This section allows you to view all posts made by this member. Note that you can only see posts made in areas you currently have access to.
Topics - story
หน้า: 1 ... 464 465 [466] 467 468 ... 535
6976
« เมื่อ: 08 ตุลาคม 2011, 21:23:52 »
จากข่าวหน้าหนึ่งที่อดีตนางเอกและรองนางสาวไทย อรัญญา นามวงศ์ เกิดอาการกล้ามเนื้ออ่อนแรง และปากเบี้ยว ระหว่างรับประทานอาหารกับครอบครัวอย่างกะทันหัน จนต้องหามส่งเข้ารับการรักษาอย่างเร่งด่วน แพทย์วินิจฉัยว่าสาเหตุหลักเกิดจากความดันโรคหิตสูงเป็นเวลานานและควบคุมไม่ดี ทำให้เส้นเลือดในสมองซีกขวาแตก เกิดเป็นก้อนเลือดคั่งในสมอง หรือภาษาแพทย์เรียกว่า "เลือดออกในสมอง" ซึ่งอาการของโรค ดังกล่าวมักจะเกิดกับผู้สูงอายุ 40 ปีขึ้นไป ที่มีภาวะของโรคความดัน หัวใจ เบาหวาน ไขมันในเลือดสูง
ภาวะเลือดออกในสมอง ส่วนใหญ่เกิดขึ้นจากสาเหตุหลัก คือมีการแตกของเส้นเลือดในสมองขนาดเล็ก เนื่องจากการเสื่อมสภาพของหลอดเลือด มีการเปลี่ยนสภาพของภาวะสมองขาดเลือด และทำให้มีเลือดออกเกิดจากพยาธิสภาพที่ผิดปกติ เช่น ภาวะเส้นเลือดขอดในสมอง เนื้องอกในสมองกดทับ เป็นต้น ประสบอุบัติเหตุ สมองขาดออกซิเจน เนื่องจากมีอาการชัก หยุดหายใจ ผู้ที่มีภาวะหลอดเลือดหัวใจอุดตัน
สำหรับ ปัจจัยเสี่ยง ที่ทำให้เกิดภาวะเลือดออกในสมอง ได้แก่ โรคความดันโลหิตสูง โรคที่มีความผิดปกติของการแข็งตัวของเลือด จากการกินยาที่ช่วยไม่ให้เลือดแข็งตัว ไม่ควบคุมโรคเบาหวาน โรคไขมันในเส้นเลือดสูง ผู้ที่มีความเข้มข้นของเลือดสูง เช่น ผู้ที่กินอาหารรสจัด ผู้ที่เป็นโรคเส้นโลหิตเปราะบาง เช่น ผู้ป่วยที่กินแอสไพรินเป็นเวลานาน
ส่วน แนวทางการรักษาโดยปกติทั่วไปแล้ว เมื่อเกิดภาวะเลือดออกในสมองส่วนใหญ่จะให้การรักษาโดยการใช้ยาเป็นเบื้องต้น แต่ก็มีผู้ป่วยเป็นจำนวนไม่น้อย ที่จะต้องรับการรักษาโดยการผ่าตัด การผ่าตัดมี 2 วิธีที่นิยมทำกัน คือ การผ่าตัดเปิดกะโหลกศีรษะ เพื่อผ่าตัดเอาก้อนเลือดในสมองออก วิธีการใช้เจาะดูดก้อนเลือดในสมองด้วยเทคนิคนำวิถี
สำหรับศาสตร์ของแพทย์แผนจีน คิงส์ตัน ซี ฮาว อุย แพทย์จีนด้านการฝังเข็มฟื้นฟูระบบประสาท เปิดเผยว่า ภาวะเลือดออกในสมอง เกิดจากความเครียด หรือผู้ที่มีความดันโลหิตสูงและไม่ได้ควบคุม ตามศาสตร์แผนจีนแบ่งผู้ป่วยเป็น 2 ประเภท คือ 1 เรียกว่า "ผู้ที่มีตับหยางแกร่ง" ซึ่งจะผลักให้เป็นโรคความดันโลหิตสูง
สาเหตุของการเกิด "ตับหย่างแกร่ง" เกิดจากคนที่มีความเครียดสูง เจ้าอารมณ์ ขี้โมโห คิดเล็กคิดน้อย 2 เรียกว่า "หยินพร่อง" สาเหตุของการเกิด "หยินพร่อง" อาจเกิดจากการพักผ่อนไม่เพียงพอ นอนดึก อดนอน ในกรณีผู้สูงอายุอาจจะเกิดจากการมีเพศสัมพันธ์ที่มากเกินไปด้วย รวมทั้งผู้ที่ชอบกินเหล้า กินอาหารไขมันสูง ขาดการออกกำลังกาย หลังจากการวินิจฉัยแล้วแบ่งอาการของโรคเป็น 2 ประเภท
ประเภทที่ 1 โท๊ะเจิ่น (ปล่อย) จะทำให้เกิดอาการน้ำลายยืด มือข้างใดข้างหนึ่งอ่อนแรง มือปล่อยค้างไม่มีแรง ยกขาไม่ขึ้น กลั้นปัสสาวะไม่ได้
ประเภทที่ 2 ปิ๊เจิ่น (ปิดกั้น) จะเกิดอาการมือเกร็งข้างใดข้างหนึ่ง กลืนไม่ได้ ลิ้นแข็ง ปากปิดไม่สามารถพูดได้ นอนไม่หลับ ขาก้าวไม่ออก
แพทย์จีน คิงส์ตัน ซี ฮาว อุย กล่าวว่า การรักษาตามศาสตร์ของแพทย์จีนจะรักษาด้วยการฝังเข็มและใช้ยาสมุนไพรจีนร่วมรักษา โดยจะมีช่วงเวลาทองคำ คือช่วงของการรักษาผู้ป่วยที่มีอาการเลือดออกในสมองที่มีอาการมาแล้ว 2 อาทิตย์-6 เดือน จะมีโอกาสฟื้นฟูได้ดีและมีโอกาสหายได้ไว ซึ่งผู้ที่มีอาการมานานกว่า 6 เดือนก็สามารถเข้ารับการรักษาได้ ซึ่งระยะเวลาการรักษาจะขึ้นอยู่กับอาการของคนไข้และการวินิจฉัย ผู้ที่มีอาการหนักจะต้องเข้ามาฝังเข็มอย่างต่อเนื่องถึง 6 วันต่อสัปดาห์
สำหรับผู้สูงอายุหรือผู้ที่มีโรคหัวใจและความดันโลหิตสูง ควรไปพบแพทย์เพื่อตรวจร่างกายเป็นประจำทุกปี และควรหลีกเลี่ยงอาหารไขมันสูง รสจัด รวมทั้งออกกำลังกายสม่ำเสมอ ก็จะมีสุขภาพแข็งแรงห่างไกลโรคภัยแน่นอน
บ้านเมือง 8 ตุลาคม 2554
6977
« เมื่อ: 08 ตุลาคม 2011, 21:21:42 »
การดำเนินงานด้านการสร้างเสริมสุขภาพเป็นหน้าที่หลักของสำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติที่ดำเนินการควบคู่ไปกับนโยบายการการป้องกันรักษาโรคของกระทรวงสาธารณสุข เพื่อให้ประชาชนได้รับประโยชน์และเข้าถึงการบริการมากที่สุด แม้รัฐบาลจะผ่านไปกี่ยุคสมัยแต่เป้าหมายหลักของ สปสช.ก็ยังเป็นการทำงานเพื่อดูแลป้องกันสุขภาพประชาชนให้ห่างไกลจากโรคร้ายโดยไม่ต้องแบกรับค่าใช้จ่าย และพัฒนาคุณภาพชีวิตผู้ป่วยให้อยู่อย่างมีความสุขไม่เป็นภาระครอบครัวและสังคม
น.พ.วินัย สวัสดิวร เลาขาธิการสำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ (สปสช.) กล่าวว่า สำหรับทิศทางการดำเนินงานของ สปสช.ในปี 2555 ยังมีเป้าหมายในการทำงานด้านการส่งเสริมสุขภาพของประชาชน การสร้างหลักประกันให้ทุกคนสามารถเข้าถึงบริการด้านสุขภาพได้ตามความจำเป็น และไม่ล้มละลายจากการเจ็บป่วย ด้วยบริการที่มีคุณภาพ มาตรฐาน และประชาชนพอใจ โดยคำนึงถึงเกียรติและศักดิ์ศรีของประชาชนทุกคนอย่างเท่าเทียมกัน รวมถึงให้ความสำคัญกับการป้องกันรักษาสุขภาพของตนเอง และพัฒนาระบบการบริหารจัดการให้มีความคล่องตัวรวดเร็ว และการกระจายงบประมาณอย่างทั่วถึง รวมทั้งการจัดกิจกรรมตามแนวพระพระราชดำริและโครงการเฉลิมพระเกียรติ เพื่อเทิดพระเกียรติพระบรมวงศานุวงศ์ทุกพระองค์
