แสดงกระทู้

This section allows you to view all posts made by this member. Note that you can only see posts made in areas you currently have access to.


Messages - story

หน้า: 1 ... 545 546 [547] 548 549 ... 651
8191
  ประเทศไทยผ่านช่วงเวลาแสนบอบช้ำ ทั้งจากภัยคุกคามทางธรรมชาติ และปัญหาการเมืองที่ร้อนระอุ ทำให้หลายคนอาจลืมไปแล้วว่า เหตุการณ์ความไม่สงบในชายแดนใต้ยังคงมีข่าวสะเทือนใจอยู่เสมอ
       หนึ่งในอาชีพที่ตกอยู่ภายใต้ความเสี่ยงของเหตุการณ์ดังกล่าว ซึ่งต้องเผชิญกับผู้ป่วย ผู้บาดเจ็บ ไม่เว้นแต่ละวัน ก็คือ อาชีพพยาบาล ซึ่งนับวันพยาบาลในชนบทยิ่งขาดแคลนเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ
       
       กระนั้น สีตีฮายา วาหลง พยาบาลสาว ก็ยังยืนหยัดที่จะอยู่กับชุมชนในพื้นที่ชายแดนใต้อย่างเต็มใจ โดยเธอเล่าว่า เธอก้าวเข้าสู่สายการศึกษาพยาบาลวิชาชีพจากทุนการศึกษาในโครงการ “จีเอสเค พยาบาลเพื่อชุมชน” รุ่นที่ 4 ในวิทยาลัยพยาบาลพระบรมราชชนนี นราธิวาส แล้วประจำการที่โรงพยาบาล (รพ.) เจาะไอร้อง จ.นราธิวาส โดยปัจจุบันมุ่งมั่นทำงานอย่างเต็มกำลัง เพื่อรับใช้สังคมที่กำลังขาดแคลน บุคลากรทางการแพทย์และสาธารณสุข เพียงแค่ดำรงอยู่เพื่อช่วยเหลือผู้ป่วยนับร้อยนับพัน ที่เผชิญกับโรคร้ายและอาการป่วยอีกหลายสาเหตุ ซึ่งเธอเองภูมิใจกับภาระงานอันหนักหน่วงอย่างมาก

       “ตลอดชีวิตของการเป็นพยาบาลมาจนปัจจุบัน รู้สึกว่า การได้ช่วยเหลือชีวิตคนเป็นสิ่งที่ยิ่งใหญ่มาก แม้ว่าชีวิตการทำงานในช่วงแรกๆ จะมีอันตรายรอบด้าน ต้องอยู่ในความเสี่ยง ก็ต้องอดทนเพื่อให้ประชาชนเข้าถึงการรักษาได้ เพราะตระหนักว่าเราคือ พยาบาลที่มีหน้าที่ให้บริการด้านสาธารณสุขให้กับคนในชุมชน โดยมีแนวคิดในการทำงาน ว่า เราไม่จำเป็นต้องให้การพยาบาลอยู่ในเฉพาะสถานบริการเท่านั้น เราเป็นพยาบาลทั้งกายและใจ พร้อมให้การดูแล ช่วยเหลือทุกเมื่อกับคนทุกชนชั้น แม้แต่ในเหตุการณ์ฉุกเฉินทุกสถานการณ์ ก็เพื่อการเข้าถึงคุณภาพชีวิตที่ดีของผู้ป่วย” พยาบาลสาว เท้าความ
       
       ขณะที่นักศึกษาพยาบาลทุนรุ่นที่ 12 อย่าง ขวัญนภา รัตนะ หรือ ฟาร่า นักศึกษาวิทยาลัยพยาบาลบรมราชชนนี ยะลา เผยถึงโอกาสและความหวังหลังจากที่ได้รับทุนว่า ภูมิใจที่ได้รู้ว่าตนได้รับเลือกให้ได้ทุน เพราะอยากเป็นพยาบาล และคิดว่า เมื่อสำเร็จการศึกษาก็จะปฏิบัติหน้าที่ในโรง พยาบาลบ้านเกิดที่ยะลา เพราะเห็นว่าไม่ค่อยมีพยาบาลมากเท่าไร ส่วนในเรื่องสถานการณ์ความไม่สงบยอมรับว่าหวั่นใจเล็กน้อย
       
       “ถ้าพูดถึงสถานการณ์ความไม่สงบในพื้นก็กังวล แต่ยิ่งมีความรุนแรง ก็ยิ่งมีผู้ป่วยที่ต้องการใช้บริการโรงพยาบาลมากขึ้น เมื่อจบมากก็อยากจะมาทำงานที่ยะลา และคิดว่าพยาบาลที่จะมาทำงานที่จังหวัดนี้คงน้อยเพราะข่าวของความไม่ปลอดภัย และด้วยความที่ตนเองเป็นคนในพื้นที่อยู่แล้วจึงรู้ว่าสถานการณ์ปลอดภัยระดับไหน หรือต่อให้ไม่ปลอดภัยจริงๆ แต่ด้วยวิชาชีพแล้วเราควรจะต้องทำหน้าที่ของเราเพื่อช่วยชีวิตคน ถ้าคิดในมุมของผู้ป่วยเมื่อเขามาถึงโรงพยาบาลเขาต้องการการรักษาต้องการกำลังใจ เราซึ่งเป็นพยาบาลก็ต้องทำหน้าที่ให้เต็มที่” ขวัญนภา กล่าวอย่างภาคภูมิ

       ขณะที่ นพ.สมควร หาญพัฒนชัยกูร ผู้อำนวยการสถาบันพระบรมราชชนก กระทรวงสาธารณสุข (สธ.) กล่าวถึงสถานการณ์พยาบาลวิชาชีพในไทย ว่า ปัญหาการขาดแคลนบุคลากรด้านพยาบาลเป็นปัญหาเรื้อรังมานาน โดยหากเทียบอัตราพยาบาลกับผู้ป่วยแล้ว ขณะนี้พบว่า พยาบาล 1 คน ต้องทำหน้าที่ดูแลผู้ป่วยเฉลี่ย 400 คน ซึ่งเป็นอัตราค่อนข้างมาก จึงเป็นที่มาของการเดินหน้าผลิตพยาบาลเพื่อชุมชน จากอดีตจนถึงปัจจุบันมี 11รุ่น จำนวน 512 คน และได้ออกปฏิบัติงานในโรงพยาบาลชุมชน (รพช.) โรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพประจำตำบล (รพ.สต.)และสำนักงานสาธารณสุขจังหวัด (สสจ.) กว่า 120 แห่ง ในพื้นที่ 52 จังหวัดทั่วประเทศ โดยพยาบาลทุกรุ่นต้องศึกษาในหลักสูตรเวชปฏิบัติทั่วไปที่ให้นักศึกษาทุนพยาบาลได้ศึกษา ซึ่งเป็นสาขาที่สอนให้พยาบาลสามารถตรวจรักษาโรคเบื้องต้น สั่งจ่ายยารักษาโรคทั่วไปได้เหมือนแพทย์
       
       ไม่ว่าจะผ่านไปกี่ปี และประเทศไทยจะอยู่ในสถานะใด อาชีพพยาบาลยังถือเป็นบทบาทสำคัญที่จะขับเคลื่อนระบบบริการสาธารณสุข เพื่อพยุงซึ่งชีวิตของผู้ป่วยทุกคนเสมอ และจากความทุ่มเทของพยาบาลวิชาชีพในทุกรุ่น ซึ่งต้องประจำอยู่ในชนบท อาจเป็นอีกตัวอย่างที่สะท้อนถึงปัญหาภาระงานอันหนักของบุคลากรสาธารณสุขอย่างชัดเจน ดังนั้น คงถึงเวลาแล้วที่กระทรวงสาธารณสุข จะต้องหาทางพัฒนาคุณภาพชีวิตของบุคลากรเหล่านี้อย่างจริงจัง

ASTVผู้จัดการออนไลน์    6 มกราคม 2555

8192
สพฉ. เผยผลวิเคราะห์การช่วยเหลือผู้ป่วยฉุกเฉินจากเทศกาลปีใหม่ เข้าเป้าตามนโยบาย 3 เร็ว 2 ดี ชี้ช่วยเหลือได้ทันเวลา ลดยอดเจ็บ-ตายโดยไม่สมควร
         
นพ.ชาตรี เจริญชีวะกุล เลขาธิการสถาบันการแพทย์ฉุกเฉินแห่งชาติ (สพฉ.) กล่าวถึง การใช้มาตรการ 3 เร็ว 2 ดี เพื่อลดอัตราการเสียชีวิต ตามนโยบายของนายวิทยา บุรณศิริ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข คือ แจ้งเหตุผ่านสายด่วน 1669 เร็ว ชุดปฏิบัติการไปถึงที่เกิดเหตุได้รวดเร็ว ภายในเวลา 10 นาที นำผู้บาดเจ็บส่งโรงพยาบาลเร็ว แพทย์สามารถให้การรักษาเร็ว และคุณภาพการให้บริการดีทั้งในและนอกโรงพยาบาล ทั้งในภาวะปกติและภาวะภัยพิบัติ เพื่อลดอันตรายของการบาดเจ็บและการเสียชีวิตของประชาชน ในช่วงเทศกาลปีใหม่นั้น ทำให้สถิติผู้บาดเจ็บทั้งหมดที่นำส่งด้วยรถปฏิบัติการฉุกเฉินลดลง โดยผู้บาดเจ็บที่นำส่งด้วยรถปฏิบัติการฉุกเฉินทั้งสิ้น 5,193 ราย เสียชีวิต 188 ราย หรือคิดเป็นร้อยละ 3.49 (ปี2554 คิดเป็นร้อยละ 9.55) ซึ่งแสดงให้เห็นว่าการใช้มาตรการดังกล่าวมีผลที่น่าพอใจ อย่างไรก็ตามจะปรับปรุงให้มีการใช้นโยบายที่เข้มแข็งมากยิ่งขึ้น เพื่อลดอัตราการเสียชีวิตของผู้ป่วยฉุกเฉิน
       
       นอกจากนี้ จากการปฏิบัติการการแพทย์ฉุกเฉินในช่วงเทศกาลปีใหม่โดยยึดหลัก 3 เร็ว 2 ดี ทีมกู้ชีพ และทีมแพทย์ฉุกเฉินทั้งในส่วนของรพ.สังกัดกระทรวงสาธารณสุข ภาคเอกชน มูลนิธิ และองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น สามารถให้ความช่วยเหลือได้รวดเร็วภายใน 10 นาที ได้มากกว่าเป้าหมายที่กำหนดไว้ คือ ร้อยละ 84.63 ซึ่งมีผลทำให้การเสียชีวิตที่ไม่สมควรลดลง อย่างไรก็ตามผู้ป่วยฉุกเฉินหรือประสบอุบัติเหตุ สามารถโทรแจ้งสายด่วน 1669 ได้ตลอด 24 ชั่วโมง ซึ่งจะมีทีมแพทย์ฉุกเฉินให้ความช่วยเหลือไม่ว่าจะเป็นในช่วงเทศกาลหรือในภาวะปกติ

ASTVผู้จัดการออนไลน์    6 มกราคม 2555

8193
เลขาฯ สช.ชี้มติที่ประชุม คสช.ยกเลิกเกณฑ์สนับสนุนการจัดสมัชชาสุขภาพเฉพาะพื้นที่ฯ ไม่กระทบระบบขับเคลื่อนนโยบายฯ ย้ำที่ประชุมเสนอหลักเกณฑ์ใหม่ฯ ช่วยให้มีการปรับปรุงที่ดี
       
