แสดงกระทู้

This section allows you to view all posts made by this member. Note that you can only see posts made in areas you currently have access to.


Messages - story

หน้า: 1 ... 435 436 [437] 438 439 ... 651
6541
ทำอย่างไร เมื่อยางระเบิดขณะขับรถ

1. มือทั้งสองต้องจับอยู่ที่พวงมาลัยอย่างมั่นคง

2. ถอนคันเร่งออก

3. ควบคุมสติให้ดีอย่าตกใจมองกระจกหลังเพื่อให้ทราบว่ามีรถใดตามมาบ้าง

4. แตะเบรกอย่างแผ่วเบาและถี่ๆ อย่าแตะแรงเป็นอันขาด เพราะว่า จะทำให้รถหมุน

5. ห้ามเหยียบคลัตช์โดยเด็ดขาดเพราะถ้าเหยียบคลัตช์รถจะไม่เกาะถนนรถจะลอยตัวและจะทำให้บังคับรถได้ยากยิ่งขึ้น อาจเสียหลักเพราะการเหยียบคลัตช์เป็นการตัดแรงบิดของเครื่องยนต์ ให้ขาดจากเพลา

6. ห้ามดึงเบรกมืออย่างเด็ดขาด จะทำให้รถหมุน

7. เมื่อความเร็วรถลดลงพอประมาณแล้วให้ยกเลี้ยวสัญญาณเข้าข้างทางซ้ายมือ

8. เมื่อความเร็วลดลงระดับควบคุมได้ ให้เปลี่ยนเกียร์ต่ำลงและหยุดรถ

ข้อสังเกตเมื่อยางระเบิด คือ ไม่ว่ายางด้านใดจะระเบิดล้อหน้าหรือล้อหลังก็ตาม เมื่อระเบิดด้านซ้าย รถก็จะแฉลบไปด้านซ้ายก่อน แล้วก็จะสะบัดกลับ และสะบัดไปด้านซ้ายอีกที สลับกันไปมา และในทำนอง ตรงกันข้าม หากระเบิดด้านขวาอาการก็จะ กลับเป็นตรงกันข้ามอุบัติเหตุร้ายแรงที่เกิดขึ้นส่วนมากก็คือ หากขณะยางระเบิดรถวิ่งอยู่ที่ความเร็วสูงมากๆ พอยางระเบิด ขึ้นมารถก็จะกลิ้งทันที ทำอะไรไม่ได้ ดังนั้นการขับรถที่ใช้ความเร็วสูงๆจึงมักจะแก้ไขอะไรในเรื่องนี้ไม่ได้ เพื่อเป็นการป้องกันอุบัติเหตุร้ายแ รงที่จะเกิดขึ้น ในขณะขับรถ จึงไม่ควรขับรถเร็ว ( ความเร็วทีถือว่าปลอดภัยใน DEFENSIVE DRIVING คือ ความเร็วไม่เกิน 100 กิโลเมตร ต่อชั่วโมง)

http://www.prakanthai.com

6544
นายกสมาคมนักข่าวนักหนังสือพิมพ์แห่งประเทศไทย ร่วมลงนามบันทึกข้อตกลงกับ รพ.พญาไท 3 รักษาพยาบาลสมาชิกฟรี 1,500 บาท ปีละ 6 ครั้ง...

เมื่อวันที่ 5 ต.ค. มีรายงานว่า ที่ รพ.พญาไท 3 ถนนเพชรเกษม กทม. นายประดิษฐ์ เรืองดิษฐ์ นายกสมาคมนักข่าวนักหนังสือพิมพ์แห่งประเทศไทย และ นพ.สุรพล โล่ห์สิริวัฒน์ ผู้อำนวยการ รพ.พญาไท 3 ร่วมลงนามบันทึกข้อตกลงโครงการสวัสดิการรักษาพยาบาลของสมาคมนักข่าวนักหนังสือพิมพ์แห่งประเทศไทย ร่วมกับ รพ.พญาไท 3 เพื่อสมาชิกสมาคมนักข่าวฯ ได้รับสิทธิพิเศษบริการรักษาพยาบาลจากโรงพยาบาล ผู้ป่วยนอกและผู้ป่วยใน

รวมทั้งบริการด้านทันตกรรม ในวงเงินไม่เกิน 150,000 บาทต่อปี โดยสมาชิกสมาคมนักข่าวฯ นำบัตรประชาชนและใบส่งตัวจากสมาคมนักข่าวฯ ไปใช้บริการรักษาพยาบาลที่ รพ.พญาไท 3 ฟรี 1,500 บาท/ครั้ง ได้ 6 ครั้ง/ปี

ทั้งนี้ นายประดิษฐ์ กล่าวว่า การลงนามครั้งนี้ จะผลตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไปจนถึงวันที่ 30 ก.ย. 2557 และถือเป็นก้าวแรกของสมาคมนักข่าวฯ ในการดูแลสวัสดิการด้านสุขภาพเชิงรุกแก่สมาชิกของสมาคมฯ โดยก่อนหน้านี้ สมาคมฯ ก็ได้มีการลงนามในบันทึกข้อตกลงกับ รพ.เวชธานี ไปแล้ว และจะพยายามประสานกับโรงพยาบาลต่างๆ เพิ่มเติม เพื่อให้ครอบคลุมพื้นที่กรุงเทพฯ ทั้ง 4 มุมเมือง.

ไทยรัฐออนไลน์ 5 ตค 2556

6545
หลังจากเป็นที่ถกเถียงกันมาอยู่พักใหญ่ ล่าสุดนี้ก็มีข่าวออกมาแล้วว่า ทางกระทรวงยุติธรรมมีการประชุมหาข้อสรุปในการเสนอถอนพืชกระท่อมออกจากบัญชียาเสพติดให้โทษ โดยเห็นควรให้ถอนพืชกระท่อมออกจากบัญชียาเสพติดให้โทษ ประเภทที่ 5 ตาม พ.ร.บ.ยาเสพติดให้โทษ พ.ศ.2522 และให้ส่งเสริมพืชกระท่อมเป็นพืชสมุนไพร แต่ยังคงมีการบังคับใช้กฎหมายอย่างเคร่งครัดเพื่อไม่ให้นำพืชกระท่อมไปเป็นส่วนผสมของยาเสพติดในรูปแบบต่างๆ เนื่องจากกระท่อมเป็นสารที่ออกฤทธิ์ต่อจิตประสาท
       
       จากกรณีดังกล่าวนี้ส่งผลให้ “กระท่อม” เป็นที่พูดถึงอีกครั้งอย่างแพร่หลาย จากความรับรู้เดิม “กระท่อม” เป็นสิ่งเสพติด ซึ่งแม้ว่าตามกฎหมายนั้นไม่ว่าจะเสพหรือจำหน่ายก็มีโทษทั้งปรับและจำคุก แต่ก็ยังเห็นข่าวอยู่เรื่อยๆ ว่ามีการลักลอบขายใบกระท่อม
       
       ด้านสรรพคุณทางยาของกระท่อมนั้น สมัยโบราณจะใช้กระท่อมเป็นตัวยาแก้ท้องเสีย ในสูตรของหมอพื้นบ้านหรือแพทย์แผนโบราณ บางสูตรก็บอกว่าสามารถรักษาโรคเบาหวานได้ ส่วนการวิจัยทางวิทยาศาสตร์ในปัจจุบัน พบว่า สารสกัดจากใบกระท่อมนั้น สามารถนำมาใช้เพื่อการบำบัดอาการติดยาเสพติดได้ (ทั้งนี้ยังอยู่ในขั้นของการทดลอง)
       
       สำหรับ “กระท่อม” ในวิถีชีวิตของชาวบ้านในหลายพื้นที่ อาจจะเคี้ยวกินใบกระท่อมสด หรืออาจจะตากแห้งแล้วนำมาละลายน้ำดื่ม เพราะสำหรับชาวนาชาวไร่ หรือผู้ที่ต้องใช้แรงงานมากๆ เมื่อเสพกระท่อมแล้วจะทำให้หายปวดเมื่อย แข็งแรง มีพละกำลัง ทำงานได้นาน และอารมณ์ดี
       
       ทั้งนี้ “กระท่อม” เป็นสารเสพติดที่ออกฤทธิ์กระตุ้นประสาท จากผลการศึกษาปรากฏว่า หากเสพใบกระท่อมในปริมาณน้อยจะมีผลกระตุ้นประสาท แต่ถ้าเสพในปริมาณมากจะให้ผลกดประสาท และหากเสพติดต่อกันเป็นเวลานานก็จะส่งผลเสียต่อสุขภาพ
       
       สำหรับแนวคิดที่จะถอนพืชกระท่อมออกจากบัญชียาเสพติดให้โทษนั้นมาจาก นายชัยเกษม นิติสิริ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม ที่บอกว่า การเสพพืชกระท่อมเป็นวิถีชาวบ้านของประชาชนในหลายพื้นที่ที่นิยมบริโภคเพื่อกระตุ้นในการทำงาน ไม่มีผลเป็นอันตรายต่อร่างกาย รวมทั้งพืชกระท่อมมีประโยชน์ทางวิทยาศาสตร์การแพทย์หลายประการ โดยเฉพาะสามารถเป็นยาสมุนไพรรักษาโรคได้ และเห็นว่ากระท่อมน่าจะเป็นตัวเลือกอื่นที่สามารถทำให้ผู้ติดยาเสพติดเบี่ยงเบนจากการเสพยาบ้า หรือยาเสพติดที่รุนแรงกว่าได้
       
       แต่ทางด้าน นพ.บุญเรือง ไตรเรืองวรวัฒน์ อธิบดีกรมสนับสนุนบริการสุขภาพ กระทรวงสาธารณสุข ในฐานะผู้อำนวยการศูนย์อำนวยการพลังแผ่นดินเอาชนะยาเสพติด ให้ความเห็นว่า แนวคิดการถอนกระท่อมออกจากบัญชียาเสพติดให้โทษมีมากว่า 10 ปีแล้ว กระท่อมจะออกฤทธิ์ 2 อย่างคือ เป็นสารกระตุ้นเหมือนเมทแอมเฟตามีน (สารเคมีในยาบ้าและยาไอซ์) ขณะเดียวกันก็เป็นสารกดสมองเหมือนฝิ่นและเฮโรอีน นอกจากจะเสพใบกระท่อมอย่างเดียวแล้ว ในระยะหลังก็มีการนำไปผสมยาเสพติดสี่คูณร้อย แปดคูณร้อย สิบสองคูณร้อย ส่วนตัวนั้นเห็นว่าไม่สมควรที่จะถอนกระท่อมออกจากบัญชียาเสพติดให้โทษ เพราะมีกลไกการออกฤทธิ์ต่อสมองเช่นกัน และหากถอนกระท่อมออกไป ก็ไม่ได้ทำให้คนเสพยาบ้าน้อยลง แต่สุดท้ายจะทำให้มีคนเสพติดกระท่อมกันมากขึ้นด้วย
       
       จากข้อสรุปของกระทรวงยุติธรรมที่เห็นควรให้ถอนกระท่อมออกจากบัญชียาเสพติดให้โทษนั้น จะต้องมีการเสนอข้อมูลต่อไปยังกระทรวงสาธารณสุข เพื่อให้นำเข้าสู่การพิจารณาของ คณะกรรมการควบคุมยาเสพติดให้โทษ ต่อไปในอนาคต
       
       ก็ต้องรอติดตามกันต่อไปว่า “กระท่อม” จะกลายมาเป็นพืชสมุนไพรที่สามารถเสพติดกันได้อย่างเสรีหรือไม่ อย่างไร

ASTVผู้จัดการออนไลน์    3 ตุลาคม 2556

6546
นักวิชาการสถาบันการศึกษาชั้นนำหลายแห่งของประเทศลงพื้นที่ครั้งแล้วครั้งเล่าตลอดเวลาหลายเดือนมานี้และได้สรุปผลการศึกษาต่อกระทรวงทรัพยากรและสิ่งแวดล้อมระบุว่า เขื่อน 2 แห่งล่าสุดที่ถูกกระทรวงอุตสาหกรรมและการค้าล้มเลิกไปนี้กำลังจะทำลายผืนป่าล้ำค่าของประเทศกับสภาพความสมบูรณ์ทางชีวะนานาพันธุ์ที่หาได้ยากให้หมดสิ้นไปอย่างไม่สามารถสร้างขึ้นทดแทนได้ คอมมิวนิสต์เวียดนามอยู่ระหว่างดำเนินการขึ้นทะเบียนผืนป่าแห่งนี้เป็นมรดกโลก เพิ่งจะมีการเปิดเผยว่าทางการได้ล้มโครงการเขื่อนใหญ่น้อยไปแล้วกว่า 300 โครงการ เนื่องจากทำลายสภาพแวดล้อม ถึงแม้ว่าประเทศนี้จะยังผลิตไฟฟ้าได้ไม่พอใช้ก็ตาม.
       