อย่างไรก็ตามที่ผ่านมา สปสช.ได้มีการจัดโครงการเทิดพระเกียรติพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ในวาระต่างๆ เป็นโครงการต่อเนื่อง เพื่อให้ผู้ป่วยและผู้พิการที่ยากไร้ได้มีสุขภาพร่างกายที่ดีขึ้น ห่างไกลจากความพิการ และมีคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้น อาทิ โครงการผ่าตัดปลูกถ่ายตับในเด็กที่มีภาวะตับวายแต่กำเนิดเพื่อร่วมเฉลิมพระเกียรติในโอกาสครบรอบ 84 พรรษาของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว เป็นการช่วยเหลือผู้ป่วยเด็กโรคท่อน้ำดีตีบตันตั้งแต่กำเนิด (Biliary atresia) ซึ่งในแต่ละปีมีเด็กที่จำเป็นต้องได้รับการผ่าตัดปลูกถ่ายตับประมาณ 30-40 รายต่อปี โครงการจัดหาและบริการดวงตาเพื่อเฉลิมพระเกียรติพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ทรงเจริญพระชนมพรรษา 82 พรรษา ตั้งแต่ปี 2552-2556 โดยจะให้บริการดวงตาสำหรับผู้ที่ต้องการปลูกถ่ายกระจกตา และอบรมการเจรจา การจัดหา การจัดเก็บ การจัดสรร และการจัดหาดวงตา เพื่อให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องได้รับทักษะความรู้ เทคนิค และประสบการณ์ในการพัฒนาระบบการจัดเก็บ การจัดสรรดวงตา และการจัดหาให้มีประสิทธิภาพและมีจำนวนที่เพิ่มมากขึ้น เพื่อแก้ไขปัญหาผู้ป่วยกระจกตาพิการ รวมถึงวิธีการรักษาด้วยการผ่าตัดเปลี่ยนกระจกตาโครงการส่งเสริม สุขภาพและป้องกันภาวะตาบอดจากเบาหวาน เฉลิมพระเกียรติพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว เนื่องในโอกาสมหามงคลเฉลิมพระชนมพรรษา 84 พรรษา 5 ธันวาคม 2554 เพื่อให้ผู้ป่วยเบาหวานได้รับการตรวจหาภาวะแทรกซ้อนทางตาและผู้ป่วยที่มีภาวะแทรกซ้อนทางตา ได้รับการยิงเลเซอร์ป้องกันภาวะตาบอดจากเบาหวาน
โครงการผ่าตัดเฉลิมพระเกียรติพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว 84 พรรษา เพื่อช่วยเหลือผู้ป่วยพิการบนใบหน้าและกะโหลกศีรษะชนิดรุนแรง โดยศูนย์สมเด็จพระเทพรัตนฯ แก้ไขความพิการบนใบหน้าและกะโหลกศีรษะ โรงพยาบาลจุฬาลงกรณ์ สภากาชาดไทย ซึ่งเป็นศูนย์ครบวงจรแห่งแรกในประเทศไทยและเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ทางด้านการดูแลรักษาผู้ที่มีความพิการบนใบหน้าและกะโหลกศีรษะชนิดรุนแรง (severe craniofacial deformities) เพื่อให้การรักษาผ่าตัดผู้ที่มีความพิการบนใบหน้าและกะโหลกศีรษะชนิดรุนแรงทั่วประเทศโดยไม่คิดค่าใช้จ่าย และโครงการแพทย์ชนบทคืนถิ่น "แพทย์เวชศาสตร์ครอบครัว" เป็นการมอบทุนศึกษาต่อทั้งในและต่างประเทศกับแพทย์ในชนบทที่เข้าร่วมโครงการเพื่อเพิ่มพูนพัฒนาทักษะการรักษาคนไข้ ก่อนกลับมาปฏิบัติงานชดใช้ทุนใน รพ.ชุมชน
น.พ.วินัย กล่าวว่า สำหรับการบริหารจัดการระบบที่มีเอกภาพ จะช่วยยกระดับการรักษาให้มีมาตรฐานและความรวดเร็วในการให้บริการ ผู้รับบริการจะได้รับประโยชน์อย่างสูงสุด โดยมีเป้าหมายให้นายแพทย์สาธารณสุขจังหวัดเป็น CEO ของเรื่องการเสริมสร้างสุขภาพ ส่วนองค์กรท้องถิ่นจะมีส่วนในการกำหนดเป้าหมายงานสร้างสุขภาพ และกระจายงบประมาณลงสู่พื้นที่ สนับสนุนให้หน่วยบริการเอกชนเข้าร่วมให้บริการ เพื่อลดเวลาการรอคิวรับการผ่าตัดในโรคที่สำคัญ เช่น หัวใจ มะเร็ง ต้อกระจก
นอกจากนี้ สปสช.ยังได้จัดงบประมาณกว่า 90 ล้านบาท เพื่อจ่ายเงินช่วยเหลือเบื้องต้นกรณีผู้รับบริการได้รับความเสียหายจากการรับบริการสาธารณสุขตามมาตรา 41 รวมทั้งสนับสนุนให้มีกระบวนการไกล่เกลี่ยระดับจังหวัด ผ่านกลไกภาครัฐและประชาชน โดยคาดว่าจะมีผู้ได้รับการช่วยเหลือจำนวนประมาณ 700 บาท
อย่างไรก็ตาม หลายฝ่ายมีความกังวลว่า หากมีการเก็บค่าธรรมเนียม 30 บาทในการรักษา จะเกิดผลกระทบต่อประชาชนที่ยากไร้ในเรื่องดังกล่าว ทางคณะกรรมการ สปสช.และผู้เกี่ยวข้องได้มีข้อสรุปว่า การเก็บค่าธรรมเนียม 30 บาทนั้นจะเน้นให้ความเป็นธรรมแก่ประชาชนมากที่สุด สำหรับกลุ่มที่ได้รับการยกเว้น คือ กลุ่มคนยากจน และกลุ่มที่ควรจะได้รับการช่วยเหลือ โดยขอความร่วมมือจาก อสม. และ อบต.ทำการสำรวจและจัดส่งฐานข้อมูลเพิ่มเติม เพื่อความสะดวกรวดเร็วในการตรวจสอบสิทธิ
อีกทั้งจะมีการพัฒนาสถานบริการใกล้บ้านใกล้ใจ ให้ครอบคลุมทุกพื้นที่เพื่อลดความแออัดใน โรงพยาบาลขนาดใหญ่ รวมทั้งพัฒนาระบบการส่งต่อ-รับกลับแบบไร้รอยต่อ ซึ่งการบริหารจัดการดังกล่าวจะทำให้ประชาชนเข้าถึงบริการได้อย่างเหมาะสม นอกจากนี้ สปสช.จะจัดสรรงบประมาณให้กับหน่วยบริการต่างๆ เป็นจำนวน 329.65 บาทต่อหัว ผ่านกองทุนการสร้างเสริมสุขภาพ เพื่อการพัฒนาระบบการสร้างเสริมสุขภาพแก่ประชาชนในพื้นที่อีกด้วย
น.พ.วินัย กล่าวว่า หากมีกรณีฉุกเฉินเกิดขึ้น เมื่อเกิดภัยพิบัติ โรคระบาด และภัยสุขภาพ ทาง สปสช.ได้มีการเตรียมงบประมาณจากทุนสำรองกรณีฉุกเฉินมีสามารถเบิกจ่ายได้ทันทีพร้อมกับเตรียมแผนร่วมกับกระทรวงสาธารณสุข และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องในกรณีเกิดเหตุการณ์ที่ไม่คาดฝันเกิดขึ้น
การทำงานเชิงรุกด้านการป้องกันเป็นอีกงานหนึ่งที่ทาง สปสช.ได้ดำเนินการต่อเนื่อง โดยเฉพาะการคัดกรองผู้ป่วยในโรคต่างๆ เช่น เบาหวาน ความดันโลหิตสูง มะเร็งปากมดลูก รวมทั้งการส่งเสริมให้เด็ก สตรี คนพิการ ผู้สูงอายุ รวมทั้งแรงงานต่างด้าว ได้รับการส่งเสริมคุณภาพชีวิตที่ดี เช่น การให้ยาเม็ดเสริมไอโอดีนแก่สตรีตั้งครรภ์ การฉีดวัคซีน ฟื้นฟูผู้พิการ และส่งเสริมให้มีการใช้แพทย์แผนไทยและการแพทย์ทางเลือกในระบบสาธารณสุขทุกระดับ ตามมาตรา 3 ของ พ.ร.บ.หลักประกันสุขภาพแห่งชาติ ซึ่งในภาพรวมจะช่วยประหยัดค่าใช้จ่ายด้านยาของประเทศ และเป็นการสนับสนุนภูมิปัญญาไทย
"ส่วนการให้ความรู้ความเข้าใจแก่ประชาชนและผู้ให้บริการได้รับรู้ถึงสิทธิและหน้าที่ เพื่อการเข้าถึงบริการและช่วยลดความขัดแย้งในระบบริการ สุขภาพ ผ่านกลไกสื่อและประชาสัมพันธ์ที่ครอบคลุมทุกกลุ่มเป้าหมาย รวมทั้งสื่อท้องถิ่น พัฒนาศูนย์บริการประชาชนให้เป็น National Health Call Center ที่เชื่อมโยงกับบริการสายด่วนของรัฐ ด้านสุขภาพ และพัฒนาเว็บไซต์ของ สปสช. เพื่อเพิ่มช่องทางการเข้าถึงข้อมูลด้านบริการสุขภาพของประชาชนและหน่วยบริการ ดังนั้นการให้ความรู้เรื่องสิทธิและข้อมูลเป็นเรื่องสำคัญที่จะช่วยให้การดำเนินงานในระบบประกันสุขภาพไปในทิศทางเดียวกันทั้งผู้ให้และผู้รับบริการ" น.พ.วินัย กล่าว
บ้านเมือง 8 ตุลาคม 2554
6978
« เมื่อ: 08 ตุลาคม 2011, 21:20:02 »
นายวิทยา บุรณศิริ รมว.สาธารณสุข กล่าวว่า ได้สั่งระดมทีมแพทย์ประมาณ 30 คนจาก จ.ราชบุรี มาเปิดโรงพยาบาลสนามขนาด 10-20 เตียง เพื่อบริการประชาชนบริเวณจุดอพยพที่อยู่ฝั่งตรงข้ามศาลากลางจังหวัดพระนครศรีอยุธยาในช่วงบ่ายวันนี้ ส่วนโรงพยาบาลสนามอีก 1 แห่งตั้งอยู่ที่วิทยาลัยการอาชีพมหาราชได้เปิดให้บริการแล้ว โดยจะดูแลประชาชนในพื้นที่ อ.มหาราช และ อ.บางปะหัน
