ผู้เขียน หัวข้อ: สรุปข่าวเด่นในรอบสัปดาห์ 28 ก.ค.-3 ส.ค.2556  (อ่าน 887 ครั้ง)

story

  • Staff
  • Hero Member
  • ****
  • กระทู้: 9763
    • ดูรายละเอียด
1. “ในหลวง-พระราชินี” เสด็จฯ ประทับวังไกลกังวล หลังประทับรักษาพระอาการประชวรใน รพ.ศิริราชเกือบ 4 ปี - พสกนิกรปลื้มปีติ!
       
       เมื่อวันที่ 1 ส.ค. เวลา 16.25น. พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว และสมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถ ได้เสด็จฯ ลงจากชั้น 16 อาคารเฉลิมพระเกียรติโรงพยาบาลศิริราช เพื่อเสด็จฯ ไปประทับ ณ พระตำหนักเปี่ยมสุข วังไกลกังวล จ.ประจวบคีรีขันธ์ โดยมีประชาชนที่ทราบข่าวมารอเฝ้ารับเสด็จอย่างเนืองแน่น พร้อมโบกธงชาติ ธงตราสัญลักษณ์ ภปร.และ สก. และเปล่งเสียงทรงพระเจริญดังกึกก้องไปทั่วบริเวณ ขณะที่ทั้งสองพระองค์ทรงโบกพระหัตถ์และแย้มพระสรวลให้แก่พสกนิกรที่มาเฝ้าฯ รับเสด็จ ยังความปลาบปลื้มแก่พสกนิกรเป็นอันมาก บางคนถึงกับกลั้นน้ำตาไว้ไม่อยู่
       
       ทั้งนี้ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว และสมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถ เสด็จพระราชดำเนินโดยรถยนต์พระที่นั่งจากโรงพยาบาลศิริราชถึงวังไกลกังวลในเวลา 18.49 น. โดยตลอดเส้นทางถนนเพชรเกษมจนถึงหน้าวังไกลกังวล มีพสกนิกรจำนวนมากเฝ้ารับเสด็จ นับเป็นวันแห่งความปลื้มปีติของพสกนิกรเป็นอย่างยิ่งที่ได้เห็นทั้งสองพระองค์ทรงมีพระพลานามัยแข็งแรง จนสามารถเสด็จพระราชดำเนินไปยังวังไกลกังวลได้ รวมระยะเวลาที่พระองค์ประทับรักษาพระวรกาย ณ โรงพยาบาลศิริราช เป็นเวลา 3 ปี 10 เดือนเศษ
       
       ด้าน ศ.คลินิก นพ.อุดม คชินทร คณบดีคณะแพทยศาสตร์ ศิริราชพยาบาล มหาวิทยาลัยมหิดล แถลงถึงพระอาการของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว และสมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถว่า อยู่ในช่วงที่มีพระพลานามัยดี ทำให้มีพระราชดำริที่จะเสด็จฯ ไปประทับที่วังไกลกังวล เพื่อเป็นการเปลี่ยนพระอิริยาบถ ถือเป็นการเสด็จฯ ไปประทับชั่วคราว แต่ไม่สามารถบอกได้ว่าพระองค์จะประทับที่วังไกลกังวลกี่วัน ยังไม่ได้มีรับสั่งตรงนี้ อย่างไรก็ตามถือว่าพระองค์ยังเป็นคนไข้อยู่ คณะแพทย์ที่ถวายการดูแลอยู่ในปัจจุบันได้ตามไปถวายการดูแลที่วังไกลกังวลด้วย “เราก็ไปเตรียมโรงพยาบาลที่หัวหินด้วย ในกรณีฉุกเฉินอาจต้องเข้าโรงพยาบาลที่หัวหินก่อนเบื้องต้นก่อนที่จะกลับมาศิริราช ในเรื่องของความพร้อมเราคิดว่าพร้อมเต็มที่ แพทย์พยาบาลก็ได้จัดไปอยู่เวรที่หัวหินเหมือนกับเวรที่ศิริราชเลย ไม่ได้ลดจำนวนลงเลย ถือว่าเป็นการถวายความปลอดภัยในแง่สุขภาพสูงสุด อันนี้ก็ได้กราบบังคมทูลไปว่าให้ทรงสบายพระราชหฤทัยว่าต่อไปนี้เหมือนมีสองบ้าน หนึ่งคือบ้านศิริราช สองบ้านที่วังไกลกังวล”
       
       ด้าน พล.ร.อ.สุรศักดิ์ หรุ่นเริงรมย์ ผู้บัญชาการทหารเรือ ได้สั่งให้มีการจัดหมู่เรือรักษาการณ์วังไกลกังวลขึ้น เพื่อถวายความปลอดภัยพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวและสมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถ ระหว่างประทับ ณ วังไกลกังวล โดยมี พล.ร.ต.สมชาย ณ บางช้าง ผู้บัญชาการกองเรือฟรีเกต ที่ 1 เป็นผู้บัญชาการหมู่เรือ ซึ่งหมู่เรือรักษาการณ์ฯ ได้มีการยิงสลุตหลวงเพื่อเป็นการเฉลิมพระเกียรติตามประเพณีด้วย
       
       
       2. รบ. งัด กม.มั่นคงฯ คุมม็อบ 10 วัน ด้าน “สุเทพ” ลั่นพร้อมนำม็อบ หากค้านนิรโทษฯ แพ้ในสภา 3 วาระ ขณะที่ “สนธิ” เชียร์ ปชป.ลาออกทันที เชื่อชนะแน่!