เวียดนามซึ่งในปัจจุบันยังผลิตไฟฟ้าได้ไม่พอใช้ ได้ตัดสินใจล้มเลิกโครงการก่อสร้างเขื่อนผลิตไฟฟ้าพลังน้ำอื้อฉาวอีก 2 แห่ง ทางตอนเหนือของนครโฮจิมินห์ หลังจากผลการศึกษาผลกระทบต่อสภาพแวดล้อมชี้ชัดเขื่อนจะทำลายผืนป่าอุดมสมบูรณ์ที่สุดแห่งหนึ่งของประเทศและ ข้ออ้างที่ระบุว่า เขื่อนจะช่วยป้องกันน้ำท่วมก็ไม่เป็นความจริงแต่อย่างใด
       
       ขณะเดียวกัน เพิ่งจะมีการเปิดเผยว่า กระทรวงอุตสาหกรรมและการค้าได้ตกลงกับทางการท้องถิ่นต่างๆ จำนวน 20 ท้องถิ่นทั่วประเทศเมื่อไม่นานมานี้ ในการล้มเลิกโครงการก่อสร้างเขื่อนรวม 338 แห่ง รวมกำลังการผลิตไฟฟ้า 1,088.9 เมกะวัตต์ ในนั้นเป็นเขื่อนขนาดใหญ่ 2 แห่ง และกระทรวงฯ ยังสั่งยุติการสำรวจศึกษาเขื่อนขนาดเล็ก จำนวน 169 แห่ง รวมกำลังผลิต 362.5 เมกะวัตต์อีกด้วย
       
       กระทรวงอุตสาหกรรมและการค้าเวียดนาม ซึ่งรับผิดชอบเขื่อนผลิตไฟฟ้าทั่วประเทศได้ยืนยันในสัปดาห์นี้เกี่ยวกับการล้มเลิกโครงการเขื่อนใน จ.โด่งนาย (Dong Nai) หลังจากองค์การอนุรักษนิยมทั้งในประเทศ และในต่างประเทศ รวมทั้งองค์การยูเนสโก ต่างคัดค้านมาเป็นเวลาข้ามปี และนายกรัฐมนตรีเวียดนามเหวียนเติ๋นยวุ๋ง (Nguyen Tan Dung) สั่งการสัปดาห์ปลายเดือน ก.ย.ที่ผ่านมา ให้กระทรวงอุตสาหกรรมฯ กลับไปทบทวน
       
       รัฐบาลเวียดนามตั้งเกณฑ์มาตรฐาน จำนวน 5 ข้อ ในการพิจารณาก่อสร้างเขื่อน คือ มีอ่างเก็บน้ำที่มั่นคงปลอดภัย ทำลายป่าไม้น้อยที่สุด ส่งผลกระทบให้ต้องอพยพโยกย้ายราษฎรจำนวนน้อยที่สุด ไม่กระทบต่อความมั่นคงกับสภาพแวดล้อม และมีผลดีทางด้านเศรษฐกิจ ถ้าหากไม่เข้าเกณฑ์ครบทั้ง 5 ข้อ รัฐบาลจะไม่อนุญาตให้ดำเนินการ นอกจากจะก่อสร้างด้วยเหตุผลเพื่อความมั่นคงแห่งชาติ และยังจะต้องผ่านการอนุมัติจากรัฐสภาอีกด้วย
       
       “โครงการใดที่เข้าเกณฑ์ทั้ง 5 ข้อสามารถดำเนินการต่อไปได้เต็มกำลัง โครงการใดที่ขัดต่อเกณฑ์ก็ไม่ต้องทำ” และรัฐบาลได้มอบหมายให้กระทรวงอุตสาหกรรมฯ ไปดำเนินการตามนี้ นายหวูดึ๊กดัม (Vu Duc Dam) เลขาธิการสำนักนายกรัฐมนตรี ซึ่งเป็นตำแหน่งเทียบเท่ารัฐมนตรีว่าการให้สัมภาษณ์หนังสือพิมพ์เตื่อยแจ๋เมื่อเร็วๆ นี้
       
       สองโครงการที่ถูกล้มเลิกล่าสุด คือ เขื่อนโด่งนาย 6 กับโด่งนาย 6A ซึ่งจะสร้างกั้นแม่น้ำโด่งนาย เมื่อก่อสร้างแล้วเสร็จจะผลิตกระแสไฟฟ้าเข้าระบบรวมกันเป็นปริมาณ 929 ล้านกิโลวัตต์ชั่วโมงต่อปี โดยจำหน่ายให้แก่รัฐวิสาหกิจไฟฟ้าเวียดนาม นอกจากนั้น บริษัทเอกชนเจ้าของสัมปทานจะจ่ายเงินผลประโยชน์ให้แก่รัฐบาลปีละ 300,000 ล้านด่ง (กว่า 14,280,000 ดอลลาร์)
       
       แต่ผลการศึกษาโดยกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม ที่ดำเนินการโดยสถาบันชั้นนำหลายแห่งได้พบว่า เขื่อนโด่งนาย 6 กับโด่งนาย 6A จะทำลายผืนป่าอันอุดมอย่างถาวร จำนวน 327.23 เฮกตาร์ (2,045 ไร่เศษ) ดูเป็นจำนวนไม่มากนัก แต่ในนั้น 128.37 (802 ไร่เศษ) เป็นจุดใจกลางของเขตป่าอันอุดมของเขตสงวนพันธุ์สัตว์ป่าก๊าตเตียน (Cat Tien) ซึ่งเป็นที่อาศัยของสัตว์ป่านานาชนิด ในนั้นหลายชนิดเป็นสัตว์ป่าหายากที่อยู่ในบัญชีแดง และยังเป็นผืนป่าที่อาศัยของแรดพันธุ์ชวานอเดียวตัวสุดท้ายที่พบในเวียดนาม ก่อนถูกพรานป่ายิงตายเมื่อปี 2553 อีกด้วย
       
       เขื่อนทั้ง 2 แห่งยังจะทำลายเขตป่าชุ่มน้ำ (Ramsar) เบิ่วเซิว (Bau Sau) ที่ขนานไปกับริมน้ำตลอดระยะ 55 กม. ผลการศึกษาระบุ
       .


ผืนป่าอันอุดมสมบูรณ์แห่งเขตสงวนพันธุ์สัตว์ป่าก๊าตเตียน (Cat Tien) จ.โด่งนาย (Dong Nai) ทางตอนเหนือนครโฮจิมินห์ บริเวณที่จะก่อสร้างเขื่อนโด่งนาย 6 กับ โด่งนาย 6A ที่อยู่ถัดกันไป ที่นี่มีความสมบูรณ์ทางชีวะนานาพันธุ์มากที่สุดอีกแห่งหนึ่งในเวียดนาม เป็นถิ่นอาศัยของสัตว์ป่าหลากชนิดในนั้นหลายชนิดอยู่ใน "บัญชีแดง" ใกล้สูญพันธุ์จากโลก แรดนอเดียวพันธุ์ชวาตัวสุดท้ายที่พบในเวียดนามก็อาศัยในผืนป่าแห่งนี้ก่อนถูกพรานป่าลักลอบล่ายิงตายในปี 2553. -- ภาพ: TTO
       


อ่างเก็บน้ำ 1 ใน 2 แห่งใน จ.เหงะอาน (Nge An) ถูกกระแสน้ำที่เกิดจากฝนตกหนักในคืนวันที่ 30 ก.ย.ที่ผ่านมา พังทลายลงซ้ำเติมภาวะอุทกภัยให้แก่ประชาชนหลายพันครอบครัวที่อาศัยอยู่ในลุ่มน้ำแห่งนี้ จนถึงวันพุธ 2 ต.ค.นี้พบชาวเวียดนามเสียชีวิตเพิ่มขึ้นเป็น 9 รายจากไต้ฝุ่นหวูติ๊บ (Wutip) ซึ่งทำลายบ้านเรือนอีกกว่า 250,000 หลัง ทรัพย์สินของเอกชนและสาธารณสมบัติเสียหายเหลือคณานับ ผลการศึกษาพบว่าเขื่อนกับอ่างเก็บน้ำพวกนี้ไม่อาจช่วยป้องกันอุทกภัยได้.
       .
       ถึงแม้ว่าการศึกษาผลกระทบต่อสภาพแวดล้อมที่ดำเนินการโดยบริษัทที่ปรึกษาโครงการจะยังไม่แล้วเสร็จสมบูรณ์ แต่ผลในเบื้องต้นก็บ่งชี้ว่า เขื่อนผลิตไฟฟ้าทั้ง 2 แห่งจะส่งผลกระทบต่อผืนป่าและกระทบต่อสภาพชีวนานาพันธุ์อันสมบูรณ์ของเขตสงวนพันธุ์สัตว์ป่าก๊าตเตียน กับเขตที่ราบน้ำท่วมถึงที่อยู่ใต้ลงไป ซึ่งจะเปลี่ยนแปลงความสมดุลทางนิเวศเฉพาะในท้องถิ่นอย่างไม่สามารถกลับคืนมาได้อีก
       
       ทางการเวียดนามอยู่ระหว่างดำเนินการขอขึ้นทะเบียนเขตป่าสงวนแห่งชาติก๊าตเตียน ทั้งหมดเป็นมรดกโลกทางธรรมชาติอีกแห่งหนึ่งของประเทศ โดยได้รับการสนับสนุนจากองค์การยูเนสโกที่ได้เข้าร่วมรณรงค์ให้ข้อมูลข้อเท็จจริงแก่สาธารณชนทั่วไป และต่อต้านแผนการก่อสร้างเขื่อนทั้ง 2 แห่งด้วย
       
       การศึกษาของสถาบันการศึกษาชั้นนำยังได้ผลสรุปว่า การก่อสร้างเขื่อนไฟฟ้าพลังน้ำตลอดเวลากว่า 20 ปีมานี้ ไม่สามารถช่วยป้องกันน้ำท่วมได้ และโครงการเขื่อนจำนวนไม่น้อยได้ทำลายผืนป่าอย่างไม่สามารถจะปลูกขึ้นใหม่ หรือสร้างขึ้นใหม่ทดแทนได้ นอกจากนั้น ยังพบเป็นกรณีศึกษาเกี่ยวกับบริษัทเอกชนบางแห่งได้ขายสัมปทานการก่อสร้างเขื่อนไปให้ผู้อื่นดำเนินการหลังจากตัดป่า และจำหน่ายไม้เป็นที่เรียบร้อยแล้ว เตื่อยแจ๋กล่าว
       