รมว.สาธารณสุข กล่าวว่า ปัญหาใหญ่ขณะนี้คือเรื่องของการเดินทาง เนื่องจากพื้นที่ส่วนใหญ่เต็มไปด้วยน้ำ แนวโน้มระดับน้ำสูงขึ้นกว่าเดิม ประชาชนไม่สามารถอาศัยในบ้านเรือนได้ กระทรวงสาธารณสุขได้เปิดสายด่วน 1669 ให้ประชาชนที่เจ็บป่วยฉุกเฉินหรือแจ้งกลุ่มเสี่ยงติดในบ้านเรือนเช่นหญิงตั้งครรภ์ หญิงหลังคลอด ผู้สูงอายุ ผู้พิการ ผู้ป่วยที่ช่วยเหลือตนเองไม่ได้ ตลอด 24 ชั่วโมง ตลอดเมื่อคืนนี้ได้รับแจ้งกว่า 1,000 สาย ได้ประสานจัดส่งรถกู้ชีพ รวมทั้งทีมเจ้าหน้าที่อื่นช่วยเหลืออย่างเต็มที่
ส่วนโรงพยาบาลชุมชนใน จ.พระนครศรีอยุธยาและจังหวัดอื่นๆ ขณะนี้เปิดให้บริการประชาชนได้ตามปกติตลอด 24 ชั่วโมง และกำลังเร่งดำเนินการป้องกันโรงพยาบาลศูนย์ที่มีความเสี่ยงจะถูกน้ำท่วม ได้แก่ โรงพยาบาลพระนครศรีอยุธยา และโรงพยาบาลสวรรค์ประชารักษ์ จ.นครสวรรค์ เพื่อให้สามารถเป็นจุดรองรับผู้ป่วยจากทุกอำเภอ โดยให้ทุกแห่งสำรองเวชภัณฑ์และออกซิเจนเพื่อดูแลผู้ป่วย ซึ่งส่วนใหญ่มีอาการหนักได้ประมาณ 2 สัปดาห์เรียบร้อยแล้ว
สำหรับผลการออกหน่วยแพทย์เคลื่อนที่จนถึงวันนี้พบประชาชนเจ็บป่วยสะสม 513,860 ราย เพิ่มวันละเกือบ 20,000 ราย พบผู้มีความเครียดสูง 3,104 ราย ซึมเศร้า 4,435 ราย เสี่ยงฆ่าตัวตาย 574 ราย และต้องติดตามดูแลพิเศษ 863 ราย ดดยวันนี้ส่งยาเพิ่มที่จังหวัดลำปาง ปทุมธานี และยโสธร รวม 23,500 ชุด
ด้าน น.พ.ไพจิตร์ วราชิต ปลัดกระทรวงสาธารณสุข กล่าวว่า ได้ปรับแผนทำงานเพื่อรองรับสถานการณ์น้ำท่วม โดยให้โรงพยาบาลในจังหวัดที่ไม่ถูกน้ำท่วม จับคู่ให้การช่วยเหลือโรงพยาบาลที่เสี่ยงถูกน้ำท่วมหรือถูกน้ำท่วม หากมีความเร่งด่วนมาก ให้โรงพยาบาลจังหวัดข้างเคียงที่มีศักยภาพสูงรองรับผู้ป่วย
หากเกิดกรณีเร่งด่วนฉุกเฉิน รวมทั้งจำเป็นต้องเคลื่อนย้ายผู้ป่วยเข้าไปดูแลใน กทม.ให้โรงพยาบาลราชวิถี กรมการแพทย์ กทม.เป็นศูนย์กลางประสานการรับส่งต่อผู้ป่วยหนัก หรืออยู่ในภาวะวิกฤติ เพื่อส่งดูแลในโรงพยาบาลที่อยู่ในสงกัดในกทม. หรือโรงพยาบาลนอกสังกัด เช่น โรงเรียนแพทย์ เป็นต้น
"วันนี้ได้สั่งการให้โรงพยาบาลในจังหวัดใกล้เคียงที่น้ำไม่ท่วมจับมือช่วยเหลือจังหวัดที่น้ำท่วมในการจัดหน่วยแพทย์เคลื่อนที่เสริมตามจุดต่างๆ ในพื้นที่น้ำท่วม เพื่อผ่อนเบาภาระของเจ้าหน้าที่ ซึ่งมีความเหนื่อยล้า" น.พ.ไพจิตร์ กล่าว
อินโฟเควสท์ 7 ตุลาคม 2554
6979
« เมื่อ: 08 ตุลาคม 2011, 21:16:58 »
ชาวบ้านตื่น "แมงกะพรุน" นับล้านตัวบุกอ่าวสัตหีบ เตือนภัยนักท่องเที่ยวลงเล่นน้ำระวังแพ้พิษ เผยเคล็ดลับใช้ “ผักบุ้งทะเล” บดทาผิวหนังถอนพิษ หรืออาบน้ำจืดฟอกสบู่ก็หาย...
เมื่อวันที่ 7 ต.ค. ผู้สื่อข่าวรายงานว่า เกิดปรากฏการณ์ประหลาดในอ่าวสัตหีบ อ.สัตหีบ จ.ชลบุรี เมื่อมีแมงกะพรุน ชนิดแมงกะพรุนถ้วย ลอยตัวกระจายในวงกว้างทั่วอ่าว ทำให้ชาวประมงน้ำตื้นจำนวนมากหวาดกลัว ส่งผลให้นักท่องเที่ยวที่มาเล่นน้ำสะอาดในพื้นที่สัตหีบ โดยเฉพาะหาดกองเรือยุทธการ หาดหน่วยบัญชาการต่อสู้อากาศยาน อ่าวเตยงาม และอ่าวดงตาล ไม่กล้าลงเล่นน้ำทะเลกัน แต่ก็มีนักท่องเที่ยวบางส่วนไม่กลัว เพราะรู้ว่าแมงกะพรุนถ้วยมีพิษไม่ร้ายแรง ถ้ามีอาการแพ้พิษก็สามารถแก้ไขได้ด้วยตัวเองได้ โดยใช้ธรรมชาติบำบัด คือ ต้นและใบของผักบุ้งทะเล ที่กองทัพเรือปลูกอนุรักษ์ไว้ตามชายทะเลทั่วไปในพื้นที่อ.สัตหีบ
ภายหลังทราบข่าวว่ามีแมงกะพรุนนับล้านตัวบุกอ่าวสัตหีบ ทำให้นายชายชาญ เอี่ยมเจริญ นายอำเภอสัตหีบ นำหัวหน้าส่วนราชการ โดยเฉพาะประมงอำเภอสัตหีบ ลงไปตรวจสอบบริเวณอ่าวดงตาล ด้านหน้าที่ว่าการอำเภอสัตหีบ และทั่วๆไป ปรากฏว่าพบแมงกะพรุนชนิดถ้วย ลอยอยู่บนผิวน้ำเต็มไปหมด กำลังไล่จับสัตว์เล็กๆ เป็นอาหาร ซึ่งปรากฏการณ์ที่เกิดขึ้น เป็นเพียงช่วงระยะหนึ่งที่อ่าวสัตหีบเกิดความอุดมสมบูรณ์อย่างมาก มีแพลงตอนเข้ามาในช่วงฤดูกาลที่น้ำเปลี่ยน ทำให้เป็นแหล่งอาหารที่สมบูรณ์ของสัตว์น้ำชายฝั่ง อีกทั้งสัตว์ทะเลที่อาศัยอยู่ตามแนวปะการัง โขดหินแนวเกาะแก่งต่างๆ ในอ่าวสัตหีบ ก็จะเข้ามากินแพลงตอนจำนวนมาก ส่งผลให้ประมงชายฝั่งหาปลาไปเป็นอาหาร จำหน่ายเลี้ยงชีพตัวเองและครอบครัวได้เป็นอย่างดีอีกด้วย โดยปรากฏการณ์นี้คงใช้เวลาประมาณ 10 วัน ถ้ามีการถ่ายเทน้ำลงมาก็จะหมดไป แมงกะพรุนจะย้ายไปหากินที่อื่นต่อไป
ขณะที่ พล.ร.ท.ชุมพล วงศ์เวคิน ผู้บัญชาการทัพเรือภาคที่ 1 กองทัพเรือ อำเภอสัตหีบ กล่าวว่า ทัพเรือภาคที่ 1 ดำเนินโครงการอนุรักษ์หญ้าทะเลตามแนวชายฝั่งทะเล เพื่อเป็นแหล่งอาหารของพะยูนที่หมุนเวียนเข้ามาตามฤดูกาลในอ่าวสัตหีบ อีกทั้งมีกองสนับสนุนกองเรือยุทธการที่รับผิดชอบอ่าว กองเรือยุทธการ ฐานทัพเรือสัตหีบ รับผิดชอบหาดแหลมเทียน, หน่วยบัญชาการนาวิกโยธิน รับผิดชอบอ่าวเตยงาม, หน่วยบัญชาการต่อสู้อากาศยานและรักษาฝั่ง รับผิดชอบหาดเทียนทะเล ได้ร่วมกันปลูกและอนุรักษ์ผักบุ้งทะเลตามแนวชายหาดไว้จำนวนมาก เพื่อไว้แก้พิษร้ายจากแมงกะพรุนนานาชนิด โดยเฉพาะแมงกะพรุนไฟที่อันตรายที่สุด
"ผักบุ้งทะเล เป็นไม้ล้มลุกชนิดเถาเลื้อย ลำต้นทอดไปตามยาวบนพื้นดิน มักขึ้นใกล้ทะเล ผิวเถาเรียบสีเขียวและสีม่วง ใบเป็นรูปหัวใจ ปลายเว้าเข้าหากัน ตามเถาและใบมียางสีขาว ดอกจะออกเป็นช่ออยู่ตามง่ามใบ ช่อหนึ่งจะมีดอกอยู่ประมาณ 2-6 ดอก แต่จะทยอยกันบานทีละดอกเท่านั้น ลักษณะของดอกเป็นรูปปากแตร ยาวประมาณ 2.5 นิ้ว มีสีม่วงอมชมพู ม่วงอมแดง ชมพู หรือม่วง ผักบุ้งทะเลมีพิษ ถ้ารับประทานจะเกิดอาการเมา คลื่นไส้ วิงเวียน เพราะมีสารที่มีฤทธิ์ต้านฮีสตามีน หรือแอนตี้-ฮีสตามีน แต่สามารถยับยั้งพิษแมงกะพรุนและแมลงกัดต่อยได้ โดยใช้ใบและเถาล้างให้สะอาด จากนั้นนำไปตำให้ละเอียด คั้นเอาน้ำมาทาในบริเวณที่เกิดอาการบวมแดง เพียงไม่นานก็จะหายเป็นปกติ ถ้าจะให้ดีต้องอาบน้ำจืด ฟอกด้วยสบู่ด้วยก็จะดีมาก" พล.ร.ท.ชุมพลกล่าว
ด้านนายสมชาย จิตประจง อายุ 45 ปี อยู่บ้านเช่าไม่มีเลขที่ ซอยเย็นฤดี ม.6 ต.สัตหีบ อ.สัตหีบ ซึ่งเป็นชาวประมงน้ำตื้นหากินแนวชายฝั่ง กล่าวว่า วันนี้มีเพื่อนๆบอกว่า มีปลากระบอกจำนวนมากเข้ามากินอาหารบริเวณหาดดงตาล หน้าที่ว่าการอำเภอสัตหีบ จึงได้นำอวนมาล้อมปลา ปรากฏว่าพบแมงกะพรุนถ้วยเป็นจำนวนมาก นับแสนนับล้านตัวภายในอ่าวสัตหีบ ซึ่งไม่เคยเห็นจำนวนมากอย่างนี้มาก่อน น่าจะเป็นลางบอกเหตุหรือปรากฏการณ์ในทะเล โดยเฉพาะคลื่นลมทะเลด้านนอกอาจรุนแรง หรืออาจเกิดภัยพิบัติ ซึ่งขณะที่ลงไปล้อมปลาก็เกิดอาการคันผิวหนังไปทั้งตัว โชคดีที่ตัวเองไม่แพ้พิษแมงกะพรุนถ้วย แต่ถ้าเป็นแมงกะพรุนไฟ อาจต้องเข้าโรงพยาบาลแน่นอน
