ภารกิจดั้งเดิมของ สปสช. สปสช.ถูกจัดตั้งโดยรัฐบาลไทยรักไทย เดิมถูกมอบหมายให้เป็นหน่วยงานกลาง รับเงินจากรัฐแบบเหมาจ่ายรายหัว ไปส่งมอบให้สถานพยาบาลคู่สัญญา เพื่อทําการรักษา ค่าใช้จ่ายที่เกิดขึ้น สปสช.จะเป็นผู้รับผิดชอบทั้งหมด ดังนั้นภารกิจของ สปสช.จึงไม่ต่างอะไรกับบริษัทประกันสุขภาพทั้งหลาย คือรับเงินเหมาจ่ายจากผู้เอาประกัน และนํามาถัวเฉลี่ยให้กับผู้เอาประกันบางคนเมื่อเจ็บป่วยและเบิกค่ารักษาผ่านมือของสถานพยาบาล ดังนั้นภารกิจของสปสช.ที่ถูกต้องจึงควรเป็นดังนี้
- จ่ายเงินให้กับสถานพยาบาลทันทีที่ได้รับเงินจากรัฐ โดยการเกลี่ยไปให้ตามหลักเกณฑ์ที่สถานพยาบาลโดยความเห็นชอบของ รมต.
- จ่ายเงินตามความเป็นจริง(Real cost) ให้กับสถานพยาบาล
- บริหารงานแบบ “องค์กรไม่หวังผลกําไร” หรือ non - profit organization แบบที่medicare หรือ bluecross ของต่างชาติทํา คือ มุ่งหวังการรักษาโดยใช้งบบริหารให้น้อยที่สุดเท่าที่จําเป็น เงินส่วนที่เหลือ(หากมี)ต้องส่งคืนรัฐบาล เพราะเป็นเงินภาษี หากต้องการเงินเพื่อกระทํากิจการใดนอกเหนือภารกิจการส่งมอบเงินให้สถานพยาบาล ต้องทําเรื่องขออนุมัติรัฐบาลเป็นกรณี ๆ ไป
ช่วงสามปีแรกของการก่อตั้งและดําเนินงาน นพ.สงวน นิตยารัมพงษ์ ได้ดําเนินการคล้ายวิธีการดังกล่าว คือ นําเงินที่ได้มาจ่ายให้สถานพยาบาลคู่สัญญาผ่านทางสสจ. และสสจ.ก็จัดสรรเงินไปยังแต่ละสถานพยาบาล การจัดสรรเงินมากน้อยขึ้นกับสสจ.จะพิจารณาภารกิจและค่าใช้จ่ายที่เกิดขึ้นจริงของแต่ละสถานพยาบาล หากมีเงินคงเหลือ สสจ.ก็จะเกลี่ยไปให้สถานพยาบาลเพื่อไปใช้ในภารกิจการรักษาพยาบาลที่รัฐบาลโดย รมต.มอบหมายผ่านปลัด จะเห็นว่าการดําเนินการดังกล่าวควรจะเป็นการกระจายอํานาจภารกิจจากบนลงล่าง คือ
รัฐบาล ...... รมต.สธ. .....ปลัด ..สปสช(คนกลางรับเงิน)....... สสจ.... สถานพยาบาล