ความคืบหน้ากรณี “แนวร่วมกองทัพประชาชนโค่นระบอบทักษิณ” ภายใต้การนำขององค์การพิทักษ์สยาม(อพส.) ได้นัดชุมนุมวันที่ 4 ส.ค.เพื่อโค่นล้มระบอบทักษิณและคัดค้านกรณีที่สภาฯ จะพิจารณาร่าง พ.ร.บ.นิรโทษกรรมแก่ผู้กระทำผิดเนื่องจากการชุมนุมทางการเมือง การแสดงออกทางการเมือง ฉบับนายวรชัย เหมะ ส.ส.สมุทรปราการ พรรคเพื่อไทย เป็นวาระแรกในวันที่ 7 ส.ค. ปรากฏว่า ยังไม่ทันที่การชุมนุมจะเริ่มขึ้น ทางคณะรัฐมนตรีชุดเล็กที่มีนายนิวัฒน์ธำรง บุญทรงไพศาล รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ เป็นประธานแทน น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร นายกรัฐมนตรี ก็ได้มีมติเมื่อวันที่ 31 ก.ค.ให้ประกาศใช้ พ.ร.บ.การรักษาความมั่นคงภายในราชอาณาจักร พ.ศ.2551 ในพื้นที่ 3 เขต ประกอบด้วย เขตดุสิต เขตพระนคร และเขตป้อมปราบศัตรูพ่าย โดยให้มีผลบังคับตั้งแต่วันที่ 1-10 ส.ค.โดยอ้างว่า เพื่อป้องกันเหตุไม่สงบที่อาจจะเกิดขึ้น พร้อมมอบหมายให้ พล.ต.อ.อดุลย์ แสงสิงแก้ว ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ เป็นผู้อำนวยการศูนย์รักษาความสงบเรียบร้อย(ศอ.รส.)
       
       ซึ่งต่อมา พล.ต.อ.อดุลย์ ได้ออกประกาศ 3 ฉบับ เพื่อรับมือม็อบ โดยอ้างว่าฝ่ายความมั่นคงประเมินว่า การชุมนุมจะก่อให้เกิดความวุ่นวาย จึงต้องออกประกาศห้ามบุคคลใดเข้าหรือออกจากพื้นที่ที่กำหนด เช่น ทำเนียบรัฐบาล และรัฐสภา ,ห้ามบุคคลใดเข้าหรือออกจากพื้นที่ 12 เส้นทางโดยรอบทำเนียบรัฐบาลและรัฐสภา
       
       ส่วนมาตรการคุมม็อบนั้น พล.ต.อ.วรพงษ์ ชิวปรีชา รองผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ ในฐานะเลขาธิการ ศอ.รส. ยืนยันว่า จะยึดหลักสากล แต่ยอมรับว่า หลักสากลอาจขัดกับความรู้สึกของประชาชน “ตามลำดับสากลที่เป็นขั้นบันไดนั้น เป็นลำดับความรุนแรงของการใช้กำลัง เช่น การใช้แก๊สน้ำตา จะเบากว่าการใช้โล่กระบอง หรือการใช้แก๊สน้ำตาเบากว่าการฉีดน้ำ ตรงนี้อาจขัดกับความรู้สึกของประชาชน แต่ขอเรียนว่า การใช้แก๊สน้ำตาจะส่งผลเพียงแค่แสบตา ผ่านไปประมาณ 10 นาทีก็เป็นปกติ แต่การใช้โล่กระบอง อาจทำให้บวมและช้ำเป็นสัปดาห์”
       
       ด้านกองทัพประชาชนโค่นระบอบทักษิณ นำโดยนายพิเชษฐ์ พัฒนโชติ ได้เข้ายื่นหนังสือต่อผู้ตรวจการแผ่นดิน เพื่อขอให้ตรวจสอบกรณีที่รัฐบาลประกาศใช้ พ.ร.บ.ความมั่นคงฯ ใน 3 เขตดังกล่าว ระหว่างวันที่ 1-10 ส.ค. เนื่องจากไม่ชอบด้วยกฎหมาย และมีเจตนาข่มขู่ สกัดกั้นไม่ให้ประชาชนมาร่วมชุมนุม ทั้งที่การชุมนุมของกองทัพประชาชนฯ เป็นการชุมนุมโดยสงบปราศจากอาวุธ ซึ่งเป็นสิทธิตามรัฐธรรมนูญ
       