       การก่อสร้างเขื่อนใหญ่น้อยหลายสิบแห่งในเขตที่ราบสูงภาคกลางของประเทศในช่วงกว่า 20 ปีมานี้ ไม่สามารถช่วยลดการเกิดอุกภัยในภูมิภาคนี้ลงได้ การสร้างเขื่อนกั้นแม่น้ำเสรย์ปก (Srey Pok) จำนวน 4 แห่งใน จ.ดั๊กลัก (Dak Lak) ไม่สามารถป้องกันอุทกภัยในลุ่มน้ำแห่งนี้ได้ และในฤดูน้ำหลากของทุกปี เมื่อมีการปล่อยน้ำจากเขื่อนไปตามลำน้ำสายนี้ยังทำให้น้ำเกิดน้ำท่วมที่ปลายน้ำในดินแดนกัมพูชาเป็นประจำทุกปีอีกด้วย
       
       ปัจจุบัน ทั่วเวียดนามไม่มีทำเลสำหรับก่อสร้างเขื่อนผลิตไฟฟ้าขนาดใหญ่ได้อีกแล้ว จึงเหลือเพียงเขื่อนขนาดกลาง และขนาดเล็กซึ่งทั้งหมดถูกขบวนการอนุรักษ์สภาพแวดล้อมจับตามองอย่างใกล้ชิด เพราะการก่อสร้างเขื่อนขนาดเล็กจำนวนมากย่อมหมายถึงการทำลายป่าอย่างกระจัดกระจายครอบคลุมหลายพื้นที่อีกด้วย ซึ่งเป็นอันตรายต่อสภาพแวดล้อมยิ่งกว่าเขื่อนขนาดใหญ่ทั่วไปเสียอีก หนังสือพิมพ์ออนไลน์ภาษาเวียดนาม “บ๋าวเดิ๊ตเหวียด” รายงาน
       
       ไต้ฝุ่นหวูติ๊บ (Wutip) พัดเข้าจังหวัดภาคกลางเวียดนามคืนวันที่ 30 ก.ย.ที่ผ่านมา สร้างความเสียหายอย่างใหญ่หลวง รวมทั้งทำให้เขื่อนอเนกประสงค์แห่งหนึ่ง กับเขื่อนชลประทานอีก 1 แห่งใน จ.เหงะอาน (Nge An) พังทลายลงเพราะไม่สามารถรับปริมาณน้ำมหาศาลจากฝนที่ตกลงมาอย่างหนักวัดได้กว่า 400 มิลลิเมตร เขื่อนทั้ง 2 แห่งได้ซ้ำเติมประชาชนผู้ประสบอุทกภัยที่อาศัยอยู่ใต้ลำน้ำลงไป บ้านเรือนราษฎร จำนวน 5 หมู่บ้าน ในท้องที่ อ.หว่างมาย (Hoang Mai) ซึ่งเป็นเขตที่ได้รับผลกระทบจากไต้ฝุ่นหนักหน่วงที่สุด ถูกน้ำท่วมถึงหลังคา
       
       จนถึงวันพุธที่ 2 ต.ค.นี้ พบมีราษฎรเสียชีวิตจากไต้ฝุ่นลูกนี้เพิ่มขึ้นเป็น 9 ราย บาดเจ็บอีกจำนวนมาก ลมแรงจัดกับฝนที่ตกหนักยังสร้างความเสียหายแก่ทรัพย์สินของประชาชน และสาธารณชนสุดคณานับ รวมทั้งสวนยางพาราหลายหมื่นไร่ในเขตภาคกลางตอนบนของประเทศอีกด้วย สื่อของทางการกล่าว.


 ASTVผู้จัดการออนไลน์    2 ตุลาคม 2556

6547
“หมอเณร” หมอสมุนไพรชื่อดัง ขึ้นป้ายไวนิลขนาดใหญ่หน้าสวนสมุนไพร ตำบลสระลงเรือ อำเภอห้วยกระเจา กาญจนบุรี ประกาศขายที่ดิน 100 ไร่ พร้อมสมุนไพรที่ปลูกไว้กว่า 100 ชนิด ประชดรัฐบาลที่ไม่จริงใจพัฒนาส่งเสริมสมุนไพรไทย เจ้าตัวเผยต่อสู้กับภาครัฐมานานกว่า 20 ปี รู้สึกเริ่มท้อถอย จึงตัดสินใจประกาศขายสวนสมุนไพรกลับไปอยู่อย่างสบายดีกว่า
       
       เมื่อเวลา 08.00 น. วันนี้ (3 ต.ค.) ผู้สื่อข่าวได้รับแจ้งว่า นายชัยรัตน์ นนทชัย หรือหมอเณร หมอยาสมุนไพรชื่อดังอายุ 54 ปี อยู่บ้านเลขที่ 36 หมู่ 1 ต.สระลงเรือ อ.ห้วยกระเจา จ.กาญจนบุรี ได้ติดป้ายขนาดใหญ่ประกาศขายที่ดินไว้ที่หน้าสวนสมุนไพร สร้างความแปลกใจให้แก่ชาวบ้านที่พบเห็น จึงเดินทางไปตรวจสอบ และสอบถามหาสาเหตุดังกล่าว
       
       ไปถึงพบป้ายไวนิล สูง 6 เมตร กว้าง 5 เมตร มีข้อความว่า ประกาศขายที่ดิน 100 ไร่ด่วน ตรงกลางมีบทกลอนที่แต่งขึ้นประชดรัฐบาลที่ไม่เห็นคุณค่าของสมุนไพร โดยป้ายติดตั้งเอาไว้ด้านขวาประตูทางเข้าสวนสมุนไพร ส่วนประตูทางเข้าซ้ายมือ มีป้ายไวนิล กว้าง 2 เมตร ยาว 5 เมตร รวม 2 ป้าย ป้ายมีภาพสภาพของผู้ป่วยที่เคยมารักษา เปรียบเทียบอาการก่อนรักษา และหลังรักษาด้วยยาสมุนไพร
       
       นายชัยรัตน์ นนทชัย หรือหมอเณร เปิดเผยว่า ตนตั้งใจที่จะขายที่ดินที่เป็นสวนสมุนไพรทั้งหมดจริง จึงได้ติดป้ายประกาศขายที่เอาไว้ด้านหน้า ส่วนสาเหตุเป็นเพราะตนต่อสู้กับภาครัฐมานานกว่า 20 ปี รู้สึกเริ่มท้อถอย เคยเข้าประชุมที่สภาผู้แทนราษฎรเพื่อแก้กฎหมายแพทย์แผนไทย สุดท้ายก็แก้ไม่ได้ แถมตนถูกรัฐบีบให้เป็นผู้ผิดกฎหมาย ทั้งๆ ที่ตนเองมีความรู้ด้านยาสมุนไพรระดับโลก ที่ผ่านการตรวจสอบจากคณะกรรมาธิการสาธารณสุขสภาผู้แทนราษฎร เมื่อวันที่ 9 กันยายน 2553 ซึ่งต่างรู้ดีว่ายาสมุนไพรที่ตนมีสามารถรักษาโรคหัวใจ และโรคอื่นๆ ได้จริง
       
       ส่วนผู้ป่วยเป็นโรคเบาหวานที่มีอาการหนักก็ไม่จำเป็นที่จะต้องตัดแขนตัดเท้าทิ้ง ซึ่งสมุนไพรเป็นประโยชน์ต่อมวลมนุษยชาติทั้งโลก ตรงนี้มันมีมูลค่ามหาศาลที่ควรค่าอยู่คู่เมืองไทย ตนนำเงินมาลงทุนปลูกพืชสมุนไพร เพื่อคิดค้นตำราผลิตยาสมุนไพรนำไปรักษาอาการป่วยของมวลมนุษยชาติ แต่ในเมื่อเราไม่สามารถพัฒนายาสมุนไพรที่มีอยู่ให้ก้าวไปสู่ระดับสากลได้ดังที่ตั้งใจเอาไว้จึงเกิดท้อถอยขึ้นมา
       
        “ที่ผ่านมาตลอด 20 ปี ผมต่อสู้กับหน่วยงานภาครัฐ รัฐบาลหลายรัฐบาลเพื่อขอให้สนับสนุนสมุนไพรไทย แต่ก็ถูกปฏิเสธ เริ่มตั้งแต่ปี 2538 รัฐบีบผมเพื่อขอสูตรตัวยาสมุนไพรที่ผมคิดค้นขึ้นมาอย่างต่อเนื่องแต่ไม่สำเร็จ ต่อมา ก็มีการเล่นเกมด้วยการผลิตยาสมุนไพรขึ้นมาเองด้วยการนำไปแจกให้แก่ผู้ป่วยฟรี ส่วนหนึ่งก็เอามาก่อกวนขณะที่มีคนไข้มารักษาที่ผม และให้ข่าวใส่ร้ายผมมาตลอด มันจึงมีอุปสรรคในการรักษาคนป่วยของผม เพราะฉะนั้น ผมจึงตัดสินใจขึ้นป้ายประกาศขายที่ทั้งหมดทิ้ง รวมทั้งสมุนไพรทั้งหมดที่มีกว่า 100 ชนิดด้วย อีกทั้งผมอายุมากแล้วไม่รู้จะทำต่อไปเพื่ออะไร ในเมื่อหน่วยงานภาครัฐไม่ได้ให้ความจริงใจต่อการสนับสนุนยาสมุนไพร สำหรับสูตรยาสมุนไพรก็คงเก็บไว้ก่อน เพราะคงไม่มีใครจะสามารถนำไปคิดค้นขึ้นมาใหม่ได้” นายชัยรัตน์ นนทชัย หรือหมอเณร กล่าว
       
       นายชัยรัตน์ นนทชัย หรือหมอเณร กล่าวต่อว่า แต่อย่างไรก็ตาม ถ้าหาก น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร นายกรัฐมนตรี เห็นความสำคัญกับตัวยาสมุนไพร และต้องการที่จะให้การสนับสนุนยาสมุนไพรเพื่อนำไปรักษาให้แก่มวลมนุษยชาติทั้งโลกก็ขอให้ตั้งคณะกรรมการขึ้นมาเพื่อตรวจสอบตัวยาสมุนไพรที่ตนมีอยู่ว่าสามารถรักษาผู้ป่วยได้จริงหรือไม่ และให้สอบสวนว่าหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเคยเข้ามาให้การสนับสนุน หรือกลั่นแกล้งตนจริงหรือไป
       
