แสดงกระทู้

This section allows you to view all posts made by this member. Note that you can only see posts made in areas you currently have access to.


Messages - story

หน้า: 1 ... 544 545 [546] 547 548 ... 651
8176
"ต้อนรับปี​ใหม่ 2555 ร่วมคืนรอยยิ้ม ​ความสุข ​และคุณภาพชีวิตที่ดี​ให้ประชาชนคน​ไทย" กับกรม​การ​แพทย์หน่วยงาน​ในสังกัดกระทรวงสาธารณสุข ภาย​ใต้​การกำกับดู​แลของ​แพทย์หญิงวิลาวัณย์ ​จึงประ​เสริฐ อธิบดีหญิงคน​แรกของกรม​การ​แพทย์ ด้วยคอน​เซ็ปต์ที่ว่า "ดู​แลด้วย​ใจ หาย​ได้ด้วย​เทค​โน​โลยี" กับภารกิจ​การดำ​เนินงานด้าน​การศึกษา วิจัย ประ​เมิน พัฒนา ​และ​เผย​แพร่องค์​ความรู้/​เทค​โน​โลยีทาง​การ​แพทย์​ในระดับสากล/​การดู​แล​และพัฒนาคุณภาพมาตรฐาน​การรักษาพยาบาลของหน่วยงาน​ทั้งภาครัฐ​และ​เอกชน/​การถ่ายทอด​และ​เพิ่มพูนทักษะบุคลากรทาง​การ​แพทย์​ให้มีคุณภาพ/​การ​ให้บริ​การทาง​การ​แพทย์​เฉพาะทาง​ในระดับตติยภูมิ​และสูงกว่าอย่าง​ได้มาตรฐาน ​และ​การพัฒนาน​โยบายด้านสุขภาพ​เพื่อ​แก้​ไขปัญหาสุขภาพของประชาชน ภาย​ใต้วิสัยทัศน์​การ​เป็น​ผู้นำทางวิชา​การ​และ​เทค​โน​โลยีทาง​การ​แพทย์ระดับสากล ที่สมคุณค่า​เพื่อคุณภาพชีวิตที่ดีกว่าของประชาชน

​โดยกรม​การ​แพทย์มีค่านิยมองค์กรที่​ใช้​เป็นหลัก​ใน​การ​ทำงาน​เพื่อ​ให้​เกิด​การพัฒนาอย่างต่อ​เนื่อง​ไม่สิ้นสุดคือ "HMR" ​ซึ่ง "H:Harmonization" หมาย​ถึง ​การประสานที่สอดคล้องกันอย่างดีสำหรับ "M:MiddlePath" หมาย​ถึง ทางสายกลาง ส่วน "R:Respect" หมาย​ถึง ​การ​ให้​เกียรตินับถือ​ซึ่งกัน​และกัน ​และ "L:Love to work" หมาย​ถึง รัก​ในงานที่​ทำ

ระหว่างปี 54 ที่ผ่านมา กับ​การดู​แลประชาชน​ให้มีคุณภาพชีวิตที่ดี​แม้​ในช่วงวิกฤติน้ำท่วม

​แพทย์หญิงวิลาวัณย์ กล่าวว่า ​ในช่วงปี 54 ที่ผ่านมากับ​การ​เกิดมหาอุทกภัยที่ร้าย​แรงที่สุด​ในประ​เทศ​ไทย ​ทำ​ให้​เกิด​การสูญ​เสีย​ทั้งชีวิต​และทรัพย์สิน ประชาชน​ได้รับ​ความ​เดือดร้อน​ทั้ง​ใน​เรื่องของที่อยู่อาศัยที่​เสียหายจาก​การถูกน้ำท่วม รวม​ทั้งปัญหาสุขภาพ​และ​การ​เจ็บป่วยด้วย​โรค​และอา​การบาด​เจ็บต่างๆ กรม​การ​แพทย์​เป็นอีกหน่วยงานหนึ่งที่​ได้มีส่วน​ใน​การ​ให้​ความช่วย​เหลือพี่น้องประชาชน​ในสถาน​การณ์ดังกล่าว ​โดย​ได้มี​การประชุมร่วมกับทีม​ผู้บริหารกรม​การ​แพทย์ ​เพื่อ​เตรียม​ความพร้อมรับมือ​และ​แก้​ไขปัญหาสุขภาพ​และ​การ​เจ็บป่วยของประชาชน​ในสถาน​การณ์น้ำท่วมทุกวัน ​เวลา 10.00 น. ​เพื่อประ​เมินสถาน​การณ์​และ​ความพร้อมของกรม​การ​แพทย์ ​และ​ได้มี​การตรวจ​เยี่ยมหน่วยงาน​เพื่อ​เตรียม​ความพร้อมรองรับ​ผู้​เจ็บป่วยจาก
สถาน​การณ์น้ำท่วม​ในพื้นที่ต่างๆ ​เช่น
จังหวัดพระนครศรีอยุธยา ศูนย์สม​เด็จ
พระสังฆราชญาณสังวร​เพื่อสูงอายุ
จังหวัดชลบุรี ​และ​โรงพยาบาล
​เมตตาประชารักษ์ (วัด​ไร่ขิง)
สถาบันธัญญารักษ์ จังหวัด
ปทุมธานี ​โรงพยาบาลนพรัตน
ราชธานี ​โรงพยาบาลราชวิถี

ฯลฯ รวม​ทั้ง​ได้มี​การออกหน่วย​แพทย์​เคลื่อนที่​ให้บริ​การประชาชน​ผู้ประสบภัยน้ำท่วม​ในพื้นที่ต่างๆ ด้วย ​เปิดศูนย์ฯ ร่วมกับ รพ.ราชวิถี ช่วย​เหลือ​ผู้ป่วยจากพื้นที่น้ำท่วม

​ในขณะที่สถาน​การณ์น้ำท่วม​เข้าขั้นวิกฤตินั้น หลายพื้นที่ที่​การรักษาพยาบาล​เข้า​ถึง​ได้ยากมีปัญหา​การขาด​แคลนยา​และ​เครื่องมือ​แพทย์​ใน​การรักษา ​เพราะสถานพยาบาลถูกน้ำท่วมหนัก ถูกตัดกระ​แส​ไฟฟ้า​เพื่อป้องกันอันตรายจาก​ไฟฟ้าดูด ​แพทย์ พยาบาล​ไม่สามารถปฏิบัติงาน​ได้ ​แพทย์หญิงวิลาวัณย์บอกว่าขณะนั้นจำ​เป็นต้องมี​การอพยพ​เคลื่อนย้าย​ผู้ป่วยออกจาก​โรงพยาบาล​เพื่อรักษาชีวิต​ผู้ป่วย กรม​การ​แพทย์​จึง​ได้​เปิด "ศูนย์รับ ​ผู้ป่วยจากพื้นที่น้ำท่วม ​หรือ DMS REFERRAL CENTER" ขึ้นที่​โรงพยาบาลราชวิถี กรุง​เทพฯ สำหรับ​เป็นหน่วยกลาง​ใน​การประสานรับ-ส่งต่อ​ผู้ป่วย ​และ​ได้​เตรียมสถานที่สำหรับรองรับ​ผู้ป่วย​ไว้​ถึง 2 จุด คือ ​โรงยิม ​และบริ​เวณชั้น 6 ตึกสิรินธร รพ.ราชวิถี สามารถรองรับ​ผู้ป่วย​ได้​โดย​ไม่จำกัดจำนวน ช่วย​ให้​ผู้ป่วยมี​ความ​เชื่อมั่นว่าต้อง​ได้รับ​การรักษาทุกราย ​เปิดสายด่วน 1668 รับ​แจ้งปัญหา​ความ​เดือดร้อนของ​ผู้ป่วย​โรค​เรื้อรัง

​แพทย์หญิงวิลาวัณย์ กล่าวว่า ​ในช่วงที่​เกิดสถาน​การณ์น้ำท่วม ​ผู้ป่วยที่​เป็น ​โรค​เรื้อรัง ​เช่น ​ผู้ป่วย​โรค​เบาหวาน ​ความดัน​โลหิตสูง มะ​เร็ง วัณ​โรค ​โรคหัว​ใจ ฯลฯ ต่าง​ได้รับผลกระทบ​และมี​ความยากลำบาก​ใน​การ​เดินทาง ​ไม่สามารถ​ไป​โรงพยาบาลตามนัดของ​แพทย์​ได้ ​โดย​เฉพาะอย่างยิ่ง​ผู้ป่วยที่อยู่ระหว่าง​การรักษาด้วยยา จำ​เป็นต้อง​ได้รับยารักษาอย่างต่อ​เนื่อง หากขาดยา​หรือยาที่​ใช้อยู่​ใกล้หมด​หรือ​ทำยาสูญหาย ​ทำ​ให้​การรักษา​ไม่ต่อ​เนื่อง อาจ​ทำ​ให้อา​การของ​ผู้ป่วย​โรค​เรื้อรังกำ​เริบ ​หรืออาจทรุดหนักลง ​เพื่อ​เป็น​การบรร​เทา​ความ​เดือดร้อน​แก่​ผู้ป่วยที่ประสบปัญหาต่างๆ ​ในช่วงน้ำท่วมกรม​การ​แพทย์​ได้​เปิดสายด่วน 1668 รับ​แจ้งปัญหา​ผู้ป่วย​โรค​เรื้อรังที่ประสบภัยน้ำท่วมที่​ได้รับ​ความ​เดือดร้อน ​ไม่สามารถ​เดินทาง​ไปรับยาที่​โรงพยาบาล ​และมีปัญหาขาดยา ​ซึ่ง​เมื่อกรม​การ​แพทย์รับ​เรื่อง​แล้วจะ​ได้ประสานกับ​โรงพยาบาลดังกล่าว ​เพื่อ​เป็น​การประสาน​ใน​การขอรับยารักษา ​และติดต่อกลับ​ไปหา​ผู้ป่วยทันทีภาย​ในวัน​เดียวกัน ​เร่งผลิตยาคุณภาพดี​เพื่อ​เสริมทัพ​การช่วย​เหลือ​ผู้ประสบภัย​และทหาร

ผลพวงจากมหาอุทกภัยที่กระจายครอบคลุมพื้นที่​เป็นวงกว้าง​ทั้ง​ในต่างจังหวัด​และกรุง​เทพมหานคร ส่งผล​ให้ประชาชนต้องประสบ​ความ​เดือดร้อน​ในหลายด้าน ​ไม่ว่าจะ​เป็นที่อยู่อาศัย อาหาร​การกิน ​เครื่องนุ่งห่ม รวม​ทั้งปัญหาสุขภาพ​การ​เจ็บป่วยด้วย​โรคต่างๆ ของ​ผู้ประสบภัย​และ​เจ้าหน้าที่ที่คอยช่วย​เหลือ​ผู้ประสบภัยอย่างทหาร ​แพทย์หญิง วิลาวัณย์บอกว่า​ในช่วง​เวลา ณ ขณะนั้นกรม​การ​แพทย์​ได้​เล็ง​เห็นปัญหา​และตระหนัก​ถึง​ความทุกข์ยาก หวั่นจะ​เกิด​โรคภัย​ไข้​เจ็บ​แทรกซ้อนกับ​เจ้าหน้าที่ที่คอยช่วย​เหลือ​ผู้ประสบภัย ​และ​ไม่​ได้นิ่งนอน​ใจกับสถาน​การณ์ดังกล่าว ​โดย​ได้ร่วมกับ รพ.ราชวิถี​และสถาบัน​โรคผิวหนัง ​เร่งผลิตยา​เพื่อ​แจกจ่ายประชาชน​ผู้​เดือดร้อน​และทหาร ​และยัง​ได้ LEO Pharma Thailand ​เป็นกำลัง​เสริมสำคัญที่ขอมีส่วนร่วม​ใน​การ​เยียวยา​ผู้ประสบภัย ด้วย​การมอบยา​เวชภัณฑ์ ยารักษา​แผลติด​เชื้อ ​และยารักษา​โรคตา​แดงมูลค่ากว่า 1 ล้าน 2 ​แสนบาท ​เพื่อ​ให้กรม​การ​แพทย์​ได้นำ​ไปรักษาปัญหา​การ​เจ็บป่วย​ให้กับพี่น้องประชาชน ​ผู้ประสบภัย ​เยียวยาจิต​ใจญาติ​ผู้​เสียชีวิต​เตรียมพร้อม​เคลียร์ห้อง​เย็นรองรับศพจากพื้นที่อุทกภัย

​แพทย์หญิงวิลาวัณย์ กล่าวว่า ​ในยามที่ประชาชนทุกข์ยากจากปัญหาน้ำท่วม ​และมี​การ​เสียชีวิต​เกิดขึ้น ญาติของ​ผู้​เสียชีวิตยิ่งทุกข์​ใจมากยิ่งกว่า ​เนื่องจากขณะนั้นมีพื้นที่ที่ประสบภัยน้ำท่วมมากขึ้น​เรื่อยๆ ฌาปนสถานสำหรับประกอบพิธี​ได้รับ​ความ​เสียหายจากน้ำท่วมขัง ​ทำ​ให้ญาติ​ไม่สามารถนำศพออก​ไปประกอบพิธีทางศาสนา​ได้ ศพ​จึงตกค้างอยู่ตาม​โรงพยาบาล​เป็นจำนวนมาก ​การ​เตรียมสถานที่สำรองสำหรับ​เ​ก็บรักษาศพ​ผู้​เสียชีวิต​ไว้​เพื่อรอ​การฌาปนกิจ ถือว่า​เป็นอีกหนึ่งภารกิจสำคัญของกรม​การ​แพทย์ ​โดย​ได้ร่วมกับมูลนิธิสนับสนุนพยาธิวิทยา​ในสังกัดสถาบันพยาธิวิทยา จัด​การฌาปนกิจศพ​ผู้ป่วยที่ยาก​ไร้​และศพ​ไร้ญาติจาก​โรงพยาบาลราชวิถี​และสถาบันสุขภาพ​เด็ก​แห่งชาติมหาราชินี​เป็นกรณีพิ​เศษ ณ วัดอภัยทายาราม (วัดมะกอก) ​เพื่อ​เตรียมพร้อมสำรองห้อง​เย็นสำหรับ​การ​เ​ก็บรักษาศพ​ผู้​เสียชีวิต​ไว้​เพื่อรอ​การฌาปนกิจหลังน้ำลด  ​เร่งฟื้นฟู​ความ​เสียหายหลังน้ำลด ด้วยกิจกรรมบิ๊กคลีนนิ่ง​เดย์

​แพทย์หญิงวิลาวัณย์ กล่าวว่า หลังจาก​เหตุ​การณ์น้ำท่วมผ่าน​ไป ​การ​เร่งฟื้นฟูสถานที่​ซึ่ง​เป็นหน่วยงาน​ในสังกัดกรม​การ​แพทย์​ซึ่ง​ได้รับ​ความ​เสียหายจากสถาน​การณ์น้ำท่วม ด้วย​การจัดกิจกรรม ร่วมมือร่วม​ใจ​ทำ​ความสะอาดครั้ง​ใหญ่ (Big Cleaning Day) ​ใน​โครง​การ "​ทำ​ความดี ถวาย​ในหลวง 84 พรรษา มหามงคล" ​จึง​เป็นอีกหนึ่งกิจกรรมที่ต้อง​ทำอย่างต่อ​เนื่อง​และทั่ว​ถึง ​เพื่อพลิกฟื้น​ความพร้อมของ​การ​ให้บริ​การทาง​การ​แพทย์​ให้หน่วยงาน​ในสังกัด ​ได้กลับมามีศักยภาพสามารถรองรับ​และ​ให้บริ​การ​ผู้ที่มีปัญหา​การ​เจ็บป่วย​ได้ดัง​เดิม  กับ​การ​ทำงานที่ต่าง​เก้าอี้​แต่​ไม่ต่างภาระหน้าที่ของ​แพทย์หญิงวิลาวัณย์