       ทั้งนี้ หลังจากกองทัพประชาชนฯ ไม่สามารถชุมนุมที่สนามม้านางเลิ้งได้ เพราะอยู่ในพื้นที่ควบคุมตามประกาศ พ.ร.บ.ความมั่นคงฯ จึงได้เปลี่ยนมาเป็นที่สวนลุมพินีแทน โดยการชุมนุมจะเริ่มตั้งแต่เวลา 15.00น.เป็นต้นไป นายไทกร พลสุวรรณ เสนาธิการร่วมกองทัพประชาชนฯ แถลง(3 ส.ค.)ว่า การชุมนุมครั้งนี้เป้าหมายเพื่อโค่นล้มระบอบทักษิณ และจะเป็นการชุมนุมโดยสงบ คำนึงถึงความปลอดภัยของประชาชนเป็นหลัก และพร้อมเปิดกว้างสำหรับทุกกลุ่มที่จะมาร่วมชุมนุม ส่วนการชุมนุมจะยืดเยื้อหรือไม่ ขึ้นอยู่กับสถานการณ์ และหากเกิดความรุนแรงขึ้น แสดงว่ามาจากรัฐบาลและมือที่สาม
       
       เป็นที่น่าสังเกตว่า การประชุมสภาฯ ในวันที่ 7 ส.ค. ที่จะมีการพิจารณาร่าง พ.ร.บ.นิรโทษฯ ฉบับนายวรชัย ส่อว่าจะไม่โปร่งใส เพราะจะไม่มีการถ่ายทอดสดทางสถานีโทรทัศน์ช่อง 11 แต่อย่างใด โดยนายอำนวย คลังผา ส.ส.ลพบุรี พรรคเพื่อไทย ในฐานะประธานคณะกรรมการประสานงานพรรคร่วมรัฐบาล(วิปรัฐบาล) เผยหลังประชุมวิปรัฐบาลเมื่อวันที่ 31 ก.ค.ว่า การประชุมสภาฯ ในวันที่ 7 ส.ค. จะเริ่มขึ้นในเวลา 13.00น. จากนั้นจะให้อภิปรายร่าง พ.ร.บ.นิรโทษฯ ฉบับนายวรชัยไปจนถึงเวลา 23.00น. ก่อนลงมติว่าจะรับหลักการหรือไม่ และจะปิดประชุมในเวลา 24.00น. โดยจะไม่มีการถ่ายทอดสดการประชุมในวันดังกล่าว ขณะที่ ส.ส.พรรคเพื่อไทย ได้ประชุมและมีมติว่า การประชุมสภาฯ ในวันที่ 7 ส.ค. จะมีการพิจารณาร่าง พ.ร.บ.นิรโทษฯ ฉบับนายวรชัยฉบับเดียวเท่านั้น เพื่อป้องกันความสับสน
       
       ด้านนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ ได้ออกมาแนะรัฐบาลว่า หากต้องการป้องกันเหตุวุ่นวาย ทำได้ไม่ยาก แค่รัฐบาลถอนร่างกฎหมายนิรโทษฯ ออกจากสภาฯ แล้วมาพูดคุยกันว่าจะมีทางออกอย่างไร หาก น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม มีความจริงใจก็ประกาศให้ชัด เปิดเวทีตั้งโต๊ะคุยกัน จะทำให้ได้กฎหมายที่ทุกฝ่ายยอมรับ
       
       ขณะที่นายสุเทพ เทือกสุบรรณ ส.ส.สุราษฎร์ธานี พรรคประชาธิปัตย์ ได้ปราศรัยบนเวทีประชาชน เดินหน้าผ่าความจริงฯ ที่พรรคฯ จัดขึ้นเมื่อวันที่ 31 ก.ค. ว่า ส.ส.ของพรรคจะคัดค้านร่าง พ.ร.บ.นิรโทษฯ ด้วยการสู้ในสภาฯ แต่ถ้าสู้จนวาระ 3 แล้วยังแพ้อีก ขอให้ประชาชนเป่านกหวีดยาวได้ พร้อมจะออกมายืนกับประชาชน แต่ระหว่างนี้ ขอให้ประชาชนมาร่วมกันต่อสู้ทุกวัน และเพิ่มจำนวนขึ้นเรื่อยๆ “ขอเรียกร้องให้ประชาชนลุกฮือต่อต้านรัฐบาล หากเราแพ้ในสภาวาระ 3 ถึงวันนั้นไม่ว่าจะเป็นทหาร ตำรวจ ต้องมายืนข้างประชาชน”
       