       “ขอเรียนว่าสมัยก่อนบ้านเราไม่มีไฟฟ้า ไม่มีการแพทย์ทางตะวันตกเลย สมัยโบราณคนไทยทุกคนรักษาโรคต่างๆ ด้วยยาสมุนไพรทั้งนั้น การแพทย์แผนไทยมันเป็นการแพทย์ของบรมครูผู้ตรัสรู้ผลิตคิดค้นสร้างขึ้นด้วยญาณ เพราะในสมัยโบราณไม่มีไฟฟ้า ไม่มีคอมพิวเตอร์ ซึ่งมันเป็นคนละศาสตร์กับการวิเคราะห์วิจัย จึงขอเรียนให้ท่านนายกรัฐมนตรีทราบเลยว่า มันเป็นคนละศาสตร์กัน แต่ศาสตร์ปัจจุบันก็มีคุณค่าต่อมนุษย์ และศาสตร์โบราณก็มีคุณค่าต่อมนุษย์เราเช่นกัน แต่ถ้าหากนำทั้ง 2 ศาสตร์มารวมเป็นหนึ่งเดียว โดยจะต้องอ้างอิงการวิเคราะห์วิจัย จะทำให้ตำราที่เขาร่ำเรียนมาตั้งแต่โบราณถูกสกัดกั้น และถูกตัดตอนจนเกิดความเสียหาย ทำให้สมุนไพรโบราณไม่สามารถเกิดขึ้นได้ อย่างที่ผมโดนกระทำอยู่ทุกวันนี้”
       
       นายชัยรัตน์ นนทชัย หรือหมอเณร กล่าวต่ออีกว่า แต่ก็มีกลุ่มคนที่อ้างตัวว่าเป็นหมอยาสมุนไพร และนำยาไปแจกให้แก่คนไข้ฟรีก็มี ส่วนผมเองแล้วเชื่อว่าไม่มีจริง แต่หน่วยงานที่เกี่ยวข้องก็ไม่ได้สนใจที่จะเข้าไปตรวจสอบว่าที่มาของรายได้นั้นมาจากไหน คนไข้ที่เข้าไปรับยาสมุนไพรสามารถนำอาหาร หรือน้ำดื่มเข้าไปได้หรือไม่ และภายในมีการจำหน่ายอาหาร และน้ำดื่มให้แก่คนไข้ในราคาที่แพงจริงหรือไม่ ตนจึงมองว่าเป็นการหารายได้จากคนไข้ในทางอ้อม เหมือนกับทำธุรกิจเปิดร้านอาหาร โดยการแจกยาสมุนไพรฟรีเพื่อบังหน้า คนไข้ส่วนใหญ่มีอาการหนักทุกคน จึงยอมที่จะเดินทางมาจากที่ต่างๆ เพื่อมารับยาสมุนไพรฟรี แต่ลืมไปว่าจะต้องซื้ออาหาร และน้ำดื่มในราคาที่แพงกว่าความเป็นจริง


ASTVผู้จัดการออนไลน์    3 ตุลาคม 2556

6548
 “หน่อไม้ฝรั่ง” หรือ “แอสพารากัส” (Asparagus) เป็นพืชพื้นเมืองแถบยุโรปและแอฟริกา มีทั้งชนิดที่เป็นหน่อสีเขียว และหน่อสีขาว เป็นผักที่กินอร่อย กรุบกรอบ มีกลิ่นหอมเฉพาะตัว สามารถนำไปทำปรุงเป็นอาหารได้หลากหลาย ซึ่งนอกจากจะกินอร่อยแล้ว หน่อไม้ฝรั่งยังอุดมไปด้วยคุณค่าทางสารอาหารมากมาย ที่มีประโยชน์ต่อร่างกาย
       
       สารอาหารที่พบในหน่อไม้ฝรั่งมีทั้ง โปรตีน แร่ธาตุต่างๆ เช่น สังกะสี ทองแดง ฟอสฟอรัส โพแทสเซียม เซเลเนียม โฟลาซิน และกากใยมาก อุดมไปด้วยวิตามินหลากหลาย มีวิตามินซี วิตามินบี ทั้งบี 1 บี 2 บี 3 และบี 6 วิตามินเค วิตามินบี วิตามินเอ โฟเลต มีสารกลูตาไธโอน มีปริมาณเกลือต่ำมาก และไม่มีไขมันหรือโคเลสเตอรอล
       
       คุณประโยชน์ของหน่อไม้ฝรั่งนั้นมีมากมาย ผู้ที่ต้องการลดน้ำหนัก หรือผู้ที่เป็นเบาหวาน เหมาะที่จะกินหน่อไม้ฝรั่งเพราะมีปริมาณของคาร์โบไฮเดรต แครอรี่ และไขมันต่ำ แล้วยังช่วยขับปัสสาวะ ลดกรดในลำไส้ ให้พละกำลัง และบำรุงผิวพรรณให้เปล่งปลั่งสดชื่น
       
       และมีการศึกษาไว้ว่ากรดอะมิโนและแร่ธาตุในสารสกัดจากหน่อไม้ฝรั่ง สามารถช่วยแก้อาการเมาค้างและป้องกันเซลล์ตับจากพิษของแอลกอฮอล์ได้ และสำหรับผู้ชายที่มีปัญหาเรื่องหย่อนสมรรถภาพทางเพศ แนะนำให้กินหน่อไม้ฝรั่ง เพราะในหน่อไม้ฝรั่งมีสารกลูตาไธโอน ซึ่งสารตัวนี้จะทำงานร่วมกับวิตามินซี ช่วยในเรื่องการกระตุ้นให้สเปิร์มมีความตื่นตัวมากขึ้น แข็งแรงมากขึ้น
       
       เห็นถึงคุณประโยชน์ของหน่อไม้ฝรั่งกันแบบนี้แล้ว จะรอช้าอยู่ใย ไปจ่ายตลาดหาซื้อหน่อไม้ฝรั่งมาทำกับข้าวกินกันดีกว่า

ASTVผู้จัดการออนไลน์    26 กันยายน 2556

6549
 กรมอนามัยชี้เปิดทำแท้งเสรี ช่วยลดอัตราการทำแท้งเถื่อนและไม่ปลอดภัยได้จริง ระบุไทยถูกจำกัดด้วยกฎหมายส่งผลสาวทำแท้งเองถึง 20% เน้นบีบหน้าท้อง ยัดของแข็งเข้ามดลูก เสี่ยงภาวะแทรกซ้อน ตกเลือดมาก ด้านแพทย์หนุนใช้ยาทำแท้ง ช่วยลดอัตราเสี่ยงอันตรายได้ ยันเป็นบริการทางการแพทย์

ภาพประกอบจากอินเทอร์เน็ต
       วันนี้ (2 ต.ค.) ที่สมาคมนักข่าวนักหนังสือพิมพ์แห่งประเทศไทย นพ.บุญฤทธิ์ สุขรัตน์ รองผู้อำนวยการสำนักอนามัยการเจริญพันธุ์ กรมอนามัย กระทรวงสาธารณสุข (สธ.) กล่าวเสวนาเรื่อง “ยาทำแท้ง...ทางเลือกหรือทางตันของการยุติการตั้งครรภ์” ในการแถลงข่าวเปิดตัว “1663 สายด่วนปรึกษาเอดส์และท้องไม่พร้อม” จัดโดยสายด่วนปรึกษาเอดส์และท้องไม่พร้อม ร่วมกับมูลนิธิแพธทูเฮลท์และมูลนิธิเข้าถึงเอดส์ โดยการสนับสนุนของสำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ (สสส.) ว่า การทำแท้งเป็นเรื่องที่มีทั้งคนเห็นด้วยและไม่เห็นด้วย ซึ่งขณะนี้ สธ.ก็มีจุดยืนในเรื่องการยุติการตั้งครรภ์ที่ปลอดภัยชัดเจนขึ้น แม้จะมีการตั้งคำถามจากสังคมว่าเป็นทางเลือกที่ สธ.ควรจะสนับสนุนหรือไม่ เพราะมีข้อกังวลว่าอาจเกิดการสนับสนุนให้เกิดการทำแท้งอย่างเสรีและอาจมีการทำแท้งมากขึ้นกว่าเดิม แต่ข้อเท็จจริงคือการจำกัดการเข้าถึงการยุติการตั้งครรภ์ที่ปลอดภัย ก็ไม่สามารถแก้ปัญหากลุ่มผู้หญิงที่ตั้งครรภ์ไม่พร้อมไม่ให้ไปทำแท้งเถื่อนได้ หรืออาจตั้งครรภ์จนคลอดแต่สุดท้ายก็นำเด็กไปทิ้งเช่นกัน
       
       นพ.บุญฤทธิ์ กล่าวอีกว่า ยกตัวอย่าง สหรัฐอเมริกาซึ่งเป็นประเทศที่มีการทำแท้งเสรี พบว่า การคลอด การตั้งครรภ์ และการแท้งลดลงทั้งหมด ประเทศโรมาเนีย พบว่า ช่วงเปิดให้ทำแท้งเสรี มีอัตราการทำแท้งไม่ปลอดภัยต่ำมาก แต่เมื่อแก้กฎหมายจำกัดการทำแท้งเสรีกลับทำให้อัตราการทำแท้งไม่ปลอดภัยพุ่งสูงมาก จนต้องกลับมาแก้กฎหมายอีกครั้ง ซึ่งภายในปีเดียวสามารถลดการทำแท้งแบบไม่ปลอดภัยได้ลงถึงครึ่งหนึ่ง หรือแม้แต่องค์การอนามัยโลก (WHO) ก็สรุปว่าระหว่างประเทศที่กฎหมายอนุญาตและไม่อนุญาตให้ทำแท้งเสรี สถิติการทำแท้งไม่แตกต่างกันมาก แต่กลุ่มประเทศที่กฎหมายจำกัดจะมีการทำแท้งเถื่อนและทำแท้งไม่ปลอดภัยสูงกว่ามาก ขณะที่กลุ่มประเทศที่ไม่จำกัดอัตราแทบเป็นศูนย์
       
       “กฎหมายไม่ใช่คำตอบทุกอย่าง บางประเทศกฎหมายให้ทำ แต่คนก็ยังไม่เข้าถึง เพราะไม่มีแพทย์ ส่วนประเทศไทยสถานการณ์เหมือนจะดีขึ้น แต่การใช้ยายุติการตั้งครรภ์ยังน้อย เพราะไม่อนุญาต แม้แต่ในโรงพยาบาลก็ยังใช้เหล็กขูดมดลูกอยู่ ยังไม่มีเครื่องดูดมดลูกระบบสุญญากาศ และไม่มียายุติการตั้งครรภ์ สิ่งเหล่านี้ยังเป็นข้อจำกัดอย่างหนึ่งในการดำเนินการการยุติการตั้งครรภ์อย่างปลอดภัย” นพ.บุญฤทธิ์ กล่าว
       
       นพ.บุญฤทธิ์ กล่าวด้วยว่า สำหรับไทยยังถูกจำกัดด้วยข้อกฎหมาย ซึ่งจากการสำรวจโรงพยาบาล 101 แห่ง ใน 13 จังหวัด เพื่อเฝ้าระวังการแท้งในประเทศไทย เมื่อปี 2554 พบว่า 1 ใน 3 เป็นผู้ป่วยทำแท้ง ส่วนใหญ่เป็นกลุ่มอายุ 15-19 ปี มากที่สุดถึงร้อยละ 28 เป็นการตั้งครรภ์โดยไม่ได้ตั้งใจร้อยละ 71.5 และไม่ได้คุมกำเนิดถึงร้อยละ 53.1 สาเหตุที่ตัดสินใจทำแท้งส่วนใหญ่เป็นเพราะสังคมและครอบครัว สุขภาพ และฐานะทางเศรษฐกิจ อย่างไรก็ตาม มีผู้ป่วยมากถึงร้อยละ 20 ทำแท้งด้วยตัวเอง และอีกเกือบร้อยละ 20 ทำแท้งโดยผู้ที่ไม่ใช่บุคลากรทางการแพทย์หรือไม่ทราบว่าผู้ทำแท้งคือใคร ส่งผลให้มีผู้ป่วยประมาณร้อยละ 10 ทำแท้งด้วยวิธีการที่ไม่ปลอดภัย เช่น การบีบหน้าท้อง การใส่ของแข็งหรือฉีดสารต่างๆ ทางช่องคลอด รวมทั้งผู้ป่วยอีกร้อยละ 9 ที่ใช้วิธีการทำแท้งด้วยการขูดมดลูก ส่งผลให้ผู้ป่วยทำแท้งร้อยละ 21.4 มีภาวะแทรกซ้อนรุนแรง พบมากที่สุด คือ ตกเลือดมากจนต้องให้เลือดมากถึงร้อยละ 14.8
       