สิ่งที่สปสช.ปฏิบัติในทุกวันนี้และเป็นต้นเหตุแห่งปัญหา เมื่อหมดยุค นพ.สงวน ไล่ ๆ กับยุคท้ายของไทยรักไทย คั่นด้วยยุครัฐบาลรัฐประหาร และยุคใหม่ของรัฐบาลประชาธิปัตย์ ก็เกิดการผลัดใบและกุมอํานาจใหม่หมดในสปสช.พร้อม ๆ กับการจัดตั้งเครือข่ายของ NGO ด้วยการจดทะเบียนองค์กรแบบ fast track ไว้รอรับเงิน มีการจัดตั้งองค์กรลูกมากมายเพื่อมารองรับช่องทางการใช้เงินมหาศาลโดยไม่ต้องถูกตรวจสอบ แต่เนื่องจากกฎหมายหลักประกันสุขภาพเดิมไม่สามารถปรับแก้ไขให้มีช่องทางใช้เงิน หรือ ผ่องถ่ายเงินได้ง่าย จึงได้จัดตั้งองค์กรลูกดังกล่าวขึ้นมา
ทุกวันนี้เราจึงเห็นภาพสปสช. จับมือกับ สสส. สช. สวรส. ทําภารกิจโดยการผ่องถ่ายเงินไปมา โดยอ้างว่าเพื่อสนับสนุนภารกิจด้านสาธารณสุขของประเทศ เมื่อสปสช.ต้องการ ข้อมูลอะไร สวรส.จะจัดข้อมูลทางวิชาการที่ไม่ถูกต้องตามหลักระเบียบวิจัยมาให้ เมื่อสช.จะดําเนินนโยบายอะไร ก็จะไปจัดเวทีโดยเริ่มจากประชาชนในกลุ่มที่ถูกชักจูงได้ง่ายเพราะเข้าถึงข้อมูลที่ถูกต้องทางวิชาการได้ยากกว่าประชาชนอีกลุ่มหนึ่ง หรือไม่ก็จัดเวทีสัมมนาโดย NGOเคลื่อนไหวรวบรวมคนมาเข้าร่วมโดยมอบเงิน “ ค่าเดินทาง ค่าอาหาร ค่าเหนื่อย ” ให้(เงินดังกล่าวมา จากไหน??) เมื่อสช.ต้องการรณรงค์ให้เกิดภาพทางกว้างก็จะนําเงินที่ได้ไปซื้อโฆษณา ลงนสพ. ออกทีวี พิมพ์หนังสือรูปปกสวยงาม เงินดังกล่าวมาจากไหน? ทําไมกระทรวงสธ.ไม่มีเงินทําแบบนี้บ้าง ? สช. และ สปสช. ทําไมมีเงินมากมายไปอุดหนุนเพื่อลงโฆษณาผ่านสื่อสารมวลชนที่ต้องใช้งบประมาณสูง แต่กระทรวงสธ.ไม่มี ทําไมความสัมพันธ์ระหว่างเจ้ากระทรวงหรือปลัดที่มีต่อสื่อ จึงไม่ราบรื่นเหมือนความสัมพันธ์ที่เครือข่ายเหล่านี้มีกับสื่อ....คําตอบ คือ เงินที่มีใช้อย่างจํากัดและถูกควบคุมด้วยระเบียบราชการและสํานักงบประมาณ !!!! ในขณะที่เครือข่ายเหล่านี้ล้วนเป็นองค์กรอิสระ ไม่ต้องถูกควบคุมใด ๆ
กลับมาที่ภารกิจที่ สปสช.กระทําต่อสถานพยาบาลหลังหมดยุคนพ.สงวน - ไม่จ่ายเงินให้กับสถานพยาบาลทันที แต่ใช้วิธีกอดเงินไว้กับตัวก่อน (ให้สถานพยาบาลรักษาไปก่อน และค่อยส่งบิลให้พิจารณาจ่ายภายหลัง) ซึ่งในทางปฏิบัติคือ สถานพยาบาลได้รับเงินไม่เต็มจํานวนที่จ่ายจริง หรือ แม้แต่ไม่ได้เลย ทําให้เกิดผลกระทบต่อคุณภาพการรักษา เกิดความเสียหายต่อผู้ป่วย และต่อบุคลากร แต่ สปสช. กลับโทษว่าเป็นความผิดของ ผู้รักษาและให้รีบจัดตั้ง “พรบ.คุ้มครองผู้เสียหาย ฯ” ขึ้นโดยเร็ว (แน่นอนว่า ร่างพรบ. นี้ได้มีองค์ประกอบร่วมทั้งแปดอย่างในpart 1ครบทั้งหมด)
