ผู้เขียน หัวข้อ: นายกสภาแพทย์แผนไทยฉะ “บิ๊กตู่” ลืมคำพูด เมินดึงแพทย์แผนไทยร่วม กก.บูรณาการสู้  (อ่าน 665 ครั้ง)

story

  • Staff
  • Hero Member
  • ****
  • กระทู้: 9760
    • ดูรายละเอียด
นายกสภาการแพทย์แผนไทย เขียนจดหมายเปิดผนึกฉะรัฐบาลลืมคำพูดสมัย คสช.เคยบอกจะสนับสนุนสมุนไพรไทยสู่สากล แต่คําสั่งนายกฯ ที่ 7/2564 แต่งตั้ง กก.บูรณาการด้านการแพทย์และสาธารณสุขสู้โควิด กลับไม่มีกรมการแพทย์แผนไทยและการแพทย์ทางเลือก เรียกร้องแก้ไขคำสั่งด่วน พร้อมจัดให้มีแพทย์แผนไทยและการใช้ยาแผนไทยในระบบการรักษาผู้ป่วยโควิด-19

วันนี้ (10 พ.ค.) พลเรือเอก ชาญชัย เจริญสุวรรณ นายกสภาการแพทย์แผนไทย ได้เขียนจดหมายเปิดผนึกถึงประชาชนคนไทยทุกคน เรื่อง การกีดกันการนําภูมิปัญญาการแพทย์แผนไทยมาใช้ในการแก้ปัญหาวิกฤตโควิด-19 มีเนื้อหาโดยละเอียดดังนี้

สืบเนื่องจากสถานการณ์วิกฤตโควิด-19 ในปัจจุบันนับว่าเป็นการต่อสู้ในสงครามโรคระบาดที่เป็นมหันตภัยร้ายแรงสมควรที่จะระดมทรัพยากรในประเทศทั้งหมดเพื่อเอาชนะ ผมได้พยายามสื่อถึงรัฐบาล และ ศบค.มาโดยตลอด เพื่อให้รัฐบาลนําภูมิปัญญาการแพทย์แผนไทย ซึ่งเป็นการแพทย์หลักของประเทศควบคู่กับการแพทย์แผนปัจจุบันมาใช้ในการแก้ปัญหาโควิด-19 ด้วยทั้งโดยส่วนตัวและในนามของสภาวิชาชีพการแพทย์แผนไทย ตั้งแต่การระบาดรอบแรกเมื่อต้นปี พ.ศ. 2563 จนกระทั่งถึงการระบาดรอบที่ 3 ณ ขณะนี้ มีประชาชนเสียชีวิตและเดือดร้อนจํานวนมาก การนําภูมิปัญญาการแพทย์แผนไทยมาใช้ คือ การพึ่งพาตนเองและเป็นความมั่นคงทางยา ไม่ควรฝากอนาคตของประเทศและประชาชนไว้ในกํามือของผู้อื่น ในขณะที่ประเทศไทยมีภูมิปัญญาการแพทย์แผนไทยมีสมุนไพรไทยที่ใช้ในการดูแลปัญหาสุขภาพของประชาชนได้ ซึ่งผมพร้อมที่จะยืนยันและพิสูจน์ข้อมูลในสิ่งที่ผมกล่าวร่วมกับแพทย์แผนไทยและหมอพื้นบ้านทั้งประเทศที่ทําหน้าที่ปิดทองหลังพระโดยปราศจากการสนับสนุนใดๆ จากรัฐบาลทั้งสิ้นด้วยจิตอาสาและยึดหลักปรัชญา คือ ยาขอหมอวาน แต่ไม่มีการตอบสนองจากรัฐบาลและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องใดๆ