       ด้านนายพร้อมพงศ์ นพฤทธิ์ โฆษกพรรคเพื่อไทย ชี้ว่า พรรคประชาธิปัตย์(ปชป.) ไม่ควรเล่นการเมืองข้างถนน และว่า หากพรรครวบรวมหลักฐานเรียบร้อยเมื่อไหร่ จะยื่นคำร้องต่อคณะกรรมการการเลือกตั้ง(กกต.) เพื่อขอให้ยุบพรรคประชาธิปัตย์ เพราะการปลุกระดมของ ปชป.เป็นการล้มล้างการปกครองระบอบประชาธิปไตย และอาจเข้าข่ายผิดตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 68
       
       ขณะที่นายอภิสิทธิ์ ได้ออกมายืนยันว่า พรรคไม่ได้ทำอะไรผิดกฎหมาย “การเคลื่อนไหวของเรามีเป้าหมายเดียว คือการล้มกฎหมายฉบับนี้(ร่าง พ.ร.บ.นิรโทษฯ ฉบับนายวรชัย) เรายังยึดมั่นในระบบรัฐสภา แต่การเคลื่อนไหวนอกสภาก็จะปฏิบัติตามกฎหมาย ปชป.ไม่ได้ชวนคนมาเผาบ้านเผาเมือง แต่เป็นการทำตามเสรีภาพที่กำหนดไว้ในรัฐธรรมนูญ และที่ต้องทำ เพราะรัฐบาลกำลังเอาระบบรัฐสภาไปฉ้อฉล ใช้เสียงข้างมากไปทำสิ่งผิดให้เป็นถูก การเคลื่อนไหวครั้งนี้เพื่อรักษารัฐสภาไม่ให้ถูกฉ้อฉลโดยผู้มีอำนาจ”
       
       เป็นที่น่าสังเกตว่า แม้การชุมนุมจะยังไม่ได้เริ่มขึ้น แต่ก็เริ่มมีขบวนการข่มขู่เกิดขึ้น โดยเมื่อกลางดึกวันที่ 30 ก.ค. มือมืดได้ขว้างระเบิดชนิดเอฟ 1 ใส่บ้านของ พล.ร.อ.พะจุณณ์ ตามประทีป อดีตหัวหน้าสำนักงานประธานองคมนตรี ซึ่งเป็นบุคคลที่ใกล้ชิด พล.อ.เปรม ติณสูลานนท์ ประธานองคมนตรีและรัฐบุรุษ โชคดีที่ระเบิดไม่ทำงาน เพราะไม่ได้ถอดสลัก ขณะที่ พล.ร.อ.พะจุณณ์ พูดถึงระเบิดดังกล่าวว่า “ผมเชื่อว่าน่าจะเป็นฝีมือของบุคคลที่ไม่หวังดีรับงานมาให้ก่อกวนบ้านผม เพื่อสร้างสถานการณ์ให้เกิดความวุ่นวาย ส่วนจะเกี่ยวกับการที่ผมไปชุมนุมร่วมกับกลุ่ม อพส.ก็แล้วแต่จะคิด แต่วันที่ 4 ส.ค.ที่กลุ่ม อพส.จะมีการชุมนุม ในฐานะประชาชนคนไทยคนหนึ่งก็คงจะเดินทางไปร่วมชุมนุมด้วย”
       
       ส่วนท่าทีของ น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม ต่อการชุมนุมของกลุ่ม อพส.นั้น หลังเดินทางกลับจากต่างประเทศเมื่อวันที่ 2 ส.ค. น.ส.ยิ่งลักษณ์ ยอมรับว่าห่วงการชุมนุม ส่วนเรื่องร่าง พ.ร.บ.นิรโทษฯ นั้น น.ส.ยิ่งลักษณ์ บอกว่า ควรให้เป็นเรื่องของสภา ทั้งนี้ น.ส.ยิ่งลักษณ์ ได้บันทึกเทปรายการพิเศษเกี่ยวกับทางออกของประเทศไทย โดยออกอากาศทางสถานีโทรทัศน์ทุกช่องในช่วงค่ำวันที่ 2 ส.ค. ซึ่งนอกจากจะพูดถึงการประกาศใช้ พ.ร.บ.ความมั่นคงฯ แล้ว ยังได้เสนอทางออกให้กับประเทศด้วย “จะขอเชิญชวนตัวแทนจากกลุ่มบุคคลทั้งฝ่ายรัฐบาล พรรคการเมือง แนวร่วมประชาธิปไตยต่อต้านเผด็จการแห่งชาติ พันธมิตรฯ สมาชิกวุฒิสภา องค์กรอิสระ เอกชน และนักวิชาการ มาร่วมโต๊ะพูดคุย ออกแบบประชาธิปไตยของประเทศไทย เพื่อหาทางออกให้กับอนาคตของเรา... ในสัปดาห์หน้า รัฐบาลจะเชิญตัวแทนกลุ่มบุคคลที่มีส่วนเกี่ยวข้อง และมีความเห็นที่หลากหลายในมุมมองให้มาหารือร่วมกันและแลกเปลี่ยนความคิดเห็นเพื่อที่จะนำไปสู่การปฏิรูปการเมือง”
       
