกเข้าไปตรวจดูอาการป่วยของภรรยาท่านเศรษฐีแล้วพูดด้วยความอ่อนน้อมว่า คุณนายครับ ผมต้องการเนยใสประมาณหนึ่งซองมือ (ปริมาณเท่ากับหงายฝ่ามือแล้วใส่ลงไป) มาเป็นกระสายยานะครับ

เมื่อภรรยาเศรษฐี สั่งคนใช้ให้นำเนยใสหนึ่งซองมือมาให้หมอชีวกตามที่สั่งนั้นแล้ว หมอชีวกจึงเริ่มหุงเนยใสนั้นด้วยตัวยาต่างๆ อีกหลายอย่าง จากนั้นจึงให้ภรรยาเศรษฐีนอนหงายบนเตียงแล้วให้นัตถุ์ยาที่ปรุงนั้น

ขณะนั้น เนยใสที่นัตถุ์เข้าไป พุ่งออกมาทางปาก ภรรยาเศรษฐีนั้นถ่อมเนยใสลงในกระโถนแล้วรีบบอกสาวใช้ว่า รีบนำเอาสำลีมาซับเนยใสนี้เก็บไว้

หมอชีวกคิดในใจว่า แหม! ภรรยาเศรษฐีคนนี้ขี้เหนียวนัก เนยใสที่ต้องทิ้งยังให้สาวใช้เก็บไว้อีก

ภรรยาเศรษฐีสังเกตเห็นอาการของหมอชีวกแล้วถามว่า คิดอะไรอยู่หรือคุณหมอ

หมอชีวกจึงเล่าความคิดนั้นให้ฟัง

ภรรยาเศรษฐีจึงกล่าวว่า คุณหมอ ฉันเป็นคนมีครอบครัว จำเป็นต้องรู้จักสิ่งที่ควรเก็บไว้ใช้ เนยใสนี้ยังดีอยู่ จะใช้ทาเท้าให้พวกคนงานก็ได้ ใช้เป็นน้ำมันเติมตะเกียงก็ได้ ท่านอย่าวิตกไปเลย ท่านได้ค่ารักษาอย่างเต็มเม็ดเต็มหน่วยแน่ แหม! คิดมากไปได้

ไม่นานนักอาการปวดศีรษะที่เรื้อรังมาเป็นเวลา 7 ปี ก็ค่อยๆ หายเป็นปกติ ด้วยการใช้ยานัตถุ์ครั้งเดียว จึงมอบเงินเป็นรางวัล สี่พันกหาปนะให้หมอชีวกเป็นค่ารักษา

ลูกชายเศรษฐีเห็นว่า หมอชีวกรักษาคุณแม่ของตนให้หายได้เป็นอัศจรรย์ ก็ตกรางวัลให้อีก สี่พันกหาปนะ สะใภ้ให้อีกสี่พันกหาปนะ ท่านเศรษฐีดีใจที่คุณหมอรักษาภรรยาของตนให้หายได้อย่างรวดเร็วอย่างนั้น ก็ตกรางวัลให้อีกสี่พันกหาปนะ พร้อมทั้งคนรับใช้ ม้า และรถม้า ที่จะเป็นพาหนะเดินทางต่อไปอย่างครบถ้วน

เมื่อหมอชีวกโกมารภัจจ์พักอยู่กับครอบครัวเศรษฐีเพื่อดูอาการอีกระยะหนึ่ง เมื่อเห็นว่าเป็นปกติจริงๆ แล้ว จึงนำเอาทรัพย์สินที่ได้จากการรักษาครั้งนี้เดินทางกลับกรุงราชคฤห์ เมื่อเดินทางมาถึงจึงเข้าเฝ้าเจ้าชายอภัยผู้ที่ได้เลี้ยงดูตนมาจนเติบใหญ่ แล้วกราบทูลว่า ทรัพย์สินประกอบด้วย เงิน หนึ่งหมื่นหกพันกหาปนะและทรัพย์สมบัติเหล่านี้ เป็นผลตอบแทนครั้งแรกจากการเริ่มอาชีพหมอของข้าพระองค์ ขอพระองค์จงรับทรัพย์สินทั้งหมดนี้เป็นเครื่องตอบแทนบุญคุณที่เลี้ยงดูข้า พระองค์มาจนเติบใหญ่เถิด พระเจ้าข้า

เจ้าชายอภัยตรัสว่า อย่าเลย ลูกเอ๋ย ทรัพย์สมบัติเหล่านี้ได้มาด้วยความรู้ความสามารถของเจ้าคนเดียว เจ้าจงนำทรัพย์สินเหล่านี้ไปเป็นค่าใช้จ่ายสร้างบ้านอยู่ในเขตวังของพ่อเถิด ทรัพย์สินที่เหลือก็เก็บไว้เป็นทุนสร้างอนาคตต่อไปให้รุ่งเรืองยิ่งๆ ขึ้นไปเถิด

หมอชีวกโกมารภัจจ์ กราบทูลว่า เป็นพระมหากรุณายิ่งพระเจ้าข้า แล้วจึงสร้างบ้านอยู่ในบรมมหาราชวังของเจ้าชายอภัย ผู้ที่ได้ชุบเลี้ยงมาจนรอดปากเหยี่ยวปากกา คอยรับใช้อย่างใกล้ชิดดังพ่อและลูกบังเกิดเกล้าจริงๆ

หมอชีวกโกมารภัจจ์นอกจากจะมีความเก่งเป็นเยี่ยม ยังมีความดีเป็นยอด จึงสมควรได้รับการยกย่องว่า บุคคลตัวอย่างที่ทั้งยอดและเยี่ยมอยู่ในคนเดียว นี่แหละควรได้รับสมญานามว่า มนุษย์ที่แท้ ที่มีความรู้คู่ความดีจริงๆ ที่โลกต้องจารึกนามเอาไว้แม้กาลเวลาจะผ่านไปนานสักเพียงใดก็ตาม

อ้างอิง : ผู้เขียนดร.พระ มหาจรรยา สุทธิญาโณ วัดพุทธปัญญา แคลิฟอร์เนีย พิมพ์ในนิตยสาร "เทคโนโลยีชาวบ้าน"