       จากรณีที่มติของที่ประชุม คณะกรรมการสุขภาพแห่งชาติ (คสช.) ครั้งที่ 1/2555 เมื่อวานนี้ (5 ม.ค.) ซึ่งมีพล.ต.อ.โกวิท วัฒนะ รองนายกรัฐมนตรี เป็นประธานการประชุมเห็นชอบให้ยกเลิกประกาศคณะกรรมการสุขภาพแห่งชาติ เรื่อง หลักเกณฑ์และวิธีการในการจัดและการสนับสนุนการจัดสมัชชาสุขภาพแห่งชาติ เรื่อง หลักเกณฑ์และวิธีการในการจัดและการสนับสนุนการจัดสมัชชาสุขภาพเฉพาะพื้นที่ หรือสมัชชาสุขภาพเฉพาะประเด็น พ.ศ. .... นั้น
       
       วันนี้ (6 ม.ค.) นพ.อำพล จินดาวัฒนะ เลขาธิการสำนักงานคณะกรรมการสมัชชาสุขภาพแห่งชาติ กล่าวถึงกรณีดังกล่าวว่า การยกเลิกหลักเกณฑ์ดังกล่าวไม่มีผลในทางปฏิบัติของสมัชชาสุขภาพฯ แต่อย่างใด ทาง คสช.ไม่ได้ยุบหลักเกณฑ์โดยปริยาย แต่เป็นการปรับเปลี่ยนเล็กน้อย เป็นเรื่องธรรมดารของการเปลี่ยนแปลงนโยบายที่ธรรมดาในทุกรัฐบาลอยู่แล้ว เนื่องจากการยกเลิกประกาศฯใหม่ที่ใช้มา 4 ปีแล้ว ถือว่าเป็นการปรับปรุงระบบการทำงาน โดยในที่ประชุมมีการเสนอหลักเกณฑ์ใหม่ขึ้นมาในปีพุทธศักราชใหม่ เพื่อแทนที่ ซึ่งตนจะเสนอให้ประธาน คสช.ลงนามรับทราบประมาณสัปดาห์หน้า
       
       ทั้งนี้ สำหรับประเด็นในหลักเกณฑ์ใหม่นั้น จะเน้นที่การขยายความ หมายบางส่วน เช่น กรณีการจำกัดความคำว่า “พื้นที่” ในประกาศฉบับใหม่ ก็จะมีความหมายกว้างขึ้นกว่าเดิม คือ ไม่ได้หมายถึงแค่พื้นที่ทางภูมิศาสตร์ หรือเส้นแบ่งเขตการปกครอง แต่จะหมายรวมถึงพื้นที่ทางวัฒนธรรม ทางลุ่มน้ำ ทางประเพณี ด้วยเพื่อให้ครอบคลุมมากขึ้น รวมทั้งมีการกำหนดระเบียบและรูปแบบการประชุมของสมัชชาสุขภาพระดับพื้นที่ขึ้นมาด้วย เพื่อที่จะให้รูปแบบการประชุมขับเคลื่อนนโยบายเป็นไปในทิศทางเดียวกัน ซึ่งโดยส่วนตัวมองว่าไม่ใช่เรื่องใหญ่ที่จะทำให้การขับเคลื่อนนโยบายต้องสะดุดหรือมีปัญหาใดๆ
       
       อนึ่ง ในที่ประชุมได้เห็นชอบให้แต่งตั้งคณะกรรมการจัดสมัชชาสุขภาพแห่งชาติ พ.ศ. 2555 ที่มีนางศิรินา ปวโรฬารวิทยา กรรมการสุขภาพแห่งชาติเป็นประธานกรรมการ มีเลขาธิการคณะกรรมการสุขภาพแห่งชาติเป็นกรรมการและเลขานุการ มีกรรมการไม่เกิน 40 คน โดยมีอำนาจหน้าที่ ดังต่อไปนี้
1. วางแผนการจัดสมัชชาสุขภาพแห่งชาติ พ.ศ. 2555
2. เชื่อมประสานกับกระบวนการทำงานระหว่างกันให้เกิดประโยชน์สูงสุด
3. อำนวยการ ติดตามและกำกับการจัดสมัชชาสุขภาพแห่งชาติ พ.ศ. 2555 ให้เป็นที่เรียบร้อย
4. ดำเนินการรวบรวมข้อเสนอนโยบายสาธารณะเพื่อสุขภาพจากสมัชชาสุขภาพแห่งชาติ เสนอต่อคณะกรรมการสุขภาพแห่งชาติเพื่อผลักดันสู่การปฏิบัติ
5. แต่งตั้งคณะอนุกรรมการและคณะทำงาน เพื่อดำเนินการ

ASTVผู้จัดการออนไลน์    6 มกราคม 2555

8194
เมื่อวันที่ 5 มกราคม นางปรียนันท์ ล้อเสริมวัฒนา ประธานเครือข่ายผู้เสียหายทางการแพทย์ กล่าวภายหลังยื่นหนังสือถึงพลเอก ธีรเดช มีเพียร ประธานวุฒิสภา ในการขอคัดค้านการจัดงานสัมมนาของหน่วยงานในสังกัดวุฒิสภากรณีร่างพระราชบัญญัติ (พ.ร.บ.) คุ้มครองผู้เสียหายจากการรับบริการสาธารณสุข พ.ศ.. ที่รัฐสภา โดยมีเครือข่ายผู้เสียหายฯ ร่วมคัดค้านเดินทางมาด้วยราว 20 คน ว่า เครือข่ายผู้เสียหายทางการแพทย์ ทราบว่าคณะอนุกรรมาธิการติดตามและตรวจสอบการบังคับใช้กฎหมายในวิชาชีพเวชกรรม คณะกรรมาธิการสาธารณสุข วุฒิสภา ร่วมกับกระทรวงสาธารณสุข (สธ.) แพทยสภา และคณะแพทยศาสตร์มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ จะร่วมกันจัดงานสัมมนาในหัวข้อ กฎหมายที่มีผลกระทบต่อการประกอบวิชาชีพด้านสาธารณสุขในปัจจุบันและอนาคตŽ ในวันพุธที่ 11 มกราคมนี้ ที่คณะแพทยศาสตร์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ ซึ่งตนมองว่า ห้วงเวลานี้ไม่ควรมาพูดเรื่องนี้แล้ว แต่ควรเดินหน้าหาความร่วมมือในการทำร่างกฎหมายดังกล่าวสู่การบังคับใช้จริง ประเด็นไหนข้องใจก็ควรมาหารือกัน แก้ไขกันได้ เพื่อทุกฝ่ายจะดีกว่า ทำแบบนี้เหมือนเดินถอยหลัง

นางปรียนันท์กล่าวว่า จากรายละเอียดของกำหนดการสัมมนา พบว่าเนื้อหาการสัมมนามีการนำเสนอประเด็นความขัดแย้งในข้อกฎหมายของร่าง พ.ร.บ.ซึ่งปัจจุบันเป็นวาระรอการพิจารณาในสภา โดยกรณีร่าง พ.ร.บ.ดังกล่าวนั้นยังไม่มีข้อยุติ ยังเป็นวาระการพิจารณาของสภา การจัดงานสัมมนา ครั้งนี้อาจจะเป็นการจุดกระแสความขัดแย้งเพิ่มขึ้น นอกจากนี้ เครือข่ายยังขอเข้าพบนายอุดมเดช รัตนเสถียร ประธานวิปรัฐบาล และนายจุรินทร์ ลักษณวิศิษฏ์ ประธานวิปฝ่ายค้าน ในการขอให้เร่งการพิจารณา ร่าง พ.ร.บ.คุ้มครองผู้เสียหายฯด้วย

มติชนออนไลน์  5 มกราคม พ.ศ. 2555

8195
พบผู้ป่วยสมองเสื่อมในปี 53 ทั่้วโลก 35 ล้านราย ขณะไทยสุ่มตรวจคัดกรองผู้มีอายุ 60 ปี กว่า 2 หมื่นราย ระหว่างปี 51-52 พบภาวะสมองเสื่อม 12.4%
       
       วันนี้ (5 ม.ค.) สมาคมผู้ดูแลผู้ป่วยสมองเสื่อม ร่วมกับเครือข่ายภาคีกว่า 50 องค์กร แถลงข่าวเตรียมเป็นเจ้าภาพจัดการประชุมเชิงวิชาการ เรื่อง ภาวะสมองเสื่อม และการประชุมภาคพื้นเอเชียแปซิฟิก ขององค์การอัลไซเมอร์นานาชาติ ครั้งที่ 14 ระหว่างวันที่ 11-13 มกราคม 2555 โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อมุ่งพัฒนาคุณภาพชีวิตของผู้ป่วยสมองเสื่อม และครอบครัวให้ดีขึ้น และผลักดันการดูแลผู้ป่วยสมองเสื่อมให้เป็นนโยบายสุขภาพระดับชาติ
       
       พญ.สิรินทร ฉันศิริกาญจน หัวหน้าหน่วยเวชศาสตร์ผู้สูงอายุ ภาควิชาอายุรศาสตร์ คณะแพทยศาสตร์ โรงพยาบาลรามาธิบดี และนายกสมาคมผู้ดูแลผู้ป่วยสมองเสื่อม กล่าวว่า รายงานขององค์การโรคอัลไซเมอร์ระหว่างประเทศ ปี 2553 ระบุว่า มีผู้ป่วยโรคสมองเสื่อมทั่วโลกมากกว่า 35 ล้านคน อยู่ในเอเชีย 2.4 ล้านคน ในประเทศไทยจากรายงานการสำรวจสุขภาพประชาชนไทยโดยตรวจร่างกาย ครั้งที่ 4 พ.ศ.2551-2552 โดยสำนักงานสำรวจสุขภาพประชาชนไทย สถาบันวิจัยระบบสาธารณสุุข ทำการสำรวจประชาชนจำนวน 21,960 คน มีผู้ที่อายุมากว่า 60 ปีขึ้นไป จำนวน 9,720 คน พบว่า มีภาวะสมองเสื่อม 12.4% โดยในผู้ชายพบ 9.8% ผู้หญิง 15.1% แบ่งตามช่วง
อายุ 60-69 ปี อยู่ที่ 7.1%
อายุ 70-79 ปี อยู่ที่ 14.7% และ
อายุ 80 ปี พบสูงถึง 32.5%
ขณะที่ผลการสำรวจประชากรสูงอายุ ปี พ.ศ.2553 สัดส่วนผู้สูงอายุอยู่ที่ 12% และประมาณการว่า จะเพิ่มขึ้นถึง 17% ในปี 2563 โโยประมาณแล้วผู้ป่วยโรคสมองเสื่อมในไทยมีประมาณ 3 แสนราย ถือว่าเป็นตัวเลขทีี่ไม่น้อย และที่น่าเป็นห่วง คือ ผู้ป่วยรวมทั้งญาติและคนในครอบครัวไม่ทราบว่าป่วยเป็นโรคสมองเสื่อม พร้อมทั้งในปี 2555 นี้ สมาคมซึ่งเป็นสมาชิกของสมาคมอัลไซเมอร์นานาชาติ (ADI) ได้รับเป็นเจ้าภาพในการประชุมทางวิชาการ เรื่องภาวะสมองเสื่อมและการประชุมภาคพื้นเอเชียนแปซิฟิกขององค์การอัลไซเมอร์นานาชาติ ครั้งที่ 14
       
