ผู้เขียน หัวข้อ: สุ่มตรวจน้ำมะนาวเทียม สธ.เปิดผลวิเคราะห์วัตถุกันเสียยังอยู่ในเกณฎ์กม.กำหนด/แนะดู“อย.”ก่อนซื้อ  (อ่าน 1049 ครั้ง)

ABBA

  • Hero Member
  • *****
  • กระทู้: 2105
    • ดูรายละเอียด
นายแพทย์สุรวิทย์ คนสมบูรณ์ รมช.สาธารณสุข เปิดเผยว่า ช่วงนี้มะนาวยังมีราคาแพง ทำให้ร้านอาหารหลายร้านลดต้นทุนการผลิตด้วยการหันมาใช้น้ำมะนาวเทียม ซึ่งเป็นวัตถุแต่งกลิ่นรสที่ผลิตขึ้นเพื่อทดแทนน้ำมะนาว โดยอาจมีการใช้กรดซิตริก แทนการใช้น้ำมะนาวบางส่วนหรือทั้งหมด

ทั้งนี้ตามประกาศกระทรวงสาธารณสุข (ฉบับที่ 223) พ.ศ.2544 ระบุว่า น้ำมะนาวเทียมจัดเป็นวัตถุกันเสียแต่งกลิ่นเลียนแบบธรรมชาติ ซึ่งต้องแสดงฉลากมีข้อความเป็นภาษาไทยที่ระบุชื่ออาหาร และข้อความว่า วัตถุแต่งกลิ่นรสเลียนธรรมชาติ เลขสารบบอาหาร วัตถุประสงค์หรือประโยชน์ในการใช้ วิธีใช้ ปริมาณสุทธิ ชื่อและที่ตั้งของผู้ผลิตหรือผู้แบ่งบรรจุ ชนิดและปริมาณของสีที่ผสม (ถ้ามี) คำแนะนำในการเก็บรักษา เดือนปีที่ผลิต หรือวันเดือนปีที่หมดอายุ
จากการรวบรวมข้อมูลผลการวิเคราะห์ทางเคมีของตัวอย่างน้ำมะนาวเทียม 30 ตัวอย่าง แบ่งเป็นตัวอย่างที่ได้จากสำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา และสำนักงานสาธารณสุขจังหวัด 23 ตัวอย่าง รับจากผู้ผลิต 3 ตัวอย่าง เก็บจากตลาด 4 ตัวอย่าง เพื่อตรวจวิเคราะห์วัตถุกันเสีย สีสังเคราะห์ และปริมาณกรดซิตริก มีผลการตรวจวิเคราะห์จากกรมวิทยาศาสตร์การแพทย์ดังนี้

พบวัตถุกันเสีย คือ กรดเบนโซอิก 9 ตัวอย่าง ในปริมาณตั้งแต่น้อยกว่า 20-370 มิลลิกรัมต่อกิโลกรัม พบสีสังเคราะห์เพื่อให้มีสีเหลือง เช่น ตาร์ตราซีน 25 ตัวอย่าง ในปริมาณ 1.3-5.8 มิลลิกรัมต่อกิโลกรัม และมีการเติมสีสังเคราะห์อื่น เช่น เอโซรูบีน ซันเซต เยลโลว์ เอฟซีเอฟ และปองโซ 4 อาร์ ในปริมาณ 0.1-0.6 มิลลิกรัมต่อกิโลกรัม พบปริมาณกรดซิตริก 3.3-10.8 มิลลิกรัมต่อ 100 มิลลิลิตร

ทั้งนี้ปริมาณวัตถุเจือปนอาหารที่พบ ไม่เกินกำหนดตามบัญชีท้ายประกาศกระทรวงสาธารณสุข ฉบับที่ 281 (พ.ศ.2547) ของอาหารทั่วไป คือ วัตถุกันเสียกรมเบนโซอิก ใช้ได้ไม่เกิน 1,000 มิลลิกรัมต่อกิโลกรัม สีตาร์ตราซีน ใช้ได้ไม่เกิน 70 มิลลิกรัมต่อกิโลกรัม

นายเพทย์สุรวิทย์ กล่าวว่า ผู้ประกอบการร้านอาหารหรือผู้บริโภค ควรเลือกใช้น้ำมะนาวเทียมที่ข้างขวดมีเครื่องหมาย อย. เท่านั้น ไม่ควรใช้น้ำมะนาวเทียมที่แบ่งขายใส่ถุง เพราะกระบวนการผลิตอาจไม่ได้มาตรฐาน ไม่ปลอดภัย ทำให้เกิดอาการท้องเสียได้ และอาจมีปริมาณกรดซิตริกสูงเกินมาตรฐาน ทำให้เกิดการระคายเคืองบริเวณเยื่อบุช่องปาก หลอดอาหาร กระเพาะอาหาร ลำไส้เล็ก หรือ บริเวณทวารหนักได้ ดังนั้นคนที่เป็นโรคกระเพาะอาหารหรือโรคกรดไหลย้อนควรระมัดระวัง

หนังสือพิมพ์แนวหน้า