- ตั้งเงื่อนไขการจ่ายเงินให้ยากขึ้น โดยอ้างว่าต้องการควบคุมค่ารักษา
- วิธีการจ่ายเงินให้ยากทําโดยอ้างหลักเกณฑ์ต่างประเทศ เช่น การใช้ DRG, RW, LOS แต่หลักเกณฑ์นี้ถูกปรับเปลี่ยนโดยสปสช.และเครือข่าย(สวรส.) เพื่อให้ได้ตัวเลขการจ่ายที่ต่ำไว้ก่อน (คํานึงเรื่องเงิน ก่อนคุณภาพการรักษา ซึ่งสวนทางกับวิธีปฏิบัติงานของแพทย์ ที่คํานึงเรื่องคุณภาพและชีวิตผู้ป่วย เรื่องเงินเป็นเรื่องรอง)
- สร้างภาระให้บุคลากรต้องกรอกข้อมูลมากมาย หากไม่ครบหรือกรอกไม่ตรงกับที่ตนสั่งก็จะไม่ให้เงินกับสถานพยาบาล โดยอ้างว่าจะนําข้อมูลไปพัฒนาระบบสาธารณสุข แต่ทุกวันนี้ระบบสาธารณสุขของรัฐกลับสาระวันเตี้ยลง มีแต่ข่าวไม่พอใจการรักษา ในขณะที่รพ.เอกชนเต็มไปด้วย ต่างชาติบินมารักษาเพราะมั่นใจในคุณภาพการรักษาของเอกชนไทย
- วิธีดังกล่าวทําให้เกิดภาพออกมาในทางสาธารณะว่า “รพ.ในสังกัดสปสช. เป็นโรงฆ่าสัตว์” เข้าถึงง่ายแต่รักษาไม่ดี แพทย์ชุ่ย พยาบาลแย่ เพราะที่สถานพยาบาลไม่เคยมีตัวแทน สปสช.มาออกร่วมรักษา ประชาชนเห็นแต่คนรักษาไม่เห็นคนกุมเงินและวางนโยบาย จึงต้องด่าคนรักษาไว้ก่อน
- ในความเป็นจริงโรคที่ซับซ้อนจะมีต้นทุนมาก เพราะต้องอาศัยเทคโนโลยีสูง แพทย์หลายคน พยาบาลหลายกะ ยาราคาแพง อวัยวะเทียมพิเศษ เครื่องพยุงชีพราคาแพง แต่เมื่อนําวิธีคิดเงินแบบ DRG, RW, LOSมาใช้ รพ.กลับได้เงินต่ำกว่าความเป็นจริงมาก จากเดิมรพ.เคยเบิกได้ตามความเป็นจริง ต้นทุนจริง กลายเป็นต้องขาดทุน และเป็นห่วงโซ่อุบาทว์(vicious cycle) ที่ดําเนินมาเป็นสิบปี จนมาปะทุเอาเมื่อมีข่าวว่ารพ.ในสังกัดหลายแห่งกําลังล้มละลาย
ทุกวันนี้จึงเกิดภาพการปฏิเสธการรักษาทางอ้อม โดยเฉพาะโรคซับซ้อนที่ต้นทุนสูง เพราะวิธีที่จะลดต้นทุนในระบบ DRG คือ LOS ต้องสั้น จํานวนผู้รับบริการต้องลด หากทําแล้วหรือทําไม่ได้ ก็ต้องไปลดต้นทุนอื่นคือค่าบริหารจัดการ ซึ่งรวมถึง เงินเดือน ค่าจ้างบุคลากร ทําให้คุณภาพการรักษาตกต่ำ รพ.จึงแปรสภาพกลายเป็นโรงฆ่าสัตว์ และเมื่อเกิดปัญหาคุณภาพการรักษา ทําให้คนไข้ร้องเรียน สปสช.ก็แก้ปัญหาด้วยการผลักดันให้มี “(ร่าง)พรบ.คุ้มครองผู้เสียหาย ฯ” โดย หวังให้มีกองทุนใหม่อีกกอง และสนับสนุนคนในเครือข่ายไปเป็นกรรมการในร่างพรบ.ใหม่นี้
