แถลงการณ์แพทย์ผู้ปฏิบัติงานและสหวิชาชีพผู้ดูแลผู้ป่วยโรงพยาบาลสงขลาเพื่อคัดค้านร่างพรบ.คุ้มครองผู้เสียหายจากการรับบริการสาธารณสุข
เรียนประชาชนผู้มาใช้บริการที่เคารพทุกท่านโปรดทราบ
ขณะนี้ได้มีกลุ่มผู้ผลักดันร่างพรบ.นี้(ประกอบด้วยกลุ่ม NGO บางกลุ่มและแพทย์ส่วนน้อยกลุ่มหนึ่งที่ไม่ได้ดูแลรักษาผู้ป่วยแล้ว)พยายามแสวงหาผลประโยชน์ โดยการผลักดันร่างพรบ.คุ้มครองผู้เสียหายฯ โดยหลอกลวงสังคมและรัฐบาลให้หลงเชื่อว่ามีแต่ประโยชน์ต่อประชาชนทั่วไป แต่โดยเนื้อแท้แล้ว ร่างพรบ.ฉบับนี้ใช้ประชาชนผู้มารับบริการและผู้ให้บริการทางสาธารณสุข เป็นเหยื่อหรือทาสร่วมกันเพื่อสร้างผลประโยชน์ให้กับกลุ่มผู้ผลักดันเอง โดยวิธีการคือ
1.) กดดันบุคคลากรทางการแพทย์ให้เป็นผู้กระทำผิดโดยง่าย เช่น ให้มีอายุความฟ้องร้องไม่จำกัด(ตามมาตรา25 โดยอายุความนับแล้วแต่การรับรู้ของผู้เสียหาย ซึ่งไม่แน่นอน), มีการกำหนดว่าความเสียหายเกิดจากการไม่ทำตามมาตรฐานวิชาชีพ(ตามมาตรา 6 ) ทั้งๆที่สถานพยาบาลทั่วประเทศส่วนใหญ่ไม่มีความพร้อมทำตามมาตรฐาน เพราะผู้ป่วยล้นบริการร่วมกับขาดแคลนบุคคลากรและอุปกรณ์, สัดส่วนคณะกรรมการตัดสินไม่เป็นธรรม(ตามมาตรา7) มีผู้มีความรู้ทางวิชาชีพน้อยมาก แต่กลับใช้เสียงข้างมากเป็นตัวตัดสินชี้ขาด (ตามมาตรา11), ปฏิบัติกับผู้ให้บริการเหมือนอาชญากรค้ายาเสพติด โดยมีการยึดหรืออายัดทรัพย์ได้(ตามมาตรา21), ไม่ทำตามคำสั่งคณะกรรมการ มีสิทธิ์เป็นศาลเตี้ยเอง สั่งจำคุก6เดือนหรื่อปรับหนึ่งหมื่นบาทตามอำเภอใจ(ตามมาตรา46)
2.)ประชาชนต้องตกเป็นเหยื่อ เพราะจะเกิดความเสียหายมากขึ้น เพราะกลุ่มผู้ผลักดันรู้อยู่แล้วว่า เมื่อกดดันบุคคลากรทางการแพทย์แล้ว จะเกิดความลังเลในการดูแลผู้ป่วย หรือหลีกเลี่ยงการรักษา จึงส่งต่อไปรักษาที่อื่น จนเกิดความล่าช้าในการรักษา ทำให้ผู้ป่วยตายหรือพิการเพิ่มขึ้น ทำให้เกิดการฟ้องร้องมากขึ้น แล้วไปกดดันบุคคลากรทางการแพทย์ต่อไป เป็นวงจรอุบาทว์ นำไปสู่เงื่อนไขเก็บเงินสมทบเพิ่มขึ้น(ตามมาตรา21) ทำให้เงินกองทุนชดเชยพอกพูนมากขึ้นเรื่อย เพราะไม่ต้องส่งคืนคลัง(ตามมาตรา22) กลุ่มผู้ผลักดันที่ได้เป็นกรรมการยิ่งมีสิทธิ์ใช้เงินได้มากขึ้นเป็นเงาตามตัว เพราะกำหนดให้สามารถใช้ได้ถึงร้อยละ10ของเงินกองทุน(ตามมาตรา20) ประชาชนผู้ใช้บริการและบุคคลากรทางการแพทย์กลายเป็นทาสปั่นเงินให้กับผู้แสวงหาผลประโชน์จากการเป็นกรรมการในกองทุนชดเชยนี้ไปตลอดชีวิต