       ด้านนายชวนนท์ อินทรโกมาลย์สุต โฆษกพรรคประชาธิปัตย์ พูดถึงข้อเสนอของ น.ส.ยิ่งลักษณ์ว่า พรรคฯ เห็นด้วยกับการพูดคุยร่วมกัน เพราะเป็นทางออกที่ดีที่สุดในการสร้างความปรองดองให้กับประเทศ แต่นายกฯ ควรถอนร่าง พ.ร.บ.นิรโทษฯ และร่าง พ.ร.บ.ปรองดองทั้ง 4 ฉบับออกจากสภาก่อน เนื่องจากเป็นร่างกฎหมายที่สร้างความแตกแยกมากกว่า
       
       ส่วนท่าทีของพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตยนั้น เมื่อวันที่ 31 ก.ค. แกนนำพันธมิตรฯ ได้ออกแถลงการณ์ยืนยันอีกครั้งว่า แม้พันธมิตรฯ จะคัดค้านการออกกฎหมายนิรโทษกรรมทุกฉบับที่จะเข้าสภา และเห็นว่า ส.ส.ที่เกี่ยวข้องควรถอนร่างกฎหมายนิรโทษฯ ออกจากสภาเสีย เพื่อให้ทุกฝ่ายได้พิสูจน์ตัวเองและเข้าสู่กระบวนยุติธรรมอย่างเท่าเทียม และรักษาไว้ซึ่งหลักนิติรัฐ แต่แกนนำพันธมิตรฯ มีมติเอกฉันท์ยังไม่เคลื่อนไหวด้วยการชุมนุมในเวลานี้ เนื่องจากอาจขัดเงื่อนไขการประกันตัวในคดีที่พันธมิตรฯ ถูกกลั่นแกล้งโดยยัดเยียดข้อหาร้ายแรงอันเป็นเท็จในสมัยรัฐบาลพรรคประชาธิปัตย์ ที่ต้องการสร้างพันธนาการให้กับการเคลื่อนไหวของพันธมิตรฯ ประกอบกับพันธมิตรฯ เห็นว่า สถานการณ์ปัจจุบัน นักการเมืองยังคงต่อสู้เพื่อช่วงชิงขั้วอำนาจและเพื่อผลประโยชน์ให้กับตัวเองและพวกพ้องทั้งสิ้น โดยปราศจากทิศทางในการปฏิรูปเปลี่ยนแปลงประเทศเพื่อผลประโยชน์ของประชาชนอย่างแท้จริง
       
       ด้านนายสนธิ ลิ้มทองกุล แกนนำพันธมิตรฯ พูดผ่านรายการ “คุยทุกเรื่องกับสนธิ” ทาง ASTV ถึงกรณีที่นายสุเทพ เทือกสุบรรณ ส.ส.สุราษฎร์ธานี พรรคประชาธิปัตย์ ประกาศพร้อมนำมวลชนต่อต้าน พ.ร.บ.นิรโทษฯ หากผ่านสภาวาระ 3 ว่า อยากให้นายอภิสิทธิ์ นายสุเทพ และทุกคนในพรรคประชาธิปัตย์ ลาออกจาก ส.ส.ทั้งหมด และมาร่วมต่อสู้กับประชาชน ไม่ใช่รอให้ร่าง พ.ร.บ.นิรโทษฯ ผ่านวาระ 3 เพราะรู้อยู่แล้วว่าสู้อย่างไรก็แพ้ 3 วาระ “คนเราถ้าจะทำอะไร ถ้ารู้ว่าสู้ในสภาฯ อย่างไรก็แพ้ 3 วาระ แล้วคุณจะสู้ไปทำไม ต้องหาวิธีสู้ใหม่ใช่ไหม วิธีสู้ใหม่สู้อย่างไร 2 ทาง นิ่งเฉยไปเลย หรือว่าลาออก ลาออกจาก ส.ส.เลย แล้วมาสู้กับภาคประชาชน นั่นคือวิธีที่ปลาเอาตัวรอดจากการว่ายทวนน้ำ ไดโนเสาร์ทำไมตาย เพราะว่ามันไม่สามารถเปลี่ยนแปลงตัวเองตามกาลเวลาได้ มันถึงตาย ถึงสูญพันธุ์ไง ประชาธิปัตย์กำลังจะเป็นไดโนเสาร์นะ เหมือนกับเรายืนอยู่ พอรถไฟออก เรายังอยู่ที่เก่า รถไฟไปแล้ว ตามไม่ทัน วิธีคือเราต้องกระโดดเกาะรถไฟไปด้วย..”
       