- สปสช.บริหารงานแบบหวังผลกําไร เพียงแต่ไม่แสดงตัวเลขออกมาให้ทราบ ปัญหาคือทําไมสปสช.ต้องหวังผลกําไร เงินที่เหลือเอาไปทําอะไร เพราะภารกิจของสปสช.มีไว้เพียงแค่เป็นคนกลางจัดสรรเงินแทนกท.สธ. เท่านั้น แต่ทําไมต้องไปสรรหาวิธีจ่ายเงินให้น้อยลงและล่าช้าขึ้นมา ..นี่คือ คําตอบว่าทําไมคนของสปสช.และเครือข่าย NGO ต้องรณรงค์ให้จัดตั้งสารพัดกองทุน สารพัดองค์กรอิสระที่อยู่นอกเหนือการควบคุมในระดับนโยบายของรัฐ พูดง่าย ๆ คือ สปสช. ต้องการเงินและอํานาจ โดยไม่ต้องผ่านการเลือกตั้งแบบสส.หรือสว. ไม่ต้องรายงานปปช.แบบสส. ไม่ต้องแข่งขันแย่งตําแหน่งรมต.แบบสส. (โดยการนั่งไขว้ไปมาระหว่างองค์กรเครือข่าย)
- ทุกวันนี้จึงไม่ต้องแปลกใจว่าทําไมเครือข่ายNGOที่เป็นข่าวในสื่อมวลชน จึงมีแต่ NGO สายสาธารณสุขเป็นหลัก และ เป็นคนหน้าเดิมทั้งสิ้น เพราะเงินในระบอบสปสช . สวรส. สช.และอื่น ๆ มีมหาศาล ยังไม่นับหากสามารถไปดูดเงินจาก ประกันสังคม หรือ กองทุนคุ้มครองผู้เสียหาย จะมีเงินให้กินให้ใช้นับไม่ถ้วน
- นอกจากนี้เมื่อย้อนดูความสัมพันธ์กลุ่มผู้เคลื่อนไหว จะเห็นว่าทุกครั้งจะเริ่มด้วยการรณรงค์ว่าเกิดปัญหาโน้น ปัญหานี่ เป็นปัญหาใหญ่โต รณรงค์ซ้ำไปมาด้วยเรื่องเดิมให้กลายเป็นข่าวใหญ่เพื่อจุดกระแส แล้วตามมาด้วยสปสช.หรือสช.ออกมารับลูก หากนักวิชาการหรือผู้มีความรู้เข้ามาเกี่ยวข้องก็จะให้สวรส.ออกเอกสารวิชาการมารองรับดักทางไว้ก่อนทันที หรือหากไม่สําเร็จก็จะใช้ภาพของแพทย์ชนบทบางคนออกมาเคลื่อนไหว เรียกว่าแยกกันเดิม รวมกันตี เพื่อบีบรมต.หรือปลัด หรือ รัฐบาลให้คล้อยตาม หากไม่สําเร็จก็จะแปรเปลี่ยนจากมิตร หรือคนกลางๆ กลายเป็นศัตรูที่จ้องโค่นตําแหน่ง แบบที่รมต.ในพรรคประชาธิปัตย์โดนมาก่อนแล้ว ทําให้รมต.คนหลังต้องยอมตามทุกเรื่อง