ไทยรัฐออนไลน์ 8 ตค 2554
6980
« เมื่อ: 07 ตุลาคม 2011, 21:33:03 »
สพศท.ลั่นรับไม่ได้ผลประเมินเลขาฯ สปสช.ผลงานดีเยี่ยม ยันโดยรวมแย่ลง ระบบการบริหารเงินก็มีปัญหาอย่างแรง ส่งผลโรงพยาบาลสธ.ขาดทุนทั่วประเทศ เสนอเปลี่ยนเลาขาฯคนใหม่ พญ.ประชุมพร บูรณ์เจริญ ประธานสมาพันธ์แพทย์โรงพยาบาลศูนย์/โรงพยาบาลทั่วไป (รพศ./รพท.) หรือ (สพศท.) กล่าวถึงกรณีบอร์ด สป.สช.คณะเดิมได้เร่งประเมินผลงานของ นพ.วินัย สวัสดิวร เมื่อวันที่ 5 ต.ค.2554 นี้ โดยได้จ้างบริษัทเอกชนทำการประเมิน สรุปว่า ผลงานดีเยี่ยม นั้น ว่า พวกเราชาว รพศ./รพท.ยอมรับไม่ได้ เพราะผลงานหลายปีที่ผ่านมาของเลขา สปสช.ท่านนี้
1.ทำให้ประชาชนได้รับบริการที่แออัดกว่าเดิม ยาก็ไม่ดีขึ้น รพ.มหาวิทยาลัยก็เลิกรับคนไข้บัตรทอง ส่งต่อก็ยากขึ้น ทุกอย่างโดยรวมแย่ลง 2.ระบบการบริหารเงินก็มีปัญหาอย่างแรง ล้มเหลวอย่างที่ไม่เคยมีมาก่อนในประวัติศาสตร์โดยไม่เกี่ยวข้องกับเศรษฐกิจประเทศ หรือรัฐบาลเลยเป็นผลงานของท่านล้วนๆ ทำให้ รพ.ของ สธ.ขาดทุนล่มจมทั่วประเทศ มีเงินค้างท่ออยู่ใน สปสช.มากมหาศาลทุกปี อยากทำโครงการเอาหน้าอะไรก็ทำ โดยมีปัญหามากเกินบรรยายถ้าฝีมือดีเยี่ยมทำได้แค่นี้ “ไม่แก้ปัญหาชาวบ้าน สร้างแต่ปัญหาให้โรงพยาบาล” จะสนองนโยบาย “ยกเครื่อง สปสช.” ได้อย่างไร “ขอให้กำลังใจท่าน รมต.วิทยา ที่จะมายกเครื่อง สปสช.ใหม่ แต่น่าเป็นห่วงแทนท่านถ้ายังจะใช้บริการ เลขาฯ สปสช.คนเดิม ขอสนับสนุนให้เปลี่ยนเป็นคนใหม่ที่มีคุณภาพและคุณธรรมมากกว่านี้ ระบบสาธารณสุขถึงจะรอดขอตั้งข้อสังเกตด้วยว่าถ้าดีจริงควรให้บอร์ดใหม่ประเมินด้วย และถ้าให้ประชาชนและ รพ.ทั่วประเทศร่วมประเมินด้วยก็จะโปร่งใสอย่างยิ่ง ไม่น่ารีบร้อน ดูน่าเคลือบแคลงว่างุบงิบชงเองกินเองอีกหรือเปล่า” พญ.ประชุมพร กล่าว
ASTVผู้จัดการออนไลน์ 7 ตุลาคม 2554
6981
« เมื่อ: 07 ตุลาคม 2011, 21:28:02 »
เมื่อเวลา 03.20 น. ร.ต.อ.วินัย คำสุข พนักงานสอบสวน(สบ 1) สน.บางซื่อ รับแจ้งเหตุชายตกจากที่สูง เหตุเกิดภายใน รพ.วิชัยยุทธ ถ.พระราม 6 แขวงสามเสนใน เขตพญาไท กทม. จึงรุดไปตรวจสอบพร้อมด้วยแพทย์นิติเวช และเจ้าหน้าที่มูลนิธิร่วมกตัญญู ที่เกิดเหตุบริเวณพื้นระหว่างตัวอาคารผู้ป่วยกับอาคารจอดรถ พบศพนายรัชภาคย์ เต็มนิธิรัตน์ อายุ 49 ปี อยู่บ้านเลขที่ 385/36 ถนนประชานฤมิตร เขตบางซื่อ กทม. สภาพศพนอนหงาย สวมชุดผู้ป่วยของ รพ.วิชัยยุทธ แขนขาหักผิดรูป ตรวจสอบตามร่างกายไม่พบร่องรอยการถูกทำร้ายแต่อย่างใด จากการสอบสวนทราบว่าผู้ตายป่วยเป็นโรคมะเร็ง และเป็นคนไข้ประจำที่ รพ.วิชัยยุทธ เมื่อช่วงเช้าวันที่ 6 ต.ค.ที่ผ่านมา ได้เข้ามารักษาตัวซึ่งแพทย์ให้นอนพักที่รพ.เพื่อรอดูอาการ โดยผู้ตายพักอยู่ที่ห้อง 816 ชั้น 8 ก่อนเกิดเหตุผู้ตายตัดสินใจขึ้นไปบริเวณชั้น 15 ก่อนกระโดดลงมาเสียชีวิตดังกล่าว เบื้องต้นเจ้าหน้าที่สันนิษฐานว่าผู้ตายน่าจะเกิดความเครียด เนื่องจากป่วยเป็นโรคร้าย จึงได้ตัดสินใจก่อเหตุดังกล่าว อย่างไรก็ตามได้มอบศพให้เจ้าหน้าที่มูลนิธิฯ นำส่งชันสูตรอย่างละเอียดต่อไป
เนชั่นทันข่าว 7 ตค. 2554
6982
« เมื่อ: 07 ตุลาคม 2011, 21:26:32 »
ที่บริเวณสามแยกบางพาน ถนนสายเอเชีย ทางต่างระดับเข้าเมืองสิงห์บุรี สำนักงานสาธารณสุขจังหวัดสิงห์บุรี ได้นำบ้านน๊อกดาวน์ ทำเป็นสุขศาลาชั่วคราว ไปตั้งให้บริการผู้ประสบภัยที่เจ็บป่วย ซึ่งเป็นที่พักอาศัยชั่วคราวของประชาชนในชุมชนบ้านบางพาน อำเภอเมือง จังหวัดสิงห์บุรี จำนวนประมาณ 150 ครัวเรือน ที่บ้านน้ำท่วมจนไม่สามารถอาศัยอยู่ได้ต้องอพยพมาอยู่บนถนน นายแพทย์นิรันทร์รัชต์ พิชญาคามินทร์ นายแพทย์สาธารณสุขจังหวัดสิงห์บุรี กล่าวว่า การออกไปตั้งสุขศาลาให้บริการประชาชนที่ประสบภัยในครั้งนี้ว่า เป็นแห่งที่ 4 ที่สำนักงานสาธารณสุขจังหวัดจัดตั้งขึ้นไว้บริการประชาชนที่ประสบภัย ที่มารวมกันเป็นกลุ่มใหญ่ 100 ครัวเรือนขึ้นไป โดยในการสำรวจเบื้องต้นมีทั้งหมด 8 จุด ที่เป็นจุดใหญ่ที่ประชาชนอาศัยอยู่รวมกัน ซึ่งสำนักงานสาธารณสุขจังหวัดสิงห์บุรี ก็จะไปตั้งจุดบริการรักษาพยาบาลให้ครบทั้ง 8 แห่ง โดยในแต่ละสุขศาลาจะมีเจ้าหน้าที่ผลัดเปลี่ยนกันไปประจำเพื่อให้บริการแก่ผู้ที่เจ็บป่วยในเบื้องต้น 24 ชั่วโมง
เนชั่นทันข่าว 6 ตค. 2554
6983
« เมื่อ: 07 ตุลาคม 2011, 21:24:05 »
"วิทยา” ส่งหน่วยแพทย์ดูแลผู้ประสบภัยที่จุดอพยพใหญ่ ที่อยุธยา และตั้งโรงพยาบาลสนาม 1 แห่ง ปักหลักบริการ 24 ชั่วโมง
เย็นวันนี้ (6 ตุลาคม 2554)นายวิทยา บุรณศิริ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข พร้อมด้วยนายแพทย์ไพจิตร์ วราชิต ปลัดกระทรวงสาธารณสุข และคณะเดินทางไปติดตามสถานการณ์น้ำท่วมที่จังหวัดพระนครศรีอยุธยา ซึ่งจัดว่าอยู่ในขั้นวิกฤติ น่าห่วง โรงพยาบาลชุมชนหลายแห่งของกระทรวงสาธารณสุขได้รับผลกระทบ เนื่องจากระดับน้ำท่วมโดยรอบโรงพยาบาลสูงขึ้นเรื่อยๆ
นายวิทยากล่าวว่า วันนี้จังหวัดได้อพยพประชาชนออกจากพื้นที่ ไปที่อาคารพาณิชย์ ต.ธนู อ.อุทัย ซึ่งตั้งอยู่ฝั่งตรงข้ามกับศาลากลางจังหวัดพระนครศรีอยุธยา รับประชาชนได้ประมาณ 1,000 ครอบครัว โดยมีประชาชนจาก อ.บางปะหัน อ.มหาราช อ.พระนครศรีอยุธยา อ.นครหลวง ทยอยเดินทางเข้ามาพัก กระทรวงสาธารณสุขได้จัดทีมแพทย์ 1 ทีม จากโรงพยาบาลอุทัย ไปประจำการ เพื่อดูแลสุขภาพผู้ประสบภัย และดูแลความสะอาดสุขาภิบาล เพื่อป้องกันไม่ให้เกิดโรคระบาด ตลอด 24 ชั่วโมง
สำหรับพื้นที่อ.บางปะหัน และที่มหาราช ขณะนี้พื้นที่เต็มไปด้วยน้ำ ประชาชนเดินทางยากลำบาก กระทรวงสาธารณสุขได้เปิดโรงพยาบาลสนาม 1 จุดที่วิทยาลัยการอาชีพมหาราช ตำบลบ้านฝาน อ.มหาราช ซึ่งเป็นจุดอพยพชาวบ้านด้วย เพื่อดูแลประชาชนในอ.บางปะหันและอ.มหาราช โดยมีแพทย์ประจำการ 3 คน พยาบาลและเจ้าหน้าที่อื่นๆรวมทั้งหมด 30 คน มีเตียงผู้ป่วย 10 เตียง ให้บริการเหมือนโรงพยาบาลชุมชน เพื่ออำนวยความสะดวกประชาชนให้รับบริการสะดวกขึ้น คาดจะเริ่มเปิดให้บริการตั้งแต่คืนนี้เป็นต้นไป โดยมีรถพยาบาลฉุกเฉินพร้อมนำส่งผู้ป่วย 1 คัน
