คำบอกกล่าว
ครับ..เขาจะตั้งกองทุนอิสระกันอีกแล้ว คราวนี้มาในนามของการคุ้มครองผู้เสียหายจากการให้บริการสาธารณสุขที่ผิดพลาด คราวหน้าเมื่อถึงคราวนำเสนอแนวทางปฏิรูปประเทศนี่ก็คงโผล่ออกจากกระเป๋าอีกหลายกองทุนด้วยกันเป็นแน่
คำว่ากองทุนนี่..ผมหมายถึงกองทุนที่ตั้งขึ้นด้วยอำนาจรัฐแล้วมีกฎหมายบังคับเอาเงินจากส่วนรวมเป็นปกติธุระ มารวมกันให้ไปใช้จ่ายทำงานอย่างหนึ่ง เช่น
๑. กองทุนสนับสนุนและส่งเสริมสุขภาพ ( สสส.) ตัดเอาเงินจากภาษีบาป ในอัตราแน่นอนปีละประมาณ ๓,๕๐๐ ล้านบาท
๒. กองทุน ดำเนินการทีวีสาธารณะ ( ไทยพีบีเอส) ตัดเอาเงินจากภาษีบาปในอัตราแน่นอนปีละประมาณ ๑,๐๐๐ ล้านบาท
๓. กองทุนคุ้มครองผู้เสียหายจากบริการสาธารณสุข กำลังจะจัดตั้งโดยตัดเงินจากกองทุนประกันสุขภาพของรัฐมารวมกับเงินที่บังคับเก็บเอาจากโรงพยาบาล คลินิกทุกแห่ง
( รวมทั้งร้านขายยาด้วย?) ปีหนึ่งไม่ต่ำกว่า ๑,๐๐๐ ล้านบาทแน่นอน
กองทุนที่กล่าวมาข้างต้น ผมเรียกว่ากองทุนอิสระ เพราะมีคณะกรรมการอิสระพร้อมสำนักงานและอำนาจหน้าที่แยกจากราชการ ไม่มีทั้งการสั่งการและกำกับดูแลโดยรัฐมนตรีใด ตัวกรรมการจะมาจาก เอ็นจีโอจำนวนมาก
ที่มาของกองทุนอิสระเหล่านี้จะเริ่มผลักดันภารกิจส่วนรวมอันดูดีออกมาเสียก่อนจากนั้นจึงกล่าวอ้างว่าเป็นงานที่ต้องพ้นจากนักการเมือง ด้วยเหตุที่ต้องอาศัยความเป็นมืออาชีพ หรือการมีส่วนร่วมนานา แล้วก็สร้างกลไกการเข้าสู่ตำแหน่งด้วยการเลือกกันเอง หรือเลือกกันเองแล้วส่งไปให้คนอื่นให้ความเห็นชอบ
จนนานไปก็กลายเป็นถิ่นฐานของซุ้มเอ็นจีโอ ที่ทำงานไปโดยไร้การประเมิน ไร้การตรวจสอบ เล่นพรรคเล่นพวก ใช้จ่ายฟุ่มเฟือยรั่วไหล นำเงินที่บังคับเก็บจากส่วนรวมมาใช้ เหมือนราชการและนักการเมือง แต่กลับมีอภิสิทธิ์ยิ่งกว่านักการเมืองมาจนทุกวันนี้
กองทุนอิสระอย่างนี้ ถึงเวลาที่ต้องตรวจสอบเพื่อปฏิรูปกันได้แล้วว่า แท้ที่จริงนั้นก็เป็นการหนีเสือ คือหนีนักการเมืองมาปะจระเข้ที่ดูดีแต่ไม่ดีจริง ใช่หรือไม่ ดังในกรณีการจัดตั้งกองทุนคุ้มครองผู้เสียหายจากการให้บริการสาธารณสุขที่ผิดพลาด ในครั้งนี้ ก็มีทางเลือกที่น่าจะหนีเสือแล้วไม่ปะจระเข้เอ็นจีโอ ได้เหมือนกัน กล่าวคือ
ความเสี่ยงในการรักษาพยาบาล และทางเลือกของรัฐในการสร้างหลักประกัน
คนป่วยเบาหวานเข้าโรงพยาบาล มีอาการเป็นแผลที่ขาขวาลุกลามไม่หยุดจนขาดำไปข้างแล้ว หมอรับรักษาแล้วก็ต้องตัดขาทิ้ง ถามว่าการที่ขาหายไปข้างหนึ่งนี้เป็นความเสียหายจากการรักษาพยาบาลหรือไม่? คำตอบคือไม่ใช่ กรณีอย่างนี้ถ้ารัฐจะช่วยเหลืออย่างไร ก็เป็นเรื่องของสวัสดิการผู้พิการโดยทั่วไปเท่านั้นไม่เกี่ยวกับเรื่องสาธารณสุขเลย อย่าเอาเรื่องน่าสงสารอย่างนี้มาปนกับการคุ้มครองผู้เสียหายจากการรักษาพยาบาล