       ผศ.นพ.ธนพันธ์ ชูบุญ อาจารย์ประจำภาควิชาสูติศาสตร์และนรีเวชวิทยา คณะแพทยศาสตร์ มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ กล่าวว่า การยุติการตั้งครรภ์ที่ดำเนินการโดยแพทย์ในกรณีการตั้งครรภ์ไม่พร้อม คือ บริการทางการแพทย์ เมื่อมีผู้ป่วยเกิดขึ้นก็จำเป็นต้องมาพบแพทย์เพื่อหารือและแนะนำแนวทางการรักษา ซึ่งในบางครั้งอาจไม่จบลงที่การทำแท้งเสมอไป เพราะมีทางเลือกอื่นเกิดขึ้นระหว่างการพูดคุย เช่น แม่ของผู้ที่ตั้งครรภ์พร้อมที่จะเลี้ยงเด็กให้ เป็นต้น ทั้งนี้ วิธีการยุติการตั้งครรภ์ด้วยการใช้ยา ทำให้การตายและบาดเจ็บลดลง ภาวะแทรกซ้อนน้อยลง แต่ต้องดำเนินการภายใต้การควบคุมของแพทย์และทำในโรงพยาบาล หากแพทย์ไม่ดำเนินการแล้วปล่อยให้ผู้ที่ตั้งครรภ์ไปทำแท้งเถื่อนจะเสี่ยงต่อการติดเชื้อ ต้องตัดมดลูก ตัดขา หรือถึงแก่ชีวิต ปัจจุบันมีการใช้ยา 2 ประเภท คือ ยาไมโซพรอสตัล และใช้ควบระหว่างไมโซพรอสตัล และอาร์ยู 486 ซึ่งเป็นยาที่ WHO รับรองเป็นบัญชียาจำเป็นเมื่อปี 2005
       
       “การใช้ยาในการยุติการตั้งครรภ์ก็เหมือนการมีเทคโนโลยีที่มีความปลอดภัยและสำเร็จผลตามที่หวัง ถ้าปิดกั้นก็จะทำให้การใช้เทคโนโลยีน้อยลง และเกิดความผิดพลาดจากการใช้ด้วยความไม่เข้าใจ ซึ่งจะเป็นอันตรายสูง เช่น ใช้ยาในช่วงอายุครรภ์ไม่เหมาะสม ผลที่เกิดขึ้นจะไม่ทำให้เกิดการแท้งแต่มดลูกแตก เป็นต้น” ผศ.นพ.ธนพันธ์ กล่าวและว่า หากอายุครรภ์เกิน 12 สัปดาห์ ควรใช้ไมโซพรอสตัล แต่ต้องใช้ในโรงพยาบาลเท่านั้น เพราะใช้แล้วจะมีการตกเลือดสูง ซึ่งโรงพยาบาลจะมีการดูแลรักษาอย่างดี ส่วนยาอาร์ยู 486 ปัจจุบันไม่ทราบว่ามีการควบคุมคุณภาพหรือการผลิตที่ไหนอย่างไร จึงไม่แนะนำให้สั่งซื้อมาใช้เอง โดยยาตัวนี้ควรใช้ตอนอายุครรภ์ไม่เกิน 9 สัปดาห์

ASTVผู้จัดการออนไลน์    2 ตุลาคม 2556

6550
วันนี้ (3 ตุลาคม) เป็นวันที่เหล่าพุทธศาสนิกชนชาวไทย ล้วนปลาบปลื้มปีติเป็นล้นพ้น เนื่องด้วยสมเด็จพระญาณสังวร สมเด็จพระสังฆราช ทรงเจริญพระชันษา 100 ปี พระองค์ทรงได้รับพระราชทานสถาปนาเป็นสมเด็จพระสังฆราช ในราชทินนามที่สมเด็จพระญาณสังวร สมเด็จพระสังฆราช สกลมหาสังฆปริณายก เมื่อวันที่ 21 เม.ย. 2532 นับเป็นสมเด็จพระสังฆราชพระองค์ที่ 19 แห่งกรุงรัตนโกสินทร์
       
       ด้วยพระองค์ทรงมีพระเมตตาต่อพุทธศาสนิกชนไทยเป็นล้นพ้น ทรงประกอบศาสนกิจเป็นคุณประโยชน์เอนกอนันต์ มิเพียงแต่ชาวพุทธในประเทศไทยเท่านั้น แต่ยังทรงแผ่พระเมตตาบารมีไปทั่วโลก พระองค์ท่านจึงได้รับการยกย่องจากทั้งชาวพุทธในประเทศไทยและในต่างประเทศ
       
       พระประวัติชีวิตและผลงานของพระองค์ จึงมีผู้นำมาเขียนเผยแพร่อยู่มากมาย แต่ก็ยังมีบางมุมในพระประวัติ ที่เชื่อว่าชาวพุทธหลายคนยังอาจจะไม่เคยรับทราบมาก่อน โอกาสนี้ กองบรรณาธิการ เอเอสทีวี ผู้จัดการรายวัน ได้รับความกรุณาจาก พระ ดร.อนิลมาน ศากยะ ผู้ช่วยเลขานุการสมเด็จพระสังฆราช ได้เมตตาเล่าถึงพระประวัติส่วนพระองค์ ที่สะท้อนถึงพระจริยวัตรอันงดงาม มีคุณค่าแก่ชาวพุทธ ให้ได้ยึดถือเป็นแบบอย่างสืบเนื่องต่อไป
       
       อนึ่ง พระ ดร.อนิลมาน ศากยะ เป็นชาวเนปาล สมเด็จพระสังฆราชทรงรับอุปถัมภ์ตั้งแต่เป็นสามเณรอายุ 14 ปี ทรงสั่งสอนหลักธรรม และส่งเสริมให้เรียนรู้จนจบปริญญาเอก จากมหาวิทยาลัยเคมบริดจ์ ประเทศอังกฤษ ด้วยพระ ดร.อนิลมาน รับใช้สมเด็จพระสังฆราชมาตั้งแต่ยังเป็นเด็กจนเจริญวัยในปัจจุบัน จึงเป็นท่านหนึ่งที่ทราบถึงพระประวัติส่วนพระองค์ทุกเรื่องได้เป็นอย่างดี
       
       พระจริยวัตรประจำวัน
       
       พระ ดร.อนิลมาน เล่าว่า สมเด็จพระสังฆราชทรงตื่นบรรทมทุกเช้าเวลา 03.30 น. จากนั้นจะทรงนั่งสวดมนต์ภาวนาไปจนถึงเวลา 05.00 น. บทสวดมนต์ที่พระองค์ท่องประจำ มีตั้งแต่สวดพระปาติโมกข์ ท่องพระสูตรและพระคาถาต่างๆ
       
       “ถ้าวันไหนมีกิจกรรมเยอะๆ จะต้องทำ พระองค์จะรับสั่งกับอาตมาว่า...วันนี้สวดยังไม่จบคอร์สเลย...เพราะทรงพระอารมณ์ดี”
       
       หลังจากสวดมนต์เสร็จ พระองค์จะทรงนั่งสมาธิเพื่อฝึกจิตให้นิ่งและมั่นคง ต่อไปจนถึง เวลา06.00 น. จากนั้นจึงเสด็จออกจากพระตำหนัก เพื่อรับแขกที่มาเข้าเฝ้าหรือเสด็จบิณฑบาต แม้ตอนที่พระองค์เป็นพระสังฆราชก็ยังเสด็จออกบิณฑบาตเป็นประจำ
       
        “พระสังฆราชทรงพระเมตตามาก หลังจากบิณฑบาตกลับมาทรงเห็นเณรน้อยหลายรูป ที่ไม่ค่อยมีใครใส่บาตร ส่วนพระองค์ของเต็มบาตรเพราะมีประชาชนมาถวายกันเยอะ พระองค์จะทรงแบ่งอาหารจากบาตรให้แก่เณรด้วย หรือบางทีพระรอบกุฏิที่ไม่ออกบิณฑบาต พระองค์ทรงกลัวว่าพระเหล่านั้นจะไม่มีอาหารฉัน ก็จะทรงแบ่งอาหารในบาตรให้ พร้อมพูดติดตลกว่า แทนที่ลูกศิษย์จะเลี้ยงอุปัชฌาย์ กลายเป็นอุปัชฌาย์เลี้ยงลูกศิษย์แทน”
       
       ในทุกๆ วัน จะมีทั้งแขก ผู้มีชื่อเสียงและเหล่าพุทธศาสนิกชน มาเข้าเฝ้าสมเด็จพระสังฆราชเป็นจำนวนมาก พระองค์ทรงอนุญาตให้เข้าเฝ้าตั้งแต่ 07.00 น. เป็นต้นไป จนถึง 09.30น. จึงจะเสวยพระกระยาหาร โดยเสวยมื้อเดียวมาตลอด
       
       พระ ดร.อนิลมาน เล่าว่า แขกที่มาเข้าเฝ้าพระองค์ บางวันมีจำนวนมากจนบางครั้งขณะที่พระองค์ทรงเสวยก็ยังมีมาเข้าเฝ้า
       
       “วันหนึ่งสมเด็จพระเทพฯ เสด็จมา ทอดพระเนตรเห็นมีแขกมาเข้าเฝ้า ขณะที่ สมเด็จพระสังฆราชกำลังเสวย สมเด็จพระเทพฯ ทรงเขียนป้ายบอกว่า ห้ามเข้าเฝ้าจนกว่าจะเสวยเสร็จ...เพราะทรงเห็นว่า พระองค์มีเวลาเสวยเพียงวันละมื้อเท่านั้น”
       
       สมเด็จพระสังฆราชจะบรรทมอีกทีประมาณ 1 ชั่วโมงหลังเสวยเสร็จ เมื่อตื่นบรรทมแล้วถ้ามีงานนิมนต์ก็จะเสด็จไป หรือถ้าเป็นช่วงเข้าพรรษา พระองค์จะเสด็จไปสอนพระใหม่ แต่ถ้าไม่ได้เสด็จไปไหน พระองค์จะใช้เวลาตลอดช่วงบ่าย ค้นคว้าตำรา ทรงอ่านหนังสือหรือทรงพระนิพนธ์
       
       ช่วงเวลา 16.00-18.00 น. ทรงเปิดพระตำหนักให้ญาติโยมได้เข้าเฝ้าอีกครั้ง จากนั้นถ้ามีเวลาเหลือ จะทรง
       ค้นคว้าและทรงพระนิพนธ์งาน หรือทรงเตรียมงานสำหรับวันต่อไป
       
       สมเด็จพระสังฆราชจะเข้าบรรทมทุกวันในเวลา 21.00 น. โดยก่อนบรรทมจะสวดมนต์เจริญภาวนาอีกครั้ง
       