       “การประชุมครั้งนี้มีกลุ่มเป้าหมาย คือ เครือข่ายผู้ป่วย ผู้ปฏิบัติงาน นักวิชาการ เจ้าหน้าที่สาธารณสุข ผู้ดูแลและครอบครัวของผู้ป่วยภาวะสมองเสื่อม อาสาสมัครสาธารณสุข สมาชิกชมรมผู้สูงอายุ เครือข่ายภาคประชาสังคม สื่อมวลชน นิสิต นักศึกษา นักเรียน และประชาชนที่สนใจ โดยจะแบ่งออกเป็น 2 ส่วน คือ การประชุมวิชาการ สำหรับภาคสมาชิกขขององค์กรอัลไซเมอร์ภาคพื้นเอเชียแปซิฟิก ได้แก่ แพทย์ พยาบาล ผู้ดูแลผู้ป่วย ซึ่งจะมุ่งเน้นเนื้อหาวิชาการด้านการป้องกัน การวินิจฉัยเบื้องต้น การดูแลผู้ป่วยสมองเสื่อม การทำเวิร์กชอปและการนำเสนอรายงานภายใต้แนวคิด “ร่วมมือร่วมใจต้านภัยสมองเสื่อม (it's Time for Action) และอีกส่วนหนึ่ง คือ นิทรรศการรักและเข้าใจ ห่วงใยผู้ป่วยสมองเสื่อมจัดขึ้นเพื่อภาคประชาชน โดยได้เชิญเครือข่ายภาคประชาสังคม เครือข่ายผู้ดูแลผู้ป่วยสมองเสื่อมแลกเปลี่ยนประสบการณ์ เปิดโอกาสให้ผู้เข้าชมมีส่วนร่วมในการใช้สื่อนวัตกรรม การถามตอบ การสาธิต การทดสอบต่างๆ ที่มีเนื้อหาเกี่ยวกับการป้องกัน และชะลออาการสมองเสื่อม การคัดกรอง การรักษาและการดูแล ตลอดจนการเข้าถึงแหล่งข้อมูลที่เป็นประโยชน์ที่ครอบครัวสามารถเสริมพลังให้ผู้ป่วยสมองเสื่อมได้ โดยได้รับการสนับสนุนด้านความรู้และประสบการณ์จากหน่วยงานเครือข่าย อาทิ นวัตกรรมเพื่อการดูแลผู้ป่วยสมองเสื่อม โดยสถาบันโภชนาการ มหาวิทยาลัยมหิดล สถาบันทันตกรรม กรมการแพทย์ คณะวิศวกรรมศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย และมูลนิธิกระจกเงา” นายกสมาคม กล่าว
       
       พญ.สิรินทร กล่าวเสริมว่า หากจะให้ปัญหาเรื่องผู้ป่วยสมองเสื่อมดีขึ้น ควรจะหันมาใส่ใจสุขภาพมากขึ้นโดยการลดการทานอาหารหวานและมันจัด ทานข้าว และผักเยอะๆ ออกกำลังกายเพียงแค่เดินขึ้นลงบันไดก็ช่วยได้ แต่สำหรับผู้ที่ต้องดูแลผู้ป่วยหากไม่เข้าใจโรคควรจะไปปรึกาาแพทย์เพื่อที่จะได้อยู่ร่วมและเข้าใจผู้ป่วยมากขึ้น เพราะผู้ป่วยสมองเสื่อมต้องการการดูแลเอาใจใส่มากกว่าการทานยาเพราะยาช่วยให้อาการของโรคทรงตัวเพื่อให้ผู้ป่วยดูแลตัวเองได้เท่านั้น
       
       รศ.ดร.มานะ ศรียุทธศักดิ์ คณะวิศวกรรมศาสตร์ จุุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย กล่าวเพิ่มเติมในเรื่องของนวัตกรรมในการป้องกันอันตรายที่จะเกิดกับผู้ป่วยเมื่อหายไปจากที่พัก ว่า “เมื่อผู้ป่วยออกไปจากบ้าน มักจะประสบกับอุบัติเหตุและไม่สามารถช่วยเหลือตนเองได้ เช่น ในกรณีของอุทกภัย พบว่า มีผู้ป่วยหายไปจากบ้านเป็นจำนวนมาก บางรายก็พบแต่บางรายก็หาไม่พบเนื่องจากเป็นเรื่องยากที่จะตามหา ทางคณะวิศวกรรมศาสตร์ จุุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย จึงหารือกับสมาคม ประดิษฐ์นวัตกรรมที่จะช่วยตามหาผู้ป่วยเมื่อหาไป โดยจะมี 3 แบบดังนี้ เหรียญสำหรับห้อยคอ การ์ด ริสต์แบนด์ ซึ่งทั้ง 3 สิ่งนี้จะมีโค้ด และ ชิป ซึ่งข้อมูลภายในจะเป็นข้อมูลเบื้องต้น เช่น อายุ กรุ๊ปเลือด ยาที่แพ้ ข้อมูลนี้สำหรับประชาชนทั่วไปที่พบผู้ป่วย แต่หากเป็นเจ้าหน้าที่ของหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง และสมาคมจะเป็นข้อมูลของผู้ป่วยที่ลึกว่านี้ ที่ต้องแบ่งแยก ทั้งนี้ ก็เพื่อป้องกันอันตรายทีีจะเกิดกับผู้ป่วยและผู้ที่ดูแล

ASTVผู้จัดการออนไลน์    5 มกราคม 2555

8196
สธ.ร่วมมือตำรวจล่อซื้อบริการฉีด-นวด เพิ่มขนาดเจ้าโลก เคลื่อนที่ ผู้ต้องหารับสารภาพ ทำมานาน 3 เดือน เบื้องต้น ตร.ตั้งข้อหา เปิดสถานบริการเถื่อน-แพทย์เถื่อน เจอโทษหนัก
       
       วันนี้ (5 ม.ค.) เวลาประมาณ 12.30 น.ที่ลานจอดรถชั้น 2 ห้างสรรพสินค้าแห่งหนึ่ง นายพสิษฐ์ ศักดาณรงค์ ที่ปรึกษารัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข (สธ.) พร้อมด้วย นพ.สมชัย ภิญโญพรพาณิชย์ อธิบดีกรมสนับสนุนบริการสึขภาพ (สบส.) และ ร.ต.อ.กิตติเมศร์ โชติปิติเจริญรัฐ รองสารวัตรสืบสวนสอบสวนกองกำกับการสวัสดิภาพเด็กและสตรี (รองสว.สส
       .กก.ดส.บช.น.) นำกำลังบุกจับนายจักราวุธ แปรสนม อายุ 35 ปี ชาว จ.พิจิตร บริการฉีดและนวดเพิ่มขนาดอวัยวะเพศชายผิดกฎหมาย
       
       โดย ร.ต.อ.กิตติเมศร์ กล่าวว่า หลังจากเจ้าหน้าที่ตำรวจได้เบาะแส พบว่า มีการประชาสัมพันธ์บริการฉีดและนวดดังกล่าวผ่านใบปลิวและสติกเกอร์ ในที่สาธารณะ อย่างห้องน้ำชาย โดยระบุเบอร์โทรศัพท์ไว้อย่างชัดเจน จากนั้นจึงทำงการล่อซื้อบริการ ซึ่งสถานที่นัดเป็นลานจอดรถ ห้างสรรพสินค้าเซ็นทรัล ซึ่งจากการสอบสวนเบื้องต้น ผู้ต้องหารับสารภาพว่า มีการบริการฉีดเพิ่มขนาดแบบเคลื่อนที่ โดยใช้รถยนต์ส่วนตัว และนัดสถานที่ตามความสะดวกของลูกค้า เช่น ลานจอดรถ ห้องพัก โดยคิดค่าบริการครั้งละ 550 บาทต่อครั้ง และ 1 วัน มีการให้บริการประมาณ 3-5 ราย ซึ่งในการจับกุมครั้งนี้ มีการค้นพบของกลางเป็นยานวด เบบี้ออยล์ กวาวเครือ ยาวิตามินซี และ กระบอกฉีด โดยจะมีทั้งบริการนวดและฉีดยาเพิ่มขนาด
       
       ด้าน นายจักราวุธ กล่าวว่า ตนได้เปิดบริการมาแล้วราว 3 เดือน โดยลูกค้าที่เข้ามารับบริการมีอายุตั้งแต่ 18 ปีขึ้นไป โดยหากต่ำกว่านี้จะไม่ให้บริการ และส่วนมากจะมีปัญหาเรื่องหลั่งเร็ว ขนาดอวัยวะเพศเล็ก ซึ่งจะบริการเองโดยไม่มีผู้ช่วย ซึ่งมีคนสนใจอยากจะมาร่วมเปิดบริการด้วย แต่ยังไม่ได้ตอบตกลงเป็นเครือข่ายกับใคร
       
       นายพศิษฐ์ กล่าวว่า จากการจับกุมครั้งนี้ เจ้าหน้าที่ได้ตั้งข้อหาเบื้องต้น คือ เปิดสถานพยาบาลเถื่อนไม่ขออนุญาต ผิด พ.ร.บ.สถานพยาบาล พ.ศ.2541 ต้องโทษจำคุกไม่เกิด 3 ปี หรือปรับไม่เกิน 60,000 บาท หรือทั้งจำทั้งปรับ และ ผิด พ.ร.บ.วิชาชีพเวชกรรม พ.ศ.2525 คือ ไม่มีใบประกอบวิชาชีพเวชกรรม มีโทษจำคุกไม่เกิน 3 ปี ปรับไม่เกิน 30,000 บาท หรือทั้งจำทั้งปรับ หรือกล่าวง่ายๆ ว่า เป็นแพทย์เถื่อนนั่นเอง โดยทาง สธ.และเจ้าหน้าที่ตำรวจจะเร่งขยายผล เพื่อดำเนินคดีต่อไป เนื่องจากเชื่อว่าอาจมีเครือข่ายร่วมด้วย
       
       ขณะที่ นพ.สมชัย กล่าวว่า หลังจากรวบรวมของกลางได้แล้ว ทางเจ้าหน้าที่จำเป็นต้องรวบรวมหลักฐานเพื่อพิสูจน์ผลกระทบทางเภสัชของยาที่ผู้ต้องหาใช้ แมว้าบางตัวเป็นยาสมุนไพรก็จริง แต่บางครั้งไม่ได้รับอนุญาตจาก สำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา (อย.) จึงอาจเสี่ยงต่อการเกิดผลกระทบในเชิงลบได้ เช่น บางครั้งผู้ใช้บริการเกิดอาการแพ้ ก็อาจจะมีการเกิดเลือดคั่งในอวัยวะเพศได้ ทำให้ต้องผ่าตัด ซึ่งต้องพิสูจน์ต่อไปว่ามีผลต่อสุขภาพมากน้อยเพียงใด
       
       “อย่างไรก็ตาม ไม่อยากให้ผู้บริโภคหลงเชื่อคำโฆษณา ประชาสัมพันธ์ของบริการดังกล่าว โดยปราศจากการควบคุมของแพทย์ เพราะในความจริงการมีสุขภาพดีนั้น มาจากการดูแลตนเอง ทานอาหารที่มีประโยชน์ ออกกำลังกายและพักผ่อนอย่างเพียงพอ ก็ย่อมเป็นผลดีแล้ว” นพ.สมชัย กล่าว