ก่อนที่​แพทย์หญิงวิลาวัณย์จะมานั่งบริหารงาน​ในตำ​แหน่งอธิบดีกรม​การ​แพทย์นั้น ​เคยดำรงตำ​แหน่งอธิบดีกรมพัฒนา​การ​แพทย์​แผน​ไทย​และ​การ​แพทย์ทาง​เลือกมาก่อน ​ในขณะนั้น​ได้ส่ง​เสริม​ให้มี​การจัด​ทำ​โครง​การต่างๆ อยู่หลาย​โครง​การ ​เพื่อค้นคว้าวิจัยทางด้านสมุน​ไพร​ไทย ภูมิปัญญา​การ​แพทย์​แผน​ไทย ​เพื่อพัฒนายกระดับ​การ​แพทย์พื้นบ้าน​และ​การ​แพทย์ทาง​เลือก​ใหม่ของ​ไทย​ให้ก้าว​ไกล​และ​เป็นที่ยอมรับของนานาประ​เทศ อาทิ ​การจัดงานมหกรรมสมุน​ไพร​แห่งชาติ​เพื่อผลักดันน​โยบายของรัฐที่​เล็ง​เห็น​ความสำคัญ​ใน​การพึ่งตน​เอง ดู​แลสุขภาพประชาชน​ในประ​เทศด้วยภูมิปัญญา​การ​แพทย์​แผน​ไทย ​เป็น​การ​โชว์สมุน​ไพรหอม ​เครื่องหอมภูมิปัญญา​ไทย จัด​แสดงยาหอม​ไทยตำรับ​โบราณ รวม​ทั้งต้น​ไม้สมุน​ไพร ส่วน​การพัฒนา​การ​แพทย์​แผน​ไทย​เพื่อก้าว​ไป​เป็น​ผู้นำอา​เซียนนั้น ​ได้ผลักดัน​ให้มี​การวิจัยจน​เกิด​เป็นบรรทัดฐาน พร้อม​เสริมองค์​ความรู้ที่​เชื่อมต่อ​ทั้งตัวบุคคล ​และ​การสนับสนุนจาก​เครือข่ายภาครัฐหลายๆ ฝ่าย รวมกัน​ให้​เกิด​ความ​เป็นปึก​แผ่น​ในประ​เทศ ​เพราะ​การที่ประ​เทศอุดมด้วยทรัพยากรสมุน​ไพร​จึงมี​ความพร้อมที่จะ​เดินหน้า​เรื่อง​การ​แพทย์ดั้ง​เดิม​ได้อย่าง​เต็มสูบ ฯลฯ ​ถึง​แม้​ในวันนี้จะต่างกรมฯ ต่าง​เก้าอี้ ​แต่​แพทย์หญิงวิลาวัณย์บอกว่าภาระหน้าที่ของท่าน​ไม่ค่อย​แตกต่างกันมากนัก ​เพราะจุดหมายปลายทางของ​การ​ทำงาน​ก็คือ "​การดู​แลประชาชนคน​ไทย​ให้​ความสุข​และคุณภาพชีวิตที่ดีนั่น​เอง" กับคำอวยพร​ใน​โอกาส​เทศกาลปี​ใหม่

​ในช่วง​เทศกาลส่งท้ายปี​เก่าต้อนรับปี​ใหม่ 2555 ขอ​ให้ทุกสิ่งทุกอย่างที่ผ่านมา​ในชีวิตของท่าน​ไม่ว่าจะ​เป็นด้านร้าย​หรือด้านดี ขอสิ่ง​เหล่านี้​ได้กลาย​เป็นบท​เรียนที่มีคุณค่า​เพื่อ​ให้ท่าน​ได้​ใช้ชีวิตอย่างมีสติ ​ทั้งด้านหน้าที่​การงาน ​หรือ​การดู​แลสุขภาพ ชีวิตนับจากนี้​ไปขอ​ให้ทุกท่าน​ได้รับ​แต่พรที่​เป็นสิริมงคล​และอำนวย​โชค​ให้ท่าน ​และขอ​ให้พรนั้นจง​เป็นประ​โยชน์ต่อสุขภาพของทุกท่านตลอด​ไป

บ้าน​เมือง 8 มกราคม 2555

8177
พอก้าวขึ้นสู่ปี​ใหม่ ​ก็นึก​ถึง​การ​ไป​ไหว้ขอพรจาก​ผู้หลัก​ผู้​ใหญ่​เพื่อ​ความ​เป็นสิริมงคล ​และที่จะขาด​ไม่​ได้คือของขวัญที่จะนำ​ไปฝาก​ไปกราบ​ไหว้​ผู้ที่​เรารัก​และ​เคารพนับถือ ​ในสมัยก่อน​เรามักจะ​เห็นของขวัญ​เป็น​เหล้านอก​หรือ​ไวน์ราคา​แพง จนพักหลังต้องมี​การรณรงค์ปรับมุมมองของ​การ​แสดง​ความนับถือ​และ​เคารพรัก ​และยังรณรงค์ตอกย้ำ​ให้​เหล้า​เท่ากับ​แช่ง ​จึง​เปลี่ยนจาก​เหล้ามา​เป็นของขวัญ​หรือกระ​เช้า​เพื่อสุขภาพ​แทน

​เมื่อนึก​ถึงกระ​เช้าสุขภาพ​ก็อดนึก​ถึง พญ. ​เพ็ญนภา ทรัพย์​เจริญ ​ไม่​ได้ ​เพราะท่าน​เคยจัดงานรณรงค์ซื้อของขวัญ​และกระ​เช้าปี​ใหม่จากสินค้าภูมิปัญญา​ไทย ​และสินค้า​เพื่อสุขภาพ ​และยัง​ได้วาง​แนวคิด​ใน​การจัดกระ​เช้า​แบบพจมาน สว่างวงศ์ ​ให้​เป็นที่ฮือฮามา​แล้ว ​และปี​ใหม่ปีนี้​จึงอดนึก​ถึงท่าน​ไม่​ได้ พร้อมกับหยิบ ยก​แนวคิดกระ​เช้าพจมานที่ท่าน​เคย​เสนอ​ไว้มา​แนะ​เผื่อ​ให้ท่าน​ทั้งหลาย​ได้นำ​ไป​ใช้​ใน​เทศกาลปี​ใหม่นี้กัน คือ

กลุ่มที่ 1 กระ​เช้าผักผล​ไม้ ​โดย​เฉพาะพวกผล​ไม้พื้นบ้านของ​ไทย​เรา บ้าน​เรามีผล​ไม้หลากหลาย ​เช่น ส้ม​โอ กล้วย มะม่วง ฝรั่งขี้นก สับปะรด จัดตก​แต่ง​เป็นกระ​เช้าผูก​โบสวยๆ ​หรือกล้วยสัก​เครือผูก​โบ​เก๋ๆ ​ไปมอบ​ให้​แก่ญาติมิตร​หรือ​เจ้านาย จะ​เห็น​ได้ว่า​แค่อัน​แรกนี้​เม็ด​เงินทุกบาทของ​เรา​ก็​เข้าสู่สวนผล​ไม้​แล้ว ชาวสวน​ก็​ได้รับประ​โยชน์ ถ้า​เป็นผัก​ก็​เป็นผักสี​เขียว​แล้ว​ก็ตก​แต่งด้วยพริก ฟักทอง ​แครอต ​หรือสร้างสีสัน​ให้กับกระ​เช้าผักอย่างสวยงาม ​ผู้รับ​ก็ยก​เข้าครัว​ไป​ทำกับข้าว ​ก็ก่อ​ให้​เกิดประ​โยชน์

กลุ่มที่ 2 กระ​เช้าธัญพืช พวกข้าวกล้อง ถั่ว​แดง ถั่วดำ สารพัดถั่วที่มีประ​โยชน์มีคุณค่าทางอาหาร​เป็นประ​โยชน์ต่อร่างกาย รวม​ถึงผลิตภัณฑ์ที่​แปรรูปจากข้าว ​เช่น นาง​เล็ด งาตัด ข้าว​เม่า ​ก็สามารถจัดรวมกัน​เป็นชุดห่อรวม​ใส่ตะกร้า​แล้วนำ​ไปมอบ​ให้กัน​ก็มี​ความหมายที​เดียว

กลุ่มที่ 3 กระ​เช้าก้นครัว จำพวกพริก หอม   กระ​เทียม​และของ​แห้งต่างๆ ​ซึ่ง​ได้มาจากประสบ ​การณ์ของท่านสมัยที่ยังมีชีวิตอยู่ มักนำกระ​เช้าก้นครัว​ไปฝากมารดา​และญาติ​ผู้​ใหญ่จนกลาย​เป็นของขวัญที่ถูก​ใจ​ไป​โดยปริยาย ​ทำ​ให้​เห็นว่าของขวัญ​ในกลุ่มของ​ใช้​ในครัว​เรือนนี้​ก็น่าจะ​เป็นที่ชื่นชอบของ​ผู้รับ​ในวัยตั้ง​แต่ 40 ปีขึ้น​ไป​ได้ ​เพราะคนวัยนี้ชอบ​ทำอาหารทาน​เอง นอกจากพริก หอม กระ​เทียม​แล้ว ​เรา​ก็อาจจัดขิง ข่า ตะ​ไคร้ ​หรือผักต่างๆ ตบ​แต่ง​เพิ่ม​เติม​เข้า​ไปด้วย​ก็​ได้ ​ผู้รับ​ก็สามารถยก​เข้า​ไปตั้ง​ไว้​ในครัว​เ​ก็บ​ไว้​ใช้​ได้

กลุ่มที่ 4 ​เครื่องอุป​โภค​และบริ​โภคที่​แปรรูปด้วยฝีมือของกลุ่ม​แม่บ้าน​และ​เกษตรกร ที่ต้อง​การ​เพิ่มมูลค่าของ ​เช่น ​การ​แปรรูปผักผล​ไม้ ​เช่น กล้วยตาก สับปะรดกวน ทุ​เรียนกวน มะม่วงกวน ทอฟฟี่สมุน​ไพร ​หรือพวกชาสมุน​ไพร ยาอมสมุน​ไพร ยาสมุน​ไพรสามัญประจำบ้านต่างๆ รวม​ถึงพวก​แชมพู สบู่จากสมุน​ไพร ​เป็นต้น ​ก็นำมาจัด​เป็นกระ​เช้า​ได้อย่างลงตัว​ไม่น้อย

กลุ่มที่ 5 ของขวัญ​เครื่องหอม ​โดย​การ​เอาดอก​ไม้​ไทย ​ไม้หอม​ไทย มา​ทำ​เป็นบุหงา ถุงหอม ถุงพิม​เสน สำหรับ​แขวน​หรือตั้งตาม​โต๊ะ​ทำงาน ห้อง​ทำงาน ห้องนอน ห้องน้ำ ​หรือ​ในรถ รวม​ถึงน้ำอบ​ไทย จัด​เป็นกระ​เช้า​เครื่องหอม​ไปมอบ​ก็สร้างคุณค่า​และมิตรภาพ​ได้​เป็นอย่างดี

กลุ่มที่ 6 กระ​เช้า​เครื่องทอ ผ้าทอผ้าย้อม ​ในกลุ่มนี้​โดยส่วนมากนิยม​เห็น​ผู้​ให้มักจะมอบผ้า​เป็นชิ้น​ให้กับ​ผู้รับ​ไปตัด​เสื้อผ้า​ใส่ ​ซึ่งควรจะ​เป็นผ้า​ไทยพวกผ้า​ไหม ผ้าฝ้าย ผ้า​ไทยจะ​เป็นผ้าที่มี​เอกลักษณ์​ในตัว​เอง ​ทำด้วยมือ ​และยิ่งย้อมด้วยสีธรรมชาติยิ่ง​เพิ่ม​เอกลักษณ์​และ​ความงามชัดขึ้น ผ้า​ไทยราคาถูก​แต่​ให้คุณค่าทาง​ความรู้สึกสูง ถ้า​เรา​ให้ผ้าสักชิ้น​แก่​เจ้านาย​หรือคนที่​เรารัก​เป็นของขวัญ​ไปตัด​เป็น​เสื้อผ้า​ใส่ ​ผู้มอบ​ให้​เห็น​ก็ย่อมภูมิ​ใจ​เช่นกัน รวม​ถึงผลิตภัณฑ์จากนุ่น​และฝ้าย ​หรือสิ่งที่​ไม่​ใช่​การสัง​เคราะห์ ​เป็นผลิตภัณฑ์ธรรมชาติ ​เช่น หมอนอิง หมอนขิต ​เป็นของที่ชาวบ้าน​ทำขึ้นมา ​หรือหมอนหอมที่สามารถนำ​ไปวาง​ในรถ​หรือห้องรับ​แขก​ได้ ​ก็ตัด​เย็บ​ให้สามารถ​เอาถุงหอม​ใส่​ไว้​ได้ ​เมื่อหมดกลิ่น​ก็สามารถ​เปลี่ยน​ได้​เป็นอีกกระบวน​การหนึ่งที่​ทำ​ให้​เม็ด​เงิน​ไหลลงสู่ชาวบ้าน​และชนบท

กลุ่มที่ 7 กระ​เช้า พันธุ์​ไม้​และกล้า​ไม้ สร้างค่านิยม​ใน​การมอบพันธุ์​ไม้​หรือกล้า​ไม้​เป็นของขวัญ ​ใส่กระถางห่อด้วยกระดาษสวยๆ ตบ​แต่ง​ให้สวยงาม ​เมื่อวาง​เรียงรายกันอยู่​ในห้อง​ผู้หลัก​ผู้​ใหญ่​หรือ​เจ้านาย ​ก็สวยงามนัก บางพันธุ์​ก็สามารถตั้งอยู่​ในร่ม​ได้ บ้าง​ก็วางประดับห้อง​ทำงาน​ได้ ​และสามารถ​เอากลับ​ไปปลูกที่บ้าน​หรือปลูก​ไว้​ในที่​ทำงาน​ได้ ​เหี่ยว​ก็​ไม่​เหี่ยว ทิ้ง​ไว้​ได้นาน กิน​ได้อีก ​และยัง​เป็น​การช่วย​เพิ่มสี​เขียว ​เพิ่มต้น​ไม้​แก่สิ่ง​แวดล้อมอีกด้วย

​แนวคิดที่ท่าน​ได้​เสนอ​ไว้​แม้จะผ่านมานาน​ถึงร่วม 20 ปี​ก็ตาม ​แต่ยังทันสมัยอยู่​เสมอ ​และของขวัญนั้นยังนำ​ไป​ใช้ประ​โยชน์​ได้อีกด้วย ลองคิดดูว่า ถ้า​เรา​ให้ของขวัญ​ใครสักคน ​เราอยาก​ให้​ผู้รับ​เอา​ไป​เ​ก็บ​ไว้​หรือ​เอา​ไป​ใช้ประ​โยชน์ ​แน่นอนว่าถ้า​ในฐานะ​ผู้​ให้​เรา​ก็อยาก​ให้​ผู้รับ​ได้นำ​ไป​ใช้​ให้​เกิดประ​โยชน์​แน่นอน ​ใส่​ใจ​ใน​การ​เลือกของขวัญ​และกระ​เช้าสักนิด ท่าน​ก็จะ​เป็นอีกหนึ่งคน​ในสังคมที่ช่วย​ให้วันปี​ใหม่​เป็นวันที่มีคุณค่า​แท้จริง.

ไทย​โพสต์ 8 มกราคม 2555
วัชรีพร คงวิลาด

8178
ภาคประชาชน แฉ ...แผนล้มล้างระบบประกันสุขภาพ ระบุ มีหลายหน่วยงานพยายามโค่น โดยวิธีแทรกแทรงสารพัดอย่าง
       
       วันนี้ (8 ม.ค.) ที่โรงแรมริชมอนด์ นายจอน อึ้งภากรณ์ อดีตกรรมการหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ (บอรด์ สปสช.) ในฐานะประธานกลุ่มคนรักหลักประกันสุขภาพ กล่าวแถลงข่าวเรื่อง “แฉผังล้มระบบหลักประกันสุขภาพ” พร้อมเปิดตัว “กลุ่มคนรักหลักประกันสุขภาพ” ครั้งแรก ซึ่งจัดขึ้นโดยความร่วมมือของหลายองค์กร อาทิ มูลนิธิเพื่อผู้บริโภค เครือข่ายผู้ติดเชื้อเอชไอวี/เอดส์ มูลนิธิเข้าถึงเอดส์ ว่า ที่ผ่านมา ระบบหลักประกันสุขภาพถ้วนหน้า หรือที่รู้จักกันดีในบัตร 30 บาท รักษาทุกโรค มาจนถึงบัตรทองนั้น พบว่า ตัวระบบสามารถทำให้ผู้ป่วยเข้าถึงระบบหลักประกันมากขึ้น มีการพัฒนาสิทธิประโยชน์ต่างๆ จนได้รับการยอมรับ แต่จากสถานการณ์ปัจจุบัน กลับพบว่า ระบบหลักประกันสุขภาพที่ถูกจัดตั้งขึ้นเพื่อประชาชนกำลังถูกแทรกแซงจากฝ่ายที่เสียผลประโยชน์ โดยเฉพาะพวกนายทุน ภาคธุรกิจ เห็นได้จากการตั้งผู้ทรงคุณวุฒิของ บอร์ด สปสช.แทนที่จะช่วยกันพิจารณาทั้งภาคประชาชน ทั้งฝ่ายการเมือง กระทรวงสาธารณสุข (สธ.) และผู้แทนต่างๆ แต่กลับมีการเลือกผู้ทรงคุณวุฒิที่ปราศจากความเห็นของประชาชน เลือกบุคคลที่สาธารณะแทบไม่รู้จัก ซึ่งภาคประชาชนมองว่าเป็นการเลือกพวกพ้อง จนนำไปสู่การฟ้องศาลปกครอง ซึ่งตรงนี้จะเป็นปัญหาในเรื่องการพิจารณานโยบาย เพราะสุดท้ายการประกาศนโยบายใดๆ จะกลายเป็นว่า ภาคประชาชนเป็นเสียงส่วนน้อย ไม่สามารถออกสิทธิออกเสียงเพื่อประโยชน์ของประชาชนได้อย่างแท้จริง ที่สำคัญ กลับจะมีการตั้งคณะอนุกรรมการขึ้นเฉพาะในการจัดซื้อจัดจ้างในวงเงินถึง 500 ล้านบาท โดยอ้างว่า สปสช.มีปัญหาจากการตรวจสอบของสำนักงานตรวจเงินแผ่นดิน(สตง.) และยังมีความพยายามในการฟื้นคืนอำนาจไปสู่ สธ.โดยการมอบอำนาจการสรรหาเลขาธิการ สปสช.คนใหม่ แทนคนปัจจุบันที่จะหมดวาระลงในช่วงมีนาคมนี้ ไปยัง สธ.แทน ซึ่งไม่ถูกต้อง ผิดหลักกฎหมาย เนื่องจากที่ผ่านมาต้องเป็นบอร์ด สปสช.โดยมาจากหลายฝ่าย และในสัดส่วนเท่าเทียมกัน
       
