1.โปรดเกล้าฯ แต่งตั้งนายทหาร 831 นาย พล.อ.ธีรชัย ผงาด ผบ.ทบ. ขณะที่ พล.อ.ปรีชา น้องบิ๊กตู่ นั่งปลัดกลาโหม!
เมื่อวันที่ 28 ส.ค. เว็บไซต์ราชกิจจานุเบกษา ได้เผยแพร่ประกาศสำนักนายกรัฐมนตรี เรื่อง ให้นายทหารรับราชการ โดยมีพระบรมราชโองการโปรดเกล้าฯ ให้นายทหารรับราชการสนองพระเดชพระคุณทั้งสิ้น 831 นาย ทั้งนี้ ตำแหน่งสำคัญๆ ส่วนใหญ่เป็นไปตามที่สื่อมวลชนคาดการณ์ ได้แก่ พล.อ.ปรีชา จันทร์โอชา (ตท.15) ผู้ช่วยผู้บัญชาการทหารบก(ผช.ผบ.ทบ.) น้องชาย พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ(คสช.) ที่เคยเป็นแคนดิเดทผู้บัญชาการทหารบก(ผบ.ทบ.) กับ พล.อ.ธีรชัย นาควานิช (ตท.14) ผช.ผบ.ทบ. ข้ามห้วยไปนั่งปลัดกระทรวงกลาโหม ขณะที่ พล.อ.ธีรชัย นาควานิช น้องรักของ พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกฯ และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม ขึ้นเป็น ผบ.ทบ.
ทั้งนี้ มีรายงานว่า ก่อนหน้านี้ พล.อ.อุดมเดช สีตบุตร ผบ.ทบ. ได้เสนอชื่อ พล.อ.ปรีชา จันทร์โอชา ขึ้นเป็น ผบ.ทบ. แต่ถูกเบียดตกในนาทีสุดท้าย เนื่องจาก พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกฯ ด้านความมั่นคงและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม ต้องการผลักดัน พล.อ.ธีรชัย จากสาย บูรพาพยัคฆ์ ขึ้นเป็น ผบ.ทบ.คนที่ 39 โดยให้เหตุผลเพื่อต้องการให้มาคุมสถานการณ์บ้านเมืองในช่วงที่รัฐบาลและ คสช.เร่งปฏิรูปประเทศให้สำเร็จตามโรดแมป
นอกจากนี้ในส่วนของกองทัพบก พล.อ.วลิต โรจนภักดี รอง เสธ.ทหาร (ตท.15) ได้ข้ามห้วยมาเป็นรอง ผบ.ทบ. , พล.ท.เฉลิมชัย สิทธิสาท ผบ.หน่วยบัญชาการสงครามพิเศษ (ผบ.นสศ.) และ พล.ท.กัมปนาท รุดดิษฐ์ แม่ทัพภาคที่ 1 เป็นผู้ช่วย ผบ.ทบ.(ตท.16) , พล.อ.พิสิทธิ์ สิทธิสาร ผู้ทรงคุณวุฒิพิเศษ ทบ. (ตท.17) เป็น เสธ.ทบ. , พล.อ.วีรัณ ฉันทศาสตร์โกศล เป็นประธาน ที่ปรึกษาพิเศษ ทบ. (ตท.14) , พล.ท.สุรเดช เฟื่องเจริญ , พล.ท.สสิน ทองภักดี , พล.ท.สุทัศน์ จารุมณี เป็นรอง เสธ.ทบ.
สำหรับกองทัพไทยเป็นไปตามคาด พล.อ.สมหมาย เกาฏีระ เสธ.ทหาร (ตท.15) ขึ้นเป็นผู้บัญชาการทหารสูงสุด(ผบ.สส.) ขณะที่กองทัพเรือ พล.ร.อ.ไกรสร จันทร์สุวานิชย์ ผู้บัญชาการทหารเรือ(ผบ.ทร.) จำเป็นต้องเสนอ พล.ร.อ.ณะ อารีนิจ (ตท.15) เสนาธิการทหารเรือ ขึ้นเป็น ผบ.ทร. ตามธรรมเนียมปฏิบัติของกองทัพเรือที่สืบทอดกันมานานว่า นายทหารเรือที่จะขึ้นเป็น ผบ.ทร. ต้องจบจากโรงเรียนนายเรือเท่านั้น
2.ศาลฎีกาฯ พิพากษาจำคุก สุชาย-วิโรจน์ 18 ปี คดีปล่อยกู้แบงก์กรุงไทย ด้าน ทักษิณ หลบหนี จำหน่ายคดีชั่วคราว!