3.)กลุ่มผู้ผลักดันร่างพรบ.นี้ ต้องการใช้กองทุนชดเชยนี้ เป็นผลงานประชาสัมพันธ์ให้กับตนเองและกลุ่มของตน เพื่อสร้างความน่าเชื่อถือ ศรัทธา นำไปสู่อำนาจทางสังคมต่อไป และอาจต่อยอดเพื่อแสวงหาผลประโยชน์อื่นๆอีก และหวังกินนานๆ โดยการกำหนดให้เป็นกรรมการได้นานสุดติดต่อกันถึง8ปี(ตามมาตรา8) ขนาดเคยมีผู้ถามถึงความจริงใจในการผลักดันกฎหมาย โดยขอให้งดรับตำแหน่งกรรมการ10ปีแรก กลุ่มผู้ผลักดันนี้ ก็ไม่รับปาก
4.)จากวงจรอุบาทว์ที่มีการฟ้องร้องมากขึ้น มีการเรียกเก็บเงินสมทบมากขึ้นจากสถานพยาบาล สถานพยาบาลต้องเก็บเงินเพิ่มจากผู้ป่วยมาทดแทน สุดท้ายประชาชนรับภาระจ่ายค่ารักษาเพิ่มถ้าไปรักษาจากสถานพยาบาลเอกชน ส่วนโรงพยาบาลรัฐก็ขาดเงินมาจ่ายยาให้ผู้ป่วย เพราะรัฐบาลไม่เคยยืนยันเลยว่าจะเป็นผู้จ่ายเงินอุดหนุนสมทบแทนให้บุคคลากรทางการแพทย์ต้องระมัดระวังในการดูแลผู้ป่วยมากเกินปรกติ ต้องตรวจใช้เวลานานขึ้นจนบางครั้งเกินจำเป็น ทำให้ผู้มารับบริการไม่ได้รับความสะดวกและล่าช้า เพราะไม่อยากได้ชื่อว่าเป็นผู้ทำให้เสียหาย เพราะเป็นพื้นฐานต่อในการถูกอ้างฟ้องอาญาได้ แม้กองทุนจ่ายเงินทดแทน แต่ร่างพรบ.ฉบับนี้ ก็ไม่เว้นการฟ้องอาญาให้ แม้จะอ้างว่ามีมาตรา45 ช่วยเว้นโทษอาญาให้ แต่มีเงื่อนไขคือบุคคลากรทางการแพทย์ต้องยอมรับความผิด (เท่ากับบีบคอให้รับ) ดังนั้นการที่ผู้ผลักดันอ้างว่าจะลดการฟ้องร้อง จึงไม่มีทางเป็นไปได้เลยทั้งสิ้น
เหตุผลทั้งหมดนี้พ่อแม่พี่น้องที่รักและบุคคลากรทางการแพทย์ทุกท่าน จะยอมเป็นเหยื่อหรือเครื่องจักรปั่นเงินและอำนาจให้กับกลุ่มผู้ผลักดันหรือไม่ ทำไมต้องยอมให้คนกลุ่มหนึ่งจำนวนน้อยนิดอ้างตัวว่าทำเพื่อประชาชน อ้างว่าร่างพรบ.นี้ดี แต่ไม่เปิดโอกาสให้ประชาชนโดยทั่วไปได้ศึกษาเนื้อหากฎหมายโดยการทำประชาพิจารณ์ทั่วประเทศ หลอกลวงให้รู้จักแต่ชื่อร่างพรบ.ว่าดูดี นี่หรือคือประเทศประชาธิปไตย หรือประเทศของกลุ่มผู้ผลักดัน กันแน่
สุดท้ายนี้ ขอวิงวอนรัฐบาลผู้มีอำนาจในการพิจารณา โปรดอย่าส่งเสริมกลุ่มผู้ผลักดันนี้ ซึ่งพยายามสร้างอำนาจทางสังคม และอาจนำไปสู่อำนาจทางการเมืองต่อไป สุดท้ายอาจกลับมาเป็นฝ่ายคุมรัฐบาลเสียเองได้ในอนาคต ซึ่งกลุ่มNGOนั้นส่วนใหญ่มีทั้งกลุ่มที่สร้างสรรค์ มีเพียงบางกลุ่มที่แฝงมาเพื่อผลประโยชน์
จึงขอเรียกร้องให้ยุติการพิจารณาร่างพรบ.คุ้มครองผู้เสียหายนี้ในสภาผู้แทนฯ การให้ความหวังว่าจะสามารถแก้ไขมาตราที่เป็นปัญหาได้ในชั้นกรรมาธิการ ยังเป็นสิ่งที่ไม่แน่นอน สิ่งที่ดีที่สุดคือควรมีการแก้ไขให้รอบคอบจากทุกฝ่าย ลดความขัดแย้งก่อนเข้าสู่สภา โดยการทำประชาพิจารณ์แก่ประชาชนให้ถูกต้องยอมรับโดยทั่วกัน จึงจะเป็นหนทางที่ถูกต้องตามยุคสมัยที่โหยหาความสมานฉันท์ และสมกับเป็นประเทศที่ได้ชื่อว่าปกครองโดยประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตรยิ์ทรงเป็นพระประมุขอย่างแท้จริง
แถลง ณ.วันที่ 7 กุมภาพันธ์ 2554