ผมเห็นใจ เข้าใจ และให้กําลังใจรัฐบาลที่พยายามแก้ปัญหาอย่างสุดความสามารถ ผมเคยศรัทธา ฯพณฯ นายกรัฐมนตรี พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา สมัยรัฐบาล คสช. ที่ท่านกล่าวในที่สาธารณะหลายครั้งเรื่องส่งเสริมสนับสนุนการแพทย์แผนไทยสมุนไพรไทยสู่สากล มีเขียนในแผน ยศ.ชาติ แผนปฏิรูปประเทศและอีกหลายๆ แผน ฝันกระทั่งประเทศไทยจะเป็น Medical Hub แต่เมื่อถึงจังหวะที่ควรใช้อย่างยิ่งท่านอาจลืมคําพูดของตนเองโดยสิ้นเชิง และสิ่งที่ผมไม่สามารถยอมรับได้คือคําสั่งนายกรัฐมนตรีที่ 7/2564 เรื่อง แต่งตั้งคณะกรรมการเฉพาะกิจเพื่อบูรณาการด้านการแพทย์และสาธารณสุข ลงนามเมื่อ 5 พ.ค. 64 คําสั่งนี้มีกรรมการรวมทั้งสิ้น 36 คน มีหน่วยงานภายในกระทรวงสาธารณสุขเกือบทั้งหมดแต่ไม่มีกรมการแพทย์แผนไทยและการแพทย์ทางเลือกซึ่งเป็นหน่วยงานที่เกี่ยวข้องกับภูมิปัญญาการแพทย์แผนไทยโดยตรงและเป็นหน่วยงานที่ได้ผลักดันการใช้สมุนไพรฟ้าทะลายโจร อย่างจริงจังจนประสบความสําเร็จแล้วการบูรณาการด้านสาธารณสุขจะเกิดขึ้นได้อย่างไร

รัฐธรรมนูญฉบับปัจจุบันมาตรา 55 เขียนไว้ว่า “รัฐต้องดําเนินการให้ประชาชนได้รับบริการสาธารณสุขที่มีประสิทธิภาพอย่างทั่วถึงเสริมสร้างให้ประชาชนมีความรู้พื้นฐานเกี่ยวกับการส่งเสริมสุขภาพและการป้องกันโรค และส่งเสริมและสนับสนุนให้มีการพัฒนาภูมิปัญญาด้านแพทย์แผนไทยให้เกิดประโยชน์สูงสุด” หมายความว่า รัฐบาลมีหน้าที่ต้องทําทุกทางส่งเสริมสมุนไพรให้ประชาชนใช้ประโยชน์จากภูมิปัญญาการแพทย์แผนไทยคือยาแผนไทย สมุนไพรไทยให้เกิดประโยชน์สูงสุด

ยาแผนไทยได้มีการประกาศให้เป็นยาสามัญประจําบ้าน ซึ่งประชาชนสามารถซื้อใช้ได้โดยทั่วไปและยาในบัญชียาหลักแห่งชาติซึ่งสามารถใช้ในสถานพยาบาลของรัฐและผู้ป่วยสามารถเบิกจ่ายได้จากงบประมาณของรัฐซึ่งควรจะส่งเสริมให้ใช้รักษาผู้ป่วยโควิด-19 ที่เข้าโรงพยาบาลหลัก โรงพยาบาลสนาม หรือ Hospitel ได้ ซึ่งมียาแผนไทยที่รักษากลุ่มอาการที่เป็นอาการพื้นฐานของโควิด 19 เช่น กลุ่มยาแก้ไอ กลุ่มยารักษาอาการของระบบทางเดินหายใจ (อาการไข้ อาการหวัด) ยาบํารุงโลหิต เป็นต้น ทําไมถึงไม่ใช้ยาแผนไทยเหล่านี้รักษาผู้ป่วยตามอาการถ้าจะใช้เหตุผลว่าไม่มีงานวิจัยสําหรับการรักษาโรคโควิด-19 โดยตรง ก็ไม่น่าจะถูกต้องกับยาสามัญประจําบ้านและยาในบัญชียาหลักแห่งชาติซึ่งไม่ใช่เป็นการใช้เพื่อเหตุฉุกเฉินเหมือนวัคซีนหรือยาฟาวิพิราเวียร์ซึ่งก็ไม่ได้มีผลวิจัยการรักษาโรคโควิด-19 ตามขั้นตอนครบถ้วนจนถึงขั้นประกาศใช้ได้ ที่สําคัญคือยาแผนไทยมีค่าใช้จ่ายถูกกว่ากันมาก ประมาณ 10 เท่า

ประการสุดท้าย ซึ่งผมเห็นว่ามีความสําคัญคู่กับประวัติศาสตร์ชาติ จะเห็นว่าภูมิปัญญาการแพทย์แผนไทยนั้นมีมาแต่ครั้งสุโขทัยสมัยพ่อขุนรามคําแหงมหาราช ครั้งอยุธยา สมัยสมเด็จพระนารายณ์มหาราช ครั้งรัตนโกสินทร์ สมัยรัชกาลที่ 3 ได้ฟื้นฟูและรวบรวมองค์ความรู้ภูมิปัญญาการแพทย์แผนไทยอย่างเป็นปึกแผ่นไว้ที่วัดพระเชตุพนฯ หรือวัดโพธ์ ทรงได้รับการเชิดชูว่าเป็นพระบิดาแห่งการแพทย์แผนไทย นอกจากนั้น พลเรือเอก พระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมหลวงชุมพรเขตอุดมศักดิ์ ทรงได้รับพระนามว่าหมอพรจากประชาชนที่ได้รับการรักษาจากพระองค์ท่าน ดังนั้นควรเป็นหน้าที่ที่คนไทยทุกคนควรภูมิใจรักษาไว้และนํามาใช้ให้เกิดประโยชน์