เมื่อวันที่ 26 ส.ค. องค์คณะผู้พิพากษาศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองรวม 9 คน ได้ออกนั่งบัลลังก์อ่านคำพิพากษาคดีปล่อยกู้ธนาคารกรุงไทย จำกัด (มหาชน) ที่อัยการสูงสุด เป็นโจทก์ยื่นฟ้อง พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี, ร.ท.สุชาย เชาว์วิศิษฐ์ อดีตประธานกรรมการบริหารธนาคารกรุงไทย, นายวิโรจน์ นวลแข อดีตกรรมการผู้จัดการธนาคารกรุงไทย, กรรมการบริหาร, คณะกรรมการสินเชื่อ, เจ้าหน้าที่สินเชื่อของธนาคารกรุงไทย , กรรมการผู้มีอำนาจของบริษัทในเครือกฤษดามหานคร และ 3 บริษัทในเครือกฤษดามหานคร เป็นจำเลยที่ 1-27 ในความผิดฐานเป็นเจ้าหน้าที่ปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบ และโดยทุจริต ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 157, ความผิดตาม พ.ร.บ.ว่าด้วยความผิดของพนักงานในองค์การหรือหน่วยงานของรัฐ พ.ศ. 2502, ความผิดตาม พ.ร.บ.การธนาคารพาณิชย์ พ.ศ. 2505, ความผิดตาม พ.ร.บ.หลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ พ.ศ. 2535 และความผิดตาม พ.ร.บ.บริษัท มหาชน จำกัด พ.ศ. 2535
คดีนี้ โจทก์ฟ้องสรุปว่า ผู้บริหารธนาคารกรุงไทย ให้สินเชื่อกลุ่ม บมจ.กฤษดามหานคร ที่มีสถานะอยู่ในกลุ่มลูกหนี้ที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้ของธนาคาร ทั้งที่ ผอ.ฝ่ายกลั่นกรองสินเชื่อธุรกิจนครหลวง เคยจัดอันดับความเสี่ยงของกลุ่มกฤษดามหานครไว้ในอันดับ 5 คือไม่สามารถอนุมัติสินเชื่อให้ได้ แต่กลับมีการอนุมัติสินเชื่อให้บริษัทในกลุ่มกฤษดามหานคร 3 กรณี คือ 1. อนุมัติสินเชื่อให้บริษัท อาร์เคโปรเฟสชั่นนัล จำกัด จำนวน 500 ล้านบาท 2. อนุมัติสินเชื่อให้บริษัทโกลเด้น เทคโนโลยี อินดัสเทรียล พาร์ค จำกัด วงเงิน 9,900 ล้านบาท และ 3. อนุมัติขายหุ้นบุริมสิทธิแปลงสภาพของกฤษดามหานคร ให้กับบริษัท แกรนด์ คอมพิวเตอร์คอมมูนิเคชั่น จำกัด จำนวนกว่า 1,185 ล้านบาท ถือว่าผู้เกี่ยวข้องมีพฤติการณ์ร่วมกันหรือสนับสนุนการกระทำความผิด เป็นการกระทำโดยทุจริต เพื่อฟื้นฟูกิจการของ บมจ.กฤษดามหานคร และเพื่อประโยชน์ส่วนตนกับพวก
ด้านศาลพิเคราะห์แล้วเห็นว่า จำเลยที่ 2-5 และ 8-17 ร่วมกันอนุมัติสินเชื่อให้กับบริษัทอาร์เคฯ จำเลยที่ 18 และบริษัทโกลเด้นฯ จำเลยที่ 19 โดยฝ่าฝืนประกาศและคำสั่งของธนาคารแห่งประเทศไทย และคำสั่งของธนาคารกรุงไทย ทั้งที่ย่อมรู้ดีอยู่แล้วว่า บริษัทจำเลยที่ 18-19 ที่เสนอขอสินเชื่อนั้น เป็นบริษัทในเครือของจำเลยที่ 20 