ASTVผู้จัดการออนไลน์    5 มกราคม 2555

8197
สปสช.จัดงบ 1 พันล้าน พัฒนาศูนย์สุขภาพชุมชนเมืองปี 55 ตั้งเป้า รพศ.รพท.ทั่วประเทศตั้ง 243 แห่ง ใกล้เมืองมีหมอประจำครอบครัว
       
       นพ. วินัย สวัสดิวร เลขาธิการสำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ (สปสช.) กล่าวว่า ตามที่รัฐบาลมีนโยบายเร่งด่วนเรื่องการพัฒนาระบบหลักประกันสุขภาพ มุ่งเน้นการพัฒนาหน่วยบริการสุขภาพระดับปฐมภูมิ หรือเบื้องต้นทั้งในเขตเมืองและในชนบท ซึ่งกระทรวงสาธารณสุขได้ดำเนินการตอบสนองนโยบายด้วยการพัฒนาศูนย์สุขภาพชุมชนเมือง (ศสม.) เพื่อบริการสาธารณสุขในเขตเมือง ลดความแออัดของ รพ.ใหญ่ และเป็นศูนย์บริการสาธารณสุขใกล้บ้านใกล้ใจ โดยกำหนดให้รพ.ศูนย์ และ รพ.ทั่วไปจัดตั้ง ศสม.2-3 แห่ง ดังนั้น เพื่อเป็นการตอบสนองนโยบายรัฐบาลและการดำเนินการของกระทรวงสาธารณสุข สปสช.ได้สนับสนุนการพัฒนา ศสม.243 แห่ง โดยใช้งบประมาณ 1,000 ล้านบาท ซึ่งเป็นงบประมาณจากงบค่าเสื่อม งบสนับสนุน และส่งเสริมการจัดบริการและบริการปฐมภูมิ และงบบริการสร้างเสริมสุขภาพและป้องกันโรค
       
       เลขาธิการ สปสช.กล่าวต่อว่า ซึ่ง ศสม.นี้เป็นการจัดตั้งในเขตเทศบาลในพื้นที่รับผิดชอบของรพ.ศูนย์ และ รพ.ทั่วไป อยู่ในจุดที่ประชาชนเดินทางสะดวก ครอบคลุมประชากรไม่เกิน 30,000 คน ต่อ 1 ศูนย์ มีแพทย์เวชปฏิบัติครอบครัวประจำอย่างน้อย 1 คน ทีมสุขภาพ ได้แก่ เภสัชกร ทันตแพทย์ พยาบาล นักกายภาพภาพบำบัด หรือแพทย์แผนไทย เป็นต้น โดยมีเจ้าหน้าที่ 1 คน ดูแลประชากรไม่เกิน 1: 1,250 คน ซึ่งรพ.แม่ข่ายจะต้องบริหารจัดการให้มีบุคลากร งบประมาณ เครื่องมือแพทย์และระบบดูแลการรักษาที่มีประสิทธิภาพ
       
       “การสนับสนุนของ สปสช.ตามนโยบายของรัฐบาลและการดำเนินการของกระทรวงสาธารณสุขนั้น ก็เพื่อให้ประชาชนสามารถเข้าถึงบริการสาธารณสุขได้อย่างสะดวกรวดเร็ว และเหมาะสมกับภาวะสุขภาพและมั่นใจในการไปรับบริการที่ศูนย์สุขภาพชุมชนเมืองเป็นที่แรก เพื่อลดความแออัดที่แผนกบริการผู้ป่วยนอกของ รพ.ศูนย์และรพ.ทั่วไป และเพื่อให้มีศูนย์สุขภาพชุมชนเมืองใกล้บ้านใกล้ใจที่มีคุณภาพและมาตรฐานด้วย” นพ.วินัย กล่าว

ASTVผู้จัดการออนไลน์    5 มกราคม 2555

8198
หน่วยกู้ภัยฉุกเฉินในกรุงลอนดอนต้องรับสายโทรศัพท์แจ้งเหตุราว 600 สาย/ชั่วโมง ในช่วงคืนข้ามปี ขณะที่นักท่องเที่ยวชาวอังกฤษส่วนหนึ่งเมาหัวราน้ำต้อนรับปีใหม่ หนังสือพิมพ์เดลิเมล์รายงานข่าวที่ระบุว่าเป็นเรื่อง “น่าอาย” แม้จะผ่านมากี่ปี ชาวอังกฤษยังฉลองกันเมาเละเทะเหมือนเดิม
       
       หน่วยกู้ชีพทำงานตัวเป็นเกลียวตลอดคืนวันที่ 31 ธันวาคม-เช้าวันที่ 1 มกราคม ขณะที่ในย่านเคมบริดจ์ มีการตั้งหน่วยพยาบาลทหารรักษาดินแดนขึ้นเป็นกรณีพิเศษ เพื่อคอยจัดการกับนักดื่มที่เมาแล้วอาละวาด ด้านหน่วยรถพยาบาลลอนดอน ระบุว่า ช่วงที่เกิดเหตุสูงสุดในคืนข้ามปี มีคนโทรศัพท์แจ้งเหตุร้ายมากกว่า 600 ครั้ง ใน 1 ชั่วโมง สูงกว่าสถานการณ์ปกติถึง 3 เท่า
       
       ขณะที่ผู้คนเริ่มทยอยกลับบ้าน หลังจากรวมตัวกันฉลองปี 2012 ศูนย์กลางของเมืองต่างๆ ก็ปรากฏภาพความรุนแรงจากการวิวาทของคนเมา หรือกลายเป็นสถานที่พักชั่วคราวของคนที่สลบไสลคาพื้นถนน
       
       พนักงานหน่วยรถพยาบาลของกรุงลอนดอนต้องรับโทรศัพท์เกินกว่า 2,000 สาย ระหว่างช่วงคืนข้ามปีจนถึงเช้าตรู่วันปีใหม่ ส่วนตำรวจสกอตแลนด์ยาร์ดเปิดเผยว่า จับกุมผู้ก่อเหตุไม่สงบไป 77 คน
       
       ในกรุงลอนดอน ตั้งแต่เที่ยงคืนวันเสาร์ (31 ธ.ค.)-04.00 น. วันอาทิตย์ (1 ม.ค.) เจ้าหน้าที่หน่วยรถพยาบาลต้องรับโทรศัพท์เฉลี่ย 10 สาย/นาที มีคนถูกนำตัวส่งโรงพยาบาลอย่างน้อย 55 คน อย่างไรก็ตาม เจ้าหน้าที่รายงานว่า บรรยากาศส่วนใหญ่เต็มไปด้วยความสุข เมื่อนักท่องเที่ยวประมาณ 250,000 คน เฝ้าชมการจุดพลุฉลองปีใหม่ริมฝั่งแม่น้ำเทมส์
       
       ผู้ถูกจับกุมส่วนใหญ่ล้วนถูกดำเนินคดีทำร้ายร่างกาย หรือเมาแล้วก่อความไม่สงบ
       
       จอห์น ฮอปสัน หัวหน้าหน่วยกู้ชีพลอนดอน ให้สัมภาษณ์ไว้ว่า “ความต้องการหน่วยกู้ภัยสูงมากในช่วงเลยเที่ยงคืนไปแล้ว ส่วนใหญ่มีความมึนเมาเป็นสาเหตุ ... ช่วงที่ยุ่งสุดๆ เจ้าหน้าที่ของเรารับสายขอความช่วยเหลือมากถึง 638 ครั้ง ในชั่วโมงเดียว มันเพิ่มขึ้นถึง 255 เปอร์เซ็นต์จากช่วงปกติ”

ASTVผู้จัดการออนไลน์    2 มกราคม 2555

8199
 อย.เผย ผลิตภัณฑ์สำหรับนวดขนาดเล็ก มีผลเพียงนำมาถูนวดร่างกาย เพื่อให้เกิดความเพลิดเพลินเท่านั้น เตือนผู้ประกอบการที่จะนำเข้ามาจำหน่าย ต้องตรวจสอบรายละเอียดผลิตภัณฑ์ ก่อนนำเข้า หากมีการแสดงสรรพคุณทางการแพทย์ จะจัดเป็นเครื่องมือแพทย์ที่ต้องแจ้งรายการละเอียด และอาจเข้าข่ายเป็นเครื่องมือแพทย์ที่ไม่ปลอดภัยในการใช้ ซึ่งห้ามนำเข้า ผู้ฝ่าฝืนจะมีโทษหนักทั้งจำและปรับ พร้อมแนะผู้บริโภคพิจารณาให้ถ้วนถี่ก่อนเลือกซื้อมาใช้

ภาพประกอบข่าวจากอินเทอร์เน็ต
       นพ.พงศ์พันธ์ วงศ์มณี รองเลขาธิการคณะกรรมการอาหารและยา เปิดเผยว่า ในช่วงเทศกาลปีใหม่นี้ มีผู้ประกอบการจำนวนมากสนใจที่จะนำผลิตภัณฑ์สำหรับนวดขนาดเล็ก (Mini Massager) เข้ามาจำหน่ายเป็นของฝาก หรือของแถมร่วมกับสินค้าอื่นๆ โดยมีลักษณะเป็นอุปกรณ์ขนาดเล็กมีรูปร่างหลากหลาย เช่น รูปตุ๊กตาสัตว์ หรือมีลักษณะด้านบนกลม มีขาต่อ 3 ขา ทำงานโดยการสั่นสะเทือนจากมอเตอร์ ใช้กระแสไฟฟ้าตรงจากถ่านไฟฉายขนาด AA 2 ก้อน สำหรับนำมาใช้ถูนวดร่างกายเพื่อความเพลิดเพลิน โดยไม่มีสรรพคุณทางการแพทย์ ซึ่งสำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา (อย.) เคยพิจารณาว่าแม้ผลิตภัณฑ์ดังกล่าวจะทำให้เกิดการสั่น แต่ไม่มีข้อบ่งชี้ว่า แรงสั่นเพียงพอสำหรับการผ่อนคลายกล้ามเนื้อทางการแพทย์ หรือบรรเทาอาการปวดตามที่ต้องการได้ จึงไม่จัดเป็นเครื่องมือแพทย์ ขณะเดียวกัน ในทางการแพทย์มีการใช้เครื่อง หรืออุปกรณ์ที่ให้ผลในการบำบัดด้วยพลังงานกล เช่น เครื่องสั่น (Vibrator) เครื่องนวด (Massager) ซึ่งจัดเป็นเครื่องมือแพทย์ที่ผู้ผลิตหรือผู้นำเข้าต้องแจ้งรายการละเอียดตามประกาศกระทรวงสาธารณสุข (ฉบับที่ 19) เรื่อง เครื่องใช้หรือผลิตภัณฑ์ที่ใช้เพื่อกายภาพบำบัด ดังนั้น หากผลิตภัณฑ์สำหรับนวดขนาดเล็กแสดงสรรพคุณ ในการบำบัดรักษาโรค หรือใช้ให้เกิดผลทางการแพทย์ต่อร่างกายของมนุษย์ จะจัดเป็นเครื่องมือแพทย์ที่ต้องแจ้งรายการละเอียด แต่เนื่องจากยังไม่มีหลักฐานทางวิชาการที่น่าเชื่อถือสนับสนุนสรรพคุณทางการแพทย์ จึงอาจเข้าข่ายเป็นเครื่องมือแพทย์ที่ไม่ปลอดภัยในการใช้ ซึ่งห้ามผลิต นำเข้า หรือขาย หากฝ่าฝืนจะมีความผิดต้องระวางโทษจำคุกไม่เกิน 3 ปี หรือปรับไม่เกิน 3 แสนบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ รวมถึงผู้ขายจะมีความผิดข้อหาขายเครื่องมือแพทย์ที่ไม่ปลอดภัยในการใช้ด้วยเช่นกัน ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกิน 1 ปี หรือปรับไม่เกิน 1 แสนบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ
       