       นายสนธิ ยังบอกด้วยว่า หาก ส.ส.พรรคประชาธิปัตย์ลาออกมาร่วมต่อสู้กับภาคประชาชน พันธมิตรฯ พร้อมให้คำปรึกษา ทั้งการดูแลความปลอดภัย การถ่ายทอดสด 24 ชั่วโมง และว่า ประชาธิปัตย์จะกลัวอะไร มีตั้ง 12 ล้านเสียง ออกมาแค่ 10% แค่ 1.2 ล้านคน ก็เต็มถนนแล้ว ทำไมประชาธิปัตย์ไม่ทำ ที่ไม่ทำเพราะรอให้พันธมิตรฯ ออก แล้วพรรคประชาธิปัตย์จะคอยตีกินใช่หรือไม่
       
       3. “ทักษิณ” อ้าง เห็นคลิปขู่ฆ่าแล้วขำ พร้อมชี้พิรุธ 4 จุด ยัน อัลกออิดะห์ปลอม ด้านผู้บริหารวอลโว่ ปัดไม่ใช่มือโพสต์คลิป!

       จากกรณีที่มีผู้โพสต์คลิปวิดีโอผ่านเว็บไซต์ยูทูบอ้างว่าเป็นกลุ่มอัลกออิดะห์ มีเนื้อหาขู่ฆ่า พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร เพื่อล้างแค้นให้กับชาวมุสลิมที่ถูกสังหารในภาคใต้ของไทย โดยเฉพาะจากกรณีเหตุการณ์ที่มัสยิดกรือเซะ โดยคลิปดังกล่าวถูกโพสต์เมื่อวันที่ 26 ก.ค. ซึ่งตรงกับวันคล้ายวันเกิด พ.ต.ท.ทักษิณพอดี ปรากฏว่า หลังคลิปดังกล่าวถูกเผยแพร่ แกนนำพรรคเพื่อไทยต่างออกมาปฏิเสธเป็นการใหญ่ ว่าไม่ใช่ฝีมือกลุ่มอัลกออิดะห์ แต่เป็นเพียงการสร้างสถานการณ์ โดย พล.ต.อ.ประชา พรหมนอก รองนายกรัฐมนตรีฝ่ายความมั่นคง บอกว่า คลิปดังกล่าวเป็นเพียงโจ๊กการเมืองเพื่อให้รัฐบาลเสียสมาธิ และว่า จากการตรวจสอบทราบแล้วว่าเป็นฝีมือของกลุ่มใด แต่ไม่อยากเปิดเผย
       
       ขณะที่ พล.ท.ภราดร พัฒนถาบุตร เลขาธิการสภาความมั่นคงแห่งชาติ(สมช.) ก็อ้างว่า คลิปดังกล่าวเป็นการจัดฉากของกลุ่มที่อยู่ตรงข้ามกับ พ.ต.ท.ทักษิณ โดยการเผยแพร่ออกมาจากต่างประเทศ แต่ไม่สามารถเข้าไปตรวจสอบได้
       
       ด้าน พล.ต.ต.พิสิษฐ์ เปาอินทร์ ผู้บังคับการกองบังคับการปราบปรามการกระทำความผิดเกี่ยวกับอาชญากรรมทางเทคโนโลยี บอกว่า คลิปดังกล่าวน่าจะไม่มีการตัดต่อ และพบว่าเป็นคลิปที่สร้างมาจากตะวันออกกลาง อยู่ระหว่างตรวจสอบว่าเป็นกลุ่มไหน โดยจะประสานหน่วยงานความมั่นคงของสหรัฐอเมริกาที่มีข้อมูลอยู่
       
       เป็นที่น่าสังเกตว่า หลังคลิปขู่ฆ่าดังกล่าวถูกตีแผ่ออกมา ปรากฏว่า พ.ต.ท.ทักษิณ ซึ่งอยู่ระหว่างร่วมงานเลี้ยงวันเกิดกับ ส.ส.พรรคเพื่อไทยที่เดินทางไปอวยพรที่ฮ่องกง ได้รีบขอตัวกลับทันที โดยบอกกับ ส.ส.ว่า “ขออนุญาตกลับก่อน วันนี้เหนื่อยมากแล้ว ขอกลับไปพัก” จากนั้นมีรายงานว่า พ.ต.ท.ทักษิณได้เดินทางออกจากฮ่องกง คาดว่าเดินทางกลับเมืองดูไบ ประเทศสหรัฐอาหรับเอมิเรตส์
       
       กระทั่งหลายวันให้หลัง พ.ต.ท.ทักษิณ จึงได้โพสต์ข้อความผ่านเฟซบุ๊กเมื่อวันที่ 31 ก.ค. โดยยืนยันว่า ตนเห็นคลิปขู่ฆ่าที่อ้างว่าเป็นกลุ่มอัลกออิดะห์แล้วรู้สึกขำ พร้อมชี้ว่า บุคคลในคลิปไม่ใช่อัลกออิดะห์จริง “ผมขอบอกวิธีดูให้ 3-4 จุด 1.เวลาเป็นอัลกออิดะห์แท้ เขาจะไม่เปิดหน้า เขากลัวถูกตามฆ่า 2.อัลกออิดะห์ไม่ใส่นาฬิกาสีทอง 3.สำเนียงพูดจะเป็นเสียงมุสลิมปากีสถาน เพราะผมมีเพื่อนเป็นปากีสถานหลายคนและอยู่ดินแดนมุสลิม 4.อัลกออิดะห์ไม่ให้ความสนใจเข้ามายุ่งเรื่อง 3 จังหวัดชายแดนใต้”
       