ซึ่งเป็นหนี้สถาบันการเงินหลายแห่ง มีการปรับโครงสร้างหนี้หลายครั้ง จนถูกห้ามก่อหนี้เพิ่ม และถูกจัดให้อยู่ในกลุ่มที่มีความสี่ยงสูง แต่จำเลยที่ 5-17 ยังคงเสนอให้อนุมัติสินเชื่อแก่จำเลยทั้งสอง โดยให้ความเห็นว่า อยู่ในกลุ่มความเสี่ยงพอรับได้ และการกระทำดังกล่าวยังเป็นในลักษณะเร่งรีบเพื่อปล่อยกู้ให้ทัน เป็นการเปิดช่องให้จำเลยทั้งสองนำเงินไปใช้ผิดวัตถุประสงค์ การกระทำของจำเลยที่ 2-5 และ 8-17 จึงเป็นการกระทำที่ไม่ชอบ สร้างความเสียหายให้แก่ธนาคารกรุงไทยและประชาชนที่ฝากเงิน
ศาลพิเคราะห์ด้วยว่า กรณีที่ ร.ท.สุชาย, นายวิโรจน์ และนายมัชฌิมา กุญชร ณ อยุธยา กรรมการบอร์ดกรุงไทย จำเลยที่ 2-4 อนุมัติขายหุ้นบุริมสิทธิแปลงสภาพของกฤษดามหานคร จำเลยที่ 20 ให้แก่บริษัทแกรนด์คอมพิวเตอร์ฯ จำเลยที่ 22 นั้น การที่นายวิโรจน์ จำเลยที่ 3 ให้เครดิตการชำระเงินขายหุ้นให้นานถึง 4 เดือน และยังมีการมอบฉันทะให้จำเลยที่ 22 ออกเสียงลงคะแนนในที่ประชุมผู้ถือหุ้นของกฤษดามหานคร จำเลยที่ 20 แม้ว่าหุ้นจะไม่ใช่สินเชื่อ แต่ลักษณะของการดำเนินการดังกล่าว ก็เป็นการให้สินเชื่ออย่างหนึ่ง ซึ่งจะต้องปฏิบัติตามคำสั่งเรื่องนโยบายสินเชื่อในการวิเคราะห์ความสี่ยง การกระทำของจำเลยที่ 2-4 ดังกล่าวทำให้ธนาคารกรุงไทยขายหุ้นไปโดยไม่ได้รับการชำระค่าหุ้น และการมอบฉันทะให้จำเลยที่ 22 เข้าประชุมผู้ถือหุ้นจนมีการลงคะแนนเสียงลดจำนวนหุ้นบุริมสิทธิ์ ทำให้มีมูลค่าเป็นศูนย์ จึงเป็นการกระทำที่ไม่ชอบเช่นกัน เพราะเป็นการให้สินเชื่อในกรณีพิเศษ
ส่วนกรณีที่จำเลย 2-5 และ 8-27 ร่วมกันกระทำผิดหรือสนับสนุนจำเลยที่ 1 นั้น ศาลระบุว่า ได้ความจากพยานซึ่งเป็นกรรมการพิจารณาสินเชื่อธนาคารกรุงไทยว่า ก่อนการประชุมอนุมัติสินเชื่อให้บริษัทจำเลยที่ 18-19 นั้น จำเลยที่ 2 ได้โทรศัพท์มาหาพยานและบอกว่า "บิ๊กบอส" หรือ "ซุปเปอร์บอส" ได้ดูดีแล้ว ไม่ให้คัดค้านการอนุมัติสินเชื่อให้บริษัทจำเลยที่ 18-19 ซึ่งในชั้นพิจารณากับชั้นไต่สวนของคณะกรรมการตรวจสอบการกระทำที่ก่อให้เกิดความเสียหายแก่รัฐ(คตส.) พยานยังเบิกความไม่ชัดเจนว่า บิ๊กบอสหรือซุปเปอร์บอส คือ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร จำเลยที่ 1 หรือภรรยาของจำเลยที่ 1 กันแน่ แม้จะมีการอ้างถึงเงินจากเครือบริษัทจำเลยโอนเข้าบัญชีบุตรของจำเลยที่ 1 (นายพานทองแท้ ชินวัตร) และบุคคลที่เกี่ยวข้องกับจำเลยที่ 1 แต่ก็พบว่ากลุ่มคนดังกล่าวก็เกี่ยวพันกับภรรยาของจำเลยที่ 1 เช่นกัน พยานจึงอาจเข้าใจตามความคิดของพยานเองว่า บิ๊กบอสหรือซุปเปอร์บอส คือจำเลยที่ 1 ดังนั้น ในชั้นนี้อาจยังฟังไม่ได้ว่าจำเลย 2-5 และ 8-27 ร่วมกับจำเลยที่ 1