กรณีที่สอง ผู้ป่วยเป็นต้อกระจกให้หมอผ่าตัดตา แต่ฉีดยาชาแล้วตาบอดถาวร อย่างนี้เป็นความเสียหายจากการรักษาพยาบาลแน่นอน จะโทษว่าตาบอดเพราะต้อกระจกไม่ได้ ความเสียหายอย่างนี้มีสาเหตุได้ ๒ ลักษณะคือ
หมอผิด เพราะรักษาไม่ได้มาตรฐาน เช่นฉีดยาชาไม่ถูกต้อง ทำลายเส้นประสาทในดวงตา
หมอไม่ผิด หมอรักษาได้มาตรฐานฉีดยาและใช้ยาถูกต้องทุกอย่างแล้ว แต่ผู้ป่วยมีโรคประจำตัวที่ไม่อาจตรวจสอบพบได้ จึงแพ้ยาชา
ในสภาวะข้างต้นถ้ารัฐไม่ทำอะไรเลย ชาวบ้านก็ต้องคอยหาสาเหตุ คอยทวง คอยฟ้อง
จากหมอเอาเอง สภาพเช่นนี้หลายประเทศเห็นว่าไม่พึงประสงค์ จำเป็นที่รัฐต้องใช้อำนาจเข้ามาสร้างระบบจัดการดูแลความเสี่ยงนี้ให้มีหลักประกันที่ดีกว่า ก็ต้องใช้อำนาจบังคับให้เกิดหลักประกัน ได้ดังทางเลือกต่อไปนี้
๑. รับประกันเฉพาะกรณีที่หมอผิดเท่านั้น ทำได้โดย
๑.๑) รัฐออกเงินตั้งกองทุนเป็นประกันเสียเอง ( วิธีนี้ปัจจุบันใช้อยู่ในไทยเฉพาะการรักษาพยาบาลที่อยู่ในกองทุน ๓๐ บาท ระบบอื่นทั้งประกันสังคมและข้าราชการและที่ซื้อบริการโดยปกติทั่วไปจะไม่มีหลักประกันนี้ )
๑.๒) รัฐออกกฎหมายบังคับให้ทุกสถานบริการต้องซื้อประกันจากบริษัทประกันภัยว่าถ้าตนรักษาผิดพลาดเมื่อใด บริษัทประกันจะจ่ายแทน ( วิธีนี้ปัจจุบันยังไม่มีการบังคับ ปล่อยให้หมอหรือโรงพยาบาลซื้อประกันเอาเอง )
๒. รับประกันทุกกรณีไม่ว่าหมอจะผิดหรือไม่ก็ตาม ทำได้โดย
๒.๑) รัฐออกกฎหมายเรียกเก็บเงินจากทุกสถานบริการมารวมเป็นกองทุน โดยตั้ง
คณะกรรมการพร้อมสำนักงานขึ้นบริหารโดยเฉพาะ ( วิธีนี้ซุ้มเอ็นจีโออ้างว่าอยู่ใน
ร่างกฎหมายใหม่ของตน แต่พอตรวจทานตัวร่างจริงๆ พบว่ายังยืนอยู่บน ๑.๑) คือ
ชดใช้เฉพาะเมื่อหมอทำผิด แต่ขยายกรอบบังคับให้ทุกระบบการรักษาต้องถูกเก็บ
เงินมาเข้ากองทุน และอยู่ในอำนาจวินิจฉัยของกรรมการกองทุน ที่เขียนใหม่ให้เอ็นจี
โอเข้ามาเต็มไปหมดพวกหมอจึงไม่ยอม ที่จะให้ใครไม่รู้มาตัดสินมาตรฐานการ
ทำงานของตน )
๒.๒) รัฐไม่เข้ามาดำเนินการเอง แต่จะออกกฎหมายบังคับให้ทุกสถานบริการและทุก
บุคลากรต้องซื้อประกันภัยจากบริษัทประกันตามกรมธรรม์มาตรฐานที่รัฐกำหนด
( วิธีนี้สวีเดนทำถึงขนาดให้รัฐตั้งรัฐวิสาหกิจเป็นบริษัทประกันภัยเพื่อการนี้
โดยเฉพาะ )
ทางเลือกของผู้บริโภค