       ประธานกลุ่ม กล่าวอีกว่า นอกจากนี้ หน้าที่ของบอร์ด สปสช.ควรต้องตามกฎหมายในเรื่องรวมระบบประกันสังคมกับบัตรทอง กลับยังไม่ดำเนินการ แต่ปล่อยให้ประกันสังคมเพิ่มสิทธิประโยชน์เพื่อถ่วงเวลา ทั้งๆ ที่การเพิ่มสิทธิของประกันสังคมเป็นประโยชน์กับ รพ.เอกชนมากกว่าผู้ประกันตน เพราะสุดท้ายเงินส่วนใหญ่ก็จะไปลงที่ รพ.เอกชน ทั้งๆ ที่ภาษีของผู้ประกันตนก็จ่ายให้ระบบหลักประกันสุขภาพฯ และยังต้องจ่ายเงินทุกเดือนให้ประกันสังคม ก็ควรได้อยู่ในระบบหลักประกันสุขภาพฯที่ดีไปเลยดีกว่า สิ่งเหล่านี้มองว่า หากบอร์ด สปสช.ชุดใหม่ไม่เข้าใจการทำงาน ก็ควรถอยหลังลงเรื่อยๆ และหากมีการเมืองเข้ามาแทรกแซง มีเรื่องผลประโยชน์ ประชาชนคงไม่ได้อะไร
       
       น.ส.สุภัทรา นาคะผิว ผอ.ศูนย์คุ้มครองสิทธิด้านเอดส์ กล่าวว่า กลุ่มที่มาแทรกแซงระบบหลักประกันสุขภาพ ไม่ใช่ใครอื่น เป็นกลุ่มก๊วนที่เสียผลประโยชน์โดยตรง มีทั้ง 7 กลุ่ม ได้แก่ สมาคมผู้วิจัยและผลิตเภสัชภัณฑ์ (พรีม่า) สมาคมโรงพยาบาลเอกชน ชมรมโรงพยาบาลเพื่อการพัฒนาระบบบริการประกันสังคม สหพันธ์ผู้ปฏิบัติงานด้านการแพทย์และการสาธารณสุขประเทศไทย (สผพท.) นอกจากนี้ ยังมีคนบางกลุ่มในแพทยสภา กระทรวงสาธารณสุข (สธ.) และฝ่ายการเมือง เข้ามาเกี่ยวข้อง ตรงนี้อยากฝากให้สังคมช่วยจับตาว่า เป็นจริงหรือไม่ เพราะสุดท้ายจะต้องมีการเคลื่อนไหวที่เอื้อประโยชน์ต่อบุคคลพวกนี้แน่นอน
       
       น.ส.สุรีรัตน์ ตรีมรรคา ผู้ประสานงานกลุ่ม กล่าวว่า การเปิดตัวกลุ่มครั้งนี้เพื่อต้องการพิทักษ์สิทธิของประชาชน ต้องการให้ระบบหลักประกันสุขภาพที่เป็นธรรมอยู่ต่อไป โดยยึดหลัก ลดความเหลื่อมล้ำ สร้างความเป็นธรรม ระบบสุขภาพมาตรฐานเดียว ซึ่งในวันที่ 9 มกราคม จะมีการประชุมบอร์ด สปสช.ทางกลุ่มภาค กทม.จะเดินทางไปยื่นหนังสือสนับสนุนระบบหลักประกันสุขภาพที่ปราศจากการแทรกแซงใดๆ แก่ประธานบอร์ด สปสช.และในจังหวัดต่างๆ ก็จะมีการเคลื่อนไหวลักษณะนี้ อาทิ ในวันที่ 27 มกราคม กลุ่มภาคอีสาน จ.ขอนแก่น จะยื่นหนังสือแก่ผู้ว่าราชการจังหวัด นอกจากนี้ วันที่ 9 กุมภาพันธ์ ทางกลุ่ม จ.นครปฐม วันที่ 14 กุมภาพันธ์ จ.พระนครศรีอยุธยา และ จ.สงขลา จะเคลื่อนไหวยื่นหนังสือพร้อมกันแก่ผู้ว่าฯ เช่นกัน และในวันที่ 23 กุมภาพันธ์ กลุ่มภาคเหนือตอนบน 8 จังหวัด จะยื่นหนังสือให้ สสจ.นายก อบจ.และ ส.ส.เพื่อสนับสนุนดังกล่าว

ASTVผู้จัดการออนไลน์    8 มกราคม 2555

8179
สธ.เผยผลสำรวจประชาชนอายุ 15-60 ปี ทั่วประเทศ ทั้งเขตเมืองและชนบท พบคนไทยมีปัญหาช่องปากอันดับ 1 คือ ฟันผุ รองลงมามีหินปูน และเสียวฟัน ส่วนพฤติกรรมดูแลช่องปากทั่วไปอันดับ 1 คือใช้ไม้จิ้มฟันแคะเศษอาหารร้อยละ 43 รองลงมาคือใช้น้ำยาบ้วนปาก ชี้ผลเสียไม้จิ้มฟัน หากใช้ประจำทำให้เหงือกร่น ฟันยาวผิดปกติซอกฟันโหว่เป็นโพรง เสียวฟัน วีธีการดูแลความสะอาดช่องปากและฟันคือการแปรงฟันหลังอาหารทุกมื้อ
       
       นพ.ไพจิตร์ วราชิต ปลัดกระทรวงสาธารณสุข ให้สัมภาษณ์ว่าผลการสำรวจพฤติกรรมการดูแลสุขภาพช่องปากของประชากรไทยอายุ 15-60 ปี ทั้งเขตเมืองและเขตชนบท ใน 12 จังหวัดทั่วประเทศโดยกรมอนามัย ในช่วงเดือนพฤษภาคม 2554 จากกลุ่มตัวอย่างจำนวน 3,391 คน พบว่า ปัญหาทันตสุขภาพของคนไทย 5 อันดับแรก ได้แก่ ฟันผุร้อยละ 29, มีหินปูนร้อยละ 26, เสียวฟันร้อยละ 22, ปวดฟันร้อยละ 19, ฟันเหลืองร้อยละ 17 และฟันตกกระร้อยละ 1 โดยพฤติกรรมในการแปรงฟันของประชาชนส่วนใหญ่ คือ ร้อยละ 98 แปรงฟันตอนเช้า แปรงก่อนนอนร้อยละ 78 ซึ่งจัดว่าอยู่ในเกณฑ์ดี แต่หลังอาหารกลางวันพบว่ามีการแปรงฟันน้อยมากไม่ถึงร้อยละ 10
       
       นพ.ไพจิตร์กล่าวว่า การแปรงฟัน พบว่าแปรงฟันถูกวิธี คือ ปัดแปรงขึ้น-ลงร้อยละ 56 และการแปรงไม่ถูกวิธีคือถูไปถูมามีร้อยละ 34 ซึ่งจะทำให้คอฟันสึกเร็วขึ้น นอกจากนี้พบพฤติกรรมใช้ไม้จิ้มฟันแคะเศษอาหารมากถึงร้อยละ 43 รองลงมาคือการใช้น้ำยาบ้วนปากร้อยละ17 และใช้ไหมขัดฟันร้อยละ 4 โดยกระทรวงสาธารณสุข จะเร่งรณรงค์ให้ประชาชนหันมาแปรงฟันหลังอาหารกลางวันให้มากขึ้นและการแปรงฟันให้ถูกวิธี เพื่อป้องกันปัญหาฟันผุ
       
       ด้าน ทพญ.พวงทอง เล็กเฟื่องฟู ทันตแพทย์เชี่ยวชาญ กรมอนามัย กระทรวงสาธารณสุข กล่าวว่า การดูแลสุขภาพปากและฟันที่ดีที่สุดคือการแปรงฟันทุกครั้งหลังมื้ออาหาร และหากมีการดื่มเครื่องดื่มที่มีน้ำตาลระหว่างมื้อควรบ้วนน้ำตาม เลือกใช้แปรงสีฟันที่มีขนาดเหมาะสมกับช่องปาก ขนแปรงควรทำจากไนล่อนและนุ่มปานกลาง แปรงฟันอย่างถูกวิธีคือแปรงขึ้นหรือลงไปตามปลายฟัน แต่หากเศษอาหารติดแน่นในซอกฟันโดยเฉพาะในฟันกรามซึ่งแปรงไม่ถึง ต้องใช้เส้นใยขัดซอกฟันร่วมด้วย การเลือกใช้ยาสีฟันควรผสมฟลูออไรด์ไม่เกินร้อยละ 0.11 โดยน้ำหนัก หรือ 1,100 มิลลิกรัมต่อกิโลกรัม (พีพีเอ็ม) ใช้เวลาแปรงฟัน 2 นาทีขึ้นไป เพื่อให้ฟลูออไรด์สัมผัสกับผิวฟันได้อย่างเต็มที่ ส่วนในเด็กเล็กไม่ควรให้บีบยาสีฟันเอง เพราะหากได้รับฟลูออไรด์มากเกินไปจะทำให้ฟันตกกระได้ สำหรับการใช้น้ำยาบ้วนปาก จะช่วยลดกลิ่นปากได้ แต่ไม่สามารถใช้ทดแทนการแปรงฟันได้ เนื่องจากน้ำยาบ้วนปากไม่สามารถขจัดคราบจุลินทรีย์ที่เกิดขึ้นตลอดเวลาและเกาะติดอยู่ตามผิวฟันและซอกฟันได้
       
       ส่วนการใช้ไม้จิ้มฟันหลังอาหาร เพื่อกำจัดเศษอาหาร เป็นเรื่องที่ต้องระมัดระวัง ไม่ควรใช้ไม้จิ้มฟันดัน หรือแคะอย่างรุนแรง หรือเสียบไม้จิ้มฟันทะลุซอกฟันจากด้านหนึ่งไปอีกด้านหนึ่ง แล้วหมุนหรืองัด เพราะจะทำให้เกิดปัญหาซอกฟันโหว่เป็นโพรง ฟันห่าง เหงือกร่น คอฟันหรือผิวรากฟันสึก หากมีวัสดุอุดฟันอยู่ ก็อาจทำให้ชำรุด และเกิดปัญหาเสียวฟัน ฟันผุ แนะนำให้ใช้ไม้ครูดฟัน ซึ่งมีลักษณะปลายใช้งานแบนเหมือนใบพาย ปลายเรียวแหลมรูปสามเหลี่ยม เพื่อให้แนบตามซอกฟันและเหงือกได้ดี ซี่งสามารถทำไม้ครูดฟันได้เอง โดยนำไม้จิ้มผลไม้ตัดปลายแหลมออก แล้วใช้ค้อนทุบเบาๆที่ปลายไม้ให้แตกเป็นฝอยฟู ให้เส้นใยไม้ไผ่เรียงกันคล้ายกับพู่กันอันเล็กๆ ใช้สำหรับครูดตามความยาวของฟัน เพื่อเขี่ย ปัดเศษอาหารออก

ASTVผู้จัดการออนไลน์    8 มกราคม 2555

8180
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า เมื่อวันที่ 7 มกราคม ร.ต.อ.ทนงศักดิ์ เพ็ชรประกอบ พนักงานสอบสวน (สบ 1) สน.แสมดำ รับแจ้งเหตุมีผู้พบชิ้นส่วนมนุษย์ภายในกอหญ้าริมทางกลับรถใต้สะพานข้ามทางรถไฟสายวงเวียนใหญ่-มหาชัย จึงไปตรวจสอบพร้อมด้วย พ.ต.อ.นครินทร์ สุคนธวิท ผกก.สน.แสมดำ พ.ต.ท.สมชาย จิรวรรค สว.สส.สน.แสมดำ พ.ต.ต.ศิระกราน ต้นสงวน สวป.สน.แสมดำ แพทย์เวร ร.พ.ศิริราช และมูลนิธิร่วมกตัญญู

ที่เกิดเหตุเป็นที่รกร้าง บริเวณกลางป่ากกลึกเข้าไปประมาณ 30 เมตร พบชิ้นส่วนเท้าข้างขวายาวถึงครึ่งหน้าแข้ง มีร่องรอยถูกสัตว์กัดกินเนื้อไปบางส่วนจนเห็นกระดูกขาวโพลน ลอยแช่อยู่ในน้ำ โดยปลายกระดูกส่วนที่ขาดมีลักษณะคล้ายถูกเลื่อยหรือของมีคมตัดขาด ใกล้กันพบถุงพลาสติกสีส้มตกอยู่ เบื้องต้นแพทย์คาดว่าถูกตัดมาไม่เกิน 1 วัน เนื่องจากเนื้อเยื่อยังไม่เปื่อยทั้งที่แช่อยู่ในน้ำ

ร.ต.อ.ทนงศักดิ์กล่าวว่า ผู้พบศพเป็นชาวบ้านในละแวกที่เข้าไปเพื่อตัดต้นปรือพร้อมลูกชาย เมื่อพบชิ้นส่วนดังกล่าวก็ตกใจรีบหนีกลับบ้าน กระทั่งตั้งสติได้จึงเข้าแจ้งความ เบื้องต้นยังไม่ทราบว่าชิ้นส่วนขาดังกล่าวเป็นขาผู้หญิงหรือผู้ชาย แต่เป็นเท้าผู้ใหญ่ที่มีขนาดเล็กคล้ายผู้หญิง อย่างไรก็ตาม ต้องรอให้แพทย์นำไปตรวจอย่างละเอียดก่อน ส่วนสาเหตุยังอยู่ระหว่างการสืบสวนว่าเกิดจากเหตุอะไร อาจเป็นแรงงานต่างด้าวพลาดถูกเครื่องจักรตัดขาด หรือโรงพยาบาลบางแห่งมักง่ายนำอวัยวะของคนไข้มาทิ้ง เนื่องจากแพทย์เวรระบุว่าถุงพลาสติกสีส้มที่พบ มีลักษณะคล้ายถุงใช้ใส่ขยะติดเชื้อที่ใช้ตามโรงพยาบาลทั่วไป อย่างไรก็ตาม จะประสานไปยังโรงพยาบาลใกล้เคียงและโรงพักทุกพื้นที่ว่ามีการแจ้งคนหายไว้หรือไม่ เพื่อคลี่คลายคดีต่อไป

มติชนออนไลน์  7 มกราคม พ.ศ. 2555

8181
รองเลขาธิการ สปสช.เผย ร่วมมือ สธ.และสภากาชาดไทย พัฒนาระบบบริจาคอวัยวะให้มีผู้บริจาคได้ไม่ต่ำกว่า 10 ราย/แห่ง/ปี เน้นสร้างทีมแพทย์และบุคลากรด้านนี้โดยตรง...