บทสรุปคือผมอยากให้ประชาชนได้รับรู้สิ่งที่เกิดขึ้น นี่คือ การกีดกันการนําภูมิปัญญาการแพทย์แผนไทยไปใช้ในการแก้ปัญหาวิกฤติโควิด-19 อย่างชัดเจน ผมมีความเห็นว่าประเทศไทยเป็นของประชาชนทุกคน ไม่ควรมีระบบผูกขาดโดยกลุ่มใดกลุ่มหนึ่งเพราะผู้ที่ถูกสังเวยคือประชาชนที่ไม่เคยรู้และไม่มีโอกาสเลือก ที่สําคัญคือ ประเทศไทยอันเป็นที่รักของทุกคนได้เสียโอกาสการพึ่งพาตนเองและมูลค่าทางเศรษฐกิจอย่างมหาศาล ผมขอส่งข่าวสารนี้ไปยังประชาชนคนไทยทุกคน และขอวิงวอนไปยัง ฯพณฯ นายกรัฐมนตรี ผู้มีอํานาจเด็ดขาดดังนี้

1. แก้ไขคําสั่งนายกรัฐมนตรีที่ 7/2564 ให้มีกรมการแพทย์แผนไทยและการแพทย์ทางเลือกเพื่อเป็นตัวแทนของการประกอบวิชาชีพการแพทย์แผนไทยอยู่ในคณะกรรมการด้วย

2. จัดให้มีแพทย์แผนไทยและการใช้ยาแผนไทยในระบบการรักษาผู้ป่วยโควิด-19

3. กําหนดเป็นนโยบายนําภูมิปัญญาการแพทย์แผนไทยและหมอพื้นบ้านไปใช้ในโรงพยาบาลสนามเพื่อให้ผู้ป่วยสามารถพึ่งพาตนเอง

4. กําหนดให้กรมการแพทย์แผนไทยและการแพทย์ทางเลือกรวบรวมข้อมูลเพื่อเพื่อที่จะใช้ให้ประโยชน์ เป็นที่ยอมรับของประชาชนต่อไป

จึงเรียนมาเพื่อให้ประชาชนรับทราบและขอความกรุณาเผยแพร่ไปยังสื่อมวลชนทุกแขนงเท่าที่สามารถจะทําได้เพื่อประชาสัมพันธ์ให้ประชาชนได้รับรู้ให้มากที่สุดอันจะยังประโยชน์ต่อแผ่นดินประเทศชาติและประชาชนสืบไป

10 พ.ค. 2564  ผู้จัดการออนไลน์

story

  • Staff
  • Hero Member
  • ****
  • กระทู้: 9760
    • ดูรายละเอียด
“รสนา” ตั้งคำถาม เหตุใดนายกฯ ไม่บูรณาการภูมิปัญญาด้านแพทย์แผนไทยตามที่บัญญัติไว้ในรัฐธรรมนูญ เรียกร้องทบทวนนโยบายและแผนงานด้านการแพทย์-สาธารณสุข สู้กับสถานการณ์โควิด-19 ให้ภูมิปัญญาแพทย์แผนไทยและแพทย์ทางเลือกมีส่วนร่วมอย่างเคียงบ่าเคียงไหล่
วันนี้ (9 พ.ค.) น.ส.รสนา โตสิตระกูล อดีตสมาชิกวุฒิสภา และผู้เสนอตัวลงสมัครรับเลือกตั้งเป็นผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร โพสต์ข้อความในเฟซบุ๊กแฟนเพจ รสนา โตสิตระกูล ในหัวข้อ เหตุใดนายกฯ ไทยไม่บูรณาการภูมิปัญญาด้านแพทย์แผนไทย ตามที่บัญญัติไว้ในรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย มีรายละเอียดว่า
ข่าวว่านายกฯ ไทยประกาศตั้งคณะกรรมการพิเศษเฉพาะกิจเพื่อบูรณาการการแพทย์ การสาธารณสุขไทยในช่วงโควิด-19 ยกเว้นการใช้ภูมิปัญญาด้านแพทย์แผนไทยเข้ามาแก้ไขปัญหา การไม่ให้อธิบดีกรมการแพทย์แผนไทยและการแพทย์ทางเลือก เข้ามาเกี่ยวข้องกับคณะกรรมการชุดนี้เลย เห็นได้ชัดเจนว่าขัดต่อบทบัญญัติในรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทยในรัชกาลปัจจุบัน

ดิฉันขอน้อมเกล้าอัญเชิญกลอนพระราชนิพนธ์สมเด็จพระกนิษฐาธิราชเจ้า กรมสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯสยามบรมราชกุมารี ดังนี้

สมุนไพร ไทยนี้ มีค่ามาก
พระเจ้าอยู่หัว ทรงฝาก ให้รักษา
แต่ปู่ย่า ตายาย ใช้กันมา
ควรลูกหลาน รู้รักษา ใช้สืบไป
เป็นเอกลักษณ์ ของชาติ ควรศึกษา
วิจัยยา ประยุกต์ใช้ ให้เหมาะสมัย
รู้ประโยชน์ รู้คุณโทษ สมุนไพร
เพื่อคนไทย อยู่รอด ตลอดกาล

กลอนพระราชนิพนธ์ดังกล่าว ย่อมเป็นเครื่องแสดงพระราชปณิธานแห่ง พระบาทสมเด็จพระบรมชนกาธิเบศร มหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร เป็นอย่างดีว่าทรงเห็นความสำคัญของภูมิปัญญาสมุนไพรไทยในระบบความมั่นคงด้านยาของประเทศ ดังทรงพระราชทานศูนย์การศึกษาพัฒนาเขาหินซ้อนแห่งชาติ เขาหินซ้อน อำเภอพนมสารคาม จังหวัดฉะเชิงเทรา มาตั้งแต่ พ.ศ. 2523 เพื่อให้ศูนย์แห่งนี้เป็นแหล่งศึกษาเรียนรู้ด้านสมุนไพรและพัฒนานำไปใช้เพื่อการรักษาและป้องกัน ส่งเสริมสุขภาพของประชาชนอย่างกว้างขวาง ดังข้อความในศิลาจารึก ด้านที่ 1 ณ สวนป่าสมุนไพรเขาหินซ้อน ว่า

“พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวภูมิพลอดุลยเดชมหาราช ทรงมีพระราชดำริว่าสมุนไพรอันเกิดในพระราชอาณาเขต มีสรรพคุณเป็นยารักษาโรคอย่างวิเศษมาแต่โบราณกาลนั้นนับวันจะลดน้อยถอยลงตามลำดับ เพราะขาดผู้อุปถัมภ์บำรุง ศึกษาให้ชัดเจน มิได้เป็นกาลต่อเนื่องแต่กาลก่อน จึงทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้ใช้พื้นที่เขาหินซ้อน อำเภอพนมสารคาม จังหวัดฉะเชิงเทรา จัดทำเป็นโครงการสวนป่าสมุนไพร”

ต่อมาในปี พ.ศ. 2525 จึงได้มีพิธีการเปิดศูนย์แห่งนี้อย่างเป็นทางการโดยพระบาทสมเด็จพระปรเมนทรรามาธิบดีศรีสินทรมหาวชิราลงกรณ พระวชิรเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 10 เมื่อครั้งยังทรงดำรงพระยศเป็นสมเด็จพระบรมโอรสาธิราชฯ สยามมกุฎราชกุมาร ดังข้อความในศิลาจารึกด้านที่ 2 ว่า

“วันที่ 25 สิงหาคม พ.ศ. 2525 ตรงกับวันพุธขึ้น 7 ค่ำ เดือน 10 ปีจอ ร.ศ. 201 ได้ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้สมเด็จพระบรมโอรสาธิราชฯ สยามมกุฎราชกุมาร เสด็จพระราชดำเนินแทนพระองค์ ทรงวางศิลาฤกษ์ สร้างการศิลาจารึก ณ โครงการสวนป่าสมุนไพร ศูนย์การศึกษาพัฒนาเขาหินซ้อนแห่งนี้”

เหนืออื่นใดกลอนพระราชนิพนธ์ดังกล่าว เป็นการแสดงพระราชวิสัยทัศน์อันลึกซึ้งและยาวไกลของสถาบันประมุขแห่งราชอาณาจักรไทยในการ “ส่งเสริมและสนับสนุนให้มีการพัฒนาภูมิปัญญาด้านแพทย์แผนไทยให้เกิดประโยชน์สูงสุด” ซึ่งปรากฏในรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทยภายใต้พระปรมาภิไธย พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว รัชกาลปัจจุบัน ดังนี้

