ตามที่นายแพทย์สุรวิทย์ คนสมบูรณ์ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงสาธารณสุข จะเสนอคณะรัฐมนตรีให้เห็นชอบในหลักการและอนุมัติงบประมาณ
การจัดตั้งศูนย์บริการทางการแพทย์เชี่ยวชาญเฉพาะทางระดับสูง หรือเมดิคัลฮับ (Medical Hub) ในโรงเรียนแพทย์ต่างๆ นั้น แนวคิดดังกล่าวมีความน่าเป็นห่วงอะไรบ้าง การตีแผ่วิพากษ์ในทางวิชาการ เพื่อประกอบการร่วมตัดสินใจของประชาชนนั้นเป็นสิ่งที่จำเป็น
ประการแรก การเข้าถึงบริการสุขภาพเป็นสิทธิหรือสินค้า
มุมมองต่อสุขภาพมีสองขั้วใหญ่ๆ คือ
1. มุมมองด้านมนุษยนิยม มองว่าการเข้าถึงบริการสุขภาพเป็นสิทธิมนุษยชน ทุกคนไม่ว่ารวยหรือจน บ้านอยู่กรุงหรืออยู่บนดอย เชื้อชาติศาสนาใดๆ ก็ตาม มีบัตรประชาชนหรือไม่ก็ตาม ย่อมควรต้องมีสิทธิเสมอกันในการเข้าถึงบริการด้านสุขภาพ รัฐต้องจัดบริการให้ดีที่สุดโดยมีความเหลื่อมล้ำน้อยที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้ แนวคิดนี้มองว่าการเข้าถึงบริการด้านสุขภาพเป็นสิทธิมนุษยชนของทุกคน ประเทศที่เดินตามทิศทางนี้คือประเทศในยุโรป รวมทั้งประเทศไทยในช่วงเวลาที่ผ่านมา
2. มุมมองด้านวัตถุนิยม มองว่าการเข้าถึงบริการด้านสุขภาพเป็นสินค้า การไปรับบริการด้านสุขภาพเป็นเหมือนการซื้อเสื้อผ้า บริการสุขภาพควรมีทั้งอย่างหรูสำหรับคนมีเงิน มีอย่างปานกลางสำหรับคนทำงาน และมีอย่างสังคมสงเคราะห์สำหรับคนยากคนจน แม้ไม่มีเงินสังคมก็ควรได้รับการดูแลรักษา แนวคิดนี้ไม่ยอมรับความเท่าเทียมเพราะความจริงโลกนี้แตกต่าง และบริการสุขภาพก็ขายได้ เป็นสินค้าสำคัญที่สังคมต้องการ ประเทศที่เดินตามทิศทางนี้ คือ สหรัฐอเมริกาและหลายประเทศในละตินอเมริกา ซึ่งก็ได้รับอิทธิพลจากอเมริกานั่นเอง
คำถามแรก คือ แล้วแนวคิดเมดิคัลฮับนั้น ยึดถืออุดมคติข้อใดในการจัดบริการเป็นสำคัญ เห็นสุขภาพเป็นสิทธิหรือเป็นสินค้า
ประการที่สอง มุมมองเพื่อวิเคราะห์ว่าโรงพยาบาลใดเห็นสุขภาพเป็นสิทธิหรือเป็นสินค้า
ด้วยสภาพสังคมที่ซับซ้อนในปัจจุบัน การมองว่าโรงพยาบาลของรัฐนั้นจัดบริการเพื่อประโยชน์สาธารณะนั้นไม่จริงเสมอไป หรือจะมองว่าโรงพยาบาลเอกชนทุกแห่งเห็นสุขภาพเป็นสินค้าเท่านั้นก็อาจไม่ใช่ เพราะองค์กรเอกชนที่ทำเพื่อสังคมโดยไม่แสวงหากำไรก็มี
การเปิดเมดิคัลฮับจึงท้าทายจริยธรรมของโรงพยาบาลของรัฐนั้นๆ ว่า จะเป็นจุดเริ่มต้นของการผันตนเองไปเป็นโรงพยาบาลที่มีจุดมุ่งหมายเพื่อการแสวงหากำไรและละทิ้งอุดมการณ์เพื่อสาธารณะในระยะยาวต่อไปหรือไม่
ประการที่สาม แนวคิดโรบินฮู้ด ปล้นคนรวยเพื่อช่วยคนจน แค่ไหนจึงจะพอดี