สำหรับโรงพยาบาลบางปะหันขณะนี้ น้ำท่วมทางเข้าโรงพยาบาลสูงประมาณ 2 เมตร กระแสน้ำเชี่ยว อันตรายมาก ปิดให้บริการผู้ป่วยนอก และผู้ป่วยในชั่วคราว คงให้บริการเฉพาะฉุกเฉิน และส่งทีมแพทย์ออกเยี่ยมบ้านผู้ป่วยเรื้อรังทุกวัน ส่วนที่โรงพยาบาลมหาราช เส้นทางเข้าออกโรงพยาบาลถูกตัดขาด เพราะน้ำท่วมสูง แต่ยังเปิดให้บริการได้ตามปกติ มีเรือรับส่งผู้ป่วยถึงบ้าน
ผลการออกหน่วยแพทย์เคลื่อนที่ 3,693 ทีม มีผู้เจ็บป่วยสะสม 493,987 ราย พบโรคน้ำกัดเท้ามากที่สุด รองลงคือไข้หวัด ผลการตรวจสุขภาพจิตใน 33 จังหวัด พบต้องติดตามพิเศษจำนวน 812 ราย จัดส่งยาช่วยน้ำท่วมแล้ว 1,223,700 ชุด สำรองไว้อีก 500,000 ชุด สำรองเซรุ่มแก้พิษงู 3,500 ชุด
กรุงเทพธุรกิจออนไลน์ 6 ตุลาคม 2554
6984
« เมื่อ: 06 ตุลาคม 2011, 21:34:13 »
AFP ตีข่าว ไทยแจกถุงยางอนามัยให้ผู้ประสบภัยน้ำท่วม ป้องกันการตั้งครรภ์โดยไม่ได้วางแผนล่วงหน้า
วันนี้ ( 5 ตุลาคม) สำนักข่าวเอเอฟพีได้ตีข่าวว่า กระทรวงสาธารณสุขของประเทศไทยได้นำเฮลิคอปเตอร์ 5 ลำ บรรทุกยา เสบียงอาหาร และถุงยังชีพไปแจกจ่ายให้กับประชาชนใน 7 พื้นที่ของจังหวัดลพบุรี ซึ่งเป็นจุดที่ได้รับผลกระทบจากเหตุการณ์น้ำท่วมอย่างรุนแรง โดยในถุงยังชีพนั้นมีถุงยางอนามัยบรรจุอยู่ด้วย เพื่อเป็นการป้องกันปัญหาการตั้งครรภ์ที่ไม่ได้วางแผนล่วงหน้า และจะทำให้ในอนาคตมีเด็กเกิดใหม่อีกจำนวนมาก
โดยเอเอฟพีรายงานว่า เจ้าหน้าที่ของสถาบันการแพทย์ฉุกเฉินแห่งชาติคนหนึ่ง บอกกับผู้สื่อข่าวเอเอฟพีว่า มีอาสาสมัครในพื้นที่บอกกับเจ้าหน้าที่ว่า ในช่วงน้ำท่วมเช่นนี้ ชาวบ้านไม่มีอะไรทำ ดังนั้น เพื่อเป็นการป้องกันการตั้งครรภ์ที่ไม่ได้วางแผนไว้ล่วงหน้า จึงต้องมีการแจกจ่ายถุงยางอนามัยให้กับชาวบ้านด้วย
อย่างไรก็ตาม ทางกระทรวงสาธารณสุขของไทยยังไม่ได้ออกมาให้สัมภาษณ์ถึงประเด็นดังกล่าวว่าเป็นเรื่องจริงหรือไม่
ทั้งนี้ พายุฝนที่ตกกระหน่ำได้ทำให้เกิดอุทกภัยครั้งร้ายแรงซึ่งกระทบต่อพื้นที่ 3 ใน 4 ของประเทศไทย รวมทั้งจังหวัดเชียงใหม่ และจังหวัดพระนครศรีอยุธยา ซึ่งเป็นแหล่งท่องเที่ยวที่มีชื่อเสียงของประเทศไทยด้วย โดย ณ วันที่ 5 ตุลาคมนี้ เหตุอุทกภัยได้คร่าชีวิตประชาชนไปแล้วกว่า 237 คน
เรียบเรียงข้อมูลโดยกระปุกดอทคอม
6985
« เมื่อ: 06 ตุลาคม 2011, 21:06:23 »
ห้ามโรงพยาบาลเจ๊งและไม่ให้ใช้จ่ายฟุ่มเฟือย หมอถูกบีบคั้นขนาดนี้ แล้วผู้ป่วยจะพึ่งใคร? จากข่าวในหนังสือพิมพ์โพสต์ทูเดย์ วันที่ ๖ ตุลาคม ๒๕๕๔ พาดหัวข่าวตัวใหญ่ว่า “วิทยา”กร้าว ปี 2555 ห้าม รพ.เจ๊ง และให้ สสจ.คุมเข้มใช้จ่ายฟุ่มเฟือย
ในขณะที่บอร์ด สปสช.ได้รับทราบผลการดำเนินงานของเลขาธิการ สปสช.ว่าได้คะแนนในระดับดีมาก
สองข่าวนี้ ทำให้แพทย์ที่ปฏิบัติงานในโรงพยาบาลของกระทรวงสาธารณสุข ช็อคไปตามๆกัน เนื่องจากว่า สปสช.จ่ายเงินให้โรงพยาบาลไม่ครบตามงบประมาณที่ สปสช.ได้รับมาจากสำนักงบประมาณ ทำให้โรงพยาบาลเจ๊งทั้งประเทศ แต่ เลขาธิการ สปสช.กลับได้รับการประเมินว่ามีการทำงานเป็นระดับเกรดเอ (ดีเยี่ยม) สผพท. จึงใคร่ขอรายละเอียดการประเมินเลขาธิการ สปสช.จากประธานคณะกรรมการหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ (นายวิทยา บุรณศิริ) ว่าองค์กรที่ทำการประเมินนั้นเชื่อถือได้หรือไม่ มีเกณฑ์การประเมินอย่างไร ประเมินทุกมิติหรือไม่ ทำไมโรงพยาบาลจึงยังร้องว่าขาดทุนอยู่
ทั้งนี้จากข่าวในหนังสือพิมพ์กรุงเทพธุรกิจหน้า ๑๒ วันที่ ๖ ต.ค. ๕๔ มีข่าว พาดหัวตัวใหญ่ว่า รพ.จี้ สปสช.จ่ายเงินค้างท่อ ๔,๐๐๐ ล้านบาท ( ที่จริงในรายละเอียดของข่าว เงินค้างท่อนี้เป็นจำนวนเงินเกือบ ๔๐,๐๐๐ล้านบาท)ทั้งนี้ในการประชุม ผู้อำนวยการโรงพยาบาลสังกัดกระทรวงสาธารณสุข ที่นายวิทยา บุรณศิริ เป็นประธานเปิดรับฟังความคิดเห็นจาก ผอ. คุณหมอประเสริฐ ขันเงิน ผู้อำนวยการพ.พระพุทธชินราช จังหวัดพิษณุโลก บอกว่า สปสช.จัดสรรเงินไม่เป็นธรรม แยกย่อยออกไปเป็นถึง ๑๒ กองทุน(ซึ่งใช้เกี่ยวกับโรคยุ่งยากราคาแพง และเงินนี้จะกองอยู่ที่สปสช.ทั้งหมด ประมาณเกือบครึ่งของเงินกองทุนทั้งหมดประมาณ ๔๕,๐๐๐ ล้านบาท มีเงินค่ารักษาผู้ป่วยส่งไปโรงพยาบาลเพียง ประมาณ ๕๓,๐๐๐ล้านบาท)เป็นเหตุให้ โรงพยาบาลได้รับเงินไม่ครบ
ในปี ๒๕๕๔ รัฐบาลให้งบเหมาจ่ายรายหัวมาเกือบ ๒,๕๐๐ บาทต่อหัว แต่เงินค่ารักษามาถึงรพ.แค่ ๒๐๐-๑,๖๐๐บาท (ขึ้นกับจำนวนประชากรของจังหวัดนั้นๆ) และเมื่อรพ.เรียกเก็บค่ารักษาไป สปสช.ก็จ่ายเงินไม่ครบทุกครั้ง ทุกแห่ง เช่นโรงพยาบาลพุทธชินราช เรียกเก็บเงินไป ๙๔๘ ล้านบาท แต่ สปสช.จ่ายมา ๔๙๙ล้านบาท ถ้าดูภาพรวมทั้งประเทศ รพศ./รพท. เรียกไป ๓๗,๐๒๖ล้านบาท แต่ สปสช. จ่ายให้เพียง ๑๗,๖๓๖ ล้านบาท ส่วนรพ.ชุมชนเรียกเก็บ ๓๐,๔๗๓ล้านบาทแต่สปสช.จ่ายให้เพียง ๒๓,๐๐๐ล้านบาท
ฉะนั้นจะเห็นว่าสปสช.ค้างจ่ายเงินแก่รพ.สธ.เป็นจำนวนถึง๒๖,๘๖๓,ล้านบาท .ในเวลาเพียง ๑ ปี
ส่วน นายแพทย์ชูศักดิ์ เอื้อวิจิตรพนา ผอ. รพ.เพชรบูรณ์ รับว่า กองทุนสปสช.มีปัญหาในการเบิกจ่ายอย่างมาก ดังนั้นเห็นว่าในปีงบประมาณ ๒๕๕๕ นี้ สปสช.ควรโอนเงินให้รพ.เต็มจำนวนล่วงหน้า ไม่ใช่รอให้เกิดปัญหาติดขัด และมองว่าที่ผ่านมา สปสช.แบ่งเงินไว้ที่สปสช.มากเกินไป ทำให้มีเงินเหลือไปถึงรพ.ไม่เพียงพอต่อการทำงาน
แต่แทนที่รัฐมนตรีในฐานะประธานคณะกรรมการหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ จะไปกวดขันสปสช.และสั่งการให้สปสช.แก้ไขปัญหาการบริหารเงินให้ถูกต้องและใช้หนี้เก่าให้หมด ตามที่ควรจะเป็น แต่นายวิทยา บุรณศิริ กลับมาสั่งโรงพยาบาลห้ามเจ๊ง ทั้งๆที่รพ.ทั้งหลายเจ๊งจนจะล้มละลายอยู่แล้ว แต่ในฐานะรัฐมนตรีมีหน้าที่แก้ปัญหารพ.เจ๊ง และลูกน้องรมว.สธ.ก็บอกสาเหตุการเจ๊งของรพ.มาแล้วว่าเป็นเพราะอะไรแทนที่จะไปจัดการกับต้นตอของปัญหา กลับมาหาว่ารพ.ฟุ่มเฟือย ขอถามรัฐมนตรีหน่อยว่ารพ.จนกรอบแล้วจะเอาเงินที่ไหนไปฟุ่มเฟือย(วะ)
พวกบุคลากรลูกน้องรัฐมนตรี สงสัยว่าจะเป็นเทวดาหรือไง เงินที่จะใช้รักษาประชาชนก็ไม่มี แถมผู้ป่วยก็ห้ามตาย ถ้าตาย จะออกพ.ร.บ.มีดหมอ มาเชือดหมอ โรงพยาบาลเจ๊งอยู่แล้ว ก็ยังมาบอกว่าห้ามเจ๊ง ......หมอที่เป็นลูกน้องรัฐมนตรี ยังถูกบีบคั้นขนาดนี้จากรัฐมนตรีแล้วผู้ป่วยจะหันหน้าไปพึ่งใคร???