       ทรงเป็นนักสื่อสารมวลชน
       
       หลายคนอาจจะไม่เคยทราบว่า สมเด็จพระสังฆราชเคยเป็น “นักจัดรายการวิทยุ” ด้วย โดย พระ ดร.อนิลมาน เล่าว่า ครั้งหนึ่งสมเด็จพระศรีนครินทราบรมราชชนนี หรือ สมเด็จย่า ทรงเคยขอให้สมเด็จพระสังฆราชจัดรายการวิทยุ ที่สถานี อส. เกี่ยวกับเรื่องธรรมะเมื่อปี 2510 เป็นต้นมา
       
       “พระองค์จะทรงเขียนบทวิทยุเอง เป็นบทสั้นๆ ประมาณ 10 นาที แล้วทรงอ่านอัดเทปเพื่อนำไปเปิดในรายการ ครั้งหนึ่งสมเด็จย่าทรงให้พระองค์ทรงเขียนเรื่องธรรมะสำหรับผู้ใหญ่ เพื่อนำไปออกอากาศ พระองค์จึงทำบทวิทยุเรื่อง “การบริหารจิตสำหรับผู้ใหญ่” โดยทำเป็นตอนๆ และในช่วงท้าย พระองค์กทรงนิพนธ์เรื่องจิตตนครขึ้นมา”
       
       นอกจากนี้ พระ ดร.อนิลมาลยังเปิดเผยว่า สมเด็จพระสังฆราชทางเป็นคนทันสมัยมาก เพราะครั้งหนึ่งพระองค์เคยเป็นคอลัมนิสต์เขียนบทความลงใน “ศรีสัปดาห์” ซึ่งเป็นนิตยสารของผู้หญิง
       
       ทรงเป็นกวีเอก
       
       อีกเรื่องหนึ่งที่น้อยคนนักจะรู้ว่า สมเด็จพระสังฆราชทรงเป็นกวีที่เก่งมาก ทรงแต่งโคลง ฉันท์ กาพย์ กลอนทุกประเภท ทั้งภาษาบาลีและภาษาไทยได้อย่างสละสลวย โดยเฉพาะ วันคล้ายวันพระราชสมภพของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว สมเด็จพระสังฆราชทรงพระนิพนธ์กลอนถวายทุกปี
       
       เมื่อสมัยที่ทรงผนวชเป็นพระใหม่ สมเด็จพระสังฆราชเดินทางมายังกรุงเทพฯ เพื่อศึกษาพระปริยัติธรรมที่วัดบวรนิเวศวิหาร พระองค์ทรงสอบได้นักธรรมชั้นตรีได้เมื่อ พ.ศ. 2472 และทรงสอบได้นักธรรมชั้นโท และเปรียญธรรม 3 ประโยค ในปี พ.ศ. 2473
       
       แต่ครั้นสอบเปรียญธรรม 4 ประโยค ผลปรากฏว่า ทรงสอบตกทั้งๆ ที่ทรงตั้งพระทัยมาก ทำให้ทรงรู้สึกท้อแท้มาก พระ ดร.อนิลมาน เล่าว่า ทรงระบายความรู้สึกผิดหวังออกมาเป็นกลอน หลังจากนั้น พระองค์ก็ทรงใช้ความผิดหวังเป็นพลังกลับไปสอบใหม่จนจบเปรียญ 9
       
       รับสั่งได้ถึง 4 ภาษา
       
       พุทธศานิกชนมักจะเห็นว่า เหล่าแขกที่มาเข้าเฝ้าสมเด็จพระสังฆราชนั้น มีทั้งชาวไทยและชาวต่างชาติมากมาย คำถามคือ สมเด็จพระสังฆราชทรงรับสั่งภาษาอังกฤษได้หรือไม่ เรื่องนี้ พระ ดร.อนิลมาน ได้เล่าว่า พระองค์มีพระปรีชามาก ทรงฝึกหัดภาษาต่างประเทศด้วยพระองค์เอง จนสามารถรับสั่งอย่างคล่องแคล่ว และทรงเขียนได้ 4 ภาษาคือ ภาษาอังกฤษ, ฝรั่งเศส, เยอรมัน และ จีน นอกจากนี้ ตัวอักษรที่ทรงอ่านและเขียนได้คล่องคืออักษรขอมโบราณ อักษรพม่า อักษรสิงหล และอักษรเทวนาครี
       
       พระนิพนธ์อันทรงคุณ
       
       พระ ดร.อนิลมาน เล่าว่า สมเด็จพระสังฆราชทรงนิพนธ์เรื่องต่างๆ ไว้เป็นอันมาก ทั้งที่เป็นตำรา พระธรรมเทศนา นิยายทั่วไป โดยพระนิพนธ์ล่าสุดเรื่อง “จิตตนคร” โดย พระธีรโพธิ ภิกขุ ได้จัดพิมพ์เป็นหนังสือภาพในชื่อ “จิตรกรรมเล่าเรื่องจิตตนคร” เพื่อฉลองพระชันษา 100 ปี
       
       “พระนิพนธ์มีมหาศาลมากที่กำลังจัดพิมพ์ขณะนี้ มีถึง 32 ซีรีย์ แต่ละเล่มหนาถึง 500หน้า ซึ่งเป็นธรรมะทุกระดับ”
       
       ครั้งหนึ่งพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ทรงสดับฟังเทปของสมเด็จพระสังฆราชเรื่อง “สัมมาทิฏฐิ” ซึ่งเป็นธรรมะที่ลึกซึ้ง และทรงสนพระทัยมากจนขอประทานอนุญาตสมเด็จพระสังฆราช เพื่อพิมพ์ถวาย โดยในหลวงทรงพิสูจน์อักษรด้วยพระองค์เอง
       
       ส่ง”พระธรรมทูต”เผยแผ่ศาสนา
       
       สมเด็จพระสังฆราชทรงทันสมัยและมีวิสัยทัศน์ในเรื่องพระศาสนาอย่างกว้างไกล ปัจจุบันเราจะเห็นว่า มีพระไทยและวัดไทยที่ไปเผยแผ่พระพุทธทั่วโลก อันเนื่องมาจากพระดำริที่มองการณ์ไกลของพระองค์นั่นเอง
       
       เมื่อปี พ.ศ.2509 สมเด็จพระสังฆราชเป็นพระองค์แรก ที่ทรงดำริที่จะเผยแผ่พระพุทธศาสนาไปยังต่างประเทศ พระองค์จึงทรงเป็นประธานกรรมการอำนวยการ ฝึกอบรมพระธรรมทูตในต่างประเทศ
       
       “ตอนนั้นพระองค์ท่านทรงริเริ่มฝึกพระธรรมทูต โดยเลือกจากพระเณรให้ฝึกพูดภาษาอังกฤษก่อน จากนั้นก็ฝึกให้ใช้ชีวิตที่เปลี่ยนตามสภาพแวดล้อมได้ เพื่อง่ายต่อการส่งไปเผยแพร่ศาสนายังวัดในต่างประเทศ”
       
       จากพระธรรมทูตองค์แรกเมื่อปี 2509 จนถึงปัจจุบัน มีพระธรรมทูตที่ไปเผยแผ่พระพุทธศาสนา และสร้างวัดทั่วโลกถึง 200 แห่ง และในโอกาสฉลองพระชันษา 100 ปี เหล่าพระธรรมทูตก็ได้กลับมาที่วัดบวรฯ เพื่อสัมมนาตรวจสอบจิตวิญญาณแห่งพระธรรมทูตครั้งใหญ่ร่วมกัน
       
       เนื่องในวโรกาสที่ใต้ฝ่าพระบาทเจริญพระชนมายุ 100 พรรษา กองบรรณาธิการหนังสือพิมพ์ เอเอสทีวี ผู้จัดการรายวัน ขอตั้งจิตอธิษฐาน ขออาราธนาคุณพระศรีรัตนตรัย และอำนาจพระกุศลบารมี ที่ใต้ฝ่าพระบาททรงกระทำบำเพ็ญมา จงอภิบาลรักษาใต้ฝ่าพระบาทให้เสด็จสถิตเป็นบุญยฐานและประทีปธรรมของปวงพุทธบริษัทตลอดไป
       
       ข่าวโดยทีมข่าว Celeb-Online

ASTVผู้จัดการรายวัน    2 ตุลาคม 2556

6551
ในวิถีชีวิตที่ต้องพึ่งอาหารปรุงเสร็จอุ่นไมโครเวฟ อาหารกล่อง อาหารกระป๋อง ฉลากระบุ "วันหมดอายุ" จึงเป็นสิ่งจำเป็นที่ช่วยบอกว่าจะปลอดภัยจากการรับประทานอาหารหรือไม่ แต่...มีอาหารบางอย่างที่เรายังกินได้ แม้จะเลยวันที่ระบุบนฉลากไปแล้ว
       
       ข้อมูลจากบีบีซีนิวส์ระบุว่า เฉพาะสหรัฐฯ ชาติเดียวปก็ทิ้งอาหารไปถึง 40% เพราะอาหารเหล่านั้นเลยวันหมดอายุแล้ว เนื่องจากวันที่อยู่บนฉลากทำให้ผู้บริโภคสับสน เพราะมีทั้งวันที่ระบุว่า "ใช้ก่อนวันที่..." , "ขายก่อนวันที่..." และ "คงความอร่อยถึงวันที่..."
       
       ดานา กันเดอร์ (Dana Gunders) นักวิทยาศาสตร์ด้านอาหารให้สัมภาษณ์ทางบีบีซีนิวส์ว่า วันที่ในอาหารบางประเภทไม่ได้หมายถึงความปลอดภัยในการบริโภค แต่หมายถึงรสชาติที่รับได้ถึงวันที่ระบุ โดยมีอาหารจำนวนมากที่ฉลากระบุว่าเสีย แต่จริงๆ แล้วยังกินได้อยู่
       
       สำหรับ 5 ตัวอย่างอาหารที่เก็บเลยวันที่ระบุบนฉลากแต่ยังกินได้อยู่นั้น มีทั้ง
1.แผ่นแป้งตอร์ติญา (Tortilla) อาหารแม็กซิกัน ซึ่งรสชาติจะเปลี่ยนไป กันเดอร์จึงแนะนำว่าเพียงนำไปอบพร้อมน้ำมันก็จะทำให้แป้งกรอบคืนแล้วเก็บในภาชนะที่ปิดสนิท เพื่อยืดอายุด้วยการป้องกันความชื้นเข้า
       
2.โยเกิร์ต เป็นอาหารอีกอย่างที่กันเดอร์กล่าวว่าอยู่ได้นานถึง 6 สัปดาห์ ซึ่งเธอมีประสบการณ์ขูดราออกจากโยเกิร์ต และกินโยเกิร์ตที่หมดอายุเป็นเดือนได้โดยไม่เกิดปัญหา
       
3.ช็อคโกแลต ก็เป็นอาหารอีกอย่างที่อยู่ได้นาน แม้มักมีคราบขาวเมื่อสัมผัสอากาศ ซึ่งเป็นผลึกไขมันที่ละลายแล้วขึ้นสู่ผิวหน้าช็อคโกแลต ไม่ใช่เชื้อราและปลอดภัยที่จะกิน
       
4.ไข่ เป็นอาหารอีกอย่างที่อยู่ได้นาน 3-5 สัปดาห์ แต่กันเดอร์กล่าวว่ามีคนทิ้งไข่โดยไม่จำเป็นอยู่จำนวนมาก ทั้งนี้ เท็ด ลาบูซา (Ted Labuza) ศาสตราจารย์ด้านวิทยาศาสตร์อาหาร จากมหาวิทยาลัยมินเนโซตาระบุว่า เราเก็บไข่นานได้โดยเก็บไว้ที่อุณหภูมิต่ำกว่า 5 องศาเซลเซียส เพราะที่อุณหภูมิดังกล่าวจะช่วยป้องกันการเจริญเติบโตของเชื้อ ซัลโมเนลา เอ็นเทริทิดิส (Salmonella enteritidis) ได้
       