เมื่อวันที่ 4 ม.ค. 55 นพ.ประทีป ธนกิจเจริญ รองเลขาธิการสำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ (สปสช.) กล่าวว่า ปัจจุบันสิทธิประโยชน์ในระบบหลักประกันสุขภาพถ้วนหน้าให้ความคุ้มครองด้านการปลูกถ่ายอวัยวะ ได้แก่ การปลูกถ่ายไต การปลูกถ่ายไขกระดูก การปลูกถ่ายตับในเด็ก และการปลูกถ่ายหัวใจ ที่ผ่านมาอัตราการเข้าถึงบริการมีน้อยมาก เนื่องจากมีประชาชนไทยมีอัตราการบริจาคอวัยวะน้อย เช่น การปลูกถ่ายไต จากข้อมูลของมูลนิธิโรคไตแห่งประเทศไทย พบว่า มีผู้ป่วยที่มาขึ้นทะเบียนรอรับการปลูกถ่ายไตปีละประมาณ 1,600 ราย แต่ได้รับการปลูกถ่ายไตจริงเพียง 200-300 รายเท่านั้น ซึ่งความไม่สมดุลตรงนี้ทำให้หน่วยบริการต้องจัดสรรงบประมาณ เพื่อจัดระบบการบำบัดทดแทนไตด้วยการฟอกเลือดและล้างไตทางช่องท้องไปก่อน เพื่อชะลอการเสื่อมของไตให้มากที่สุด ก่อนที่จะสามารถปลูกถ่ายไตได้ ขณะที่การปลูกถ่ายตับในเด็ก ซึ่งเริ่มตั้งแต่เดือน ต.ค. 2554 เป็นต้นมา มีผู้ป่วยเด็กที่สามารถเข้ารับการปลูกถ่ายตับประมาณ 2-3 รายเท่านั้น เนื่องจากการความยากในการหาอวัยวะที่ได้จากผู้บริจาค

นพ.ประทีป กล่าวอีกว่า ยุทธศาสตร์สำคัญของ สปสช. ซึ่งสอดคล้องกับนโยบายรัฐบาลและกระทรวงสาธารณสุขคือ การรณรงค์ให้คนไทยตระหนักถึงความสำคัญของการบริจาคอวัยวะ ที่ผ่านมาได้ดำเนินการในส่วนของการปลูกถ่ายไต เน้นการบริจาคไตระหว่างญาติสืบสายโลหิตเดียวกัน หรือแม้กระทั่งสามีภรรยาที่จดทะเบียนสมรส เนื่องจากมีกฎหมายรองรับ ควบคู่กับการบริจาคไตจากผู้ที่เสียชีวิตแล้ว โดยจะมีการดำเนินการร่วมกับศูนย์รับบริจาคอวัยวะ สภากาชาดไทย สมาคมปลูกถ่ายอวัยวะแห่งประเทศไทย และกระทรวงสาธารณสุขในการเร่งพัฒนาระบบหาและบริหารการบริจาคอวัยวะ ภายใน 3-5 ปี รวมถึงการสร้างแรงจูงใจในการบริจาคอวัยวะและสนับสนุนให้มีชมรมผู้บริจาคไต และการดูแลสุขภาพผู้บริจาคไต โดยที่ผู้ป่วยที่ได้รับการปลูกถ่ายไตในกรณีที่หาไตได้นั้นไม่ต้องเสียค่าใช้จ่ายใดๆ ทั้งสิ้น เป็นไปตามสิทธิประโยชน์ของหลักประกันสุขภาพ และ สปสช.จ่ายชดเชยให้กับ รพ. ซึ่งยังมีผู้ป่วยที่รอการบริจาคไตอยู่จำนวนมาก

ทั้งนี้ การดำเนินงานการพัฒนาระบบบริจาคอวัยวะและการปลูกถ่ายไตจะดำเนินงาน ภายใต้ความร่วมมือระหว่างกระทรวงสาธารณสุข ศูนย์รับบริจาคอวัยวะสภากาชาดไทย สมาคมปลูกถ่ายอวัยวะแห่งประเทศไทย สมาคมโรคไตแห่งประเทศไทย แพทยสภา และ สปสช. ซึ่งได้ตั้งเป้าไว้ว่า โรงพยาบาลศูนย์ทุกแห่ง และโรงพยาบาลทั่วไปที่เข้าร่วมโครงการ จะพัฒนาระบบบริจาคอวัยวะให้มีผู้บริจาคได้ไม่ต่ำกว่า 10 ราย/แห่ง/ปี รวมถึงการพัฒนาสร้างทีมแพทย์และบุคลากรในด้านนี้โดยตรงด้วย ซึ่งการดำเนินดังกล่าวจะเป็นการช่วยให้ผู้ป่วยที่ได้รับการบริจาคอวัยวะใกล้เคียงสถิติ ต่อจำนวนประชาชนซึ่งจะส่งผลให้ผู้ป่วยมีคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้น.

ไทยรัฐออนไลน์ 8 มค 2555

8182
 นักวิทยาศาสตร์เตือน “สึนามิ” เข้าอ่าวไทยปี 55 แนะซ้อมหนีภัยทุกชุมชน จับตา “พายุสุริยะ” ทำไฟดับ ระบบสื่อสารขัดข้อง แนะคนไทยเรียนรู้สู้ปัญหาจากอุทกภัยปี 54 เตือนชุมชนซ้อมหนีภัย ฝึกสติ มีปัญญาสู้ทุกภัย ชี้ 10 ปีเห็นชัด น้ำท่วมเมืองหลวงอยู่ไม่ได้ ต้องย้าย หรือสร้างเขื่อนกั้นอ่าวไทย
       
       เข้าสู่ปี ค.ศ.2012 ซึ่งมีคำทำนายชะตากรรมธรรมชาติหลายกระแสทั่วโลก ทั้งในแง่วิทยาศาสตร์ และโหราศาสตร์ สำหรับประเทศไทยมีโหราจารย์และนักวิทยาศาสตร์หลายคนได้สังเกตการณ์ธรรมชาติและออกมาคาดการณ์ภัยพิบัติล่วงหน้าเป็นเวลาหลายปี บางคนเชื่อ บางคนไม่เชื่อ แต่ทุกคนกำลังเฝ้าจับตาเพื่อเตรียมพร้อมสำหรับรับมือความแปรปรวนของธรรมชาติที่ปรากฎให้เห็นมากขึ้นทุกวัน
       
       ปลายปี พ.ศ.2554 นักวิทยาศาสตร์หลายคนต่างพูดตรงกันว่า อุทกภัยของประเทศไทยในปีที่ผ่านมา เป็นเพียงแค่หนังตัวอย่าง ที่ธรรมชาติส่งมาให้คนไทยได้เตรียมใจและเรียนรู้ที่จะรับมือกับ “ของจริง” ที่กำลังจะมาเร็วๆ นี้!
       
       ในแง่มุมของนักวิทยาศาสตร์ ดร.อาจอง ชุมสาย ณ อยุธยา ผู้อำนวยการโรงเรียนสัตยาไส หรืออดีตนักวิทยาศาสตร์ผู้คิดค้นระบบควบคุมการลงจอดบนดาวอังคารของยานไวกิ้งร่วมกับองค์การนาซาที่คนไทยรู้จักกันดี เผยว่า ตนได้พูดมานานแล้วว่า อีกหน่อยน้ำจะต้องท่วมภาคกลาง แต่อุทกภัยใหญ่ปีที่ผ่านมายังไม่ใช่สาเหตุหลัก และยังไม่ถึงที่สุด
       
       “ระดับน้ำทะเลค่อยๆ สูงขึ้นเรื่อยๆ โดยในช่วงชีวิตของผมน้ำทะเลขึ้นมาแล้วประมาณ 20 เซนติเมตร และตอนนี้ยิ่งเร่งสูงขึ้นอย่างรวดเร็ว เพราะแก๊สมีเทนที่เริ่มขึ้นมาจากขั้วโลกเหนือ ทำให้โลกร้อนขึ้นทุกปี เมื่อความร้อนระเหยขึ้นจากมหาสมุทร เมฆจะมากขึ้น มีพายุมากขึ้น ฝนตกหนักขึ้น”
       
       เฝ้าระวัง “สึนามิ” จ่ออ่าวไทย
       
       ดร.อาจอง อธิบายว่า น้ำแข็งที่ละลายจากภูเขาทางขั้วโลกเหนือและขั้วโลกใต้ ทำให้ระดับน้ำทะเลสูงขึ้น และน้ำหนักในมหาสมุทรเพิ่มขึ้น ขณะที่น้ำหนักของแผ่นดินลดลง เช่น ภูเขาหิมาลัยมีน้ำหนักลดลงเพราะน้ำแข็งละลายไหลลงมา เมื่อน้ำหนักไม่สมดุลกันรอบๆ โลก ทำให้แผ่นเปลือกโลกเคลื่อนไหวเพื่อปรับสมดุลขึ้นใหม่ เหตุการณ์แผ่นดินไหวทั่วโลก หรือแผ่นดินไหวรุนแรง 9.0 ริกเตอร์ที่เกิดนอกชายฝั่งของเกาะฮอนชู ประเทศญี่ปุ่น ก็เป็นผลมาจากการเคลื่อนที่และชนกันของขอบแผ่นเปลือกโลกนี้เอง
       
       “สิ่งที่ต้องเฝ้าระวังคือ โอกาสที่จะเกิดแผ่นดินไหวครั้งใหญ่แถบประเทศฟิลิปปินส์ ซึ่งจะทำให้เกิดสึนามิเข้ามาทางอ่าวไทยได้ เวียดนามและเขมรจะโดนหนัก รวมถึงภาคใต้ของเราด้วย แต่จะไม่หนักเท่าที่ญี่ปุ่น ประชาชนต้องเข้าใจและรู้ทัน ต้องมีการวางแผนในทุกจังหวัดว่าชุมชนต่างๆ ต้องหนีไปอยู่ตรงไหน”
       
       ดร.อาจอง บอกอีกว่า หากเกิดเหตุการณ์ดังกล่าวขึ้น คนไทยจะได้รับการเตือนภัยล่วงหน้า 16 ชั่วโมง จึงสามารถหนีได้ทัน ไม่มีความเสียหายมาก แต่ทางราชการต้องมีการเตรียมพร้อม และซักซ้อมให้ประชาชนหนีขึ้นในพื้นที่สูง
       
       โดยการเกิดสึนามิในอ่าวไทย มีแนวโน้มที่จะเกิดในระยะเวลาไม่นานหลังจากนี้ เพราะปัจจุบันเปลือกโลกมีการชนกันค่อนข้างมากบริเวณรอบมหาสมุทรแปซิฟิก จึงเกิดแผ่นดินไหวค่อนข้างบ่อย ซึ่งปี2555มีความเป็นไปได้ที่จะเกิดเหตุการณ์แผ่นดินไหวใหญ่ๆ ที่ทำให้สึนามิเข้ามาในอ่าวไทย
       
       แผ่นดินไหวไม่น่าเป็นห่วง
       
       ดร.อาจอง บอกอีกว่า ประเทศไทยมีรอยเลื่อนที่เริ่มแตกร้าวอยู่บ้าง จึงอาจเกิดแผ่นดินไหวขึ้นในหลายจุด แต่จะไม่รุนแรงมากนัก อย่างมากสุดประมาณ 5 ริกเตอร์ จึงไม่น่าเสี่ยงต่อการเกิดเหตุการณ์ “เขื่อนแตก” เช่นที่กลัวกัน เพราะเขื่อนสามารถทนต่อแผ่นดินไหวได้ถึง 7.5 ริกเตอร์
       
       อย่างไรก็ตาม คนไทยไม่ควรประมาท เพราะเขื่อนศรีนครินทร์มีรอยร้าวที่เชื่อมโยงไปถึงประเทศพม่า ดังนั้นหากเกิดแผ่นดินไหวครั้งใหญ่ในพม่าจะมีแรงสั่นสะเทือนเข้ามาในประเทศไทย ดังนั้นจึงควรวางแผนซ้อมอพยพหากเกิดสถานการณ์การณ์ฉุกเฉิน
       
       “พายุสุริยะ”แรงสุดปีนี้-ทำระบบสื่อสารพังชั่วคราว
       
       “อีกปัญหาหนึ่งที่จะเกิดขึ้นในปีนี้คือ ดวงอาทิตย์ที่จะปะทุขึ้นแรงที่สุดในรอบหลายปี ซึ่งจะมีรังสีพุ่งเข้ามาที่โลกของเรา ทำให้ระบบสื่อสารพังชั่วคราว เราอาจจะโทรศัพท์คุยกันไม่ได้ เพราะสัญญาณพังหมด แม้กระทั่งไฟฟ้าก็อาจจะดับ เช่นเดียวกับที่ดับในอเมริกาในปีที่แล้ว”
       
       ดร.อาจอง บอกด้วยว่า ผลกระทบจะมีมากขึ้นเรื่อยๆ และจะรุนแรงมากที่สุดในปีนี้ สอดคล้องกับการศึกษาเรื่อง “พายุสุริยะ” ของ ดร.ก้องภพ อยู่เย็น นักวิทยาศาสตร์จากองค์การนาซ่า ซึ่งพบว่า เมื่อมีแรงระเบิดในดวงอาทิตย์ หลังจากนั้นไม่กี่ชั่วโมงต่อมาจะมีแผ่นดินไหวใหญ่ๆ เกิดขึ้นบนโลก แต่ประเทศไทยอาจจะได้รับผลกระทบจากสึนามิที่เป็นผลมาจากแผ่นดินไหวในประเทศฟิลิปปินส์มากกว่า เพราะเมืองไทยมีรอยเลื่อนไม่มากนัก
       
       แนะเรียนรู้อยู่รอดจากปัญหา
       
       แม้โลกกำลังเสี่ยงต่อภัยธรรมชาติที่รุนแรงขึ้นทุกที แต่ ดร.อาจอง มีแนวคิดว่า ไม่จำเป็นต้องเครียด หรือกลุ้มใจต่อความไม่แน่นอน ปัญหามีไว้เพื่อเรียนรู้ ซึ่งโรงเรียนสัตยาไสของเขาเป็นตัวอย่างที่ดีจากการป้องกันน้ำท่วมได้สำเร็จในปีที่ผ่านมา
       
       “ร.ร.สัตยาไสของเราตั้งอยู่เหนือเขื่อนป่าสักชลสิทธิ์ จ.ลพบุรี ซึ่งปี 2553 น้ำท่วมโรงเรียนอย่างหนัก เพราะเขื่อนป่าสักกักเก็บน้ำเกินไป 25% เพื่อป้องกันไม่ให้น้ำท่วมกรุงเทพฯ ซึ่งผมบอกให้ทุกคนสังเกตว่าน้ำไหลเข้ามาในโรงเรียนผ่านทางไหนบ้าง จุดไหนมีน้ำซึมเข้ามา และอุดทุกรูที่น้ำซึมเข้าได้ ดังนั้นในปี54น้ำจึงไม่ท่วมโรงเรียนแม้ว่าเขื่อนป่าสักฯ จะกักเก็บน้ำในเขื่อนเกินไปถึง 36%”
       
       ดังนั้นการแก้ปัญหาน้ำท่วมในประะเทศไทยก็ควรใช้วิธีเดียวกัน คือสังเกตดูว่า น้ำท่วมหนักปีที่ผ่านมาเกิดขึ้นเพราะอะไร น้ำไหลลงมาทางจุดไหนแล้วเราจึงไปแก้ไขตรงนั้นให้น้ำสามารถไหลผ่านลงสู่ทะเลได้อย่างรวดเร็ว ถ้าน้ำระบายได้เร็ว น้ำก็ไม่ท่วม
       
       ย้ายเมืองหลวงดีหรือไม่
       
       ดร.อาจอง ให้ความเห็นต่อการย้ายเมืองหลวงว่า ภายในไม่เกิน 10 ปี คนไทยจะเริ่มรู้แล้วว่ากรุงเทพฯ จะอยู่ไม่ได้ และภายใน 20 ปี น้ำทะเลจะท่วมกรุงเทพฯ ดังนั้นต้องวางแผนตั้งแต่เดี๋ยวนี้ว่าจะจัดการอย่างไร ซึ่งมี 2 แนวทาง คือ 1.ย้ายเมืองหลวง 2.สร้างเขื่อนกั้นอ่าวไทย
       
       “ประเทศฮอลแลนด์อยู่ใต้ทะเล แต่มีเขื่อน จึงสามารถอยู่ได้โดยไม่จม ทั้งที่เขาจะต้องจมไปนานแล้ว แต่ยังอยู่ได้ ดังนั้นจึงเป็นทางเลือกหนึ่งที่เราจะสามารถป้องกันอู่ข้าวอู่น้ำในประเทศของเราไว้ได้”
       
       เตือนชุมชนฝึกสติ-ซ้อมหนีภัย
       
       ด้าน ดร.วรภัทร์ ภู่เจริญ นักวางยุทธศาสตร์และนักบริหารองค์กรแนวพุทธ พูดว่า “ขณะนี้ภัยธรรมชาติเกิดที่หัวใจพวกเราเสียแล้ว ภัยพิบัติถูกหัวใจตั้งแต่ยังไม่มาจริงแล้ว ดังนั้นเราควรทำจิตใจให้สดใสไว้ ใจไม่ตื่นตูม กายก็พร้อม เราต้องเตรียมพร้อมเหมือนการใส่เข็มขัดนิรภัยหรือหมวกกันน็อก ไม่เกิดเรื่องก็แล้วไป แต่ถ้าเกิดขึ้นจริงก็ไม่ถึงกับแย่
       
       เขาคิดว่าภัยธรรมชาติไม่มีทางจะเบาลงนับจากนี้ เนื่องเพราะพฤติกรรมมนุษย์ที่ยังคงเดิม ไม่ว่าจะเป็นการตัดไม้ทำลายป่า เผาอ้อย รุกป่าสงวน กระทั่งพฤติกรรมการผลาญพลังงานที่ไม่รู้จักพอของมนุษย์
       