สหพันธ์ผู้ปฏิบัติงานด้านการแพทย์ และสาธารณสุขแห่งประเทศไทย (สผพท.) 6 ต.ค 54
6986
« เมื่อ: 06 ตุลาคม 2011, 20:54:27 »
ผู้สื่อข่าวรายงานสถานการณ์น้ำท่วมในพื้นที่ จ.พระนครศรีอยุธยา ว่า ช่วงเช้าวันนี้(6 ต.ค.) น้ำได้ไหลเข้าบริเวณโรงพยาบาลพระนครศรีอยุธยา ทำให้นายวิทยา บุรณศิริ รมว.สาธารณสุข(สธ.) จึงสั่งการให้ผู้บริหารกระทรวงสาธารณสุข เร่งประเมินสถานการณ์ และขนย้ายผู้ป่วยบางส่วนจากแล้ว รวมทั้งให้ย้ายเครื่องปั่นไฟ และเครื่องมือที่จำเป็นทางการแพทย์ เช่น เครื่องช่วยหายใจ เครื่องเอ็กซเรย์ รวมทั้งเครื่องเอ็กซเรย์สมอง ขึ้นไปอยู่ในพื้นที่ที่ปลอดภัยจากภาวะน้ำท่วม
ด้านกรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย(ปภ.) ได้ประกาศยกเลิกการอพยพประชาชน ไปยังสนามกีฬาจังหวัดพระนครศรีอยุธยา ต.คลองสวนพลู อ.พระนครศรีอยุธยาแล้ว เนื่องจากน้ำไหลทะลักเข้าท่วมบริเวณรอบนอก และจ่อทะลักเข้าท่วมภายในสนามกีฬาและน้ำได้เพิ่มระดับขึ้นอย่างรวดเร็ว โดยพบพื้นที่ทั้งจังหวัดถูกน้ำท่วมไปแล้วกว่า 80% ขณะเดียวกันน้ำได้เอ่อล้นทะลักเข้าท่วมตลาดน้ำอโยธยา แหล่งท่องเที่ยวชื่อดัง ส่งผลให้บริเวณตลาดได้รับความเสียหายอย่างหนัก
ขณะเดียวกันน้ำได้ไหลเข้าท่วมถนนสายเอเชีย ช่วงบางปะหัน-อ่างทอง ทำให้รถติดยาวเหยียดหลายกิโลเมตรทั้งขาเข้าและออก ล่าสุดรถติดยาวกว่า 30 กิโลเมตร
แนวหน้า 6 ตุลาคม 2554
6987
« เมื่อ: 06 ตุลาคม 2011, 20:50:53 »
สธ.สร้างเจ้าหน้าที่-อสม.มืออาชีพ 160,000 คน พร้อมบำบัดผู้ติดยาเสพติดทั่วไทย สาธารณสุขพร้อมให้การบำบัดรักษาผู้ติด ผู้เสพยาเสพติดทั่วประเทศแล้ว โดยสนับสนุนศูนย์บำบัดฟื้นฟูทุกอำเภอ และ กทม.ทุกเขตรวม 928 แห่ง ตั้งเป้าในปี 2555 จะบำบัดให้ได้ 400,000 คน และหลังผ่านการบำบัดแล้วจะให้พลัง อสม.160,000 คน ที่มีความเชี่ยวชาญด้านยาเสพติด ทำหน้าที่ติดตาม เฝ้าระวังไม่ให้กลับมาติดยาซ้ำครอบคลุมทั้ง 84,954 หมู่บ้านทั่วไทย ชี้ขณะนี้ไทยมีผู้เสพยาสูงกว่ามาตรฐานสากลถึง 6 เท่าตัว วันนี้ (6 ต.ค.) ที่ สโมสรตำรวจ ถ.วิภาวดี-รังสิต กทม. นายวิทยา บุรณศิริ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข และพลตำรวจเอกประชา พรหมนอก รัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม เป็นประธานเปิดปฏิบัติการนำผู้เสพ ผู้ติดยาเสพติด ที่สมัครใจเข้ารับการบำบัดรักษา ซึ่งเริ่มเปิดให้บริการในพื้นที่กรุงเทพฯและปริมณฑลแห่งแรก ตามยุทธศาสตร์พลังแผ่นดินเอาชนะยาเสพติด “เพื่อคืนบุตรหลานให้ครอบครัว คืนคนดีสู่สังคม” นายวิทยากล่าวว่า ปัจจุบันการแพร่ระบาดยาเสพติดในประเทศไทยได้กลับมาสู่ภาวะที่มีความรุนแรง ส่งผลกระทบต่อการดำรงชีวิต ความปลอดภัยและทรัพย์สิน โดยในปี 2554 นี้ คาดว่าไทยมีผู้เสพยาเสพติดประมาณ 1.3 ล้านคน เมื่อเทียบกับสถิติประชากรทุกๆ 1,000 คน จะมีผู้เสพยา 19 คน สูงกว่าเกณฑ์มาตรฐานสากล 6 เท่าตัว โดยพบว่าพื้นที่ในเขตกรุงเทพมหานครและปริมณฑลมีสัดส่วนของปัญหามากที่สุดประมาณร้อยละ 60 ดังนั้นรัฐบาลจึงเร่งแก้ปัญหาอย่างจริงจังและถือเป็นวาระแห่งชาติ ทุกภาคส่วนในสังคมจะต้องร่วมกันแก้ปัญหาอย่างจริงจังและต่อเนื่อง ทั้งนี้ รัฐบาลได้กำหนดยุทธศาสตร์พลังแผ่นดินเอาชนะยาเสพติด โดยยึดหลักผู้เสพคือผู้ป่วยที่ต้องได้รับการบำบัดรักษาให้กลับมาเป็นคนดีของสังคม พร้อมทั้งมีกลไกติดตามช่วยเหลืออย่างเป็นระบบ มีแนวทางการดำเนินงานแก้ไขปัญหาผู้เสพ ผู้ติดยาเสพติด โดยชักชวน จูงใจผู้เสพ ผู้ติดยาเสพติดสมัครใจเข้าสู่กระบวนการบำบัดฟื้นฟู ในปี 2555 ไม่น้อยกว่า 400,000 คน ซึ่งวิธีการบำบัดด้วยความสมัครใจนี้ จะได้ผลดี เนื่องจากเป็นความตั้งใจของผู้เสพที่ต้องการเลิกเสพยา นายวิทยากล่าวต่อไปว่า ขณะนี้กระทรวงสาธารณสุขได้เตรียมความพร้อมระบบการบำบัดไว้พร้อมแล้ว โดยจัดตั้งศูนย์บำบัดฟื้นฟูยาเสพติดในโรงพยาบาลชุมชนทุกอำเภอ และใน กทม.ทุกเขต รวมทั้งหมด 928 แห่ง ในการบำบัด จะมีการตรวจคัดกรองผู้เสพทุกพื้นที่ คัดแยกตามระดับรุนแรงของการติดยา เพื่อให้การบำบัดที่เหมาะสม เริ่มดำเนินการในเขต กทม.และปริมณฑลครั้งแรก ในต่างจังหวัดจะเริ่มดำเนินการวิธีเดียวกัน โดยได้จัดอบรมทีมสหวิชาชีพ ทั้งแพทย์ พยาบาล นักจิตวิทยา นักอาชีวบำบัด เพื่อทำหน้าที่บำบัดฟื้นฟู ครบทุกอำเภอจำนวน 5,000 คน และอบรมอาสาสมัครสาธารณสุข หรือ อสม.จำนวน 156,966 คน ให้มีความรู้ความเชี่ยวชาญเรื่องยาเสพติด เพื่อทำหน้าที่ติดตามดูแลช่วยเหลือผู้ที่ผ่านการบำบัดและกลับไปอยู่ในหมู่บ้าน ชุมชน 84,954 หมู่บ้านทั่วประเทศ ป้องกันไม่ให้หวนกลับไปติดยาหรือใช้ยาเสพติดซ้ำอีก สำหรับผลการดำเนินงานด้านการบำบัดรักษา ประจำปีงบประมาณ 2553 ตั้งแต่ 1 ตุลาคม 2552 - 30 กันยายน 2553 มีผู้เข้ารับการบำบัดรักษาทั้งหมด 114,074 ราย เข้าบำบัดด้วยระบบสมัครใจ 28,154 ราย ระบบบังคับบำบัด 71,311 ราย และระบบต้องโทษ 14,609 ราย โดยผู้ที่เข้ารับการบำบัดมีอายุระหว่าง 8 -24 ปี มากที่สุดจำนวน 41,960 ราย รองลงมาเป็นอายุ 25-29 ปี จำนวน 23,548 ราย
ASTVผู้จัดการออนไลน์ 6 ตุลาคม 2554
6988
« เมื่อ: 06 ตุลาคม 2011, 20:48:17 »