ทั้งนี้ ศาลพิพากษาให้จำคุก ร.ท.สุชาย จำเลยที่ 2, นายวิโรจน์ จำเลยที่ 3, นายมัฌชิมา จำเลยที่ 4 และนายไพโรจน์ รัตนะโสภา จำเลยที่ 12 คนละ 18 ปี ในความผิดตาม พ.ร.บ.ว่าด้วยความผิดของพนักงานในองค์การหรือหน่วยงานของรัฐ พ.ศ.2502 มาตรา 4 ซึ่งเป็นบทหนักสุด ส่วนจำเลยที่ 5, 8-11, 13-17 ซึ่งเป็นพนักงานของธนาคารกรุงไทยรวม 10 คน ให้จำคุกคนละ 12 ปี ในความผิดตาม พ.ร.บ.ว่าด้วยความผิดของพนักงานในองค์การหรือหน่วยงานของรัฐ พ.ศ.2502 มาตรา 4
สำหรับนายวิชัย กฤษดาธานนท์ เจ้าของโครงการหมู่บ้านกฤษดามหานคร จำเลยที่ 25 และจำเลยที่ 18-27 ซึ่งเป็นนิติบุคคล และผู้บริหารบริษัทในเครือกฤษดามหานครนั้น มีความผิดตาม พ.ร.บ.ว่าด้วยความผิดของพนักงานในองค์การหรือหน่วยงานของรัฐ พ.ศ.2502 มาตรา 4 ศาลพิพากษาปรับจำเลยที่ 18-22 ซึ่งเป็นนิติบุคคล รายละ 26,000 บาท และพิพากษาจำคุกจำเลยที่ 23-27 คนละ 12 ปี และให้จำเลยที่ 20, 25 และ 26 ร่วมกันคืนเงินแก่ธนาคารกรุงไทย ผู้เสียหาย จำนวน 10,004,467,480 บาท
นอกจากนี้ให้นายวิโรจน์ จำเลยที่ 3, 22 และ 27 ร่วมรับผิดจำนวน 9,554,467,480 บาท และให้จำเลยที่ 12-17, 21, 23 และ 24 ร่วมรับผิด 8,818,732,100 บาท ส่วนจำเลยที่ 18 ร่วมรับผิด 450 ล้านบาท จำเลยที่ 2, 4, 5 และ 8-11และ 19 ร่วมรับผิด 8,368,732,100 บาท หากจำเลยที่ 18-22ไม่ชำระค่าปรับ ให้จัดการตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 29 และให้ยกฟ้องจำเลยที่ 6-7
เป็นที่น่าสังเกตว่า หลังฟังคำพิพากษา ญาติของจำเลยต่างมีอาการโศกเศร้า บางรายถึงกับร้องไห้ออกมา ขณะที่เจ้าหน้าที่ราชทัณฑ์ได้นำรถเรือนจำมารับจำเลยที่ถูกพิพากษาจำคุก 16 คน เพื่อไปควบคุมตัวที่เรือนจำพิเศษกรุงเทพฯ
ทั้งนี้ ในส่วนของ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร นั้น เนื่องจากในการพิจารณาคดีครั้งแรกเมื่อเดือน ต.ค.2555 พ.ต.ท.ทักษิณ ไม่เดินทางมาศาล เนื่องจากได้หลบหนีคดีทุจริตซื้อขายที่ดินย่านรัชดาฯ ไปตั้งแต่ปี 2551 ศาลฎีกาฯ จึงออกหมายจับ พ.ต.ท.ทักษิณ และจำหน่ายคดีธนาคารกรุงไทยปล่อยกู้ให้เครือกฤษดามหานครเฉพาะในส่วนของ พ.ต.ท.ทักษิณ ไว้เป็นการชั่วคราว ส่วนจำเลยที่เหลือ ดำเนินการต่อ กระทั่งนัดฟังคำพิพากษาเมื่อวันที่ 26 ส.ค.ที่ผ่านมา
3.ตำรวจ ปิดเมืองค้นรังโจร กว่า 3,000 จุด หามือระเบิดราชประสงค์ ด้านศาลออกหมายจับ ชายเสื้อฟ้า วางระเบิดสาทรแล้ว!