เหตุผลประการสำคัญที่สมควรสร้างให้มี เมดิคัลฮับนั้น ก็เป็นไปเพื่อการเก็บเงินจากคนรวยคนต่างชาติที่มีอันจะจ่ายมาใช้ในการช่วยเหลือคนจน หรือแนวคิดแบบโรบินฮู้ดนั่นเอง ซึ่งโดยพื้นฐานเป็นแนวคิดที่น่าชื่นชม ศ.นพ. Jean-Pierre Unger แห่งสถาบันเวชศาสตร์เขตร้อนประเทศเบลเยียม ได้กล่าวไว้ว่า การหารายได้ของโรงพยาบาลแบบโรบินฮู้ดเพื่อนำมาพัฒนาโรงพยาบาลเป็นสิ่งที่ดี จำเป็นและทำได้ แต่ต้องยืนบนหลักการสำคัญสองประการให้มั่นคง กล่าวคือ
1. การหารายได้จากบริการนั้นๆ ต้องไม่ทำให้เกิดสองมาตรฐานในการให้บริการทางการแพทย์ คือ มาตรฐานคนรวยอย่างสูง มาตรฐานคนจนอย่างต่ำ ซึ่งขัดต่อจริยธรรมและจรรยาบรรณทางการแพทย์
2. ค่าบริการที่เก็บนั้นต้องเก็บให้สูงให้มีกำไรมากพอที่จะนำส่วนเกินไปช่วยคนจนได้จริง ไม่ใช่เพียงเพื่อพอจ่ายค่าน้ำค่าไฟค่าวัสดุและค่าตอบแทนแพทย์เท่านั้น หากไม่มีส่วนเหลือมากพอที่จะนำมาใช้เพื่อเกื้อกูลคนจนตามความตั้งใจเดิม ก็ไม่รู้จะจัดบริการนั้นไปทำไม ให้เอาแรงเอาทรัพยากรไปทำอย่างอื่นดีกว่า
จากสองหลักการนี้ รูปแบบของวิธีการแบบโรบินฮู้ดที่ดีที่สุดที่ปฏิบัติกันมาในทุกโรงพยาบาล ก็คือ การจัดบริการห้องพิเศษแก่คนที่พอจะจ่ายได้นั่นเอง โดยที่มาตรฐานการรักษาพยาบาลไม่แตกต่างจากเตียงสามัญ ต่างกันแต่ความสะดวกสบายของสิ่งอำนวยความสะดวกเท่านั้น และรายได้นั้นนำมาจัดบริการเพื่อช่วยเหลือคนจนต่อไป ซึ่งเป็นสิ่งที่สังคมและจริยธรรมทางการแพทย์ยอมรับได้
คำถามคือ แล้วเมดิคัลฮับ จะทำให้เกิดสองมาตรฐานในโรงพยาบาลนั้นๆ หรือไม่ หากมีเมดิคัลฮับแล้ว จริงหรือไม่ที่จะทำให้คนต่างชาติหรือคนมีฐานะได้แซงคิวผ่าตัดก่อน มียาสองบัญชี มีแนวทางการรักษาโรคตามความสามารถในการจ่ายเงิน มีเครื่องมือราคาแพงที่คนไม่จ่ายเงินพิเศษไม่มีสิทธิได้บริการ หรือคนไทยได้ตรวจกับนักเรียนแพทย์หรือแพทย์ฝึกหัด แต่ฝรั่งได้ตรวจกับอาจารย์แพทย์ฝีมือดี แพทย์มือดีก็มีแค่สองมือมีเวลาแค่ 24 ชั่วโมง เช่นนี้แล้วคนไทยที่ไม่รวยจริงจะได้ตรวจกับใคร หากเกิดสองมาตรฐานเช่นนี้ ก็ถือว่าผิดหลักจริยธรรมทางการแพทย์ เนื่องจากเมดิคัลฮับนั้นเป็นแนวคิดที่ตามก้นอเมริกา จึงมีแนวโน้มอย่างยิ่งที่จะเกิดสองมาตรฐานเช่นนี้ในโรงพยาบาล
ประการที่สี่ การเอาเมดิคัลฮับไปตั้งในโรงเรียนแพทย์ ส่งผลดีผลเสียต่อการผลิตแพทย์อย่างไร
โรงเรียนแพทย์คือหัวใจห้องสำคัญของระบบบริการสุขภาพ เพราะมีหน้าที่ในการผลิตแพทย์ออกมาทำหน้าที่เป็นหมอที่ดีของสังคม มีจริยธรรม มีความรู้ มีเหตุผล มีความรับผิดชอบ เข้าใจสภาพสังคมและที่สำคัญ คือ มีความเห็นอกเห็นใจในเพื่อนมนุษย์ด้วยกัน ทุ่มเทให้เขาทุกคนพ้นจากความเจ็บป่วยไม่ว่ารวยหรือจน แต่เมดิคัลฮับมีแนวโน้มที่จะเน้นรักษาคนต่างชาติและคนรวยเป็นสำคัญ การสั่งตรวจเกินจำเป็นเกินมาตรฐานทางการแพทย์เพื่อการหารายได้และตอบสนองความต้องการของผู้ป่วยทั้งๆ ที่ไม่มีข้อบ่งชี้ทางการแพทย์เป็นปกติของการแพทย์ที่เห็นสุขภาพเป็นสินค้า การมีสองมาตรฐานในการรักษา