       “เมื่อยังไม่มีการเปลี่ยนแปลงการปฏิบัติเหล่านี้ให้เห็นชัดๆ ภัยธรรมชาติก็ไม่มีทางเบาลงได้เลย และยังทำนายไม่ได้ว่าจะเกิดน้ำท่วม ภัยแล้ง หรือแผ่นดินไหว จึงบอกไม่ได้ว่าจะทำอะไร”
       
       โดยสิ่งแรกที่อยากให้คนไทยเตรียมตัวก็คือ เตรียมใจ และปล่อยวาง อุทกภัยในปีที่ผ่านมาเหมือนเราได้ซ้อมใหญ่ ได้ฝึกเรียนรู้ว่าสิ่งไหนจำเป็น-ไม่จำเป็น คนไหนเพื่อนแท้-เพื่อนเทียม คนไหนพึ่งได้-พึ่งไม่ได้ ความน่าไว้วางใจของหน่วยงานรัฐบาลมีมากแค่ไหน เราเริ่มรู้แล้วก็เริ่มทำใจได้ไง
       
       วิธีเตรียมใจขั้นต่อมาที่เขาแนะนำคือ การปฏิบัติธรรม เพื่อทำให้ตั้งสติได้ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้น เมื่อสติมา ปัญญาย่อมเกิด
       
       “วิกฤตน้ำท่วมทำให้คนเห็นธรรมะมากขึ้น คนฉลาดที่สุดคือคนเอาวิกฤตมาฝึกสติ เอาวิกฤตมาปฏิบัติธรรม ทำให้เกิดสติ เมื่อสติมา ใจจะโล่งสบาย ปัญญาก็ออก ไม่เหมือนเวลาเครียดเกร็ง คนจะไม่มีปัญญา มีแต่การเอาเปรียบ เอาตัวรอด จนอาจจะฆ่าคนข้างๆ ตายได้ หรือแย่งกันกิน เห็นแก่ตัว กักตุน ไม่มีความเมตตา ขณะที่คนมีสติ ถึงตายเขาก็ไม่กลัว”
       
       สำหรับการเตรียมพร้อมทางโลก ดร.วรภัทร์ แสดงความเห็นว่า ประเทศไทยยังไม่มีมาตรการรองรับเรื่องแผ่นดินไหวเท่าที่ควร ซึ่งรัฐบาลควรบอกความจริงประชาชนมากขึ้นเรื่อยๆ เกี่ยวกับรอยแยกรอยแตก หรือปัจจัยเสี่ยงต่างๆ ที่ทำให้เกิดแผ่นดินไหว นอกจากนั้นอาจจะมีการเปิดหลักสูตรสอนชัดเจนในแต่ละพื้นที่ของแต่ละชุมชน เพื่อให้ทุกคนรู้ว่าเมื่อมีปัญหาจะรวมตัวกันที่ไหน อุปกรณ์ช่วยชีวิตมีอะไรบ้าง ศูนย์อุบัติเหตุจะอยู่ที่ไหน จะช่วยคนเจ็บอย่างไรไม่ให้เป็นเสี่ยงต่อการเป็นอัมพาต การเตรียมแม่แรง การงัดตึก และน่าจะมีการซ้อมในชุมชน โดยการช่วยกันทำ และอาจเชิญคนที่เคยผ่านแผ่นดินไหวในประเทศญี่ปุ่นมาถ่ายทอดความรู้ให้เราว่า ถ้าแผ่นดินไหว ไฟไหม้ แก๊สรั่ว ต้องทำอย่างไร การเกิดอุบัติภัยหมู่ ทางโรงพยาบาลส่วนใหญ่ในประเทศไทยอาจจะเคยซ้อมกันบ้าง แต่ประชาชนกลับไม่เคยได้ซ้อมเลย
       
       สถานการณ์อุทกภัยใหญ่ที่ผ่านมาจึงฉายภาพการแย่งกันกินแย่งกันใช้ น้ำดื่มขาดแคลน คนไม่รู้วิธีปฏิบัติตัวเมื่อเกิดภัยพิบัติ “ประเทศไทยจะบอกว่าเป็นประเทศไม่มีภัยธรรมชาติไม่ได้อีกแล้ว เมื่อก่อนไม่มี แต่ตอนนี้ภัยธรรมชาติคุกคามเข้ามา ดังนั้นเราต้องให้งบประมาณกับหน่วยงานด้านภัยพิบัติ และสอนให้ประชาชนเรียนรู้วิธีปฏิบัติเมื่อเกิดเหตุการณ์ต่างๆ”
       
       ดร.วรภัทร์ บอกอีกว่า หากเกิดน้ำท่วมโลกในปี ค.ศ.2012 ขึ้นจริง คนไทยโดยเฉพาะในกรุงเทพฯ แทบพึ่งพาตัวเองไม่ได้เลย ดังนั้นควรสอนเรื่องนี้ตั้งแต่เด็ก ให้สามารถเอาตัวรอดได้ คนที่พักอาศัยในเมืองหากปลูกผักได้ก็ควรปลูกผักตามระเบียงหรือดาดฟ้าเพื่อรองรับวิกฤตการณ์ขาดแคลนอาหารจากสถานการณ์น้ำท่วมที่อาจเกิดขึ้นอีก

ผู้จัดการ 360° รายสัปดาห์    5 มกราคม 2555

8183
"ยิ่งลักษณ์" ประ​เดิมนั่งหัว​โต๊ะร่วมประชุม บอร์ด สปสช. มอบน​โยบายระบบหลักประกันสุขภาพ 9 ม.ค.นี้ "มานิตร์" ​เตรียมซักถามงบ​เหมาจ่ายรายหัว​และมาตรฐาน​การรักษาพยายาบาล ภาคประชาชนนัด​แฉผังกระบวน​การล้มบัตรทอง

ที่สำนักงานหลักประกันสุขภาพ​แห่งชาติ (สปสช.) วันที่ 6 ม.ค. นพ.วินัย  สวัสดิวร ​เลขาธิ​การสำนักงานหลักประกันสุขภาพ​แห่งชาติ (สปสช.) กล่าว​ถึง​การประชุมคณะกรรม​การหลักประกันสุขภาพ​แห่งชาติ (บอร์ด สปสช.) ​ในวันจันทร์ที่ 9 ม.ค.2554 ว่า ​ได้รับ​การประสาน​เมื่อสัปดาห์ที่ผ่านมาว่า น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร นายกรัฐมนตรี จะ​เข้าร่วมประชุมด้วย ​เพื่อมอบน​โยบาย​การดำ​เนินงานระบบหลักประกันสุขภาพด้วยตน​เอง ​เนื่องจากงานหลักประกันสุขภาพถ้วนหน้านี้ถือ​เป็นน​โยบาย​เร่งด่วนของรัฐบาลชุดนี้ที่ต้องดำ​เนิน​การ

"ถือ​เป็นครั้ง​แรกของ​การประชุมบอร์ด สปสช. ตั้ง​แต่มีมาที่นายกรัฐมนตรี​เดินทางมามอบน​โยบายด้วยตน​เอง ​เป็นสิ่งที่​ไม่​เคยมีมาก่อน ​แต่ส่วนตัวมองว่า​เป็น​เรื่องที่ดี ​เพราะสะท้อน​ให้​เห็นว่า รัฐบาล นายกรัฐมนตรี​ได้​ให้​ความสำคัญต่องานระบบหลักประกันสุขภาพของประ​เทศอย่างมาก" ​เลขาธิ​การ สปสช.กล่าว

นายนิมิตร์ ​เทียนอุดม ​ผู้อำนวย​การมูลนิธิ​เข้า​ถึง​เอดส์ ​ในฐานะกรรม​การหลักประกันสุขภาพ​แห่งชาติ กล่าวว่า ​เป็น​เรื่องที่ดี ​เพราะ​เป็น​โอกาสที่บอร์ดจะ​ได้พูดคุยกับนายกรัฐมนตรี​โดยตรง​ในหลาย​เรื่อง ​ทั้งกรณีงบ​เหมาจ่ายรายหัว ​และ​การมีส่วนร่วมของภาคประชาชนต่อระบบหลักประกันสุขภาพถ้วนหน้า รวม​ไป​ถึง​การรักษาพยาบาลที่ควร​เป็น​ไปมาตรฐาน​เดียวกัน

นายนิมิตร์กล่าวว่า ​ในวันที่ 8 ม.ค. ​เวลา 10.30 น. ที่​โรง​แรมริชมอนด์  นนทบุรี ทาง​เครือข่ายภาคประชาชนจะ​เปิดตัวกลุ่มคนรักหลักประกันสุขภาพ  (บัตรทอง) ​โดยมีนายจอน อึ๊งภากรณ์ ​เป็นประธาน ​ซึ่งจะมี​การ​เปิดผังกระบวน​การล้มระบบหลักประกันสุขภาพ ที่พวก​เรามอง​เห็นว่ามี​การดำ​เนิน​การอย่าง​เป็นกระบวน​การ ​และท้ายที่สุดจะ​ทำ​ให้ประชาชน​เสียผลประ​โยชน์ ​โดย​ในรายละ​เอียด​ทั้งหมดจะขอ​เปิด​ในวันงาน

มีรายงานว่า ​ใน​การประ ชุมบอร์ด สปสช.ครั้งนี้ นพ.วินัย​ได้​เตรียมนำ​เสนอ​แนวทาง​การพัฒนาระบบหลักประกันสุขภาพถ้วนหน้า​เพื่อรองรับน​โยบาย​เร่งด่วนของรัฐบาลด้วย.

ไทย​โพสต์  7 มกราคม 2555

8184
เมื่อถามว่า "เมืองอู่ทอง" อยู่ที่ไหน มีความสำคัญทางประวัติศาสตร์อย่างไร นอกจากคนพื้นที่ท้องถิ่นแล้วคงจะไม่มีใครรู้จัก

เช่นเดียวกับเมืองโบราณอีกหลายแห่งของเมืองไทย

จากหลักฐานทางโบราณคดีบ่งชี้ได้ว่า "อู่ทองเมืองโบราณ" มีผู้คนมาอาศัยตั้งแต่สมัยก่อนประวัติศาสตร์ หรือเมื่อประมาณ 3,500 ปีมาแล้ว

เพราะนอกจากความอุดมสมบูรณ์ของทรัพยากรป่าไม้แล้ว ลักษณะภูมิประเทศที่เชื่อมติดกับทะเลเมื่อสมัยก่อน ยังทำให้เมืองอู่ทองกลายเป็นศูนย์กลางทางการค้าทางน้ำในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้

นอกจากนี้ยังมีบทบาทเป็นศูนย์กลางทางพระพุทธศาสนาอีกด้วย

จากหลายๆ หลักฐานทางประวัติศาสตร์ยังสนับสนุนข้อสมมติฐานว่า อู่เมืองโบราณทองน่าจะเป็นเมืองหลวงหรือจุดกำเนิดของอาณาจักรทวารวดี

แต่สภาพดังกล่าวแทบจะไม่หลงเหลือร่องรอยของเมืองโบราณแม้แต่น้อย

มีแต่หลักฐานทางโบราณสถาน โบราณวัตถุ หรือคำบอกเล่าจากรุ่นตายายสู่รุ่นลูกรุ่นหลาน หรือมีแต่เมืองประวัติศาสตร์ที่ถูกบันทึกในหน้ากระดาษเท่านั้น

แล้วคำว่าเมืองโบราณหายไปไหน ถึงเป็นที่สงสัยอยู่ไม่น้อยเช่นกัน

จากคำถามดังกล่าว จึงเป็นที่มาของแผนแม่บทการพัฒนาเมืองโบราณอู่ทองให้กลายเป็นเมืองท่องเที่ยว หรือเป็นพื้นที่พิเศษเพื่อการท่องเที่ยวอย่างยั่งยืน ซึ่งขณะนี้กำลังอยู่ระหว่างการศึกษาความเป็นไปได้ขององค์การบริหารการพัฒนาพื้นที่พิเศษเพื่อการท่องเที่ยวอย่างยั่งยืน (องค์การมหาชน) หรือ อพท.

ก่อนจะมีการบรรจุเป็นวาระเข้าที่ประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) ต่อไป

จากความเป็นไปได้ นายดำรงค์ แสงกวี รองผู้อำนวยการ อพท. กล่าวถึงความพร้อมในการจัดตั้ง อ.อู่ทอง จ.สุพรรณบุรี ให้เป็นพื้นที่พิเศษ กับ "มติชนออนไลน์" ว่า สภาพเมืองโบราณอู่ทองนั้นถือว่ามีศักยภาพทั้งในแง่โบราณสถานและด้านประวัติศาสตร์ รวมถึงในแง่ของชนเผ่า และจากเกณฑ์การประเมินของ อพท.ถือว่าเข้าข่าย มีศักยภาพและมีการบริหารจัดการที่ดี คะแนนสูงกว่าเกณฑ์มาตรฐาน

จากการจัดทำเป็นรายงานการศึกษาความเป็นไปได้นั้น อพท.จะนำเสนอเข้าวาระของบอร์ด อพท. ประมาณกลางเดือน ม.ค. ถ้าผ่านคณะกรรมการแล้วก็จะนำเสนอต่อที่ประชุม ครม. เพื่อประกาศป็นพื้นที่พิเศษในช่วงปลายเดือน ม.ค. หรืออย่างช้าสุดในต้นเดือน ก.พ.

ตรงนี้ นายดำรงค์ได้ย้ำว่า กระบวนการดำเนินการได้เน้นการมีส่วนร่วมของภาคประชาชน และจะเห็นได้ว่าทางจังหวัดมีการเดำเนินการอย่างต่อเนื่อง และจากการถามความคิดเห็นนั้น ประชาชนกว่า 90 เปอร์เซ็นต์ก็เห็นด้วย เมื่อผ่าน ครม.แล้ว อพท.จะตั้งสำนักงานในพื้นที่และมีบุคลากรประจำ ทำหน้าที่บูรณาการแผนงานเข้ากับพื้นที่ ก่อนจะนำไปสู่การกำหนดกรอบการพัฒนา เพื่อของบฯพัฒนาเป็นรายปี

เมื่อถามว่าแนวคิดการพัฒนาเมืองอู่ทองมาได้อย่างไรนั้น นายสมศักย์ ภูรีศรีศักดิ์ ผู้ว่าราชการจังหวัดสุพรรณบุรี บอกกับ "มติชนออนไลน์" ว่า เมื่อคนที่เข้ามาเที่ยวหรือจากการศึกษาจะพบว่า อู่ทองเป็นเมืองโบราณ แต่คำว่าเมืองโบราณนั้น สภาพพื้นที่จริงแทบไม่เห็นการเป็นเมืองโบราณเลย เห็นแต่สภาพที่เป็นตลาดทั่วไป ก็เลยสงสัยว่า คำว่าโบราณหายไป อยู่ตรงไหน พอไปดูที่ตั้งที่ว่าการอำเภอปัจจุบัน ซึ่งอยู่ในคูเมืองโบราณ หรือที่เรียกว่าเกาะเมืองโบราณ ก็ไม่เห็นสภาพ เจดีย์เก่าๆ ที่เป็นโบราณสถานก็ถูกปกคลุมไปด้วยต้นไม้ เป็นชุมชนแออัดที่เข้าไปบุกรุกอยู่อาศัยโดยรอบ

"สิ่งดังกล่าว ผมมีความรู้สึกว่า ต้องมีการรื้อฟื้นและพัฒนาขึ้นมาให้ได้ในแง่ของการฟื้นฟูเมืองโบราณ ร่วมกับนายอำเภอ (นายพิภพ บุญธรรม) คิดว่า จุดกำเนิดเมืองโบราณเราจะต้องสร้างความรู้ความเข้าใจให้ชาวอู่ทองได้ตระหนักก่อนว่า ตั้งแต่อดีตหลาย 10 ปีก็ไม่เคยคิดถึงความสำคัญถึงเมืองโบราณ มีแต่การพัฒนาโดยอาศัยกรมศิลปากร ซึ่งมีหน้าที่หลักของการทำแผนแม่บทเท่านั้นเอง" นายสมศักย์กล่าว

แต่ละภาคส่วนเข้ามาร่วมอย่างไร?

แผนนี้จะทำได้นั้น ผู้ว่าฯสุพรรณบุรีกล่าวว่า ต้องมาจากความร่วมมือจากทุกภาคส่วน จะพัฒนาได้อย่างยั่งยืนนั้น สิ่งแรกคือใจ ตามมาก็คือเงิน ถ้ามีทั้งสองสิ่งก็ทำได้และสำเร็จได้อย่างรวดเร็ว สิ่งที่จะดึงมาร่วมได้นั้น เรามีคนทำงานแล้ว แต่เราจะต้องกระตุ้นให้คนอู่ทองรู้จักตัวเอง อาศัยการเผยแพร่ โดยการเล่าเรื่องสิ่งต่างๆ ที่ปรากฏว่า คำว่าโบราณสถานหรือพิพิธภัณฑ์มีวัตถุที่สามารถสืบค้นได้อย่างไร

ส่วนการดำเนินแผนแม่บทนั้น เราแบ่งตามความรับผิดชอบของหน่วยงานต่างๆ เช่น กรมชลประทานได้แบ่งเป็น 3 เฟส เสร็จไปแล้ว 2 เฟส ใช้งบประมาณไป 100 กว่าล้านบาท และเฟสสุดท้ายคือการขุดถนนมาลัยแมนอีก 55 ล้านบาท เมื่อตรงนี้จบ ในเรื่องของการนำน้ำมาสู่เมืองโบราณก็จะสมบูรณ์ และความฝันของชาวอู่ทองที่จะพายเรือรอบเมืองอู่ทองก็จะเกิดขึ้น

คุยกับชาวบ้านหรือให้ชุมชนมีส่วนร่วมอย่างไร?