       นอกจากนี้ ผู้บริโภคควรใช้วิจารณญาณในการเลือกซื้อผลิตภัณฑ์ดังกล่าว เพราะอาจไม่มีสรรพคุณตามที่แสดงไว้ และหากพบผลิตภัณฑ์สำหรับนวดขนาดเล็กมีการโฆษณาสรรพคุณในทางการแพทย์ โปรดแจ้งร้องเรียนที่ สายด่วน อย.1556 เพื่อ อย.จะได้ดำเนินการตามกฎหมายกับผู้กระทำผิดต่อไป

ASTVผู้จัดการออนไลน์    4 มกราคม 2555

8200
 สถานพยาบาลสังกัด สธ.เจอพิษน้ำท่วมแล้ว 3 แห่ง แต่ยังให้บริการปกติ ด้าน “วิทยา” ให้ สสจ.ใต้ จัดหน่วยแพทย์เคลื่อนที่ป้องกันโรคหลังน้ำลด
       
       วันนี้ (3 ม.ค. )นายวิทยา บุรณศิริ   รัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข (สธ.) ให้สัมภาษณ์เกี่ยวกับสถานการณ์น้ำท่วมที่ภาคใต้ว่า ได้รับรายงานว่าขณะนี้มีสถานบริการในสังกัดถูกน้ำท่วม 3 แห่ง คือ โรงพยาบาลหลังสวน จ.ชุมพร และที่ จ.นครศรีธรรมราช 2 แห่ง คือ โรงพยาบาล (รพ.) ท่าศาลา และสำนักงานสาธารณสุขจังหวัด (สสจ.) ซึ่งระดับน้ำสูงประมาณ 50-80 ซม. ขณะที่ รพ.หลังสวน น้ำท่วม 4 จุด คือ ที่หอผู้ป่วยอายุรกรรมชาย โรงซักฟอก โรงครัว และบ้านพักระดับน้ำสูงประมาณ 1 เมตร ส่วนอาคารผู้ป่วยนอก ยังเปิดบริการได้ตามปกติได้จัดเรือรับส่งผู้ป่วย 1 ลำ ขณะนี้มีผู้ป่วยนอนพักรักษา 100 คนส่วนที่โรงพยาบาลท่าศาลา จ.นครศรีธรรมราช น้ำท่วมในอาคารผู้ป่วยนอกสูงประมาณ 5 ซม. แต่สามารถให้บริการได้และท่วมบ้านพักเจ้าหน้าที่ ระดับน้ำสูงประมาณ 50 ซม. ระดับน้ำมีแนวโน้มเพิ่มขึ้น ได้ติดตั้งเครื่องสูบน้ำ 6 เครื่อง และย้ายผู้ป่วยไปที่โรงพยาบาลมหาราชนครศรีธรรมราช จำนวน 20 ราย ขณะนี้ยังมีผู้ป่วยนอนพักในโรงพยาบาล 50 ราย โดยย้ายขึ้นไปบนหอผู้ป่วยชั้น 2 ทั้งหมด
       
       นายวิทยากล่าวต่อว่า ได้กำชับให้สำนักงานสาธารณสุขทุกแห่งในภาคใต้จัดหน่วยแพทย์เคลื่อนที่ให้บริการประชาชนอย่างต่อเนื่องทั้งจุดที่มีน้ำท่วมและที่จุดอพยพชาวบ้านและให้ติดตามสถานการณ์อย่างใกล้ชิดเพื่อปรับบริการให้เหมาะสมในพื้นที่ที่น้ำลดแล้วให้เฝ้าระวังป้องกันโรคที่อาจเกิดตามมา
       เช่น โรคฉี่หนู เป็นต้น
       
       นพ.ไพจิตร์ วราชิต ปลัด สธ.กล่าวว่า สำหรับสถานการณ์ที่ จ.สงขลา นั้นเริ่มคลี่คลายแล้ว ผลการออกหน่วยแพทย์เคลื่อนที่พบผู้ป่วย 900 ราย ส่วนใหญ่เป็นไข้หวัดโดยหลังน้ำลดได้ให้สำนักงานสาธารณสุขจังหวัดสงขลาร่วมกับสำนักงานป้องกันควบคุมโรคที่ 12 (สคร.12) จ.สงขลา เฝ้าระวังและป้องกันโรคหลังน้ำลดที่สำคัญ คือ โรคฉี่หนู และไข้เลือดออก สำหรับที่ อ.หาดใหญ่ สคร.12ได้ดำเนินการกำจัดหนูก่อนหน้าที่จะเกิดน้ำท่วมรวมทั้งจัดการเรื่องขยะสดบริเวณตลาดและที่พักขยะร่วมกับเทศบาลนครหาดใหญ่แล้ว โดยในวันนี้จะพ่นสารเคมีกำจัดแมลงวันตามกองขยะต่างๆ ติดต่อกัน 3 วัน และจะพ่นสารเคมีกำจัดยุงในวันที่ 5 มกราคม 2555 อย่างไรก็ตาม ประชาชนที่ลุยน้ำท่วม และหลังน้ำลด 1 สัปดาห์ หากมีไข้สูง ปวดกล้ามเนื้อ โดยเฉพาะน่อง เข้าข่ายเป็นโรคฉี่หนู ขอให้รีบไปพบแพทย์ทันทีเพื่อป้องกันการเสียชีวิต
       
       ด้าน ดร.นพ.สุวิช ธรรมปาโล ผู้อำนวยการสำนักงานควบคุมโรคที่ 12 สงขลา กล่าวว่า สคร.12 จัดส่งเจ้าหน้าที่ไปทำงานร่วมกับจังหวัดที่ประสบภัยน้ำท่วม ประกอบด้วย ตรัง พัทลุง สตูล สงขลา ยะลา ปัตตานี และนราธิวาส โดยเร่งรัดการเก็บขยะเปียกที่ตลาดสด และที่พักขยะเพื่อมิให้เป็นแหล่งอาหารของหนู ในเบื้องต้นได้เตรียมรองเท้าบูต 5,000 คู่ ถุงดำใส่ขยะ 2,000 กิโลกรัม สนับสนุนเจ้าหน้าที่ผู้ปฎิบัติงานเตรียมทีมพ่นยุงและแมลงวันจำนวน 30 ทีม โดยหลังน้ำลด 1-3 วัน จะดำเนินการพ่นยากำจัดแมลงวัน และหลังน้ำลด 5 วัน จะส่งทีมเข้าไปพ่นกำจัดยุง
       
       นอกจากนี้ยังได้ส่งทีมสุขภาพช่วยจังหวัดในการเฝ้าระวังและสอบสวนโรค เข้าไปตามชุมชนที่น้ำท่วม หากพบผู้ป่วย เช่น โรคอุจจาระร่วง จะควบคุมโรคป้องกันการระบาดได้ทันที

ASTVผู้จัดการออนไลน์    3 มกราคม 2555

8201
กรมควบคุมโรค มั่นใจไทยไร้เชื้อลิเจียนแนร์ เผย มีระบบเฝ้าระวังดี แจงไม่ใช่เชื้อใหม่ที่น่ากลัว ไม่ถ่ายทอดจากคนสู่คน
   
       จากกรณีรัฐมนตรีกระทรวงศึกษาธิการของเกาะฮ่องกง ป่วยด้วยเชื้อโรคลีเจียนแนร์ และนำไปสู่การเดินหน้าตรวจดูเชื้อดังกล่าวของรัฐบาลฮ่องกง จนพบว่า มีเชื้อดังกล่าวสูงเกินมาตรฐานถึง 14 เท่า ในอาคารทำการใหญ่ของรัฐบาลฮ่องกง ซึ่งเจ้าหน้าที่ระบุว่า อาจเกิดจากน้ำสกปรกที่มีการก่อสร้างอาคารใหม่นั้น
       
       ล่าสุด วันนี้ (4 ม.ค.)นพ.รุงเรือง กิจผาติ โฆษกกรมควบคุมโรค กระทรวงสาธารณสุข (สธ.) และผู้อำนวยการสำนักโรคติดต่ออุบัติใหม่ กล่าวถึงกรณีดังกล่าวว่า โรคดังกล่าวเป็นโรคที่พบการระบาดครั้งแรกในสหรัฐอเมริกา ตั้งแต่ปี 2519 ขณะที่ประเทศไทยเคยพบผู้ป่วยราว 2-3 คนในอดีต แต่ไม่ได้มีการระบาดเป็นกลุ่มก้อน และปีนี้ไม่พบการระบาดแต่อย่างใด ทั้งนี้ สำหรับโรคดังกล่าวนั้นไม่ได้เป็นโรคอุบัติใหม่ที่น่ากลัว เพราะไม่สามารถติดต่อจากคนสู่คนได้ ดังนั้น อยากให้ประชาชนวางใจ ว่า ไม่มีการถ่ายทอดจากนักท่องเที่ยว หรือผู้ที่เดินทางมาจากฮ่องกงอย่างแน่นอน โดยการเกิดขึ้นของเชื้อแบคทีเรียลิเจียนแนร์นั้น เป็นการเกิดขึ้นจากเครื่องปรับอากาศ หรือเครื่องเย็นตามอาคารที่อาจสกปรก จึงก่อเกิดแบคทีเรียชนิดดังกล่าว ซึ่งประเทศไทยเองมีการดำเนินการโดยกรมวิทยาศาสตร์การแพทย์ และเจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้อง ในการสุ่มตรวจเครื่องปรับอากาศ ระบบน้ำ และระบบความเย็นอื่นๆ ตามอาคาร ห้องพัก โดยเฉพาะในพื้นที่ท่องเที่ยวอย่างสม่ำเสมอ ซึ่งก็ไม่พบเชื้่อดังกล่าวปนเปื้อนแต่อย่างใด จึงอยากให้ประชาชนวางใจในระบบควบคุม และป้องกัน เนื่องจากโรคนี้เคยขึ้นในประเทศใหญ่ๆแล้ว จึงมั่นใจว่า มีประสบการณ์ในการควบคุมที่ดี ทำให้ไม่มีการระบาดในวงกว้าง
       
       นพ.รุ่งเรือง กล่าวด้วยว่า สำหรับผู้ป่วยที่ติดเชื้อดังกล่าวนั้น จะมีทั้งมีอาการ และไม่มีอาการ โดยผู้ป่วยที่ไปพบแพทย์ส่วนใหญ่มักมีไข้สูง อ่อนเพลีย และหากอาการหนักก็มีปอดอักเสบ หรือปอดบวมได้ ซึ่งแพทย์จะรักษาตามอาการที่พบ อย่างไรก็ตามสำหรับคนไทยที่อาศัยหรือเดินทางไปฮ่องกงหากพบอาการไข้นานหลายวันแล้วไปพบแพทย์ก็ควรแจ้งประวัติให้แพทย์ทราบว่า มีการเดินทางไปพื้นที่ใดของฮ่องกงบ้าง เพื่อจะได้ง่ายต่อการตรวจหาเชื้อโรค ซึ่งหากพบก็รักษาไม่ยาก ส่วนเรื่องการดูแลและป้องกันตัวเองก็หากพบน้ำ หรือเครื่องปรับอากาศสกปรกตามสถานที่พักชั่วคราวก็ควรหลีกเลี่ยง