คณะเวชศาสตร์เขตร้อน ม.มหิดล ร่วมมือ ไออาร์ดี ประชุมวิชาการ “มิติทางสังคมและนิเวศวิทยาของโรคติดเชื้อ” ร่วมนานาชาติ ชูโรคนำโดยแมลงและโรคจากสัตว์สู่คน เป็นฐานพัฒนางานวิจัย ต้องรับมือโรคระบาด ขณะ มช.เผยไทยครองแชมป์โรคพยาธิใบไม้ตับ เร่งระดมสมองแก้ปัญหา วันนี้ (6 ต.ค.) รศ.ประตาป สิงหศิวานนท์ คณบดีคณะเวชศาสตร์เขตร้อน มหาวิทยาลัยมหิดล กล่าวในการเปิดประชุมวิชาการ “มิติทางสังคมและนิเวศวิทยาของโรคติดเชื้อ (Social and Ecological Dimension of Infectious Diseases)” หรือชื่อย่อว่า SEDID ซึ่งจัดขึ้นระหว่างวันที่ 6-7 ต.ค. 2554 ณ ห้องประชุม ชั้น 5 อาคารเฉลิมพระเกียรติ 50 ปี คณะเวชศาสตร์เขตร้อน ม.มหิดล ภายใต้การสนับสนุนของสถาบันวิจัยเพื่อพัฒนา สถานทูตฝรั่งเศส หรือ ไออาร์ดี (Institut de recherche pour le développement : IRD ประจำประเทศไทย และคณะเวชศาสตร์เขตร้อน ม.มหิดล ว่า ในการประชุมครั้งนี้เป็นการประชุมรวมของนักวิชาการและผู้ที่ทำการศึกษาเกี่ยวกับการเปลี่ยนแปลงทางสิ่งแวดล้อม สังคม เศรษฐกิจ และเทคโนโลยีที่ส่งผลต่อสุขภาพและการอุบัติของโรคติดเชื้อในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ จะแลกเปลี่ยนมุมมองระหว่างนักวิจัยและผู้เชี่ยวชาญแต่ละศาสตร์สาขาเกี่ยวกับ การระบาดของโรคติดเชื้อเมื่อสูญเสียความหลากหลายทางชีวภาพ การจัดการทรัพยากร และการศึกษาความสัมพันธ์ของโรคต่างๆที่สัมพันธ์กันระหว่าง คน สัตว์ และสิ่งแวดล้อม โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อให้เกิดการระดมสมอง ของนักวิจัยต่างสาขาและเกิดการสังเคราะห์แนวทางการทำวิจัยที่เชื่อมโยงความ รู้แขนงต่างเพื่อแก้ปัญหาเหล่านี้อย่างยั่งยืน โดยมีบุคลากรจากหลายประเทศเข้าร่วมประชุมด้วย ได้แก่ ไทย ฝรั่งเศส ลาว อินเดีย เวียดนาม นอร์เวย์ กัมพูชา และ บรูไน รศ.ประตาป กล่าวต่อว่า สำหรับประเด็นหลักที่น่าจะสอดคล้องกับสถานการณ์ปัจจุบันมากที่สุด ก็คือ เรื่องของการนำเสนอวิกฤติการณ์ของโรคที่นำโดยแมลง เช่น ไข้เลือดออก มาลาเรีย และโรคจากสัตว์สู่คน เช่น ไข้สมองอักเสบ ไข้ฉี่หนู รวมทั้งไข้หวัดนกด้วย และโรคซึ่งเกิดจากเชื้อซาโมเนลลาที่ทำให้เกิดอาการท้องเสีย ซึ่งสิ่งเหล่านี้จะใช้แค่ความรู้ทางการแพทย์เข้ามาป้องกันและควบคุมไม่ได้ แต่จำเป็นต้องบูรณาการหลากหลายอย่าง ทั้งด้านสัตวแพทย์ นิเวศวิทยา ระบาด และกระทั่งด้านการเกษตรและสิ่งแวดล้อม เนื่องจากปัจจุบันมีทั่วโลกรวมทั้งประเทศไทยมีอัตราการป่วยทางกายที่มีสาเหตุจากสัตว์เป็นพาหะมากถึง 70-80 % และมีแนวโน้มจะเกิดโรคดังกล่าวในเขตเมืองถึง 50% ของพื้นที่ทั่วประเทศ เช่นกรณีโรคฉี่หนูที่ กระทรวงสาธารณสุขประกาศเตือนบ่อยๆ ก็น่าห่วงเช่นกันโดยเฉพาะช่วงน้ำท่วม “จากความเปลี่ยนแปลงทางสิ่งแวดล้อมที่เกิดจากฝีมือมนุษย์ไปฝืนธรรมชาตินั้น ก่อให้เกิดผลกระทบในด้านสุขภาพหลายอย่าง เช่น การรุกพื้นที่ป่าเพื่อทำเกษตร โอกาสที่สัตว์เลี้ยงกับสัตว์ป่าเจอกันแล้วก่อโรคก็มีอยู่มาก อย่างกรณีเชื้อนิปปาที่มีต้นกำเนิกจากมาเลเซีย ซึ่งถ่ายทดจากค้างคาวป่าสู่หมูที่เลี้ยงแล้วถ่ายทอดสู่คน ก็นับเป็นปรากฏการณ์หลากมิตติที่กระทบต่อสุขภาพประชากรโลกเช่นกัน หรือกรณีการทำเกษตรเชิงอุตสาหกรรมที่พยายามจะเพิ่มผลผลิตให้มากโดยการเร่งฮอร์โมน ใช้สารเคมี ใช้ยาปฏิชีวนะในสัตว์เลี้ยงก็ล้วนแล้วแต่ก่อเกิดเชื้อดื้อยาง่ายดาย ซึ่งส่วนนี้ทุกภาคส่วนต้องเตรียมรับมือกับความเปลี่ยนแปลงและหาทางแก้ไขอย่างจริงจัง หากสามารถศึกษาความสัมพันธ์ระหว่างคน สัตว์ สิ่งแวดล้อมได้ก็ย่อมจะป้องกันง่ายขึ้น” รศ.ประตาป กล่าว รศ.ประตาป กล่าวด้วยว่า และเพื่อการพัฒนาอย่างต่อเนื่องในปีนี้องค์การ องค์กรเพื่อการพัฒนาระหว่างประเทศของสหรัฐฯ (United States Agency for International Development-USAID) ได้มอบงบประมาณให้มหาวิทยาลัยมหิดลและมหาวิทยาลัยเชียงใหม่(มช.)ได้พัฒนางานวิจัยเกี่ยวกับปัจจัยเสี่ยงของการป้องกันและรักษาโรคแบบบูรณาการ ทั้งด้านแพทยศาสตร์ สัตวศาสตร์และสิ่งแวดล้อม เพื่อผลิตกำลังคนที่มีประสิทธิภาพในพื้นที่ 4 ประเทศ ได้แก่ อินโดนีเซีย มาเลเซีย เวียดนาม และ ไทย ซึ่งจะจัดประชุมแผนในเดือน ธ.ค.นี้ที่เวียดนาม ด้าน รศ.น.สพ.ดร.เลิศรัก ศรีกิจการ คณบดีคณะสัตวแพทยศาสตร์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ กล่าวถึงตัวอย่างพฤติกรรมของคนที่บริโภคเนื้อสัตว์ว่า สำหรับโรคที่น่าห่วงเกี่ยวกับการบรอโภคจองคนไทย ในขณะนี้นั้น คือ โรคพยาธิใบไม้ตับ (Liver Fluke) ซึ่งในปี 2551 นั้นพบว่าพื้นที่ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ หรือภาคอีสาน มีอัตราการเกิดโรคดังกล่าวสูงถึง 70% ขณะที่ประเทศไทยเป็นแชมป์ของโลกที่มีผู้ป่วยมะเร็งตับอันมีสาเหตุจากการกินเนื้อดิบ ทั้งๆ ที่โรคดังกล่าวเกิดขึ้นในครั้งแรกที่เวียดนาม แต่อัตราการบริโภคของคนไทยกลับรุนแรงกว่า ดังนั้นจึงจำเป็นอย่างยิ่งที่จะต้องประชุมวางแผนการรับมืออย่างจริงจังเพื่อให้ประชาชนรับรู้ถึงสัญญาณอันตรายของโรคที่กำลังคุกคาม รศ.น.สพ.ดร.เลิศรัก กล่าวต่อว่า นอกจาโรคพยาธิแล้วสิ่งที่น่ากังวลว่าอาจเกิดขึ้นในไม่ช้า ก็คือโรคไข้หวัดนกเพราะเพียงแค่พื้นที่เดียวใน จ.เชียงใหม่ พบว่า เกษตรกรนิยมเลี้ยงสัตว์ปีกแบบเปิดในบริเวณบ้านเรือนซึ่งมีมากกราว 25% ของพื้นที่ทั้งหมด ดังนั้นหากโรคไข้หวัดนกมีการกลายพันธ์ก็หมายความว่า กลุ่มที่เลี้ยงในบริเวณบ้านเรือนมีโอกาสเสี่ยงที่จะรับเชื้อได้ง่าย “ขณะเดียวกัน เรื่องของการประเมินความเสี่ยงเชื้อโรคจากสุนัขก็ยังเป็นสิ่งสำคัญอยู่ เพราะจากเหตุการณ์การนำสุนัขส่งขายในต่างประเทศที่ผ่านมานั้น ส่วนหนึ่งเป็นเพราะผู้เลี้ยงไม่สามารถรักษาสัตว์เลี้ยงให้ปลอดภัยได้ บางรายเลี้ยงแล้วปล่อยอิสระจนไปเผชิญโรคภัยภายนอก ก่อให้เกิดการเจ็บป่วยและเมื่อไม่สามารถประคองชีวิตของสัตว์เลี้ยงได้มักจบลงด้วยการขาย คือ ทำลายทางอ้อม ส่วนนี้นักวิชาการกำลังเร่งศึกษาอยู่ว่า จะก่อโรคในลักษณะใดได้บ้าง ดังนั้นเมื่อความสัมพันธ์ในสภาพแวดล้อมมีการเปลี่ยนแปลงเรื่อยๆ มนุษย์ก้ต้องรู้เท่าทันและเตรียมรับมือ โดยคาดว่าการประชุมวิชาการคครั้งนี้จะช่วยให้แลกเปลี่ยนความรู้การจักการสุขภาพได้ในระดับนานาชาติ” รศ.น.สพ.ดร.เลิศรัก กล่าว
ASTVผู้จัดการออนไลน์ 6 ตุลาคม 2554
6989
« เมื่อ: 06 ตุลาคม 2011, 20:46:28 »
โรงพยาบาลบางปะหัน น้ำท่วมสูง ปิดบริการชั่วคราวทั้งผู้ป่วยนอกและผู้ป่วยใน สั่งอพยพผู้ป่วย 17 ราย พร้อมเปิดโรงพยาบาลสนาม 2 แห่ง
นายวิทยา บุรณศิริ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข ให้สัมภาษณ์ว่า สถานการณ์น้ำท่วมที่จังหวัดพระนครศรีอยุธยาขณะนี้วิกฤติหนัก ซึ่งผ่านขบวนการขั้นตอนบริหารจัดการของศอส. ทั้งหมด แต่เนื่องจากมาตรการเตรียมการป้องกันบางพื้นที่เป็นของภาคเอกชน วันนี้ยังมีจุดสำคัญๆอีกหลายจุดเช่นนิคมอุตสาหกรรมต่างๆ คือที่ไฮเทค บางปะอิน และโรจนะ จะต้องเร่งรัดเสริมแนวป้องกันอีก รวมถึงนวนครด้วย ซึ่งได้เตือนภัยไปแล้วหลายภาคส่วนต้องระมัดระวังมีมาตรการป้องกันให้มากที่สุด