ในส่วนนี้ต้องอาศัยนายอำเภอในการจัดเสวนาหลายครั้ง เสวนาในระดับชุมชน ชุมชนที่เป็นพื้นที่ใหม่ เพราะเมืองโบราณอยู่ในเกาะ เราจะสร้าง Storyline ให้เชื่อมกันได้อย่างไร ทั้งนี้จะสร้างได้ก็คือการนำชนเผ่าไทยเชื้อสายต่างๆ หรือตำนาน 5 ขุนเขา 1 ศาลเจ้า มาโยงกันได้ เป็นเรื่องราวแต่ละยุคแต่ละสมัย

"เราต้องกระตุ้นให้เขารู้จักตัวเองให้ดีพอ เมื่อรู้จักตัวเองแล้ว เราต้องให้เขารู้จักว่าขายอะไร ถ้าขายซากโบราณวัตถุหรือขายพิพิธภัณฑ์ ก็ขายได้ในระดับหนึ่ง แต่เราต้องขาย Storyline หรือขายตำนาน ขายประวัติศาสตร์ เรื่องราวความเป็นอยู่ ถ้าคนอู่ทองไม่รู้จักตัวเอง แล้วจะไปเล่าให้คนอื่นฟังได้อย่างไรล่ะ" ผู้ว่าฯย้ำ

สิ่งที่ขาดก็คือในเรื่องของการพัฒนาอย่างเป็นระบบ เพราะเราไม่เน้นเมืองโบราณอย่างเดียว สิ่งต่างๆ ที่ปรากฏไม่ว่าจะเป็นมติ ครม. เมื่อปี 2516 ที่บอกว่าที่สาธารณประโยชน์ต้องจัดสรรให้ประชาชนได้อยู่อาศัย เราก็จะผนวกด้วยกัน บูรณาการด้วยกัน เอาสิ่งที่เป็นเรื่องราวปัจจุบัน และอดีตมาผสานให้เป็นเรื่องราวเดียวกัน เช่นเดียวกับเหมืองหินที่เสื่อมสภาพแล้วนั้นก็สามารถมาทำร่วมกันได้

เยาวชนมีส่วนร่วมอย่างไรบ้าง?

อันนี้แน่นอน เพราะนอกเหนือจากการพัฒนาพุทธมณฑลแล้ว เราได้ศาสนามาเชื่อมใจ ที่ย้ำก็คือพระราชเสาวนีย์ของสมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถ ที่ว่าให้เด็กได้เรียนรู้นั้นเป็นสิ่งสำคัญ เหมือนที่ตลาดสามชุกมีมัคคุเทศก์น้อย ต้องให้เขารู้ก่อนว่าอะไรคืออะไร แต่ตอนนี้ถ้าเราสามารถกระตุ้นคนทุกพื้นที่ ทุกระดับในเมืองอู่ทอง มาช่วยกันสร้าง Storyline ได้ ก็จะเกิดความยั่งยืน คนเราจะภูมิใจได้ต้องทำด้วยตนเอง

ที่ไหนจะนำมาเป็นโมเดลได้นั้น ผมคิดว่ายากนะ นี่เราร่วมมือกันทำงานเอง หลักสำคัญคือผู้บริหารระดับสูงต้องลงมาคลุกคลีด้วย จะปล่อยให้คนทำงานอย่างเดียวก็ยาก เพราะงานต้องขึ้นอยู่กับการประสานระหว่างหน่วยงาน ถ้าผู้บริหารไม่ลงมาช่วยก็ยากที่จะสำเร็จ

โครงการนี้สำเร็จเมืองอู่ทองจะเปลี่ยนไปอย่างไร?

ผู้ว่าฯสุพรรณบุรีกล่าวว่า ความฝันคงไม่ใช่การเปลี่ยนสภาพเมือง แต่สิ่งที่ต้องเปลี่ยนคือสิ่งที่ลืมไปในอดีต ไม่ว่าจะเป็นเรื่องประวัติศาสตร์ ศาสนา จะนำมาโยงกันได้อย่างไร เพราะการสร้างพุทธมณฑลกับการที่เมืองอู่ทองเป็นต้นกำเนิดของพุทธศาสนาเป็นคนละเรื่องกันเลยนะ แล้วเราจะเชื่อมโยงกันได้อย่างไร

มองศักยภาพในการเป็นเมืองท่องเที่ยวอย่างไร?

นอกจากสิ่งที่ผู้บริหารพยายามจะสร้างเมืองโบราณแล้ว ยังพยายามสร้างบริเวณพื้นที่ใกล้เคียง ไม่ว่าจะเป็นการสร้างสวนสวรรค์สุพรรณบุรี หรือที่เรียกว่าศูนย์พันธุ์พืชเพาะเลี้ยง ของกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ให้เป็นแหล่งผลิตดอกไม้นานาพรรณ ที่เชื่อมโยงกับการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทยด้วย ฉะนั้นเมื่อเอาทุกภาคส่วนมาร่วมมือกันก็จะเกิดการประสาน หน่วยงานเล็กๆ เราไม่ได้ละเลย ไม่ใช่แค่ส่งมอบพื้นที่แล้วจบ แต่ดึงมามีส่วนร่วมและช่วยกันรักษา เขาก็มีผลงาน

"ผมอยากใช้คำว่า วันนี้เราพร้อมเดินหน้าเพื่อการพัฒนาเมืองโบราณ นี่คือก้าวสำคัญ ตอนนี้เดินมาด้วยกันเพื่อจะได้รับความเห็นชอบจาก ครม. แต่ในขั้นพื้นฐานจริงๆ แล้วยังไม่ถึง 50 เปอร์เซ็นต์ เพราะเรื่องงบประมาณต้องใช้เป็นพันล้าน เราไม่สามารถหาเงินได้พันล้านในปีเดียว ต้องเป็นแผนแม่บท อาจจะเป็น 5 ปี หรือ 10 ปี ก็ต้องว่ากันไป" นายสมศักย์กล่าว

อย่างไรก็ตาม เมื่อถามว่าคนไทยจะได้อะไรนั้น ตามความรู้สึกแล้ว สิ่งแรกส่วนราชการจะได้รูปแบบจากการพัฒนาอย่างแท้จริง เพราะการพัฒนาทุกเรื่องจะเกิดขึ้นจากภาครัฐอย่างเดียวไม่ได้ ต้องอาศัยใจของประชาชน ต่อมาคือความเชื่อมโยงขององค์กรภาครัฐที่มีบทบาทในการพัฒนาแหล่งท่องเที่ยว อันที่สามก็คือรูปแบบของการมีส่วนร่วมในการพัฒนาซึ่งถือว่าสำคัญที่สุด

ไม่มีวิธีใดศึกษารูปแบบของการมีส่วนร่วมได้ ขึ้นอยู่กับแต่ละพื้นที่ ภาคอื่นๆ อาจจะมีรูปแบบอีกลักษณะหนึ่งก็ได้ ไม่เหมือนกับเมืองอู่ทอง ที่มีคนไทยเชื้อสายต่างๆ หลายชนเผ่า ซึ่งจะต้องบูรณาการให้ได้
ทั้งหมดจึงเป็นสิ่งที่พอจะขับเคลื่อนเมืองอู่ทองให้กลายเป็นเมืองโบราณ
ก่อนจะผลักดันให้เป็นพื้นที่พิเศษเพื่อการท่องเที่ยวอย่างยั่งยืนต่อไป
.......................
จากการศึกษาที่มาของเมืองอู่ทอง นายประทีป เพ็งตะโก สำนักศิลปากรที่ 2 สุพรรณบุรี กล่าวว่า เมืองอู่ทองนั้นมีหลักฐานที่บ่งบอกถึงความเก่าแก่ ไม่ใช่แค่สมัยทวารวดี แต่มีประวัติศาสตร์เก่าแก่กว่านั้น หรือสมัยยุคหินใหม่ และน่าจะเป็นพื้นที่ที่เหมาะสมมาตั้งแต่อดีต มีลำน้ำเก่า (แม่น้ำจรเข้) ซึ่งเป็นพื้นที่อุดมสมบูรณ์ ขณะเดียวกัน เมืองอู่ทองมีความเป็นมาเมื่อ 1,500 ปีที่แล้ว เพราะปรากฏร่องรอยศิลปกรรมทางพุทธศาสนาที่เมืองอู่ทอง พุทธรูปสามองค์ที่เป็นศิลปะแบบอัมราวดี ประเทศอินเดีย เมื่อพุทธศตวรรษที่ 17 หรือก่อนหน้านั้น เป็นพื้นที่ปรากฏร่องรอยพุทธศาสนาที่เก่าแก่ที่สุดในประเทศไทยเท่าที่มีหลักฐานอยู่ แม้กระทั่งเจดีย์ที่ก่อสร้างด้วยอิฐก็มีกระจายอยู่ทั้งพื้นที่ มีธรรมจักรหลายแห่ง

เมื่อพูดถึงการบูรณาการพุทธศาสนากับแผนแม่บทของทางจังหวัดอย่างไรนั้น นายประทีปกล่าวว่า เรื่องของโบราณสถานหรือโบราณวัตถุถือเป็นทรัพยากรสำคัญด้านการท่องเที่ยวอยู่แล้วมิติหนึ่ง นอกจากความเป็นหลักฐานที่แสดงถึงความเก่าแก่หรือที่เรียนรู้ถึงประวัติศาสตร์แล้ว เมื่อทางจังหวัดมีโครงการที่จะพัฒนาเป็นเมืองโบราณอู่ทอง โบราณสถานก็ถือว่าเป็นทรัพยากรตั้งต้นอันหนึ่งที่ต้องการให้ดูแล และนำมาพัฒนาให้เกิดประโยชน์ในแง่ของการท่องเที่ยวได้

โดย : วุฒิพงษ์ ภาชนนท์, เชตวัน เตือประโคน
มติชนออนไลน์  5 มกราคม พ.ศ. 2555

8185
หากจะพูดถึงวัดหลวงที่มีความสำคัญทางประวัติศาสตร์   เกี่ยวข้องโดยตรงกับพระมหากษัตริย์แห่งราชวงศ์จักรีหลายรัชกาล   พระบรมวงศานุวงศ์   รวมถึงพระเถระชั้นผู้ใหญ่ระดับสังฆราชหลายๆพระองค์  ในกรุงรัตนโกสินทร์มาอย่างยาวนานและต่อเนื่อง  คงจะเป็นวัดอื่นใดไปไม่ได้นอกจาก วัดบวรนิเวศวิหาร  พระอารามหลวงชั้นเอก   ชนิดราชวรวิหาร  ซึ่งตั้งอยู่บนถนนพระสุเมรุ   บางลำภู เขตพระนคร  ที่กำลังจะมีงานสมโภช 175ปี  ระหว่างวันที่ 11-15 มกราคม 2555 นี้

ในงานแถลงข่าว "งานสมโภช 175 ปี วัดบวรนิเวศวิหาร"  เมื่อวันพฤหัสบดีที่ 5 มกราคม 255 ที่ผ่านมา ณ พระตำหนักเพ็ชร   โดย สมเด็จพระวันรัต ประธานคณะกรรมการดำเนินงาน โครงการบูรณปฏิสังขรณ์วัดบวรนิเวศวิหาร ในพระบรมราชูปถัมภ์ (ฝ่ายบรรพชิต)  ได้บอกเล่าประวัติ วัดบวรนิเวศวิหาร  ซึ่งมีความสำคัญทางประวัติศาสตร์ สำหรับกรุงรัตนโกสินทร์มากที่สุดวัดหนึ่งว่า   องค์ผู้สถาปนา-ผู้ปกครองวัด -ผู้เข้ามาบวชประจำอยู่ในพระอารามแห่งนี้  ล้วนเกี่ยวข้องกับพระมหากษัตริย์ พระบรมวงศานุวงศ์ ราชวงศ์จักรีทั้งนั้นสืบเนื่องมาตั้งแต่ สมเด็จพระบวรราชเจ้ามหาศักดิพลเสพ  (วังหน้า) ในสมัยพระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 3  ทรงมีพระดำริโปรดให้สร้างขึ้น แต่ยังไม่ทันแล้วเสร็จ ก็สิ้นพระชนม์เสียก่อน

โดยแต่เแรกเริ่มที่สร้างวัดนี้ขึ้นยังไม่มีพระรูปใดมาจำพรรษา จวบจนกระทั่ง รัชกาลที่ 3 ได้อาราธานาเชิญพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวรัชกาลที่ 4  เมื่อครั้งดำรงพระราชอิสริยยศ   เป็นสมเด็จพระเจ้าน้องยาเธอ เจ้าฟ้ามงกุฏสมมติเทวาวงศ์  มาครองวัดนี้ ซึ่งถ้าเทียบในสมัยปัจจุบันก็เหมือนเป็นเจ้าอาวาส   โดยมีการ พระราชทานชื่อ วัดบวรนิเวศวิหาร เมื่อวันที่ 11 มกราคม พ.ศ.2379 (ตามปฏิทินสมัยนั้น)   และตั้งคณะสงฆ์ธรรมยุติกนิกายขึ้นที่วัดนี้ เป็นครั้งแรก    ได้ทรงบูรณะพระอุโบสถ   และโปรดเกล้าฯ  ให้ขรัวอินโข่งเขียนภาพฝาผนัง   เมื่อรัชกาลที่ 3  สวรรคตใน พ.ศ.2394   รัชกาลที่ 4  ก็ลาผนวช   ขึ้นครองราชย์สมบัติต่อมา

ต่อมาเมื่อสมัยพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว  รัชกาลที่ 5 ขึ้นครองราชย์   ทรงปฏิสังขรณ์ใหม่หมดทั้งอารามและโปรดเกล้าฯ   ให้สร้างพระตำหนัก และโรงเรียนมหามงกุฏราชวิทยาลัยขึ้นใหม่ด้วย

วัดบวรนิเวศวิหาร  กลายเป็นที่ประทับระหว่างผนวชของพระมหากษัตริย์ รวมถึงพระบรมวงศานุวงศ์มาโดยตลอด ไม่ว่าจะเป็นพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 6 , พระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัวรัชกาล ที่ 7   กระทั่งพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวรัชกาลที่ 9 และสมเด็จพระบรมโอรสาธิราชสยามมกุฎราชกุมาร ก็ทรงผนวชและประทับที่วัดแห่งนี้ด้วย ถือว่าเป็นวัดที่สำคัญในพระราชวังวัดหนึ่ง

โดยในสมัยรัชกาลที่ 6  ได้รวมวัดรังษีสุทธาวาส กับวัดบวรนิเวศฯ เข้าด้วยกัน   รัชกาลที่ 7 ทรงสร้างกุฏิสงฆ์   รัชกาลที่ 8  ทรงสร้างโรงเรียนพระปริยัติธรรม  และ ในรัชกาลปัจจุบัน ได้ทรงปฏิสังขรณ์เจดีย์ หอไตร และพระอุโบสถ

การบูรณปฏิสังขรณ์วัดบวรนิเวศวิหาร  ทั่วพระอาราม ทั้งในเขตพุทธาวาส และสังฆาวาส ดำเนินการระหว่างปี พ.ศ.2549-2555 โดยการบูรณปฏิสังขรณ์เป็นไปตามหลักวิชาการ ภายใต้การดูแลและควบคุมโดยเจ้าหน้าที่จากกรมศิลปากร เพื่อให้ศาสนสถานและศาสนวัตถุ ดำรงความเป็นเอกลักษณ์ของชาติ เพื่อน้อมถวายเป็นพระราชกุศลเฉลิมพระเกียรติ พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 4  องค์ปฐมเจ้าอาวาส เนื่องในวโรกาสครบ 200  ปี แห่งการพระบรมราชสมภพ วันที่ 18  ตุลาคม 2547  และน้อมถวายเป็นพระราชกุศลเฉลิมพระเกียรติ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวภูมิพลอดุลยเดช เนื่องในวโรกาสทรงครองสิริราชสมบัติครบ 60  ปี ในปีพ.ศ. 2549 และในวโรกาสทรงเจริญพระชนมพรรษา 80  พรรษา 5  ธันวาคม 2550  ตลอดจนเพื่อถวายเป็นพระกุศลแด่อดีตเจ้าอาวาสผู้ทรงครองวัดบวรนิเวศวิหารทุกพระองค์