- ทุกวันนี้สปสช.กลายเป็นบริษัทประกันสุขภาพที่ใหญ่ที่สุด และมีผลกําไรดีที่สุด ผู้บริหารและกรรมการได้รับผลตอบแทนในรูปตัวเงินและมิใช่ตัวเงินทั้งทางตรงและอ้อมอย่างมากมายกลายเป็น บริษัทประกันของรัฐที่หวังผลกําไร (profit) และที่ดีกว่าคือ ไม่ต้องกังวลว่าจะล้มละลาย(เพราะหากล้ม จะหมายถึงรัฐบาลล้มตาม) ไม่ต้องฝึกอบรมตัวแทนขายประกัน แถมยังมีอํานาจควบคุมผู้ประกอบวิชาชีพได้ทางอ้อมด้วยกลไลบีบบังคับเรื่องตัวเงิน ซึ่งไม่มีบริษัทประกันที่ไหนในโลกทําได้ และความใหญ่โตของสปสช.ทําให้รัฐบาลยุคต่อมาไม่กล้าแตะต้องเพราะภารกิจสปสช.สามารถนําไปใช้หาเสียงได้โดยง่ายเพราะเป็นเรื่องเกี่ยวกับชีวิตคนโดยตรงจะเห็นว่าการดําเนินการดังกล่าว แปรเปลี่ยนจากการกระจายอํานาจเป็นการรวบอํานาจมาอยู่ที่สปสช.โดยอาศัยเงินเป็นเครื่องมือควบคุม ดังนี้
รัฐบาล ...สปสช(คนกลางรับเงิน).....รมต.สธ. .....ปลัด .... สสจ..... เครือข่ายสปสช...สถานพยาบาล
เมื่อดูแผนผังข้างต้น จึงอย่าได้แปลกใจว่าทําไมที่ผ่านมาถึงมีข่าวว่า ในอนาคต กท.สาธารณสุขจะถูกยุบ ทําไมบุคลากรสาธารณสุขที่ไม่อยากเหนื่อยกับงานรักษา ถึงมีการโอนย้ายไปอยู่สปสช.และเครือข่ายจํานวนมาก ทําไมถึงมีความพยายามผลักดันสถานพยาบาลไปให้อบต. อบจ. ดูแลทั้งหมด โดยไม่ต้องผ่านกท.สาธารณสุข แต่ที่น่าแปลกใจคือ รมต.และปลัดในทุกยุคกลับทําเป็นทองไม่รู้ร้อนกับสิ่งที่เกิดขึ้น เหมือนกับพอใจในตําแหน่งปัจจุบัน เรื่องในอนาคตคงไม่มาบรรจบในยุคสมัยตน คล้ายกับเหมือนเมื่อครั้งจะเสียกรุง ที่ขุนนางต่างพอใจในอํานาจราชศักดิ์ของตน ไม่คิดว่าจะมาเสียกรุงในขณะตนเองยังมีชีวิตอยู่
ภารกิจที่ไม่ได้มอบหมายแต่สปสช.กลับอยากทํา - จัดสรรโครงการvertical program เช่น เปลี่ยนเลนส์ตาหมื่นคู่ เปลี่ยนไตหมื่นข้าง เปลี่ยนตับหมื่นอัน จัดสรรยาต้านเอดส์ฟรี ล้างไตด้วย..ฟรี โปรแกรมเหล่านี้คือการรักษาพยาบาลที่สถานพยาบาลกระทํากันอยู่แล้วตั้งแต่ยังไม่มีสปสช. เพราะเป็นมาตรฐานการรักษาที่แพทย์พยาบาลต้องกระทําตามหน้าที่อยู่แล้ว แต่เหตุที่สปสช.ต้องออกโปรแกรมเหล่านี้ ก็เพราะเป็นโปรแกรมการใช้เงินที่เหลืออยู่ (ทั้ง ๆ ที่รพ.