รวมทั้งการที่นักศึกษาจะได้เห็นวิถีแห่งแพทย์พาณิชย์ตลอด 6 ปีในโรงเรียนแพทย์ เช่นนี้แล้วจะสามารถสอนแพทย์ให้มีจริยธรรม มีความมีเหตุมีผล มีความเสียสละ มีอุดมคติในการรับใช้สังคมได้อย่างไร
หากจะตั้งเมดิคัลฮับเพื่อการหารายได้เข้าประเทศจริงๆ เราหลีกเลี่ยงไม่ได้แล้วจริงๆ ทรัพยากรด้านการบริการสุขภาพมีเหลือเฟือแล้วจริงๆ ก็ควรตั้งโรงพยาบาลพิเศษขึ้นมาเพื่อการนี้ แล้วจัดบริการแข่งกับเอกชน แต่ต้องไม่ไปตั้งในโรงเรียนแพทย์ ซึ่งมีหน้าที่หลักในการสอนแพทย์ให้มีอุดมคติของการดูแลผู้ป่วยโดยไม่แบ่งแยก การเรียนรู้ด้วยการซึมซาบในวิถีแห่งแพทย์พาณิชย์ที่ซึมลึกเข้าสู่โรงเรียนแพทย์แล้วนั้น คือหายนะที่สำคัญที่สุดอันหนึ่งของระบบแพทยศาสตร์ศึกษาในปัจจุบัน
บทสรุปของเมดิคัลฮับ คือ การแปรรูปโรงพยาบาลไทยสู่การเป็นสองมาตรฐาน
จากบทวิเคราะห์ทั้ง 4 ประการ น่าจะพอเห็นชัดเจนว่า เมดิคัลฮับยืนในมุมที่เห็นสุขภาพเป็นสินค้าที่ขายได้ทำกำไรได้ เมดิคัลฮับมีแนวโน้มที่จะนำพาโรงพยาบาลของรัฐที่ควรเป็นไปเพื่อประโยชน์สาธารณะไปสู่การเป็นโรงพยาบาลของรัฐที่มุ่งแสวงหาผลกำไรในอนาคต เมดิคัลฮับจะทำให้เกิดระบบบริการสองมาตรฐานอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ และเมดิคัลฮับในโรงเรียนแพทย์จะทำให้วิถีแห่งแพทย์พาณิชย์ซึมลึกสู่นักศึกษาแพทย์จนสูญเสียอัตลักษณ์และอุดมคติของการเป็นแพทย์ที่ดี ทั้งนี้ ยังไม่ได้นับรวมถึงปัญหาผลข้างเคียงที่จะตามมาจากปัญหาสมองไหลกลับจากชนบทสู่เมือง ปัญหาความเหลื่อมล้ำจากการเข้าถึงบริการที่กระจุกตัวในเมืองใหญ่ ปัญหาการเสียดุลการค้าจากการนำเข้าเทคโนโลยีราคาแพงที่ไม่สมเหตุผลทางการแพทย์ เป็นต้น
หากเราไม่เห็นด้วยกับการแปรรูปรัฐวิสาหกิจ เช่น การไฟฟ้า หรือ ปตท. และไม่เห็นด้วยกับการแปรรูปมหาวิทยาลัยของรัฐ ก็ไม่เห็นว่ามีเหตุผลใดที่ควรจะเห็นด้วยกับการแปรรูปโรงพยาบาลของรัฐหรือโรงเรียนแพทย์ของรัฐในนามของ เมดิคัลฮับ เพราะเป็นตรรกะอันเดียวกัน
หากคนไทยจะมุ่งหวังให้สุขภาพไม่ใช่สินค้า ไม่ต้องการการแพทย์สองมาตรฐาน ประเทศไทยก็ต้องหยุดนโยบายในการสนับสนุนให้โรงเรียนแพทย์หรือโรงพยาบาลต่างๆ เป็นเมดิคัลฮับโดยทันที เพราะหากก้าวพลาดไปอีก แล้วจะกู่ไม่กลับ วันนี้ยังไม่สายจนเกินไป
นพ.สุภัทร ฮาสุวรรณกิจ
กรุงเทพธุรกิจ 10 กุมภาพันธ์ 2555