 สมเด็จพระวันรัต เผยว่า  ดำเนินการบูรณะศาสนสถานและอาคารต่าง ๆ ภายในวัดบวรนิเวศวิหาร  ทั้งสิ้น 44 รายการ รวมงบประมาณที่ใช้ไปในการบูรณะเป็นจำนวนเงินกว่า 800 ล้าน   ในการนี้ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ทรงมีพระราชศรัทธาทรงพระกรุณาโปรดรับโครงการบูรณปฏิสังขรณ์วัดบวรนิเวศวิหาร ไว้ในพระบรมราชูปถัมภ์ตลอดจนพระราชทานพระราชทรัพย์ส่วนพระองค์ในการบูรณปฏิสังขรณ์ด้วย  นอกจากนี้ ยังได้รับการสนับสนุนงบประมาณทั้งจาก ผู้มีจิตศรัทธา, วัดบวรนิเวศวิหาร, รัฐบาลโดยกรมศิลปากร และสำนักงานทรัพย์สินส่วนพระมหากษัตริย์ ซึ่งนับเป็นการร่วมกุศลครั้งใหญ่ จากการร่วมแรงร่วมใจกัน  เพื่อสืบทอดอายุพระพุทธศาสนา และอนุรักษ์ศิลปะของประเทศไทย

กระทั่งปัจจุบัน  การบูรณปฏิสังขรณ์วัดบวรนิเวศวิหาร ได้ดำเนินการแล้วเสร็จบริบูรณ์   จึงได้ร่วมกันจัดงานสมโภช 175  ปี วัดบวรนิเวศวิหาร ขึ้น เพื่อเฉลิมพระเกียรติ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว เนื่องในวโรกาสพระราชพิธีมหามงคลเฉลิมพระชนมพรรษา 7  รอบ 5  ธันวาคม2554  นับเป็นวาระที่สำคัญอย่างยิ่งที่เหตุอันเป็นสิริมงคลของสถาบันหลักของชาติได้มาบรรจบกัน

ด้านนายวีระ โรจน์พจนรัตน์ ที่ปรึกษานายกรัฐมนตรีและอดีตปลัดกระทรวงวัฒนธรรม          ในฐานะประธานคณะทำงานพิจารณากลั่นกรองรูปแบบการจัดงานสมโภช 175  ปี วัดบวรนิเวศวิหาร   เผยว่า วัดบวรนิเวศวิหารเป็นวัดทรงคุณค่าทางประวัติศาสตร์ของไทยมากมาย งานสมโภช  175 ปี ครั้งนี้ ถือเป็นโอกาสดีที่นอกจากจะเป็นการเฉลิมพระเกียรติพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวแล้ว ยังเป็นงานที่เผยแพร่องค์ความรู้ต่างๆที่มีคุณค่าภายในวัดให้แก่ประชาชนได้รับทราบอีกมาก  ผ่านกิจกรรมสำคัญที่จัดขึ้นภายในและบริเวณโดยรอบวัดบวรนิเวศวิหาร

และในพิธีงานสมโภช 175  ปี วัดบวรนิเวศวิหารนี้ คณะกรรมการวัดบวรนิเวศวิหาร และคณะกรรมการโครงการบูรณปฏิสังขรณ์วัดบวรนิเวศวิหารได้ขอพระราชทานทูลเชิญเสด็จ สมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถ เสด็จพระราชดำเนินมาทรงบำเพ็ญพระราชกุศลสมโภชพระรัศมีทองคำลงยาราชาวดี พระพุทธชินสีห์ และทรงสมโภชพระอาราม ในวันพฤหัสบดีที่ 12  มกราคม 2555   ณ พระอุโบสถวัดบวรนิเวศวิหาร อีกด้วย

ขณะที่กิจกรรมสำคัญอื่นๆ  ในเขตพุทธาวาสนั้น ได้เปิดสถานที่สำคัญให้พุทธศาสนิกชนได้ร่วมบูชาพระพุทธรูปสำคัญของชาติ และสิ่งมงคลสักการะ ทั้ง 9 แห่ง เพื่อความเป็นสิริมงคลต้อนรับปีใหม่พุทธศักราช 2555  โดยทุกท่านที่มีจิตศรัทธาบูชาพระพุทธรูปสำคัญของชาติ และสิ่งมงคลสักการะครบทั้ง 9  แห่ง จะได้รับสิ่งมงคลสักการะที่ระลึก คือ พระพุทธชินสีห์ เนื้อผง ด้านหลังประดิษฐานตราสัญลักษณ์พระราชพิธีมหามงคลเฉลิมพระชนมพรรษา ๗ รอบ ๕ ธันวาคม ๒๕๕๔ ทำมาจากมวลสารดอกมะลิที่พระบาทสมเด็จ     พระเจ้าอยู่หัวทรงพระราชทานและกระเบื้องโมเสกพระเจดีย์ รวมถึงคู่มือในการสักการะสิ่งศักดิ์สิทธิ์ ทั้ง 9 แห่งด้วย

"เนื่องด้วยการสมโภชในคราวนี้ เป็นการสมโภชพระรัศมีทองคำลงยาราชาวดี พระพุทธชินสีห์ และสมโภชพระอาราม ซึ่งเป็นงานสำคัญครั้งประวัติศาสตร์ที่จะเกิดขึ้นในพระนคร กรมศิลปากรจึงได้จัดการแสดงนาฏศิลป์ชั้นสูง ซึ่งจะแสดงในพระราชพิธีสำคัญในราชสำนัก มาร่วมสมโภชในโอกาสดังกล่าว อาทิ โขนรามเกียรติ์ โดยศิลปินกรมศิลปากร, การแสดงละครนอก เรื่องแก้วหน้าม้า, การแสดงรำกิ่งไม้เงินทอง"  ประธานคณะทำงานพิจารณากลั่นกรองรูปแบบรายการจัดงานสมโภช 175  ปี วัดบวรนิเวศวิหาร กล่าว

นอกจากนี้ ประชาชนผู้เข้าร่วมงานยังมีโอกาสได้รับชมการแสดงมหรสพศิลปะการแสดงพื้นบ้านของไทยที่หาชมได้ยากในปัจจุบัน อาทิ ลิเกเด็ก คณะเคียงฟ้า ๔ พี่น้อง, การแสดงดนตรี ๔ ภาค, ลำตัดคณะแม่ขวัญจิต      ศรีประจันต์ เป็นต้น โดยจะจัดแสดงทุกวัน วันละ 1 รอบ ส่วนบริเวณภายในและภายนอกวัดและยังได้เพลิดเพลินชมงานออกร้าน ชิมอาหารร้านอร่อยย่านบางลำภู และย่านพระนคร

การแสดงรำกิ่งไม้เงินทอง นาฏศิลป์ชั้นสูงที่หาชมได้ยากในปัจจุบัน

"อยากให้ประชาชนได้มาเห็น เมื่อวัดบวรนิเวศวิหารประดับไฟจะเป็นอย่างไร ขอบอกว่าคลาดสสิคมาก และเราจะได้เห็นสถาปัตยกรรมของวัดบวรนิเวศที่หลากหลาย ทั้งไทยแท้ดั้งเดิมไทยปนฝรั่ง ฝรั่งจ๋า จีนแขก สวยงามรวมถึงร่วมชมพระพุทธรูปที่ไม่เพียงแต่อยู่ในยุคกรุงรัตนโกสินทร์เท่านั้น แต่ในวัดบวรนิเวศวิหารมีพระพุทธรูปตั้งแต่สมัยทวารวดีประดิษฐานอยู่ด้วยมากมาย  หลายสมัย และทรงคุณค่า เรียกได้ว่า วัดบวรนิเวศวิหารแห่งนี้ เป็นวัดคู่บ้านคู่เมืองของไทยเราเลยทีเดียว" นายวีระกล่าว   

ประชาชนและผู้สนใจสามารถเดินทางมาร่วมชมงาน "สมโภช 175 ปี วัดบวรนิเวศวิหาร "ได้ในระหว่างวันที่ 11-15  มกราคม 2555 เวลา 09.00 -21.00 น. ณ วัดบวรนิเวศวิหาร สอบถามข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ โทร. 02-281-5052 (สำนักงานวัดบวรนิเวศวิหาร (ศาลาเขียว)) หรือ http://www.watbowon.com/

ก่อนที่จะถึงงานสมโภช 175 ปี วัดบวรนิเวศวิหาร วันจริง  มติชนออนไลน์จึงได้เก็บภาพบรรยากาศสถานที่สำคัญต่างๆ ภายในวัด รวมถึงสิ่งศักดิ์สิทธิ์ทั้ง 9 แห่ง ที่จะเปิดให้ประชาชนได้เข้าไปร่วมสักการะ กราบไหว้ บูชาขอพร รวมถึงเรียนรู้ไปกับประวัติศาสตร์ในแต่ละยุคสมัยต่างๆผ่านเรื่องเล่าทางสถาปัตยกรรมอันสวยงามและหลากหลายของวัดแห่งนี้ให้ได้ชมกันด้วย เป็นการกระตุ้นศรัทธาอันแรงกล้าของพุทธศาสนิกชนรวมถึงศาสนาอื่นๆให้ร่วมรำลึกถึงคุณค่าและความเป็นไทยแบบวิถีชาวพุทธ ซึ่งเป็นเรื่องละเอียดอ่อนที่สวยงามอยู่ในทุกช่วงความทรงจำของอนุชนรุ่นหลังมิได้เสื่อมคลายตามความเจริญของโลกสมัยใหม่ ที่ก้าวไกลไปกับระบบดิจิตอลเลยจริงๆ...
********************
บูชาพระพุทธรูปสำคัญของชาติ และสิ่งมงคลสักการะ ๙ จุด

๑. ไหว้พระคู่บวร  ณ พระอุโบสถ

๒. ขอพรพระบรมสารีริกธาตุ บูชาพระไพรีพินาศ  ณ พระเจดีย์

๓. อภิวาทพระศรีศาสดา   ณ พระวิหารพระศาสดา

๔. วันทาพระพุทธรูปคู่พระบารมีฯ  ณ พระวิหารเก๋ง

๕. บูชาพระพุทธรูปศิลา  ณ โพธิฆระ
 
๖. ไหว้พระพุทธรูปปางลีลา  ณ ศาลาการเปรียญ

๗. สักการะรอยพระพุทธบาทโบราณ  ณ ศาลาพระพุทธบาท

๘. ไหว้พระพุทธรูปโบราณที่ซุ้มปรางค์ (ด้านซ้าย)  ข้างพระอุโบสถ
 
๙. ไหว้พระพุทธรูปโบราณที่ซุ้มปรางค์ (ด้านขวา)   ข้างพระอุโบสถ

มติชนออนไลน์  6 มกราคม พ.ศ. 2555

8186
จากการเปิดเผยค่าตัวของดาราสาวไทยว่า ใครค่าตัวแพงสุด โดยนับจาก ค่าตัวในการรับเล่นละครต่อตอน ค่าตัวออกงานอีเวนท์ และค่างานโฆษณาต่อชิ้น

พบว่า ดาราสาว ′อั้ม พัชราภา′ ยังคงมาแรงคว้าอันดับหนึ่งไปครอง ตามมาด้วย ′ชมพู่ อารยา′ และ ′พลอย เฌอมาลย์′
ไปดูกันดีกว่าว่า ดาราสาว 10 อันดับค่าตัวฮอต ใครได้ค่าตัวเท่าไรกัน ?!

อันดับ 1 ′อั้ม′ พัชราภา ยังคงร้อนแรง มีค่าตัวในการเล่นละครประมาณ 1.5 แสนบาท/ตอน, ค่าตัวในการออกงานอีเวนท์ประมาณ 1.5 แสนบาท/ครั้ง และค่าโฆษณาประมาณ 8.6 ล้านบาท/ชิ้น

อันดับ 2 ′ชมพู่′ อารยา ค่าตัวในการเล่นละครประมาณ 7.5 หมื่นบาท/ตอน, ค่าตัวในการออกงานอีเวนท์ประมาณ 1.2 แสนบาท/ครั้ง และค่าโฆษณาประมาณ 7.5 ล้านบาท/ชิ้น

อันดับ 3 ′พลอย′ เฌอมาลย์ ค่าตัวในการเล่นละครประมาณ 7.5 หมื่นบาท/ตอน, ค่าตัวในการออกงานอีเวนท์ประมาณ 1 แสนบาท/ครั้ง และค่าโฆษณาประมาณ 6.5 ล้านบาท/ชิ้น

อันดับ 4 ′แอน′ ทองประสม ค่าตัวในการเล่นละครประมาณ 8 หมื่นบาท/ตอน, ค่าตัวในการออกงานอีเวนท์ประมาณ 9.5 หมื่นบาท/ครั้ง และค่าโฆษณาประมาณ 6 ล้านบาท/ชิ้น

อันดับ 5 ′แอฟ′ ทักษอร ค่าตัวในการเล่นละครประมาณ 7 หมื่นบาท/ตอน, ค่าตัวในการออกงานอีเวนท์ประมาณ 1.2 แสนบาท/ครั้ง และค่าโฆษณาประมาณ 6.5 ล้านบาท/ชิ้น

อันดับ 6 ′นุ่น′ วรนุช ค่าตัวในการเล่นละครประมาณ 8 หมื่นบาท/ตอน, ค่าตัวในการออกงานอีเวนท์ประมาณ 9 หมื่นบาท/ครั้ง และค่าโฆษณา ประมาณ 5.5 ล้านบาท/ชิ้น

อันดับ 7 ′แพนเค้ก′ เขมนิจ ค่าตัวในการเล่นละครประมาณ 6.5 หมื่นบาท/ตอน, ค่าตัวในการออกงานอีเวนท์ประมาณ 8 หมื่นบาท/ครั้ง และค่าโฆษณาประมาณ 5 ล้านบาท/ชิ้น

อันดับ 8 ′เจนี่′ เทียนฯ ค่าตัวในการเล่นละครประมาณ 7.5 หมื่นบาท/ตอน, ค่าตัวในการออกงานอีเวนท์ประมาณ 9.5 หมื่นบาท/ครั้ง และค่าโฆษณาประมาณ 6.5 ล้านบาท/ชิ้น

อันดับ 9 ′ญาญ่า′ อุรัสยา ค่าตัวในการเล่นละครประมาณ 4.5 หมื่นบาท/ตอน, ค่าตัวในการออกงานอีเวนท์ประมาณ 7 หมื่นบาท/ครั้ง และค่าโฆษณาประมาณ 4.5 ล้านบาท/ชิ้น

อันดับ 10 ′มิน′ พิชญา ค่าตัวในการเล่นละครประมาณ 5 หมื่นบาท/ตอน, ค่าตัวในการออกงานอีเวนท์ประมาณ 6 หมื่นบาท/ครั้ง และค่าโฆษณาประมาณ 4.5 ล้านบาท/ชิ้น

ที่มา : นิตยสาร มายาแชแนล
มติชนออนไลน์  6 มกราคม พ.ศ. 2555

8187
เมื่อวันที่ 6 มกราคม ที่ศาลปกครองกลาง ถนนแจ้งวัฒนะ นายเอกณัฐ จิณเสน ตุลาการศาลปกครองกลาง เจ้าของสำนวนมีคำสั่งไม่รับฟ้อง คดีที่นางสมจิต วัชราเกียรติ พร้อมพวก รวม 13 คนซึ่งเป็นผู้ป่วยโรคบวมน้ำเหลืองที่รักษาอาการโรงพยาบาลเวชศาสตร์เขตร้อน คณะเวชศาสตร์เขตร้อน มหาวิทยาลัยมหิดล ในโครงการรักษาโรคบวมน้ำเหลืองด้วยวิธีภูษาบำบัดและขันชะเนาะ ยื่นฟ้องคณบดีคณะเวชศาสตร์เขตร้อน มหาวิทยาลัยมหิดล เป็นผู้ถูกฟ้อง เรื่องเป็นหน่วยงานทางปกครอง ออกคำสั่งโดยมิชอบด้วยกฎหมาย กรณีที่คณะเวชศาสตร์เขตร้อน มหาวิทยาลัยมหิดล ผู้ถูกฟ้อง ออกประกาศวันที่ 14 ตุลาคม 2554 เรื่องยุบโครงการรักษาโรคบวมน้ำเหลืองด้วยวิธีภูษาบำบัดและขันชะเนาะ ดังกล่าวที่ให้ยุบเลิกโครงการและให้ขนย้ายทรัพย์สินจากพื้นที่ รพ.เวชศาสตร์เขตร้อนและส่งมอบพื้นที่คืนให้แก่โรงพยาบาลภายใน 30 ตุลาคม 2554 ซึ่งเป็นการใช้อำนาจมิชอบขัดต่อรัฐธรรมนูญปี 2550 มาตรา 51, 57 และการยุบเลิกโครงการดังกล่าวเป็นอำนาจ คณะรัฐมนตรี ตามมาตรา 54 พ.ร.บ.มหาวิทยามหิดล พ.ศ.2550 ขณะที่การสั่งให้งดกิจการเกี่ยวกับบริการ การดำเนินรักษาผู้ป่วยในโครงการรักษาโรคบวมน้ำเหลืองด้วยวิธีภูษาบำบัดและขันชะเนาะ เป็นอำนาจของแพทยสภา ตาม พ.ร.บ.วิชาชีพเวชกรรม