ขาดทุน) และโปรแกรมเหล่านี้เองก็เป็นการฟ้องสปสช.ไปในตัวว่า ทุกวันนี้มีการรักษาพยาบาลบางอย่างที่สถานพยาบาลไม่สามารถทําได้เพราะไม่มีเงิน เนื่องจากสปสช.กั๊กเงินไว้ หากต้องการรักษาพยาบาล สถานพยาบาลก็ต้องหาเงินมารักษาเอง(แต่สปสช.ได้หน้า) ผลคือ “เงินบํารุง” มีสถานะติดลบลงเรื่อย ๆ ตามมาด้วยข่าวรพ.ล้มละลาย
การกันเงินดังกล่าวมาบริหารจัดการภารกิจพิเศษดังกล่าวยังรวมถึงการจัดซื้อยา เครื่องมือแพทย์ วัคซีน โดยอ้างว่าเพื่อให้ต้นทุนต่ำที่สุด โดยไม่สนใจคุณภาพหรือคําคัดค้านผู้ประกอบวิชาชีพว่าเป็นการละเมิดดุลพินิจการรักษา และทําให้คุณภาพการรักษาตกต่ำ เพราะหากไม่ทําตามที่สปสช . กําหนด รพ.ก็จะเบิกเงินจากสปสช.ไม่ได้ ต้องควักเงินจ่ายกันเอง และที่ผ่านมาก็มีข่าวออกมาเป็นระยะว่า ยาหรือเครื่องมือที่สปสช.จัดซื้อมาเอง มีคงค้างจนหมดอายุหรือเสียหายเพราะผู้ประกอบวิชาชีพไม่ยอมใช้เนื่องจากมีปัญหาเรื่องคุณภาพ
- คณะกรรมการหลักประกันสุขภาพแห่งชาติออกระเบียบให้เลขาธิการสปสช.มีอํานาจจ่ายเงินได้ครั้งละ 1,000 ล้านบาท รวมทั้งสนับสนุนโครงการพิเศษต่างๆ เช่นการจัดงบประมาณสนับสนุนให้สมาชิกชมรมแพทย์ชนบทไปดูงานที่แอฟริกาใต้ รวมทั้งจัดการอบรมต่างๆซึ่งไม่ใช่หน้าที่ของสปสช.เช่น การใช้เงินกองทุนโรคเอดส์ในการฝึกอบรมโดยมีเจ้าหน้าที่ของสปสช.เข้ารับการอบรมด้วย
- สร้างภารกิจพิเศษผ่านทางองค์กรเครือข่าย เช่นการรณรงค์สารพัดโครงการสุขภาพ ซึ่งควรจะเป็นหน้าที่ของสธ. แต่สธ.ไม่มีเงินทํา ภารกิจเหล่านี้ทําให้สามารถผ่องถ่ายเงินออกนอกสปสช.ไปยังพวกพ้องได้ โดยอ้างว่าเป็นภารกิจเพื่อสุขภาพประชาชน แต่เมื่อตามไปดูพบว่าเงินเหล่านี้บางส่วนถูกใช้จ่ายในการส่งคนของตนไปดูงานต่างประเทศ ไปเป็นทุนไปเรียนต่อสาขาบริหาร โดยผู้ถูกคัดเลือกต้องเป็นคนที่เห็นด้วยกับแนวทางสปสช.เท่านั้น มีการจัดตั้งเครือข่ายผู้นําที่เรียกว่า “คสน.” เพื่ออบรมความคิด คล้ายกับเครือข่ายขายตรงหรือเครือข่ายธุรกิจนั่นเอง เพื่อสร้างคนมารองรับตําแหน่งในอนาคต หากเห็นคนหน่วยก้านดี มีแนวคิดเข้าได้กับตนก็จะให้ทุนส่งไปเรียนบริหารต่อเมืองนอก โดยไม่ต้องมีการคัดเลือกแบบ กพ.