ASTVผู้จัดการออนไลน์    4 มกราคม 2555

8202
“การขวนขวายหาสารพัดเครื่องประทินผิวในช่วงฤดูหนาว กลายเป็นกระแสนิยมมานานสำหรับทุกสภาพผิว ทว่า หนาวปีนี้เราอยากเห็นคนผิวมันหยุดพักใช้สารเคมีบ้างก็ดี” ภญ.สุภาภรณ์ ปิติพร  หัวหน้าโครงการสาธิตการพัฒนาผลิตภัณฑ์จากสมุนไพร โรงพยาบาลเจ้าพระยาอภัยภูเบศร กล่าวด้วยอารมณ์ขัน
       
       ภญ. สุภาภรณ์ อธิบายเพิ่มเติมว่า ในความจริงแล้วการเกิดมาเป็นคนผิวมันนั้นดี เนื่องจากสามารถสะสมความชุมชื้นของผิวได้ดี เว้นแต่ผิวหน้าที่อาจเจอปัญหาสิวบ้างสำรับคนเผชิญฝุ่น ควัน หรือสิ่งสกปรกในช่วงหน้าร้อน แต่หากเป็นฤดูหนาว คนผิวมันโชคดีกว่าคนผิวแห้งมาก เนื่องจากผิวไม่มีรอยแตก รอยแยกให้แบคทีเรียหรือเชื้อโรคอื่นๆ เข้าสู่ร่างกายได้เลย ซึ่งหลายคนมักแสดงอาการของเชื้อโรครบกวนด้วยการเกา และผลที่ตามมาเกิดเป็นแผลอักเสบ
       
       สำหรับสาวยุคนี้ การมีผิวแตกเป็นปัญหาความงามอย่างมาก เพราะนอกจากจะลดความมั่นใจในการโชว์เรียวขาแล้ว ยังยากต่อการบำรุงดูแลให้ผิวมีสุขภาพดีด้วย ดังนั้นจึงควรเลือกสรรหาครีมบำรุงผิวที่มีค่าความเข้มข้นสูง เพื่อให้สามารถเก็บความชื้นไว้ในสภาพอากาศแห้ง เช่น การหาครีมที่มีส่วนผสมของน้ำมันงา น้ำมันมะกอก น้ำมันรำข้าว ครีมมะขามป้อม เป็นต้น หรือหากหาไม่ได้ก็สามารถซื้อครีมบำรุงธรรมดาที่มีวิตามินอี แล้วเลือกน้ำมันมาสักประเภทเพื่อหยดผสมกับครีมก่อนทาทั่วร่างกาย ซึ่งใช้แค่ 2-3 หยดต่อครั้งเท่านั้น ซึ่งสามารถทาได้ทั้งข้อศอก ล้นเท้า แขน ขา เว้นแต่ทาริมฝีปากปากต้องใช้น้ำมันอย่างเดียว

       นอกจากการใช้น้ำมันสารสกัดจากธรรมชาติในระยะเวลาสั้นๆ ข้างต้นแล้ว สำหรับคนที่มีเวลาว่างมากพอก็อาจเลือกดูแลผิวส้นเท้าในแบบพิถีพิถันมากกว่าเดิม โดยการผสมน้ำอุ่นครึ่งถัง เกลือ 1 ช้อนโต๊ะน้ำนมครึ่งถ้วยตวง น้ำมันมะกอก 1 ช้อนโต๊ะ น้ำมะนาวครึ่งถ้วยตวงแล้วแช่เท้าไว้นาน ประมาณ 15นาทีแล้วล้างออกด้วยน้ำสะอาด เพียงแค่สัปดาห์ละ 1-2 ครั้ง ก็ย่อมมีสุขภาพผิวที่ดี ไร้ปัญหา แขน ขา แตกลายในฤดูหนาวแล้ว
       
       “ต้องจดจำไว้อย่างหนึ่งว่า การบำรุงผิวในช่วงหน้าหนาวนั้น ต้องหลีกเลี่ยงภาวะที่ทำให้ผิวบอบช้ำ เช่น การขัดด้วยหิน หรือการขัดส้นเท้าด้วยแปรงแข็ง ก็จะทำให้ระบมง่าย และควรใช้สบู่ทั่วไปให้น้อยที่สุด พยายามใช้ออยหรือน้ำมันสำหรับดูแลผิวทากายช่วงหลังอาน้ำเพื่อเพิ่มความชุ่มชื้นแก่ผิวและมีน้ำมันหล่อเลี้ยงอย่างเพียงพอ” ภญ.สุภาภรณ์ กล่าวย้ำ
       
       หลายคนมองว่าการผัดแป้งและแต่งหน้านั้นก็เป็นเรื่องจำเป็นแต่กรณีที่ผิวขาดความเอิบอิ่ม การทาแป้งมากไปอาจทำให้ผิวลอกเป็นขุย ดูเป็นอุปสรรคในการเสริมความงามอย่างมาก กรณีนี้ ภญ.สุภาภรณ์มีคำแนะนำว่า พยายามอย่าใช้สบู่ทั่วไปที่มีความเป็นเบส สูงเกินไป หลังจากนั้นให้ซับหน้าเบาๆ ให้แห้งก่อนทาครีมบำรุงผิวลงไป แต่ควรทารองพื้นบางๆและผัดแป้งเบาๆ ไม่ต้องหนามาก เนื่องจากแป้งตลับส่วนมากมีคุณสมบัติระงับความมันบนใบหน้า หรือถ้าไม่มั่นใจก็ควรปรึกษาสภาพผิวกับผู้เชี่ยวชาญก่อนเลือกซื้อแป้งด้วย
       
       “การบำรุงผิวด้วยวิธีข้างต้น ไม่ใช่การปรนเปรอผิวเพื่อความงามชั่วขณะ แต่หมายถึงการปกป้องผิวไม่ให้เปราะบางและสามารถนำไปสู่การสร้างภูมิต้านทานอย่างเหมาะสม ไม่เปิดทางให้เชื้อโรคเข้าสู่ผิวหนังชั้นใน ดังนั้นขั้นตอนอาจช้าบ้าง เร็วบ้าง แต่ก็เพื่อปลายทางของผิวที่แข็งแรง ดังนั้นก็ต้องดูแลย่างเต็มที่”
       
       นอกจากนี้ ควรมีการพักผ่อนและทานอาหารอย่างเหมาะสมด้วย และดื่มน้ำให้มากๆ เพราะผิวทุกคนต้องการความชุ่มชื้นจากน้ำที่บริสุทธิ์ ซึ่งถ้าหากทำได้ผิวก็จะสุขภาพดีมีเกราะป้องกันเชื้อโรคได้ไม่ยาก

ASTVผู้จัดการออนไลน์    4 มกราคม 2555

8203
เปิดผลวิจัยพบผักพื้นบ้านไทยคุณค่าเพียบ มีสารหลายชนิดป้องกันโรคมะเร็ง ชะลอแก่ สธ.หนุนประชาชนไทย หันมากินผักพื้นบ้าน4 ภาคในปี 2555
       
       วันนี้ (3 ม.ค.) นายต่อพงษ์ ไชยสาส์น รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงสาธารณสุข (สธ.) เปิดเผยว่า จากการที่สำนักโภชนาการ กรมอนามัย ทำการศึกษาวิจัยเกี่ยวกับคุณค่าของผักพื้นบ้านที่คนไทยทั้ง 4 ภาคนิยมกินกันอยู่ทั่วไปทั้งดอก ใบ ยอดอ่อน ฝัก ผล หัวและรากนั้น และพบว่าพืชผักของไทยมีประโยชน์สารพัดนั้น ทาง สธ.จะมอบหมายให้สำนักงานสาธารณสุขจังหวัด (สสจ.) เผยแพร่ส่งเสริมประชาชนใช้บริโภคและให้โรงพยาบาลในสังกัดของกระทรวงสาธารณสุขนำมาปรุงเป็นอาหารของผู้ป่วยเป็นตัวอย่างประชาชน เพื่อให้ประชาชนสามารถเข้าถึงข้อมูลอย่างทั่วถึง
       
       ด้าน นพ.สมยศ ดีรัศมี อธิบดีกรมอนามัย กล่าวว่า ประเทศไทยมีผักพื้นบ้านมากกว่า 300 ชนิด ส่วนใหญ่จะขึ้นเองตามธรรมชาติ เช่น ริมห้วย หนองคลองบึง และป่าเขา ในการศึกษาผักพื้นบ้านในปี 2554 นี้ กรมอนามัยได้เก็บตัวอย่างผักพื้นบ้าน รวม 45 ชนิด จาก 4 ภาค ประกอบด้วย ภาคกลาง 12 ชนิด ภาคเหนือ 6 ชนิด ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ 5 ชนิด และภาคใต้ 22 ชนิด โดยศึกษาปริมาณสารอาหารที่มีความสำคัญต่อร่างกาย 9 ชนิด ได้แก่
1.พลังงาน
2.โปรตีน
3.ไขมัน
4.คาร์โบไฮเดรต
5.เบตาแคโรทีน
6.วิตามินซี
7.ใยอาหาร
8.ธาตุเหล็ก 
9.แคลเซียม
ผลการศึกษาเมื่อเปรียบเทียบน้ำหนักทุก 100 กรัมเท่ากัน พบว่าผักพื้นบ้านของไทยทุกชนิดให้พลังงาน โปรตีน ไขมันและคาร์โบไฮเดรตน้อยมาก จึงกล่าวได้ว่าผักเหล่านี้กินแล้วไม่ทำให้อ้วน
       
       ผักที่มีแคลเซียมสูงที่สุด 10 อันดับ ได้แก่
1.หมาน้อย มี 423 มิลลิกรัม
2.ผักแพว มี 390 มิลลิกรัม
3.ยอดสะเดา มี 384 มิลลิกรัม
4.กะเพราขาว มี 221 มิลลิกรัม
5.ใบขี้เหล็ก มี 156 มิลลิกรัม
6.ใบเหลียง มี 151 มิลลิกรัม
7. ยอดมะยม มี 147 มิลลิกรัม
8.ผักแส้ว มี 142 มิลลิกรัม
9.ดอกผักฮ้วน มี 113 มิลลิกรัม
10.ผักแมะ มี 112 มิลลิกรัม
โดยแคลเซียม มีบทบาทหลักคือเป็นองค์ประกอบที่สำคัญของกระดูก และป้องกันโรคกระดูกพรุน ช่วยในการทำงานของระบบประสาท กล้ามเนื้อ หัวใจและหลอดเลือด นอกจากนี้ยังช่วยในการแข็งตัวของเลือดและควบคุมการหลั่งของฮอร์โมนบางชนิด
       