โดยศาลพิเคราะห์คำฟ้องและกฎหมายที่เกี่ยวข้องแล้ว เห็นว่าประกาศของผู้ถูกฟ้องไม่ได้มีผลใช้บังคับเป็นการทั่วไปหรือใช้บังคับกับผู้ฟ้องทั้ง 13 รายโดยตรง จึงไม่มีสภาพเป็นกฎหรือคำสั่งทางปกครอง ประกาศของผู้ถูกฟ้องจึงเป็นการเพียงการกระทำอื่น และเมื่อข้อเท็จจริงปรากฏว่าโครงการรักษาโรคบวมน้ำเหลืองฯ ได้ทำการศึกษาวิจัยและทดลองเพื่อให้บริการรักษาผู้ป่วยโรคเท้าช้างโดยมีองค์กรแพทย์คอยควบคุมดูแลโครงการดังกล่าว และในระหว่างทดลองวิจัยจะไม่รับผู้ป่วยที่มีโรคแทรกซ้อน แต่ต่อมาได้รับการร้องเรียนว่าแพทย์ที่ทำการรักษา ได้ให้บริการเกินกรอบของโครงการทำให้มีผู้รักษาจำนวนมาก ประกอบกับใบอนุญาตเวชกรรมในประเทศไทยที่ผู้ถูกฟ้องขอให้แพทย์ที่ทำการรักษาได้สิ้นสุดลงวันที่ 14 ตุลาคม 2554 ผู้ถูกฟ้องจึงออกประกาศยุบเลิกโครงการดังกล่าว จึงเห็นว่าประกาศนั้นเป็นเพียงการบริหารงานภายในคณะเวชศาสตร์เขตร้อน ยังไม่มีผลกระทบสิทธิผู้ฟ้องในการได้รับการรักษาโรค เพราะผู้ฟ้องยังคงมีสิทธิรักษาด้วยวิธีการอื่น ผู้ฟ้องจึงยังไม่ใช่ผู้เดือดร้อนเสียหาย ศาลจึงไม่รับคำฟ้องไว้พิจารณาและให้จำหน่ายคดีออกจากสารบบความ


นายไพโรจน์ มินเด็น ตุลาการหัวหน้าคณะศาลปกครองกลาง ในฐานะโฆษกศาลปกครองกลาง ชี้แจงว่า การที่ศาลปกครองกลางได้เคยมีคำสั่งรับฟ้องคดีนางสมจิต วัชราเกียรติ กับพวกรวม 13 คนซึ่งเป็นผู้ป่วยโรคบวมน้ำเหลืองที่รักษาด้วยวิธีภูษาบำบัดและขันชะเนาะ ฟ้องคณะเวชศาสตร์เขตร้อน มหาวิทยาลัยมหิดล ก่อนหน้านั้น เนื่องจากขณะนั้น ศาลได้ฟังข้อมูลเบื้องต้นแล้วเห็นว่า คดีดังกล่าวมีมูลน่าจะรับฟังไว้ได้ แต่ต่อมาเมื่อเข้าสู่การพิจารณาไต่สวนในภายหลังพบว่า นางสมจิตและพวกไม่ใช่ผู้ได้รับความเดือดร้อนเสียหายโดยตรงในคดีนี้ การที่ศาลจะมีคำสั่งรับคำฟ้องไว้พิจารณาและดำเนินกระบวนพิจารณาต่อมาเป็นการดำเนินกระบวนการพิจารณาที่ผิดระเบียบตามข้อ 7 วรรคหนึ่ง แห่งระเบียบของที่ประชุมใหญ่ตุลาการในศาลปกครองสูงสุด ว่าด้วยวิธีพิจารณาคดีปกครอง 2543 จึงมีคำสั่งเพิกถอนกระบวนพิจารณาในชั้นการรับคำฟ้องไว้พิจารณา อย่างไรก็ตาม นางสมจิตและพวกยังสามารถใช้สิทธิยื่นอุทธรณ์ในคดีนี้ต่อศาลปกครองสูงสุดได้ภายใน 30 วัน

มติชนออนไลน์  6 มกราคม พ.ศ. 2555

8188
วารสารวิชาการ “ประสาทวิทยา” เปิดเผยว่า อาหารที่อุดมด้วยวิตามินและปลา อาจช่วยป้องกันสมองไม่ให้แก่ชราได้ ขณะที่การกินอาหารที่ถือกันว่าเป็นอาหารขยะ กลับทำให้สมองเหี่ยวลงอย่างรวดเร็ว

ผู้สูงอายุที่ตรวจพบว่ามีระดับวิตามินและกรดไขมันโอเมกาในเลือดสูง นอกจากสมองจะเหี่ยวน้อยแล้ว ยังมีสติปัญญาดีขึ้นด้วย ขณะที่ไขมันชนิดที่มีอยู่ในอาหารขยะ มีส่วนทำให้สมองหดแบบที่พบในผู้เป็นโรคสมองเสื่อม

องค์การวิจัยโรคสมองเสื่อมของอังกฤษ ได้เรียกร้องให้มีการศึกษาเรื่องอาหารและความเสี่ยงของโรคสมองเสื่อมให้หนักขึ้น และบอกว่า ข้อแนะนำที่ดีที่สุดในปัจจุบัน คือการให้กินอาหารที่ถูกส่วน ประกอบด้วยผักและผลไม้มาก อย่าสูบบุหรี่ และออกกำลังอยู่ประจำ ควบคุมระดับความดันโลหิตและไขมันในเลือดเอาไว้

คณะผู้เชี่ยวชาญของสหรัฐฯ ได้พบในการวิเคราะห์ตัวอย่างของผู้สูงอายุ อายุเฉลี่ย 87 ปีที่ยังคงแข็งแรงดี และไม่พบว่าป่วยเป็นโรคสมองเสื่อมมาก่อนว่า ผู้ที่มีระดับวิตามินบี ซี ดี และอี ในเลือดสูง ต่างทำผลการทดสอบความจำและความคิดอ่านได้ดี รวมทั้งผู้ที่มีระดับไขมันโอเมกา3 ซึ่งพบส่วนใหญ่มีอยู่ในปลาด้วย.

ไทยรัฐออนไลน์ 6 มค 2555

8189
มช.สาธารณสุขสรุปความเสียหาย 8 จังหวัดภาคใต้ประสบอุทกภัย มีสถานบริการถูกน้ำท่วม 23 แห่ง รพ.ท่าศาลาพร้อมเปิดให้บริการผ่าตัด 6 ม.ค.นี้ พร้อมสั่งสำรองเซรุ่มแก้พิษงูรับมือฝนหนัก...

เมื่อวันที่ 6 ม.ค. นายต่อพงษ์ ไชยสาส์น รมช.สาธารณสุข เปิดเผยภายหลังลงพื้นที่ตรวจเยี่ยมผู้ประสบภัยน้ำหลากที่บ้านปากลง ต.กุงชิง อ.นบพิตำ จ.นครศรีธรรมราช และโรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพตำบลเตียน ต.กุงชิง จากนั้นเดินทางไปตรวจเยี่ยมโรงพยาบาลท่าศาลา อ.ท่าศาลา และตรวจเยี่ยมสถานการณ์น้ำท่วมที่ อ.เมืองนครศรีธรรมราช ว่า จังหวัดนครศรีธรรมราช มีพื้นที่ถูกน้ำท่วมทั้งหมด 8 อำเภอ หนักที่สุดที่ ต.กุงชิง อ.นบพิตำ ขณะนี้สถานการณ์ดีขึ้น ระดับน้ำลดลงเรื่อยๆ กระทรวงสาธารณสุขได้จัดหน่วยแพทย์เคลื่อนที่บริการประชาชน พบผู้เจ็บป่วยไม่มากประมาณ 142 ราย

จากการประเมินความเสียหายด้านการแพทย์ มีสถานบริการในสังกัดถูกน้ำท่วมทั้งหมด 12 แห่งประกอบด้วยโรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพตำบล 10 แห่ง โรงพยาบาลท่าศาลา อ.ท่าศาลา และสำนักงานสาธารณสุขจังหวัดนครศรีธรรมราช อยู่ระหว่างการประเมินความเสียหาย แต่คาดว่าจะไม่มาก เนื่องจากทุกแห่งได้เตรียมความพร้อมในการป้องกันก่อนหน้านี้ตามนโยบายของกระทรวงสาธารณสุข

รมช.สาธารณสุข กล่าวว่า สำหรับที่บ้านปากลง ต.กุงชิง พบการสัญจรไม่สะดวก มีสะพานขาด ทำให้ชาวบ้านที่หมู่ 6 ต.กุงชิง ถูกตัดขาด สำนักงานสาธารณสุขจังหวัดได้ประสานกับโรงพยาบาลค่ายวชิราวุธ ออกหน่วยแพทย์เคลื่อนที่ให้บริการประชาชน พบผู้ป่วย 62 ราย ส่วนใหญ่เจ็บป่วยทั่วไป เช่น ไข้หวัด มีผู้บาดเจ็บเล็กน้อย 1 ราย จากการเหยียบของมีคม ส่วนสถานพยาบาลที่อยู่ในพื้นที่ ซึ่งทั้งหมดเป็นโรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพตำบล ไม่ได้รับความเสียหาย สามารถเปิดบริการได้ตามปกติ มีเฉพาะการสัญจรเท่านั้นที่ไม่ค่อยสะดวก

ส่วนโรงพยาบาลท่าศาลา ระดับน้ำลดลงทั้งหมดตั้งแต่วันที่ 4 ม.ค. สามารถเปิดบริการได้เกือบจะครบ 100 เปอร์เซ็นต์ ยังเหลือเพียงห้องผ่าตัด ที่ต้องเตรียมด้านระบบไฟฟ้า ระบบน้ำ คาดว่าจะเปิดบริการในวันพรุ่งนี้ ผลจากน้ำท่วมไม่มีเครื่องมือ และอุปกรณ์การแพทย์ได้รับความเสียหาย เนื่องจากมีประสบการณ์จากสถานการณ์ในปีที่ผ่านมา ปีนี้จึงได้เตรียมการป้องกันไว้เป็นอย่างดี โดยสร้างคันดิน  และจัดเครื่องสูบน้ำไว้ 10 เครื่อง เพื่อสูบน้ำออก โดยในวันนี้ได้รับผู้ป่วยที่ส่งต่อไปรักษาที่โรงพยาบาลมหาราชนครศรีธรรมราช จำนวน 20 ราย กลับมาดูแลรักษาทั้งหมดแล้ว

นายต่อพงษ์ กล่าวด้วยว่า สถานการณ์น้ำท่วมในภาคใต้ 8 จังหวัดที่ผ่านมา มีผู้เสียชีวิต 4 ราย พบผู้เจ็บป่วยประมาณ 3,000 ราย ส่วนใหญ่เป็นไข้หวัด ในเบื้องต้นมีสถานพยาบาลถูกน้ำท่วมทั้งหมด 23 แห่ง ประกอบด้วย

สงขลา 5 แห่ง
สุราษฎร์ธานี 5 แห่ง
นครศรีธรรมราช 12 แห่ง
และชุมพร 1 แห่ง

ความเสียหายเบื้องต้นประมาณ 7 แสนบาท อย่างไรก็ตาม ได้กำชับให้สถานพยาบาลทุกแห่ง โดยเฉพาะในพื้นที่เสี่ยงภัย 8 จังหวัด ตามประกาศกรมอุตุนิยมวิทยา ได้แก่ สุราษฎร์ธานี นครศรีธรรมราช พัทลุง สงขลา ยะลา ปัตตานี สตูล และนราธิวาส เตรียมพร้อมรับมือภาวะฝนตกหนัก ในช่วงวันที่ 6-10 มกราคม 2555 อย่างใกล้ชิด หากประชาชนเจ็บป่วยฉุกเฉินให้โทร.แจ้ง 1669 ซึ่งสถานพยาบาลทุกแห่งได้เตรียมเวชภัณฑ์ รวมทั้งเซรุ่มแก้พิษงูไว้ทั้งหมดแล้ว

ไทยรัฐออนไลน์ 6 มค 2555

8190
 อย. เผยมาตรการลุยตรวจคลินิกเสริมความงามทุกแห่งทุกสาขาทั่วประเทศ มิให้ผู้ใช้บริการได้รับอันตราย เตือนแพทย์ประจำคลินิก ปฏิบัติตามกฎหมาย
   
       นพ.พิพัฒน์ ยิ่งเสรี เลขาธิการคณะกรรมการอาหารและยา (อย.) เปิดเผยว่า จากนโยบายของนายวิทยา บุรณศิริ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข ในการคุ้มครองผู้บริโภคให้ได้รับความปลอดภัยจากการใช้บริการ ณ คลินิกเสริมความงามต่างๆ ที่ขณะนี้เปิดให้บริการแพร่หลายในศูนย์การค้าและแหล่งชุมชนทั้งในกรุงเทพฯ และต่างจังหวัด ซึ่งสำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา (อย.) ได้ปฏิบัติงานเชิงรุกในการกำกับเฝ้าระวังคลินิกเสริมความงามต่างๆ มาอย่างต่อเนื่อง โดยช่วงรอบปี 2554 ได้ดำเนินการตรวจสอบและจับกุมคลินิกเสริมความงามหลายแห่ง พบว่า ส่วนใหญ่มีการนำยาที่ไม่ได้ขึ้นทะเบียนตำรับยา หรือยาปลอม เช่น กลูตาไทโอน โบท็อกซ์ คอลลาเจน พลาเซนตา รกแกะ วิตามินซี รวมทั้งเครื่องมือแพทย์ที่ไม่ได้แจ้งรายการละเอียดต่อ อย. และยาทาภายนอกมาให้บริการ ซึ่งทำให้ผู้บริโภคไม่ได้รับความปลอดภัย ดังนั้น ในปี 2555 นี้ อย.ได้จัดทำแผนเชิงรุกในการตรวจสอบคลินิกเสริมความงามทั้งรายใหญ่รายเล็กทุกสาขาทุกแห่งทั่วประเทศมิให้กระทำผิดกฎหมาย เพื่อให้ผู้ใช้บริการปลอดภัยในการได้รับยาที่ขึ้นทะเบียนถูกต้อง
       
       เลขาธิการ อย.กล่าวต่อว่า อย.ขอเตือนแพทย์ที่ตรวจรักษาในคลินิก หรือเจ้าของคลินิก ขอให้คัดเลือกยาที่ได้ขึ้นทะเบียนตำรับยาจาก อย.แล้ว เนื่องจากยาที่จำหน่ายได้จะต้องผ่านการขึ้นทะเบียนตำรับยา กรณีเป็นยาที่ผลิตในประเทศ ต้องเป็นยาที่ผลิตจากสถานที่ผลิตยาที่ได้รับอนุญาตเท่านั้นจึงจะถูกต้องตามกฎหมาย ไม่ใช่สถานที่ผลิตเครื่องสำอางหรือผลิตภัณฑ์อื่นๆ ซึ่ง อย.เคยตรวจพบมาแล้ว และหากเป็นยานำเข้าก็จะต้องได้รับอนุญาตมีใบรับรองการนำเข้าและขึ้นทะเบียนถูกต้องจาก อย. หรือหากเป็นยาที่ได้รับการยกเว้นการขึ้นทะเบียน เช่น ยาที่ปรุงหรือผลิตขึ้นเฉพาะการรักษาผู้ป่วยบางราย ซึ่งจะได้รับการยกเว้นการขึ้นทะเบียน แต่ตัวยาที่นำมาปรุงเป็นส่วนประกอบ จะต้องผ่านการขึ้นทะเบียนตำรับยาถูกต้องตามกฎหมายเช่นกัน
       
       สำหรับแพทย์ที่ประกอบวิชาชีพเวชกรรมจะต้องปฏิบัติตามกฎหมายอย่างเคร่งครัด หากพบกระทำผิด อย. และ บก.ปคบ. จะดำเนินการตามกฎหมายอย่างเข้มงวด โดยผู้เป็นแพทย์กระทำผิดกฎหมาย จะถูกส่งชื่อไปยังแพทยสภาให้ดำเนินการเอาผิดทางจริยธรรมและจรรยาบรรณแพทย์ พร้อมกันนี้ จะส่งเรื่องไปยังสำนักสถานพยาบาลและการประกอบโรคศิลปะ กรมสนับสนุนบริการสุขภาพ เพื่อพิจารณาเพิกถอนใบอนุญาตประกอบกิจการสถานพยาบาล และใบอนุญาตดำเนินการสถานพยาบาลต่อไป

ASTVผู้จัดการออนไลน์    6 มกราคม 2555

หน้า: 1 ... 544 545 [546] 547 548 ... 651