       ด้านบริษัท วอลโว่กรุ๊ป (ประเทศไทย) จำกัด ได้ออกจดหมายชี้แจงกรณีมีชื่อนายมันโซร์ อาเหม็ด(mansoor ahmed) ผู้บริหารระดับสูงของวอลโว่กรุ๊ปเป็นผู้โพสต์คลิปขู่ฆ่า พ.ต.ท.ทักษิณ โดยยืนยันว่า นายมันโซร์ อาเหม็ด ไม่เกี่ยวข้องกับคลิปดังกล่าว และในวันที่มีการเผยแพร่คลิป นายมันโซร์ อาเหม็ด อยู่ระหว่างพิธีศพของบิดาที่ประเทศอินเดีย
       
       4. เกิดเหตุท่อน้ำมันดิบ ปตท.รั่วลงทะเลทะลักอ่าวพร้าว เกาะเสม็ด ด้านผู้ว่าฯ ระยองประกาศภัยพิบัติ สะพัด น้ำมันรั่วมากถึง 2.5 แสนลิตร ไม่ใช่ 5 หมื่นลิตร!

       เมื่อช่วงเช้าวันที่ 27 ก.ค. ได้เกิดเหตุท่อรับน้ำมันดิบของบริษัท พีทีที โกลบอล เคมิคอล จำกัด(มหาชน) หรือพีทีทีจีซี รั่วลงทะเล ระหว่างที่เรือบรรทุกน้ำมันดิบกำลังถ่ายน้ำมันผ่านทุ่นรับน้ำมันดิบมายังโรงกลั่น โดยเหตุเกิดห่างจากชายฝั่งท่าเรือนิคมอุตสาหกรรมมาบตาพุด จ.ระยอง ประมาณ 18 กิโลเมตร ส่งผลให้น้ำมันดิบรั่วไหลลงทะเลประมาณ 50 ตัน หรือประมาณ 50,000 ลิตร ต่อมาเจ้าหน้าที่บริษัท พีทีทีจีซี ได้ปิดวาล์วหยุดการส่งน้ำมัน พร้อมใช้เรือฉีดพ่นยาขจัดคราบน้ำมันที่ลอยกลางทะเล ขณะที่กองทัพเรือได้ช่วยวางบูมเพื่อจำกัดวงการแพร่กระจายของคราบน้ำมัน แต่ก็ยังมีน้ำมันจำนวนมากลอยเข้าฝั่งบริเวณอ่าวพร้าวของเกาะเสม็ด ส่งผลกระทบต่อชาวบ้านและผู้ประกอบการท่องเที่ยวในพื้นที่ เนื่องจากนักท่องเที่ยวแห่เช็กเอาต์ ขณะที่บางส่วนยกเลิกทัวร์และที่พัก ด้านสำนักข่าวต่างประเทศ ต่างรายงานข่าวเหตุการณ์น้ำมันรั่วจนส่งผลกระทบต่ออ่าวพร้าว แหล่งท่องเที่ยวชื่อดังของไทยจนเป็นข่าวดังไปทั่วโลก
       
        เหตุการณ์ที่เกิดขึ้น ส่งผลให้นายวิชิต ชาตไพสิฐ ผู้ว่าราชการจังหวัดระยอง ต้องประกาศให้อ่าวพร้าวเป็นพื้นที่ภัยพิบัติทางทะเล ก่อนที่หลายฝ่ายจะมาช่วยกันเก็บคราบน้ำมัน ด้านนายพงษ์ศักดิ์ รักตพงศ์ไพศาล รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน ได้สั่งตั้งคณะกรรมการสอบสวนเหตุการณ์น้ำมันรั่วครั้งนี้ “ผมมอบหมายให้นายประเสริฐ บุญสัมพันธ์ ประธานกรรมการพีทีทีจีซี เป็นประธานคณะกรรมการสอบสวนข้อเท็จจริง... ทราบว่าเคยเกิดขึ้นมาแล้ว 3 ครั้ง ครั้งนี้เป็นครั้งที่ 4 แต่ครั้งนี้ปริมาณการรั่วไหลมากกว่าที่ผ่านมา”
       