       ผักที่มีธาตุเหล็กสูงสุด 5 อันดับแรก ได้แก่
1.ใบกะเพราแดง มี 15 มิลลิกรัม
2. ผักเม็ก มี 12 มิลลิกรัม
3.ใบขี้เหล็ก มี 6 มิลลิกรัม
4.ใบสะเดา มี 5 มิลลิกรัม 
5.ผักแพว มี 3 มิลลิกรัม
ส่วนธาตุเหล็กเป็นองค์ประกอบที่สำคัญในการสร้างฮีโมโกลบินในเม็ดเลือดแดง เพื่อนำออกซิเจนไปเลี้ยงเซลล์ต่างๆ ในร่างกาย และมีบทบาทในด้านพัฒนาการและการเรียนรู้ สมรรถภาพในการทำงาน สร้างภูมิต้านทานโรค และเกี่ยวข้องกับการเจริญพันธุ์ ธาตุเหล็กจะถูกดูดซึมได้ดีต้องรับประทานอาหารที่มีวิตามินซีควบคู่ด้วย
       
       ผักที่มีใยอาหารสูง 10 อันดับ ได้แก่ 
1.ยอดมันปู มี 16.7 กรัม
2.ยอดหมุย มี 14.2 กรัม
3. ยอดสะเดา มี 12.2 กรัม
4.เนียงรอก มี 11.2 กรัม
5.ดอกขี้เหล็ก 9.8 กรัม
6.ผักแพว 9.7กรัม
7.ยอดมะยม 9.4 กรัม
8.ใบเหลียง 8.8 กรัม
9.หมากหมก 7.7 กรัม
10.ผักเม่า มี 7.1 กรัม
ซึ่งใยอาหารในผัก ทำให้ร่างกายขับถ่ายอุจจาระได้เร็วขึ้น ท้องไม่ผูก ช่วยป้องกันโรคมะเร็งลำไส้ใหญ่ และทำให้การดูดซึมน้ำตาลเข้าสู่กระแสเลือดช้าลงส่งผลให้ลดระดับการใช้อินซูลิน นอกจากนี้ใยอาหารบางชนิดยังช่วยลดระดับคอเลสเตอรอลซึ่งเป็นปัจจัยเสี่ยงต่อการเกิดโรคหัวใจและหลอดเลือด
       
       ผักที่มีเบตาแคโรทีนสูง 10 อันดับ ได้แก่
1.ยอดลำปะสี มี 15,157 ไมโครกรัม
2.ผักแมะ มี 9,102 ไมโครกรัม
3.ยอดกะทกรก มี 8,498 ไมโครกรัม
4.ใบกระเพราแดง มี 7,875 ไมโครกรัม
5.ยี่หร่า มี 7,408 ไมโครกรัม
6.หมาน้อย มี 6,577 ไมโครกรัม
7.ผักเจียงดา มี 5,905 ไมโครกรัม
8.ยอดมันปู มี 5,646 ไมโครกรัม
9.ยอดหมุย มี 5,390 ไมโครกรัม
10.ผักหวาน มี 4,823 ไมโครกรัม
       
       ส่วนผักที่มีวิตามินซีสูง 10 อันดับ ได้แก่
1.ดอกขี้เหล็ก มี 484 มิลลิกรัม
2.ดอกผักฮ้วน มี 472 มิลลิกรัม
3.ยอดผักฮ้วน มี 351 มิลลิกรัม
4.ฝักมะรุม มี 262 มิลลิกรัม
5.ยอดสะเดา มี 194 มิลลิกรัม
6.ผักเจียงดา มี 153 มิลลิกรัม
7.ดอกสะเดา มี 123 มิลลิกรัม
8.ผักแพว มี 115 มิลลิกรัม
9.ผักหวาน มี 107 มิลลิกรัม
10.ยอดกะทกรก มี 86 มิลลิกรัม
โดยทั้งเบต้าแคโรทีนและวิตามินซี เป็นสารอาหารที่มีฤทธิ์ต้านอนุมูลอิสระ ช่วยป้องกันโรคมะเร็ง โรคหัวใจ ลดการอักเสบ เสริมสร้างภูมิต้านทานโรคในร่างกาย ทำให้ร่างกายแก่ชราช้าลงด้วย
       
       นพ.สมยศกล่าวอีกว่า การนำผักพื้นบ้านประจำถิ่นมาปรุงประกอบอาหาร นับได้ว่าเป็นภูมิปัญญาของบรรพบุรุษไทยในการสร้างเสริมสุขภาพและรักษาโรคโดยไม่ต้องพึ่งยาและสารเคมีในแต่ละภาคของประเทศไทยมีผักพื้นบ้านสามารถเลือกรับประทานได้ตลอดปีและประชาชนควรเพิ่มการกินผักพื้นบ้านให้มากขึ้น เพราะนอกจากจะมีประโยชน์ต่อสุขภาพร่างกายแล้ว ยังเป็นการอนุรักษ์ผักพื้นบ้านให้ลูกหลานรู้จักและบริโภคต่อได้

ASTVผู้จัดการออนไลน์    3 มกราคม 2555

8204


เจ็บป่วยไม่สบาย สิ่งแรกที่เรานึกถึงและร้องเรียกหาหมอ...แทบจะไม่มีใครคิดถึงพยาบาลกันเลย

ทั้งที่พยาบาลมีความสำคัญต่อผู้ป่วยไม่น้อยไปกว่าแพทย์...ที่สำคัญเป็นบุคลากรดูแลคนป่วยใกล้ชิดยิ่งกว่าแพทย์

เพราะไม่มีใครให้ความสำคัญกับพยาบาล เลยทำให้แทบไม่มีใครรู้เลยว่า วันนี้ประเทศไทยกำลังมีปัญหาเรื่องขาดแคลนพยาบาลที่จะมาทำหน้าที่ช่วยเหลือแพทย์ดูแลผู้ป่วย

ขาดแคลนถึงขั้นโรงพยาบาลของรัฐหลายแห่งไม่สามารถให้ บริการรักษาผู้ป่วยได้อย่างเต็มที่

"การสำรวจเมื่อปี 2551 เราพบว่า กว่าร้อยละ 70 ของโรงพยาบาลขนาดใหญ่ ที่มีจำนวนเตียง 100 เตียงขึ้นไป ทั้งภาครัฐและเอกชน ซึ่งมีประมาณ 200 แห่งทั่วประเทศ ประสบปัญหาการขาดแคลนพยาบาล ถึงระดับที่ต้องปิด Ward หรือหอพยาบาลผู้ป่วยในบางแผนก เพราะไม่สามารถให้บริการได้ตามเป้าหมาย

ยกตัวอย่าง รพ.ราชวิถี หมอโรคหัวใจจะผ่าตัดให้ผู้ป่วย หมอมีพร้อมแต่ผ่าตัดให้ไม่ได้ เนื่องจากขาดพยาบาลที่จะมาดูแลผู้ป่วยหลังผ่าตัด"

ดร.กฤษดา แสวงดี นักวิชาการพยาบาลชำนาญการพิเศษ หัวหน้าโครงการวิจัย "สุขภาพและชีวิตการทำงานของพยาบาลวิชาชีพในประเทศไทย" โครงการวิจัยระยะยาว 20 ปี (2552-2557) ภายใต้การสนับสนุนของสถาบันวิจัยระบบสาธารณสุข (สวรส.) และสำนักกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ (สสส.) ชี้ให้เห็นปัญหาขาดแคลนพยาบาลของประเทศไทย

บ้านเราขาดแคลนพยาบาลขนาดไหน...สัดส่วนของประชากรต่อพยาบาล ในประเทศที่เจริญแล้ว อย่างญี่ปุ่น สหรัฐอเมริกา อยู่ที่ พยาบาล 1 คน ต่อ ประชากร 200 คน

ประเทศใกล้บ้านเรา สิงคโปร์ พยาบาล 1 คน ต่อประชากร 250 คน

มาเลเซีย พยาบาล 1 คน ต่อประชากร 300 คน

บ้านเรา พยาบาล 1 คน ต่อประชากร 700 คน...เท่ากับอินโดนีเซีย

"เมื่อก่อนบ้านเรามาตรฐานแย่กว่านี้ ในช่วงปี 2520 อัตราสัดส่วนพยาบาลต่อประชากรอยู่ที่ พยาบาล 1 คน ต่อประชากร 2,000 คน แต่หลังจากรัฐบาลมีนโยบายผลิตพยาบาลเพิ่มมากขึ้น เป็นปีละ 6,000 คน ทำให้จำนวนพยาบาลเพิ่มมากขึ้นมาเรื่อยๆ

แต่เมื่อเกิดวิกฤติเศรษฐกิจในปี 2540 รัฐบาลมีนโยบายคุมกำเนิดข้าราชการ ลดการบรรจุข้าราชการ การผลิตพยาบาลเลยถูกลดจำนวนลงเหลือ 4,500 คน ตอนนั้นปัญหาก็ยังไม่รุนแรงเท่าไร"

ดร.กฤษดา ให้ข้อมูลว่า ปัญหาการขาดแคลน เริ่มมาปะทุรุนแรงอย่างเห็นได้ชัด ในช่วงรัฐบาลเริ่มใช้นโยบาย 30 บาท รักษาทุกโรค...จำนวนผู้ป่วยเข้ามาใช้บริการในโรงพยาบาลของรัฐเพิ่มมากขึ้น

จากเดิมในปี 2546 มีผู้ป่วยนอกเข้ามาใช้บริการ 111.95 ล้านครั้ง...ปี 2551 เพิ่มเป็น 128.73 ล้านครั้ง

ผู้ป่วยในที่ต้องนอนรักษาตัวในโรงพยาบาลจาก 4.3 ล้านรายในปี 2546...เพิ่มเป็น 4.95 ล้านรายในปี 2551

ไม่เพียงแต่โรงพยาบาลรัฐเท่านั้นที่จำนวนผู้มาใช้บริการเพิ่มขึ้น โรงพยาบาลเอกชนก็ไม่แพ้กัน...จากปี 2545 มีผู้ป่วยแค่ 15 ล้านราย เพิ่มเป็น 49.7 ล้านรายในปี 2549

เมื่อปริมาณการใช้บริการสุขภาพเพิ่มขึ้นมากอย่างนี้ ได้ก่อให้เกิดความไม่สมดุลระหว่างภาระงานที่เพิ่มอย่างมากและรวดเร็ว ผู้ป่วยเพิ่มมากขึ้น ความต้องการพยาบาลก็มีมากขึ้น พยาบาลเริ่มขาดแคลน

โรงพยาบาลเอกชนเริ่มแย่งชิงตัวพยาบาลไปจากภาครัฐมากขึ้น...แต่ปัญหาแค่นี้ยังน้อยไป

หลังจากยุค 30 บาท รัฐบาลมีนโยบายส่งเสริมการส่งออกบริการสุขภาพ ต้องการให้ประเทศไทยเป็นศูนย์กลางทางการแพทย์ในภูมิภาคเอเชีย ทำให้จำนวนผู้ป่วยจากต่างประเทศแห่แหนเข้ามารักษาตัวตามโรงพยาบาลเอกชนในประเทศไทยมากขึ้น

"จากเดิมปี 2543 มีต่างชาติมารักษาตัวในบ้านเรา 102,000 ราย เพิ่มเป็น 133,570 รายในปี 2549 และยังมีต่างชาติที่มาใช้บริการแบบผู้ป่วยภายนอกเพิ่มขึ้นจาก 1.8 ล้านครั้ง เป็น 2.6 ล้านครั้งด้วยเช่นกัน"

การให้บริการกับต่างชาติที่คิดค่าบริการราคาแพง ต้องใช้พยาบาลดูแลมากขึ้น เพื่อจะได้ใกล้ชิดคนไข้มากขึ้น...ยิ่งกระตุ้นให้ปัญหาความ ขาดแคลนมากขึ้นเข้าไปอีก