“มาตรา ๕๕ รัฐต้องดําเนินการให้ประชาชนได้รับบริการสาธารณสุขที่มีประสิทธิภาพอย่างทั่วถึง เสริมสร้างให้ประชาชนมีความรู้พื้นฐานเกี่ยวกับการส่งเสริมสุขภาพและการป้องกันโรค และส่งเสริม และสนับสนุนให้มีการพัฒนาภูมิปัญญาด้านแพทย์แผนไทยให้เกิดประโยชน์สูงสุด

บริการสาธารณสุขตามวรรคหนึ่ง ต้องครอบคลุมการส่งเสริมสุขภาพ การควบคุม และป้องกันโรค การรักษาพยาบาล และการฟื้นฟูสุขภาพด้วย

รัฐต้องพัฒนาการบริการสาธารณสุขให้มีคุณภาพและมีมาตรฐานสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง”

ใจความสำคัญของมาตรานี้ ระบุชัดเจนว่า ให้รัฐ “ส่งเสริมและสนับสนุนให้มีการพัฒนาภูมิปัญญาด้านแพทย์แผนไทยให้เกิดประโยชน์สูงสุด” ตรงนี้ขอขีดเส้นใต้คำว่า “ให้เกิดประโยชน์สูงสุด” ซึ่งไม่ใช่สนับสนุนอย่างขอไปที ดังที่เป็นอยู่ในเวลานี้ และในวรรคหนึ่งของมาตรานี้ ยังระบุไว้ด้วยว่ารัฐต้อง “เสริมสร้างให้ประชาชนมีความรู้พื้นฐานเกี่ยวกับการส่งเสริมสุขภาพและการป้องกันโรค” โดยเฉพาะในยามวิกฤตโรคระบาดขณะนี้ การติดอาวุธทางความรู้ ความเข้าใจขั้นพื้นฐานด้านส่งเสริมสุขภาพและการป้องกันโรคให้แก่ประชาชนทั้งตามภูมิปัญญาการแพทย์แผนไทยและตามความรู้ด้านสุขภาพแผนตะวันตก เป็นสิ่งสำคัญยิ่งโดยรัฐบาลต้องเร่งจัดทำเป็นนโยบายและแนวทางปฏิบัติแบบบูรณาการทั้งการแพทย์แผนตะวันตกกับการแพทย์แผนไทยและการแพทย์ทางเลือก เพื่อขับเคลื่อนระบบสุขภาพแบบพหุลักษณ์ของไทยทั้งที่มีอยู่ในองค์กรภาครัฐเองและในองค์กรภาคประชาสังคมด้านสุขภาพ ในการต่อสู้กับภัยพิบัติทางสุขภาพอันใหญ่หลวงของสังคมไทยซึ่งทุกฝ่ายต้องทำงานในเชิงรุกร่วมกัน

และถ้ากลับยังหมวด 5 หน้าที่ของรัฐ ในมาตรา ๕๑ บัญญัติว่า “การใดที่รัฐธรรมนูญบัญญัติให้เป็นหน้าที่ของรัฐตามหมวดนี้ ถ้าการนั้น เป็นการทําเพื่อให้เกิดประโยชน์แก่ประชาชนโดยตรง ย่อมเป็นสิทธิของประชาชนและชุมชนที่จะติดตาม และเร่งรัดให้รัฐดําเนินการ รวมตลอดทั้งฟ้องร้องหน่วยงานของรัฐที่เกี่ยวข้อง เพื่อจัดให้ประชาชน หรือชุมชนได้รับประโยชน์นั้นตามหลักเกณฑ์และวิธีการที่กฎหมายบัญญัติ”

ดิฉันจึงเรียนมายังท่านนายกรัฐมนตรีเพื่อขอให้ทบทวนนโยบายและแผนงานด้านการแพทย์-สาธารณสุขในการเผชิญหน้ากับสถานการณ์โควิด-19 เพื่อให้ภูมิปัญญาการแพทย์แผนไทยและการแพทย์ทางเลือกที่มีมาตรฐานทางความรู้และประสบการณ์การใช้จริงเข้ามามีส่วนร่วมอย่างเคียงบ่าเคียงไหล่ในการกอบกู้ประเทศไทยให้พ้นจากมหันตภัยโรคระบาดในคราวนี้

9 พ.ค. 2564  ผู้จัดการออนไลน์