        ด้านนายประเสริฐ ได้แสดงความเสียใจต่อเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น พร้อมยืนยัน จะสอบสวนหาสาเหตุและรายงานผลตรวจเบื้องต้นต่อรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงานภายใน 1 สัปดาห์ พร้อมเชื่อว่า จะควบคุมสถานการณ์น้ำมันดิบที่กระจายอยู่ในทะเลได้ 100% ภายใน 3 วัน และว่า บริษัท พีทีทีจีซีพร้อมเยียวยาและชดเชยความเสียหายแก่ผู้ได้รับผลกระทบ โดยบริษัทได้ทำประกันภัยไว้วงเงิน 50 ล้านเหรียญสหรัฐ หรือ 1,500 ล้านบาท
       
        ทั้งนี้ หลายฝ่ายข้องใจว่า ปริมาณน้ำมันดิบที่รั่วลงทะเลครั้งนี้น่าจะมากกว่า 50,000 ลิตร โดยอาจจะถึง 250,000 ลิตร ทำให้การแก้ไขและทำลายคราบน้ำมันเป็นไปด้วยความล่าช้า โดยมีรายงานว่า บริษัท พีทีทีจีซีแจ้งกรมควบคุมมลพิษขออนุญาตนำเข้าสารละลายเพื่อทำลายคราบน้ำมันจำนวน 25,000 ลิตร แต่อธิบดีกรมควบคุมมลพิษเซ็นอนุญาตแค่ 5,000 ลิตร เนื่องจากเห็นว่าหากน้ำมันรั่ว 50,000 ลิตร ใช้สารละลายฯ แค่ 5,000 ลิตรก็เพียงพอแล้ว เพราะปกติการใช้สารตัวนี้ จะใช้ในสัดส่วน 1 : 10 การที่พีทีทีจีซี ขอนำเข้าถึง 25,000 ลิตร แสดงว่าน้ำมันอาจรั่วมากถึง 250,000 ลิตร
       
       เป็นที่น่าสังเกตว่า หลังใช้เวลาเก็บคราบน้ำมันบริเวณอ่าวพร้าวนานเป็นสัปดาห์ สถานการณ์จึงเริ่มคลี่คลาย โดยนายบวร วงศ์สินอุดม ประธานกรรมการผู้จัดการใหญ่ พีทีทีจีซี ได้ออกมายืนยันเมื่อวันที่ 3 ส.ค.ว่า “คราบน้ำมันที่ปนเปื้อนในน้ำ ขณะนี้เจ้าหน้าที่สามารถขจัดออกได้ทั้งหมดแล้ว เหลือเพียงคราบน้ำมันดิบบนชายหาดอ่าวพร้าว และโขดหินที่ต้องใช้กระดาษซับ และน้ำแรงดันสูงฉีด จะขอความร่วมมือจิตอาสามาร่วมทำความสะอาดครั้งใหญ่หรือบิ๊กคลีนนิ่งเดย์ในวันที่ 5 ส.ค. เชื่อว่าจะขจัดคราบน้ำมันดิบทั้งหมดแล้วเสร็จในสัปดาห์หน้า”
       
       ส่วนการชดเชยเยียวยาผู้ได้รับผลกระทบจากเหตุน้ำมันรั่วครั้งนี้ ทาง ปตท.จะส่งเจ้าหน้าที่ออกสำรวจว่ามีผู้ได้รับผลกระทบกี่ราย โดยเบื้องต้นยังไม่ได้ตั้งวงเงินไว้ ส่วนผลกระทบทางธรรมชาติ จะให้ผู้เชี่ยวชาญมาตรวจสอบต่อไป
       
       เป็นที่น่าสังเกตว่า หลังเกิดเหตุน้ำมันดิบของพีทีทีจีซี ในเครือ ปตท.รั่วลงทะเล จนส่งผลกระทบต่ออ่าวพร้าวครั้งนี้ ปรากฏว่า มีผู้ที่เคยได้รับรางวัลลูกโลกสีเขียวจำนวน 9 ราย นำรางวัลไปคืน ปตท. ซึ่งเป็นผู้สนับสนุนรางวัลดังกล่าว เช่น นพ.รังสฤษฎ์ กาญจนะวณิชย์ อาจารย์คณะแพทยศาสตร์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ โดยให้เหตุผลที่คืนรางวัลครั้งนี้ว่า เพราะ ปตท.ไม่ได้เปิดเผยข้อมูลข้อเท็จจริงเกี่ยวกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นอย่างโปร่งใส และยังขาดแผนการแก้ไขอย่างชัดเจน ทั้งนี้ นอกจาก นพ.รังสฤษฎ์ จะคืนรางวัลให้ ปตท.แล้ว ยังคืนเงินรางวัลด้วยจำนวน 100,000 บาท ขณะที่ผู้บริหาร ปตท.อ้างว่า รางวัลดังกล่าวไม่ได้เป็นของ ปตท. แต่เป็นของสถาบันลูกโลกสีเขียว ดังนั้นจะนำรางวัลดังกล่าวไปคืนกับทางสถาบันฯ

ASTVผู้จัดการออนไลน์    4 สิงหาคม 2556