5.นม ลาบูซากล่าวว่า กลิ่นและรสชาติแย่ๆ ของ  มาก่อนที่จะเสียจนทำให้เราป่วย วิธีการเก็บรักษานมที่ดีคืออย่าวางไว้ที่อุณหภูมิห้อง เพราะเชื้อจุลินทรีย์ในอากาศจะทำให้นมบูด เมื่อเปิดขวดแล้วควรรีบปิดแล้วนำเข้าตู้เย็น ที่ตั้งอุณหภูมิไว้ราวๆ 2 องศาเซลเซียส เพื่อยืดอายุนมไว้ได้นาน
       
       อย่างไรก็ดี การไม่ตุนอาหารเกินจำเป็นน่าจะเป็นวิธีดีที่สุด และช่วยลดอาหารเหลือทิ้งได้

ASTVผู้จัดการออนไลน์    2 ตุลาคม 2556

6552


ทางการปากีสถานยืนยัน เกาะขนาดเล็กที่โผล่นอกชายฝั่ง หลังแผ่นดินไหวใหญ่ในจังหวัดบาลูจิสถาน เกิดจากแผ่นเปลือกโลกเคลื่อนตัว แต่อาจมีการเปลี่ยนแปลง และจมหายไปได้ในไม่ช้า

ชาวปากีสถานจำนวนมาก ยังคงพากันเดินทางไปชมปรากฏการณ์ประหลาด นอกชายฝั่งจังหวัดบาลูจิสถาน ทางภาคตะวันตกเฉียงใต้ของปากีสถาน หลังเกิดเกาะขนาดความยาวประมาณ 100 เมตร สูง 9 เมตร โผล่พ้นจากพื้นน้ำห่างจากชายฝั่งประมาณ 1 กิโลเมตร โดยปรากฏการณ์นี้เกิดขึ้นหลังจากเกิดแผ่นดินไหวขนาด 7.7 ริกเตอร์ ในพื้นที่เมื่อวันอังคารที่ผ่านมา

ผู้เชี่ยวชาญทางธรณีวิทยาเชื่อว่า ปรากฏการณ์นี้เป็นผลมาจากแรงสั่นสะเทือนของแผ่นดินไหวครั้งล่าสุด เนื่องจากจุดเกิดเหตุอยู่ใกล้รอยต่อระหว่างแผ่นเปลือกโลกยูเรเชียน อาราเบียน และอินเดียน แต่ยังไม่สามารถระบุได้ชัดเจนว่าเป็นการเคลื่อนตัวของแผ่นเปลือกโลกที่แยกออกจากกัน หรือชนกระแทกเข้าหากัน

อย่างไรก็ตาม ผู้เชี่ยวชาญเปิดเผยว่า ปรากฏการณ์นี้เคยเกิดขึ้นแล้วเมื่อปี 2488 ภายหลังเหตุแผ่นดินไหวใหญ่ใกล้นครการาจี ของปากีสถาน โดยหน่วยงานสำรวจทางธรณีวิทยาบริติช อินเดียน ในสมัยนั้นบันทึกว่า เกาะที่เกิดขึ้นใหม่ในช่วงเวลาดังกล่าว มีขนาดใหญ่พอที่มนุษย์สามารถนำเรือเข้าเทียบท่า และขึ้นไปเดินบนเกาะได้ แต่หลังจากเกาะโผล่พ้นน้ำได้ไม่กี่สัปดาห์ กระแสน้ำก็ได้พัดพาเกาะดังกล่าวจมหายไป

ผู้สื่อข่าวท้องถิ่นที่ขึ้นไปสำรวจบนเกาะเกิดใหม่นอกชายฝั่งครั้งล่าสุด ระบุว่า สภาพบนเกาะบางส่วนเป็นดินโคลน และบางพื้นที่เป็นทรายหยาบๆ นอกจากนี้ ยังมีซากปลาตายเป็นจำนวนมากอยู่บนเกาะ และมีเสียงคล้ายแก๊สพวยพุ่งออกมาในบางจุด

ด้านปฏิบัติการช่วยเหลือผู้ได้รับความเดือดร้อนจากแผ่นดินไหวครั้งนี้ หน่วยงานบริหารจัดการภัยพิบัติท้องถิ่นของจังหวัดบาลูจิสถาน เปิดเผยว่า ทางการพบผู้เสียชีวิตแล้วอย่างน้อย 328 ราย และมีผู้ได้รับบาดเจ็บอีกกว่า 450 คน ส่วนใหญ่ได้รับอันตรายจากสิ่งปลูกสร้างที่พังถล่ม เนื่องจากบ้านเรือนมักสร้างขึ้นจากดิน ทำให้ไม่ทนทานต่อแผ่นดินไหว

ล่าสุด กองทัพปากีสถาน และองค์กรการกุศลต่างๆ ได้เร่งระดมส่งความช่วยเหลือเข้าไปยังพื้นที่ที่ได้รับผลกระทบครั้งนี้แล้ว

by Phanuwat
http://news.voicetv.co.th
26 กันยายน 2556

6553
เหตุแผ่นดินไหวรุนแรงที่ปากีสถาน มียอดผู้เสียชีวิตแล้วกว่า 300 ราย บาดเจ็บอีกหลายร้อย ขณะที่มีรายงานเกิดเกาะใหม่ขึ้นบริเวณนอกชายฝั่งใกล้กับศูนย์กลางแผ่นดินไหว นักวิจัยเผยเป็นภูเขาไฟโคลน

 
เมื่อวันที่ 25 กันยายน สำนักข่าวเอพีและเอเอฟพีรายงานความคืบหน้าเหตุการณ์แผ่นดินไหวรุนแรงในปากีสถาน โดยระบุว่า ทางการปากีสถานได้ส่งทหาร 300 นายลงพื้นที่ประสบภัยแผ่นดินไหวรุนแรง ในเขตอาวารัน จังหวัดบาโลจิสถาน ทางตอนใต้ของปากีสถาน เพื่อช่วยเหลือผู้ประสบภัย หลังเกิดแผ่นดินไหวรุนแรง 7.7 ริกเตอร์ขึ้นเมื่อช่วงเย็นวันที่ 24 กันยายนที่ผ่านมาตามเวลาท้องถิ่น ส่งผลให้มีผู้เสียชีวิตนับร้อยรายและบ้านเรือนที่สร้างขึ้นจากดินพังถล่มลงมา

ข่าวระบุว่า ทางการเตรียมส่งทหารลงพื้นที่อีกกว่า 1,000 นายเข้าไปช่วยเหลือเพิ่มเติม เพื่อทำหน้าที่ค้นหาร่างผู้เสียชีวิตและผู้ที่ได้รับบาดเจ็บ โดยล่าสุดมีรายงานยอดผู้เสียชีวิตเพิ่มขึ้นเป็นกว่า 328 รายแล้ว

ขณะที่มีรายงานว่า หลังเกิดแผ่นดินไหวขึ้น ได้ปรากฏเกาะเล็กๆแห่งใหม่ขึ้นในทะเลอาหรับ อยู่ห่างจากชายฝั่งเมืองกวาดาร์ ราว 600 เมตร  และอยู่ห่างจากศูนย์กลางแผ่นดินไหวราว 240 กิโลเมตร  โดยนายทูเฟล บาลุช เจ้าหน้าที่อาวุโสท้องถิ่น เปิดเผยว่า เกาะแห่งนี้เกิดปรากฏขึ้นหลังเกิดแผ่นดินไหวที่จังหวัดบาโลจิสถานเมื่อวันที่ 24 กันยายน ซึ่งเกาะในลักษณะนี้ปรากฏขึ้นมาแล้วในที่ๆเดียวกันเมื่อราว 60 ปีก่อน แต่ก็ได้หายสาบสูญไปในเวลาต่อมา ขณะที่นายเปอร์เวซ อุมรานี ผู้บัญชาการตำรวจเมืองกวาดาร์ เปิดเผยว่า เกาะแห่งนี้สูงราว 9 เมตรและกว้าง 30 เมตร

ด้านเว็บไซต์เวเธอร์ดอตคอมรายงานว่า นายร็อบ เมลเลอร์ นักวิจัยจากห้องปฏิบัติการแห่งชาติลอว์เรนซ์ ลิเวอร์มอร์ จากเมืองลิเวอร์มอร์ รัฐแคลิฟอร์เนีย สหรัฐอเมริกา เปิดเผยว่า เมื่อปี ค.ศ.1945 ได้เกิดแผ่นดินไหวรุนแรง 8 ริกเตอร์ บริเวณเดียวกับครั้งนี้ และทำให้เกิดเกาะขึ้นมาใหม่เช่นกัน ก่อนที่อีก 3 เดือนต่อมาเกาะนี้จะหายไป โดยนายเมลเลอร์อธิบายว่า เหตุที่เกิดเกาะขึ้นกะทันหันแล้วไม่ทำให้เกิดคลื่นยักษ์สึนามิ เนื่องจากบริเวณนอกชายฝั่งปากีสถานเต็มไปด้วยโคลนเหลว เมื่อก๊าซมีเทนใต้ผิวโลกดันให้เปลือกโลกที่เป็นโคลนปูดขึ้นมา จึงเกิดเป็นภูเขาไฟโคลนขึ้น ซึ่งไม่ได้เกิดจากการยกตัวของเปลือกโลกที่เป็นต้นเหตุทำให้เกิดคลื่นยักษ์สึนามิแต่อย่างใด

สำหรับเขตอาวารันมีประชากรอาศัยอยู่ราว300,000 คน โดยมีประชากรกว่า 60,000 คนอาศัยอยู่บริเวณโดยรอบรัศมี 50 กิโลเมตรห่างจากศูนย์กลางแผ่นดินไหว ซึ่งบ้านเรือนส่วนใหญ่สร้างขึ้นจากดิน ขณะที่นายอับดุล ราชีพ บาลุช เจ้าหน้าที่อาวุโสอีกคนในเขตอาวารันเปิดเผยว่า บ้านเรือนราว 90 เปอร์เซ็นต์ในเขตอาวารันถูกทำลายลง เกือบทั้งหมดเป็นบ้านที่ทำจากดินที่พังถล่มลงมา

รายงานระบุว่า แรงสั่นสะเทือนที่เกิดจากแผ่นดินไหวครั้งนี้ รับรู้ได้ถึงกรุงนิวเดลี เมืองหลวงของอินเดีย รวมไปถึงนครดูไบ ประเทศสหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ ขณะที่ผู้คนในนครการาจี เมืองใหญ่ที่สุดของปากีสถาน ต่างพากันตื่นตระหนกเพราะแรงสั่นสะเทือนที่เกิดขึ้นและวิ่งหนีออกนอกตัวอาคาร

ทั้งนี้เมื่อปี2548 ได้เกิดแผ่นดินไหวรุนแรง 7.6 ริกเตอร์ขึ้นในแคว้นแคชเมียร์ ปากีสถาน ทำให้มีผู้เสียชีวิตมากถึงราว 73,000 ราย

มติชนออนไลน์   25 กันยายน พ.ศ. 2556

6554
เหลือเชื่อ!แผ่นดินไหวปากีสถานดันเกาะแห่งใหม่เกิดขึ้นกลางทะเล ห่างจากชายฝั่ง 600 เมตร สร้างความแตกตื่นให้ฝูงชนที่มาดูปรากฏการณ์ที่ไม่เกิดขึ้นบ่อยนัก