สำหรับการอพยพประชาชน ได้กำชับให้ผู้ว่าราชการจังหวัดพระนครศรีอยุธยา ให้มีมาตรการในการอพยพ โดยภาคเอกชนคือนายชาตรี พูนคุปตวาณิชย์ ได้มอบอาคารพาณิชย์ประมาณ 100 คูหาอยู่ที่บริเวณหน้าศาลากลางของจังหวัดพระนครศรีอยุธยาจัดเป็นที่อพยพประชาชน รองรับได้นับ 1,000 ครอบครัว มีห้องน้ำ ห้องสุขาพร้อม และที่ตลาดบริเวณสี่แยกวัดพยาธิ เป็นจุดดูแลอาหารสดที่จะปรุงอาหารให้ผู้อพยพรับประทาน ตามแนวนโยบายของนายกรัฐมนตรี ซึ่งพรุ่งนี้จะมีเครือข่ายจากจังหวัดสุพรรณบุรีและจังหวัดอื่นมาร่วมด้วยรวมทั้งที่จังหวัดอ่างทอง ลพบุรีด้วย เนื่องจากขณะนี้ประชาชนได้รับความเดือดร้อนมาก ไม่สามารถเดินทางได้ เรือมีไม่พอ
นายวิทยา กล่าวต่อว่า สำหรับผลกระทบต่อสถานพยาบาล ขณะนี้ได้รับรายงานที่อ.บางปะหัน น้ำท่วมที่โรงพยาบาลบางปะหัน สูงจากพื้นที่ 30 - 40 เซนติเมตรและเพิ่มขึ้นชั่วโมงละ 1 เซนติเมตร ไม่สามารถให้บริการผู้ป่วยได้ ต้องปิดให้บริการทั้งผู้ป่วยนอก ฉุกเฉิน และผู้ป่วยในเป็นการชั่วคราว เจ้าหน้าที่สามารถเดินทางมาปฏิบัติงานได้เพียง 1 ใน 3 โดยเช้ามืดวันนี้ได้ย้ายผู้ป่วยที่นอนรักษาอยู่ 17 ราย ซึ่งอาการทรงตัว ไปพักรักษาต่อที่รพ.อ่างทอง 2 ราย รพ.อุทัย 4 ราย รพ.สมเด็จพระสังฆราช 4 ราย และรพ.วังน้อย 7 ราย
ทั้งนี้ ในวันนี้ ได้ระดมหน่วยแพทย์สนามจากโรงพยาบาลวิชระภูเก็ต จำนวน 2 ทีม นำโดยนายแพทย์วิวัฒน์ ศรีตะมโนชญ์ ตั้งโรงพยาบาลสนาม 2 แห่ง ปักหลักบริการที่ปั้มน้ำมันปตท. อยู่ระหว่างโรงพยาบาลบางปะหัน กับทางเข้าที่ว่าการอำเภอบางปะหัน จุดที่ 2 ที่ต.บางขวาง อ.มหาราช เพื่อให้บริการตรวจรักษาประชาชนเหมือนโรงพยาบาลชุมชน ตลอด 24 ชั่วโมง
ส่วนโรงพยาบาลชุมชนอื่นๆ ในจ.พระนครศรีอยุธยา เช่นบ้านแพรก มหาราช ท่าเรือ นครหลวง รวมทั้งที่โรงพยาบาลชุมแสง จ.นครสวรรค์ กำลังประสบปัญหา หากน้ำท่วมสูงขึ้นอีก อาจจะต้องปรับบริการในโรงพยาบาล และวางแผนปรับระบบการส่งต่อผู้ป่วยหนัก เนื่องจากหลายเส้นทางน้ำท่วมสูง รถพยาบาลวิ่งไม่ได้ ซึ่งขณะนี้ได้ให้สถาบันการแพทย์ฉุกเฉินแห่งชาติ สำรองเฮลิคอปเตอร์ไว้ให้พร้อม 24 ชั่วโมง นายวิทยากล่าว
กรุงเทพธุรกิจ 6 ตุลาคม 2554
6990
« เมื่อ: 06 ตุลาคม 2011, 20:44:10 »
"ระบบภูมิคุ้มกัน" ถือเป็นกุญแจสำคัญของการมีสุขภาพดี เพราะมันจะทำหน้าที่เหมือนกองทัพ ที่คอยดูแลและปกป้องร่างกายของเราให้รอดพ้นจากการบุกรุกจากภายนอก คล้ายๆ กับกองทหารที่เข้าประจำการและพร้อมปฏิบัติหน้าที่ได้ทันทีตามต้องการ นอกจากนี้ระบบภูมิคุ้มกันยังดูแลสุขภาพของคนเรา โดยทำหน้าที่ตรวจสอบการบุกรุกของเชื้อโรคต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นเชื้อไวรัส แบคทีเรีย รวมไปถึงปรสิตที่เป็นบ่อเกิดของโรคภัยต่างๆ และพร้อมที่จะปราบปรามเชื้อโรคดังกล่าวทันทีที่ได้รับสัญญาณจากร่างกาย
โภชนากรซูซาน โบเวอร์แมน ที่ปรึกษาของเฮอร์บาไลฟ์ อินเตอร์เนชั่นแนล ลิมิเต็ด เปิดเผยว่า นอกจากผิวหนังซึ่งเป็นหนึ่งในร่างกายของคนเรา ที่ช่วยป้องกันการรุกรานของเชื้อแบคทีเรียแล้ว ร่างกายของคนเรายังมีอาวุธป้องกันอื่นๆ อีกหลากหลายชนิด ถ้าร่างกายได้รับบาดเจ็บ ระบบภูมิคุ้มกันจะส่งสัญญาณเตือนภัยในรูปของการเกิดอาการอักเสบที่มีลักษณะร้อน ปวดและบวมแดง ซึ่งเป็นผลจากการที่เลือดไหลไปยังบริเวณที่ได้รับบาดเจ็บมากขึ้น ในระหว่างการบำบัดรักษาโดยธรรมชาติภายในร่างกายเอง
นอกจากนี้ ร่างกายของเรายังสามารถสร้างโปรตีนและเซลล์พิเศษทุกชนิด ซึ่งจะทำงานเสมือนอาวุธสำหรับต่อสู้กับความเจ็บป่วยต่างๆ รวมถึงเซลล์เม็ดเลือดขาวหลายประเภท ซึ่งล้วนแต่มีการทำงานที่แตกต่างกันไป เซลล์เม็ดเลือดขาวบางชนิดจะทำหน้าที่ "เขมือบ" หรือกลืนสิ่งแปลกปลอมที่มาจากภายนอกร่างกาย บางชนิดจะทำหน้าที่ค้นหาเชื้อไวรัส และมีอีกหลายชนิดที่ผลิตสารประกอบทางเคมีที่มีประสิทธิภาพในการทำลายปรสิต รวมถึงเซลล์เม็ดเลือดขาวที่ทำหน้าที่ผลิตโปรตีนพิเศษที่เรียกว่า แอนติบอดี้ (antibody) ทำหน้าที่ตรวจหาและกำจัดเชื้อไวรัสและแบคทีเรีย
โภชนากรซูซานระบุว่า การรับประทานอาหารอย่างถูกหลักโภชนาการ มีบทบาทสำคัญต่อการสร้างระบบภูมิคุ้มกันที่ดี หากเรารับประทานอาหารอย่างถูกหลักโภชนาการ และดูแลสุขภาพอย่างดี เราก็จะมีโอกาสเจ็บป่วยได้น้อยมาก นั่นหมายความว่าเราจะลดความจำเป็นในการเรียกใช้ระบบภูมิคุ้มกันของเรา ทั้งนี้อาหารที่เป็นประโยชน์ต่อการสร้างภูมิคุ้มกันก็คือ ผักและผลไม้หลากสี ร่วมด้วยโปรตีนสุขภาพในปริมาณที่เหมาะสม และที่ขาดไม่ได้ก็คือ โพรไบโอติกส์ (probiotics) หรือที่เรารู้จักกันดีในชื่อของแบคทีเรียสุขภาพ ซึ่งเป็นจุลินทรีย์แบคทีเรียที่มีชีวิต เมื่อรับประทานเสริมเข้าไปในร่างกายในปริมาณที่เพียงพอ ก็จะก่อให้เกิดผลดีต่อระบบย่อยอาหารในร่างกาย
ผลไม้และผักหลากหลายสีจะให้ "สารไฟโตนิวเทรียนท์" ที่มีปริมาณสูง สารไฟโตนิว เทรียนท์เป็นสารประกอบธรรมชาติที่พบในอาหารจำพวกพืชทุกชนิด มีคุณสมบัติในการสร้างสารต้านอนุมูลอิสระ (antioxidants) ซึ่งจะช่วยเสริมสร้างสุขภาพให้แข็งแรง พืชอาหารทุกชนิดซึ่งได้แก่ ผลไม้ ผัก ธัญพืชประเภทโฮลเกรน (Whole grain) ถั่ว สมุนไพร และเครื่องเทศ เป็นแหล่งสร้าง "สารต้านอนุมูลอิสระ" อาหารพืชแต่ละชนิดมีสารประกอบจากพืชธรรมชาติ ดังนั้นเรา จึงควรบริโภคอาหารพืชหลากหลายประเภท ซึ่งจะทำให้เราได้รับประโยชน์จากสารไฟโตนิว เทรียนท์จากธรรมชาติหลากชนิด นอกจากนั้นสารแอนติบอดี้ (Antibody) โปรตีนชนิดพิเศษที่ผลิตโดยเซลล์เม็ดเลือดขาวเพื่อทำหน้าที่คุ้มกันร่างกายของเรา การบริโภคอาหารที่มีโปรตีนในปริมาณที่มากพอต่อความต้องการของร่างกาย จะทำให้เราสามารถผลิตสารแอนติบอดี้ได้ตามต้องการ ซึ่งได้แก่ ปลา, สัตว์น้ำชนิดมีเปลือก อาทิ หอย กุ้ง ปู, หมู เนื้อไม่ติดมัน, อาหารที่ทำจากถั่วเหลือง และผลิตภัณฑ์นมไขมันต่ำ.
ไทยโพสต์ 6 ตุลาคม 2554
หน้า: 1 ... 464 465 [466] 467 468 ... 535
|