ปัญหาที่สปสช.สร้างและไปกระทบต่อภาพรวมสาธารณสุข ประเด็นรวมกองทุน ประกันสังคม ข้าราชการ ให้กลายมาเป็นของสปสช.ทั้งหมด เป็นประเด็นหนึ่งที่ร้อนแรงไม่แพ้กับเรื่องพรบ.คุ้มครองผู้เสียหาย ฯ ทุกวันนี้ทราบดีว่าภาพรวมรพ.ในสังกัดสปสช. (สธ.) เกือบทั้งหมดอยู่ในภาวะตัวเลขติดลบรอล้มละลาย ที่ผ่านมาปัญหาถูกแก้แบบดินพอกหางหมู โดยการเอาเงินต่อเงินแบบชั่วคราว เหมือนวิธีแก้ ปัญหาน้ำท่วมซ้ำซาก รพ.ที่ติดลบบางแห่งได้เงินในอนาคตที่สปสช.ไปเร่งรัดรัฐบาลให้นําเงินฉุกเฉินออกมาให้อุดรอยรั่ว (แต่สปสช.เองกับมีเงินเหลือในกระเป๋าหลายหมื่นล้าน .... เก็บไว้ทําไม ?) บางรพ.ก็ได้เงินจากเงินบํารุงที่ยังพอมีเหลือของอีกรพ.มาใช้อุดตัวเลขสีแดง หลายรพ.ติดหนี้บริษัทยา จนบริษัทต้องหยุดส่งยาและขึ้นบัญชีดํารพ. (ซึ่งไม่เคยมีเหตุการณ์เช่นนี้มาก่อนในประวัติศาสตร์สาธารณสุขไทย)
ทุกวันนี้สปสช.จึงมีอํานาจมากกว่ากระทรวงสาธารณสุขหรือแม้แต่ครม.เสียอีก เลขาธิการสปสช.มีอํานาจและเงินเดือนมากกว่า ปลัดหรือรมต.สธ.(แต่ไม่ต้องถูกตรวจสอบ) รมต.สั่งการสปสช.ได้แต่สปสช.มีสิทธิปฏิเสธโดยอาศัยมติบอร์ด ที่แม้แต่ปลัดหรืออดีตรมต.สธ.ก็ได้แต่ทําตาปริบ ๆ
มีการสัมมนาต่างกรรมต่างวาระหลายอย่างโดยหลายองค์กรที่ไม่เกี่ยวข้องในแง่ผลประโยชน์กับสปสช.
ได้ข้อสรุปที่คล้ายกันดังนี้
1.ควรแก้ไขพ.ร.บ.หลักประกันสุขภาพแห่งชาติพ.ศ. 2545 โดยให้สปสช.ลดบทบาทมาเป็นระดับกรม อยู่ภายใต้การบังคับบัญชาของกระทรวงสาธารณสุข ซึ่งจะทําให้สามารถควบคุมและตรวจสอบได้ และจะช่วยลดงบประมาณการบริหารสํานักงานรวมทั้งกําหนดค่าตอบแทนบุคลากรในสปสช.ให้เหมาะสม
2.นําบุคลากรสาธารณสุขที่ได้จากการลดบทบาทดังกล่าว มาทํางานบริการที่ถูกต้องตามสายงานวิชาชีพที่ได้เรียนมา เพื่อให้คุ้มค่ากับเงินที่รัฐต้องเสียไปเพื่อให้คนเหล่านี้มาเป็นบุคลากรสาธารณสุขของประเทศ เพราะทุกวันนี้บุคลากรที่ต้องปฏิบัติจริงล้วนแต่มองคนเหล่านี้ว่า “ทํานาบนหลังเพื่อนร่วมวิชาชีพ”
3.ระบบการจัดสรรงบประมาณควรมีการเปลี่ยนแปลงดังนี้
3.1แยกเงินเดือนและค่าตอบแทนบุคลากรออกจากงบบริการที่ให้กับสปสช.
3.2การจ่ายงบประมาณในการรักษาผู้ป่วยควรจ่ายตามที่เป็นจริง
4. ควรมีระบบร่วมจ่าย (copayment) คนจนฟรี คนไม่จนต้องร่วมจ่าย ทั้งนี้ เพื่อให้มีงบประมาณเพียงพอในการจัดบริการสาธารณสุขที่มีมาตรฐานสําหรับประชาชนทุกคน โดยที่โรงพยาบาลไม่อยู่ในสภาพขาดทุนและขาดสภาพ คล่อง เช่นนี้
5. ควรแยกบุคลากรสาธารณสุขออกจาก กพ. และให้ กสธ.จัดสรรตําแหน่ง เงินเดือน ค่าตอบแทนให้เหมาะกับภาระหน้าที่ ได้โดยตรง
โดย ลี้ คิม ฮวง