สำนักข่าวต่างประเทศรายงานจากเมืองเกตต้า ประเทศปากีสถาน เมื่อวันที่ 25 ก.ย. ว่า  เหตุแผ่นดินไหวครั้งใหญ่ในทางตะวันตกเฉียงใต้ของปากีสถานเมื่อวันอังคาร วัดความรุนแรงได้ถึง  7.7 ริคเตอร์  คร่าชีวิตผู้คนไปแล้วไม่ต่ำกว่า 208 ศพ และบาดเจ็บกว่า 382 คน อาคารบ้านเรือนหลายหลังพังทลาย  ประชาชนแตกตื่นวิ่งหนีลงมาบนถนนกันจ้าละหวั่น  ซึ่งศูนย์กลางของแผ่นดินไหวครั้งนี้ อยู่ในเขตอวารานของจังหวัดบาลูชิสถาน


แต่แผ่นดินไหวครั้งนี้ มีความแตกต่างจากแผ่นดินไหวครั้งก่อนๆเนื่องจากการสั่นสะเทือน ทำให้เกิดเกาะแห่งใหม่ในทะเล  นายตูฟาอิล บาลุช  เจ้าหน้าที่ปากีสถานบอกว่า เกาะใหม่นี้ผุดขึ้นมา หลังเกิดแผ่นดินไหวใกล้ชายฝั่งเขตกวาดาร์ มีความสูง 100 ฟุตและกว้าง 200 ฟุต  อย่างไรก็ตาม นายบาลุช กล่าวว่า   เคยมีเกาะที่คล้ายกันผุดขึ้นมากลางทะเลในบริเวณเดียวกันนี้เมื่อ 60 ปีก่อน  แต่แล้ววันหนึ่งเกาะดังกล่าวก็ได้หายไป


ข่าวแจ้งว่า เกาะเล็กๆ รูปร่างเหมือนภูเขาโผล่ขึ้นมากลางทะเลอารเบียน ห่างจากชายฝั่งเขตกวาดาร์ของปากีสถานราว 600 เมตร  นอกจากนี้ สถานีโทรทัศน์ท้องถิ่นแพร่ภาพภูมิประเทศที่เป็นไหล่หินเหยียดยาวโผล่ขึ้นมาเหนือระดับน้ำทะเล  โดยฝูงชนพากันมารวมตัวบริเวณชายฝั่งเพื่อดูปรากฎการณ์ที่ไม่สามารถพบเห็นได้บ่อยนักปากีสถานเคยเผชิญแผ่นดินไหวรุนแรงระดับ 7.6 ริคเตอร์เมื่อปี 2548  โดยมีศูนย์กลางอยู่ในเขตแคชเมียร์  ทำให้มีผู้เสียชีวิตไม่น้อยกว่า 73,000 ราย และไร้ที่อยู่หลายล้านคน  นับเป็นหนึ่งในเหตุการณ์ภัยพิบัติครั้งร้ายแรงที่เกิดขึ้นในประเทศ

เดลินิวส์ ประจำวันพุธที่ 25 กันยายน 2556

6555
 “เอพีเอ็ม กรุ๊ป” จับมือ “ก.พ.” ติวเข้มผู้นำองค์กรภาครัฐ งัดหลักการเรียนรู้รูปแบบใหม่ “รู้ คิด ดู ทำ” เร่งแก้ปัญหาใหญ่ผู้บริหารแปลงกลยุทธ์ไปสู่การปฎิบัติไม่ได้ ส่งผลองค์กรสะดุดขับเคลื่อนยาก แนะระบบราชการปรับตัวรับมือเด็กรุ่นใหม่ “เคารพ” แต่ “ไม่เชื่อฟัง”
       
       เอพีเอ็ม กรุ๊ป ที่ปรึกษาด้านการพัฒนาองค์กรและบุคลากรร่วมกับศาสตราจารย์ บรู๊ซ แม็คเคนซี ผู้เชี่ยวชาญด้าน Systems Thinking ของโลก ซึ่งอยู่ในทีมที่ปรึกษาของประธานาธิบดีบารัค โอบามา จัดทำโครงการวิจัยร่วมกันเกี่ยวกับคุณสมบัติผู้นำในอนาคตของไทย เพื่อหาคุณลักษณะที่สำคัญของผู้นำไทยในยุค 2020 หรืออีก 7 ปีข้างหน้า
       
       โดยรวบรวมความคิดและมุมมองของคนไทยที่ทำงานในประเทศไทยและต่างประเทศ รวมถึงคนไทยที่ศึกษาในระดับปริญญาตรีขึ้นไปในต่างประเทศ อาทิ แคนาดา สหรัฐอเมริกา อังกฤษ นิวซีแลนด์ ออสเตรเลีย สิงคโปร์ และมาเลเซีย ฯลฯ เพื่อหาคุณลักษณะผู้นำที่จะสามารถนำพาองค์กรไทยสู่สากล สามารถแข่งขันในเวทีระดับโลกได้ รวมถึงค้นหาจุดที่ต้องพัฒนาและคุณลักษณะที่ควรเสริมสร้างให้เกิดขึ้นแก่ผู้นำระดับสูงภาครัฐของไทย

   
       ในระหว่างเป็นที่ปรึกษาของสำนักงานคณะกรรมการข้าราชการพลเรือน (ก.พ.)เพื่อดำเนินโครงการพัฒนาประสิทธิภาพด้านการบริหารจัดการแก่ผู้บริหารระดับสูงภาครัฐภายใต้กรอบแนวคิด “รู้ คิด ดู ทำ”โดยได้รับความร่วมมืออย่างดีจากผู้นำระดับสูงในส่วนราชการ อาทิ ปลัดกระทรวง อธิบดี และผู้ว่าราชการจังหวัด ให้ความสนใจและเข้าร่วมโครงการเป็นจำนวนมาก การดำเนินการโครงการเริ่มมาตั้งแต่ต้นเดือนกุมภาพันธ์จนถึงกลางเดือนกันยายน 2556
       
       ทั้งนี้ สำนักงาน ก.พ. ให้ความสำคัญกับงานวิจัยชิ้นนี้อย่างมาก เพราะเป็นงานวิจัยเชิงลึกชิ้นแรกที่สอบถามความคิดเห็นคนไทยในต่างประเทศที่ศึกษาอยู่ในระดับปริญญา ตรี โท เอก และ
       
       อริญญา เถลิงศรี กรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัทที่ปรึกษาเอพีเอ็ม กรุ๊ป ยกตัวอย่างผลวิจัยซึ่งพบว่า ในอนาคตเด็กรุ่นใหม่จะแยกคำว่า “เคารพ” และ “เชื่อฟัง” ออกจากกัน กล่าวคือ ความเคารพในระบบอาวุโสจะยังมี เพราะถือเป็นวัฒนธรรมอันดี แต่เขาจะไม่เชื่อฟังหรือปฏิบัติตามคำสั่งในรูปแบบเดิมที่หัวหน้า หรือเจ้านายสั่งอีกต่อไป เพราะพวกเขาจะมีวิธีคิดในแบบของตัวเอง มีข้อมูล มีรูปแบบการทำงานที่ไม่เหมือนคนรุ่นก่อน ซึ่งการที่ต้องการให้เด็กรุ่นใหม่ “เชื่อ” แล้ว “ฟัง” และปฏิบัติตามสิ่งที่ผู้ใหญ่เคยทำไว้จะทำให้เกิดการ “ไม่เชื่อ” แต่ “ทำ” ซึ่งจะส่งผลให้เกิดปัญหาในการทำงาน ทำให้ไม่เกิดความคิดสร้างสรรค์ใหม่ๆ เป็นต้น ซึ่งระบบราชการจะต้องเข้าใจและเตรียมปรับตัวเพื่อรับกับแนวโน้มนี้

   
       ยิ่งไปกว่านั้น ยังพบว่าผู้บริหารระดับสูง 8 ใน 10 คนมักเผชิญปัญหาเรื่องการแปลงกลยุทธ์ไปสู่การปฏิบัติ เมื่อเริ่มดำเนินกลยุทธ์แล้วมักมีอุปสรรคหรือขับเคลื่อนไปได้ยาก ดังนั้น โครงการนี้จึงยึดหลักการเรียนรู้รูปแบบใหม่ที่นำเอาการบูรณาการองค์ความรู้แบบที่จับต้องได้ และเห็นภาพชัดเจนอันจะนำไปสู่การจดจำ และลงมือปฏิบัติในการทำงานจริงได้อย่างสัมฤทธิ์ผล ประกอบด้วยกิจกรรมการพัฒนาที่หลากหลาย มีมาตรฐานเป็นสากลทัดเทียมกับการพัฒนาในต่างประเทศ มุ่งเน้นบริบทที่ตรงกับบทบาทภารกิจของผู้บริหารระดับสูงในการขับเคลื่อนยุทธศาสตร์ประเทศไทย ซึ่งมี 4 องค์ประกอบดังนี้
       
       “รู้” หลักสูตรอบรมระยะสั้น 1-3 วัน เพื่อเสริมสร้างและเพิ่มพูนทักษะทางการบริหารจัดการด้วยหลักสูตรฝึกอบรมชั้นเลิศ โดยแบ่งเป็น (1) กลุ่มหลักสูตรการเป็นผู้นำ ที่เน้นการทำงานโดยมีประชาชนเป็นศูนย์กลาง และเน้นเป้าหมายปลายทางเป็นสำคัญ (2) กลุ่มหลักสูตรการคิดและการบริหารจัดการ ที่เน้นทำงานเชิงบูรณาการที่ต้องร่วมกับหน่วยงานอื่นที่เกี่ยวข้อง และให้ความสำคัญในเรื่อง
       ความสามารถในการปรับวิธีการเพื่อให้การปฏิบัติงานมีความคล่องตัวและการตัดสินใจได้อย่างเหมาะสมและทันต่อสถานการณ์ เป็นต้น
       “คิด” การเสวนาและการบรรยายพิเศษ (Talk & Lecture) เพื่อเสริมสร้างมุมมองความรู้และพัฒนาวิสัยทัศน์ผู้นำแก่นักบริหารระดับสูง ระหว่างผู้ทรงคุณวุฒิระดับสากล จากภาครัฐและเอกชนเข้าร่วมแลกเปลี่ยนประสบการณ์
       
       “ดู” การศึกษาดูงาน (Study Trips) เพื่อเสริมสร้างและพัฒนาวิสัยทัศน์ผู้นำ อีกทั้งสร้างความสัมพันธภาพที่ดีระหว่างประเทศ โดยจะเน้นด้านการเตรียมความพร้อมและการรับมือกับภัยพิบัติ ด้านอุตสาหกรรมการท่องเที่ยว ด้านความสัมพันธ์ประเทศเพื่อนบ้านและการค้าชายแดน เป็นต้น
       
       “ทำ” การประชุมเชิงปฏิบัติการ (Workshop) เพื่อหาแนวทางในการแก้ไขปัญหาของชาติ รวมทั้งการแก้ปัญหาเชิงระบบและการขับเคลื่อนนโยบายของรัฐบาล โดยจะดำเนินการต่อจากการศึกษาดูงานเพื่อให้ได้ร่างแผนงาน / โครงการ หรือแนวทางการดำเนินการของจังหวัด / กลุ่มจังหวัดที่เกี่ยวข้องในแต่ละหัวข้อ

ASTVผู้จัดการออนไลน์    25 กันยายน 2556

หน้า: 1 ... 435 436 [437] 438 439 ... 651