การขยายหลักประกันตามข้อเสนอของซุ้มเอ็นจีโอในครั้งนี้ จะต้องเรียกเก็บเงินสมทบจากทุกสถานบริการและทุกบุคลากร ว่ากันว่าจะเลยไปถึงการขายยาในร้านขายยาเลยทีเดียว เงินนี้จะเก็บกันเท่าใด ตกมาถึงผู้บริโภคที่เสียหายเต็มเม็ดเต็มหน่วยหรือไม่ หรือไหลไปเป็นค่าบริหารกองทุน กว่า ๑๐% แล้วมีเอ็นจีโอนั่งยิ้มรับจ๊อบทำงานอยู่เ ต็มไปหมด
จริงหรือไม่ว่าความรั่วไหลเช่นนี้ได้เกิดขึ้นแล้วกับกองทุน ๓๐ บาท ที่ปัจจุบันมีหนี้สินค้างชำระโรงพยาบาลต่างๆ ที่ สตง.ตรวจพบกว่า ๑ พันล้านบาท จนทำให้ต้องมา กดราคาโรงพยาบาลคู่สัญญา ทำให้หลายโรงพยาบาลต้องบอกเลิกรับงาน ๓๐ บาท กันมากมายจนทุกวันนี้
นอกจากความโปร่งใสแล้ว ความแตกต่างระหว่างการประกันตาม ๑ และ ๒ ว่าจะประกันเฉพาะกรณีที่หมอผิด หรือรับทั้งกรณีหมอไม่ผิดด้วยนั้น ทั้งสองทางเลือกนี้คิดเป็นมูลค่าเพิ่มที่จะตกแก่ผู้บริโภคเท่าใด ใครบ้างที่ต้องจ่ายและจ่ายโดยเท่าเทียมเป็นธรรมหรือไม่
ก็เป็นปัญหาที่ซุ้มเอ็นจีโอผู้เสนอนี้ต้องทำให้กระจ่างด้วยเช่นกัน
ทางเลือกของบุคลากรด้านสาธารณสุข
สำหรับบุคลากรสาธารณสุขตั้งแต่คุณหมอทั้งหลายลงไปนั้น ทางเลือกที่ให้มีการประกันความเสียหายโดยไม่ต้องสอบสวนเอาผิดใคร ใครเสียหายก็ใช้ให้ไปเลยเหมือนการประกัน พรบ.รถยนต์ ว่าถ้าเกิดอุบัติเหตุโดยรถคันนี้เกี่ยวข้องด้วยก็เอาไปเลย ๒ หมื่นบาท จะเอามาก กว่านี้ก็ไปฟ้องกันเองว่ารถคันนี้ผิด วิธีนี้น่าจะเป็นสุขด้วยกันทุกฝ่ายและไม่มีเอ็นจีโอมาคอยตรวจทานมาตรฐานสาธารณสุขทั้งที่ไม่รู้เรื่องอีกต่อไป ยังความสบายใจได้หมดทุกคน
ถ้ารับกันได้ตามนี้ ก็ต้องร่างกฎหมายออกมาให้ชัดเจน ไม่ใช่ร่างแบบซ่อนเงื่อนจะเอาผิดหมอ
เหมือนร่างของ เอ็นจีโอ ปัจจุบัน
การยืนกรานว่า อย่ามายุ่งกับหมอนะ เหนื่อยจะแย่อยู่แล้ว จึงหาใช่ทางออกที่ดีสำหรับทุกฝ่ายเลย
ทางเลือกของรัฐ
ส่วนปัญหาสุดท้ายว่าจะทำเป็นกองทุนประกันภัย ให้รัฐบังคับเก็บจากทุกหน่วยบริการ หรือจะทำแค่ตรากฎหมายบังคับให้ทุกหน่วยต้องเอาประกันความเสียหาย โดยซื้อประกันจากบริษัทประกันภัย เหมือนประกัน พรบ.รถยนต์นั้น ตรงนี้รัฐก็น่าจะรู้ตัวดีว่าไม่มีใครเชื่อคุณเลย
ทางเลือกที่มี จึงเหลือแต่เพียงว่า จะยอมให้บริษัทประกันภัยเขารับงานนี้ โดยตนเองคอยคุมมาตรฐานไว้ หรือจะโอนอำนาจให้ซุ้มเอ็นจีโอรับงานไปตั้งกองทุนอิสระอีกเช่นเคย
ทางเลือกไหนที่ผู้บริโภคและบุคลากรสาธารณสุขเขาจะรับได้มากกว่ากัน ก็เป็นเรื่องที่ท่านรัฐ ท่านน่าจะตระหนักและตัดสินใจให้สมกับความรับผิดชอบของตนได้แล้ว ถ้ายังทำตัวเป็นคนกลางจัดเจรจาเช่นทุกวันนี้ หรือตัดสินใจเตะออกโดยมอบให้คณะกรรมการปฏิรูปประเทศเขาศึกษาดู ก็โปรดว่ามาให้ชัดเจนด้วยเถิด จะได้เห็นกันว่า ท่านได้ตัดสินใจจะไม่ตัดสินใจ (อีกครั้งแล้ว)
.........................