อีกปัจจัยหนึ่งที่น่ากังวลในภาวะที่ประเทศไทยกำลังขาดแคลนพยาบาล...สังคมอนาคตอันใกล้ ประเทศไทย สังคมไทยต้องการพยาบาลมากกว่าวันนี้

"อย่างที่รู้กัน   ขณะนี้สังคมไทยกำลังเปลี่ยนแปลงเข้าสู่การเป็นสังคมผู้สูงอายุอย่างรวดเร็ว จากเดิมเมื่อปี 2533 เรามีประชากรสูงอายุประมาณ 5 ล้านคน ปี 2550 เพิ่มมาเป็น 7.3 ล้านคน ปี 2573 คาดว่าจะเพิ่มจำนวนขึ้นถึง 17.7 ล้านคน หรือร้อยละ 20 ของประชากรทั้งหมด

แม้วันนี้การพัฒนาสาธารณสุขของประเทศไทยจะมีความก้าวหน้าอย่างมาก ผู้สูงอายุทุกวันนี้มีสุขภาพดีกว่าคนสมัยก่อนมาก แต่เมื่อประเทศไทยเป็นสังคมผู้สูงอายุ เป็นที่ทราบกันดีผู้สูงอายุเป็นวัยที่มีปัญหาเรื่องการเจ็บป่วยด้วยโรคเรื้อรัง โรคประจำตัวกันมาก ยิ่งมีความต้องการพยาบาลเข้ามาช่วยดูแลมากขึ้น มากกว่าคนวัยอื่นๆ"

วันนี้ วันหน้า สังคมไทย ประเทศไทย ต้องการพยาบาลมากขึ้น... แต่ความต้องการเป็นพยาบาลกลับสวนทาง มีคนอยากเป็นพยาบาลน้อยลงไปทุกวัน

คล้ายหลายอาชีพที่คนไทยยุคนี้ไม่อยากทำกัน...หาคนทำไม่ได้ ในที่สุดต้องพึ่งคนชาติอื่นมาทำแทน

"สังคมไทยเปลี่ยนไปมาก  ความต้องการเป็นพยาบาลของเด็กรุ่นใหม่มีน้อยลงมาก  ผิดกับในยุคปี 2510 ที่บูมมาก  คนที่มาสมัครสอบเข้าเรียนพยาบาลส่วนใหญ่ จะเป็นเด็กที่มีผลการเรียนดีระดับเก่งกันทั้งนั้น  แต่พอยุคสมัยนี้ มีอาชีพใหม่ๆ รายได้ดีกว่าให้ผู้หญิงได้เลือกทำมากขึ้น  ความต้องการเป็นพยาบาลก็เลยเปลี่ยนไป

เด็กที่มาสมัครเรียนพยาบาลจะมีคุณสมบัติเรียนไม่เก่งเท่าในอดีต นี่เป็นอีกปัญหาของการผลิตพยาบาลยุคนี้ วิชาพยาบาลนั้นต้องการคนที่เรียนดีพอสมควร แม้ไม่จำเป็นต้องเก่งเท่าคนเรียนหมอก็ตาม แต่วิชาที่พยาบาลต้องเรียนและนำไปใช้ในการทำงาน   เป็นวิชาเกี่ยวกับวิทยาศาสตร์การแพทย์ที่ต้องใช้คนเก่งเช่นกัน"

ไม่เพียงแต่เด็กรุ่นใหม่เท่านั้นไม่อยากเป็นพยาบาล ตัวพยาบาลที่ทำงานเป็นพยาบาลในทุกวันนี้  ก็ประสบปัญหาไม่อยากเป็นพยาบาลเช่นกัน

จากการสำรวจบุคลากรทางการพยาบาลพบว่า มีเป็นจำนวนมากที่ต้องลาออกหลังจากแต่งงานและมีภาระครอบครัว...เนื่องจากมีปัญหาสุขภาพ และทนสภาพการทำงานหนักไม่ไหว

"คนไม่รู้ว่าแต่ละเดือนพยาบาลต้องทำงานหนักแค่ไหน ราชการทั่วไปทำงานเข้าเวรกันเดือนละ 22 วันหรือ 22 เวร แต่พยาบาลทำกันเดือนละ 32 เวร

หลายคนอาจคิดว่าเข้าเวรเยอะได้เงินมาก นั่นก็จริง แต่การเข้าเวรโดยเฉพาะการเข้าเวรดึก นอนผิดเวลา นานติดต่อกันนาน 15 ปี มีโอกาสที่จะเป็นโรคมะเร็งเต้านมและมะเร็งลำไส้เพิ่มขึ้น"

นอกจากนั้น อาชีพพยาบาลยังต้องเสี่ยงกับโรคที่เกิดขึ้นระหว่างปฏิบัติหน้าที่อีกต่างหาก จากการสำรวจพบว่า ในปี 2551 ในจำนวนพยาบาลที่เจ็บป่วยจากการปฏิบัติหน้าที่ ร้อยละ 34.7 ถูกเข็มฉีดยาหรือของมีคมบาด ร้อยละ 32.6 เจ็บป่วยติดเชื้อวัณโรคจากผู้ป่วย ร้อยละ 14.9 ถูกผู้ป่วยทำร้าย ร้อยละ 10 สิ่งคัดหลั่งจากผู้ป่วยกระเด็นถูกร่างกาย ล้วนแต่เป็นความเสี่ยงของพยาบาลที่จะติดเชื้อจากผู้ป่วยทั้งสิ้น

ด้วยเหตุนี้โครงการวิจัยปัญหาสุขภาพและชีวิตการทำงานพยาบาลระยะยาวจึงเกิดขึ้น ที่พยาบาลทั้งหลายสามารถตอบแบบสอบถามได้ที่ tuangtipt@hotmail.com หรือ ksawaengdee@gmail.com เพื่อเป็นข้อมูลพื้นฐานในการปรับปรุงอาชีพพยาบาลให้ดีขึ้น เพื่อสร้างแรงจูงใจให้คนอยากเป็นพยาบาลมากขึ้น

เพื่อคนไทยจะได้ดูแลคนไทยกันไปอีกนานแสนนาน...เพราะเราไม่อยากได้แรงงานพม่า หรือกัมพูชามาทำแทน.

ไทยรัฐ 4 มกราคม พ.ศ.2555

8205
สถานการณ์น้ำท่วมในพื้นที่ จ.พัทลุง ยังไม่คลี่คลาย เจ้าหน้าที่ทหาร ตำรวจ เร่งนำกระสอบทรายกั้นประตูทางเข้า รพ.พัทลุง ทั้ง 5 ด้าน ขณะ ผอ.รพ.ยืนยันรับสถานการณ์ได้ ยังไม่มีการขนย้ายผู้ป่วย...

เมื่อวันที่ 3 ม.ค. ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ที่ จ.พัทลุง ทหารจากกองพันทหารช่างที่ 402 ค่ายอภัยบริรักษ์ จ.พัทลุง ร่วมกับเจ้าหน้าที่องค์การบริการส่วนจังหวัด (อบจ.) พัทลุง และกำลังตำรวจ สภ.เมืองพัทลุง ได้ร่วมกันลำเลียงกระสอบทรายนำไปปิดกั้นประตูทางเข้า รพ.พัทลุง ทั้ง 5 ด้าน เพื่อป้องกันน้ำไหลทะลักเข้าไปภายในโรงพยาบาลเพิ่มขึ้น เนื่องจากระดับน้ำที่ท่วมขังบนถนนราเมศวร์ หน้า รพ.พัทลุง ยังไม่ลดระดับลงแต่อย่างใด นอกจากนี้ ยังช่วยลำเลียงผู้ป่วยจากบริเวณหน้าโรงพยาบาลเข้ามาภายในโรงพยาบาล เนื่องจากถนนใน รพ.พัทลุง ถูกน้ำท่วมขัง ระดับสูงเฉลี่ย 40-50 ซม.

พญ.ศิริพร อรุณ ผช.ผอ.รพ.พัทลุง กล่าวว่า ทางโรงพยาบาลได้ขอสนับสนุนเครื่องสูบน้ำจากสำนักงานชลประทานจังหวัดพัทลุง และ อบจ.พัทลุง รวม 4 เครื่อง มาติดตั้ง เพื่อเร่งสูบน้ำที่ท่วมขังเส้นทางภายในโรงพยาบาลออก ส่วนผู้ป่วยที่นอนพักรักษาตัวอยู่ในโรงพยาบาลตามตึกผู้ป่วยต่างๆ นั้น ยังไม่มีการย้ายแต่อย่างใด เนื่องจากระดับน้ำยังไม่ท่วมถึงตึก คาดว่าถ้าฝนไม่ตกซ้ำ สถานการณ์จะดีขึ้น

ทั้งนี้ เขตเทศบาลเมืองพัทลุง น้ำที่ท่วมขังถนนสายราเมศวร์ลดระดับลงเล็กน้อย ขณะที่ถนนสายผดุง ดอนยอ สายพัฒนา สายจรูญธรรม สายประชาบำรุง ยังคงมีน้ำท่วมขัง สูงเฉลี่ย 40-50 ซม. รถเล็กต้องใช้ความระมัดระวังในการสัญจร ทุกสายมีกำลังเจ้าหน้าที่ตำรวจ สภ.เมืองพัทลุง คอยอำนวยสะดวก ส่วนบริเวณสี่แยกเอเชีย น้ำลดระดับเข้าสู่ภาวะปกติ รถสามารถผ่านได้แล้ว ขณะที่ถนนเพชรเกษม ช่วงพัทลุง-ตรัง ยังคงมีสภาพน้ำไหลลผ่านถนนเป็นช่วงๆ ระดับไม่สูง รถเล็กสามารถผ่านได้

ขณะที่ชาวบ้านในเขตเทศบาลเมืองพัทลุงที่สิ่งของได้รับความเสียหายจากน้ำท่วมในเขตเทศบาล ต่างรุมสวดผู้บริหารเทศบาลที่นำท่อระบายน้ำมาฝังในเหมืองระบายน้ำริมถนนสายพัทลุง-ลำปำ ทำให้การระบายน้ำจากเขตเทศบาลลงสู่ทะเลสาบลำปำ (ทะเลสาบสงขลาตอนใน) ล่าช้า และเมื่อตอนดึกคืนที่ผ่านมาก็ไม่มีเจ้าหน้าที่ของเทศบาลมาเปิดประตูระบายน้ำแต่อย่างใด จึงเป็นหน้าที่ของชาวบ้านต้องช่วยกันเปิดประตูระบายน้ำเอง ส่วนการประกาศเตือนภัยในเขตเทศบาลก็ไม่มีเช่นกัน

สำหรับสถานการณ์น้ำท่วมในภาพรวมของจังหวัด ยังคงมีสภาพน้ำท่วมขังใน 7 อำเภอ ประกอบด้วย ควนขนุน, เมือง, บางแก้ว, ปากพะยูน, เขาชัยสน, ป่าบอน และป่าพะยอม หนักสุดคือที่เขตเทศบาลเมืองพัทลุง ต.พญาขัน ต.ชัยบุรี ต.นาโหนด อ.เมืองพัทลุง ต.เขาชัยสน อ.เขาชัยสน และ ต.พนางตุง ต.มะกอกเหนือ อ.ควนขนุน เฉลี่ยน้ำสูงอยู่ที่ 1-1.50 เมตร.

ไทยรัฐออนไลน์ 3 มค 2555

หน้า: 1 ... 545 546 [547] 548 549 ... 651