ความคืบหน้าเหตุระเบิดที่ศาลท้าวมหาพรหม แยกราชประสงค์ จนมีผู้เสียชีวิต 20 ราย และบาดเจ็บกว่า 120 คนเมื่อวันที่ 17 ส.ค. ซึ่งตำรวจได้ออกหมายจับชายเสื้อเหลืองตามภาพวงจรปิด หลังพบว่าเป็นบุคคลที่สะพายเป้มาทิ้งไว้ใต้เก้าอี้ภายในรั้วศาลพระพรหม ก่อนระเบิดในเวลาต่อมา แต่ยังไม่สามารถจับกุมคนร้ายได้ ปรากฏว่า เมื่อวันที่ 23 ส.ค. สำนักงานตำรวจแห่งชาติ ได้เปิดยุทธการ ปิดเมืองค้นรังโจร โดยปล่อยแถวตำรวจนครบาล 1,093 นาย ทหารอีก 100 นาย และเจ้าหน้าที่อีกหลายหน่วย ตรวจค้นสถานที่ต่างๆ ซึ่งเป็นที่พักอาศัยของชาวต่างชาติ ทั้งคอนโดมิเนียม หอพัก และเกสต์เฮาส์ รวม 3,550 หลัง โดยปฏิบัติการปิดเมืองค้นรังโจรดำเนินมาตั้งแต่วันที่ 21-23 ส.ค.
พล.ต.ท.ศรีวราห์ รังสิพราหมณกุล ผู้บัญชาการตำรวจนครบาล กล่าวว่า จากการตรวจค้นกว่า 3,000 จุด ยังไม่เพียงพอ เนื่องจากปัจจุบันมีที่พักประเภทนี้อยู่กว่า 1 หมื่นแห่งทั่วกรุงเทพฯ จึงต้องดำเนินการต่อ ขณะที่ พล.ต.อ.สมยศ พุ่มพันธุ์ม่วง ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ กล่าวว่า ปฏิบัติการ ปิดเมืองค้นรังโจร เพื่อตอบสนองนโยบาบรัฐบาลที่จะสร้างความมั่นใจและความเชื่อถือให้ประชาชนรู้สึกปลอดภัยในชีวิตและทรัพย์สิน อย่างไรก็ตาม พล.ต.อ.สมยศ กล่าวว่า ปัญหาที่ประสบอยู่คือ เราไม่มีอุปกรณ์ที่มีศักยภาพในการตรวจสอบผู้ต้องสงสัย บางประเทศใช้ไบโอแมทริกซ์ ที่ตรวจสอบรูปหน้า ลายพิมพ์นิ้วมือ และแววตาได้ ซึ่งตนได้ทำเรื่องขออนุมัติจัดซื้อไว้ที่ด่านตรวจคนเข้าเมือง(ตม.) ทั่วประเทศ ซึ่งเรื่องนี้ นายกรัฐมนตรีเห็นควรให้ดำเนินการแล้ว แต่ยังติดที่ระเบียบขั้นตอนของกฎหมาย พล.ต.อ.สมยศ เผยอีกว่า อีกปัญหาที่พบคือ กล้องวงจรปิดไม่สามารถใช้การได้เป็นจำนวนมาก รวมถึงไม่ครอบคลุมพื้นที่ทั้งหมด ทำให้การติดตามตัวคนร้ายยากขึ้น
ด้าน พล.ต.ต.วิชัย สังข์ประไพ ที่ปรึกษาผู้ว่าฯ กทม. ได้เปิดแถลงยืนยันว่า กล้องวงจรปิดของ กทม.บริเวณแยกราชประสงค์มีทั้งหมด 107 ตัว ใช้การไม่ได้แค่ 4 ตัว ไม่ใช่ใช้การไม่ได้จำนวนมากแต่อย่างใด และเมื่อทราบว่า 4 ตัวใช้การไม่ได้ ก็รีบเข้าแก้ไขทันที และว่า ภาพเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นส่วนใหญ่ล้วนได้มาจากภาพวงจรปิดของ กทม.ทั้งสิ้น
