วันนี้ ( 28 ส.ค.) ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ในการเสวนาทางวิชาการ “นโยบายภาษาแห่งชาติ” จัดโดยราชบัณฑิตยสถาน ที่ จ.อุดรธานี รศ.ดร.นิตยา กาญจนะวรรณ ภาคีสมาชิก สาขาวรรณศิลป์ กล่าวว่า การกำหนดนโยบายภาษาแห่งชาติจะเป็นการทำนุบำรุงและส่งเสริมภาษาไทยซึ่งเป็นภาษาประจำชาติ รวมทั้งภาษาท้องถิ่นให้รักษาความหลากหลายและอัตลักษณ์ทางวัฒนธรรม และสนับสนุนการเรียนรู้ภาษาต่างประเทศ เพื่อพัฒนาความสามารถในการแข่งขัน เพราะปัจจุบันโลกมีการเปลี่ยนแปลงไปมาก ทำให้การศึกษาภาษาอื่นๆจะเป็นกำไรทั้งทางสังคมและเศรษฐกิจ โดยนโยบายภาษาแห่งชาติจะประกอบด้วย 6 นโยบายหลัก ได้แก่
1.นโยบายภาษาไทยสำหรับนักเรียนไทยและคนไทย
2.นโยบายภาษาท้องถิ่น
3. นโยบายภาษาเพื่อเศรษฐกิจ ภาษาเพื่อนบ้าน และภาษาการงานอาชีพ
4. นโยบายภาษาสำหรับผู้เข้ามาแสวงหางานทำในไทย
5. นโยบายภาษาสำหรับผู้พิการทางสายตาและทางการได้ยิน และ
6.นโยบายภาษาสำหรับการแปล การล่ามและล่ามภาษามือ
ศ.ดร.สุวิไล เปรมศรีรัตน์ จากสถาบันวิจัยภาษาและวัฒนธรรมเอเชีย ม.มหิดล กล่าวว่า ประเทศในภูมิภาคอาเซียนมีความหลากหลายทางภาษาและชาติพันธุ์ เช่น อินโดนีเซียมีถึง 726 ภาษา ฟิลิปปินส์มี 169 ภาษา มาเลเซียมี 139 ภาษา พม่ามี 107 ภาษา เวียดนามมี 93 ภาษา ส่วนไทยก็มีถึง 70 ภาษา เป็นต้น โดยภาษามีความสำคัญเพราะแสดงให้เห็นถึงอัตลักษณ์ทางวัฒนธรรมของแต่ละกลุ่มชน ในบางประเทศจึงให้ความสำคัญถึงกับบอกว่า การสิ้นภาษาคือการสิ้นชาติ
“ ภาษาก็คือมรดกของมนุษยชาติ เป็นเรื่องของระบบคิดมากกว่าเป็นแค่การสื่อสาร เพราะภาษาสามารถถ่ายทอดทั้งองค์ความรู้ ภูมิปัญญา ปรัชญา หรือเป็นปูมบันทึกประวัติศาสตร์ แต่ปัจจุบันภาษาถิ่นทั่วโลกกำลังอยู่ในภาวะวิกฤติเพราะโลกไร้พรมแดนถึงกันหมด ทำให้ภาษาถิ่นถูกละเลย ส่วนประเทศไทย ในโรงเรียนก็ใช้แต่ภาษากลาง ทำให้เกิดการถดถอยทางภาษา ลูกหลานไม่อยากใช้ภาษาถิ่นเพราะอาย พ่อแม่ก็ไม่ส่งเสริม หากไม่ทำอะไรเชื่อว่าภายในศตวรรษนี้ภาษาถิ่นกว่าร้อยละ 90 จะตาย ซึ่งปัจจุบันมี 15 ภาษาถิ่นในไทยที่อยู่ในภาวะวิกฤติ ได้แก่ ภาษากะซอง ซัมเร ชอุ้ง ชอง ละว้า โซ่ แสก ญัฮกุร มานี ลัวะ อุรักลาโวย มอเกล็น มลาบรี อึมปี และบีซู “ ศ.ดร.สุวิไล กล่าว.
เดลินิวส์ อังคารที่ 28 สิงหาคม 2555