ทั้งนี้ บีบีซีไทย รายงานว่า นักวิเคราะห์ต่างประเทศเชื่อว่า เหตุระเบิดที่แยกราชประสงค์อาจเป็นฝีมือของกลุ่มเกรย์ วูฟส์ ในตุรกี ซึ่งเป็นกลุ่มที่ใช้ความรุนแรงขวาสุดโต่ง เกี่ยวพันกับการก่อเหตุมาแล้วในหลายกรณี ตั้งแต่นากอร์โน-คาราบัค เชชเนีย ไซปรัส ซึ่งเป็นกลุ่มที่รวมตัวกันสนับสนุนอุยกูร์ในการประท้วงและเข้าโจมตีสถานทูตไทยในตุรกี หลังไทยส่งชาวอุยกูร์ให้จีน จึงอาจต้องการแก้แค้นให้ชาวอุยกูร์
ขณะที่รัฐบาลและตำรวจไทย ยังไม่สรุปว่า เหตุระเบิดทั้งที่แยกราชประสงค์และที่ท่าเรือสาทรเกี่ยวพันกับกรณีอุยกูร์หรือเป็นฝีมือของชาวอุยกูร์หรือไม่ อย่างไรก็ตาม เมื่อวันที่ 25 ส.ค. คนขับรถแท็กซี่ที่รับคนร้ายชายเสื้อเหลืองตามภาพวงจรปิดมือวางระเบิดแยกราชประสงค์ ได้เข้าให้ปากคำต่อตำรวจแล้ว โดยเล่าว่า รับชายเสื้อเหลืองจากถนนพระราม 4 เลยแยกศาลาแดง ไปส่งที่สถานีรถไฟหัวลำโพง โดยชายดังกล่าวพูดคำว่าหัวลำโพงไม่ชัด คล้ายฝรั่งพูดภาษาไทย แต่ยืนยันไม่ใช่คนไทยแน่นอน
สำหรับเหตุระเบิดที่ท่าเรือสาทรนั้น เมื่อวันที่ 27 ส.ค.ตำรวจได้ขอศาลอาญากรุงเทพใต้อนุมัติหมายจับชายเสื้อฟ้าตามภาพวงจรปิดที่บันทึกได้ว่า ชายดังกล่าวนำถุงพลาสติกไปวางบนสะพานท่าเรือสาทร ก่อนจะเตะถุงดังกล่าวลงน้ำเมื่อวันที่ 17 ส.ค. และเกิดระเบิดขึ้นในวันต่อมา ซึ่งศาลอนุมัติหมายจับแล้ว โดยตำรวจระบุรูปพรรณสัณฐานว่า เป็นชายชาวเอเชีย อายุประมาณ 25-30 ปี สูง 170 ซม.ผิวขาวเหลือง ผมดก จมูกโด่ง โดยออกหมายจับข้อหามีวัตถุระเบิดโดยไม่ได้รับอนุญาต กระทำให้เกิดระเบิดจนน่าจะเป็นอันตรายต่อบุคคลอื่น และพยายามฆ่าผู้อื่นโดยไตร่ตรองไว้ก่อน
ล่าสุด (29 ส.ค.) ตำรวจและทหารรวบผู้ต้องสงสัยได้ 1 ราย เป็นชาวตุรกี หลังเข้าตรวจสอบห้องพักเลขที่ 412 และ 414 ของพูลอนันต์อพาร์ตเม้นท์ ตั้งอยู่ปากซอยเชื่อมสัมพันธ์ 11 เขตหนองจอก กทม. พบอุปกรณ์และวัตถุที่ใช้สำหรับประกอบระเบิดจำนวนมาก โดยเฉพาะลูกปรายแบบกลมเส้นผ่านศูนย์กลาง 0.5 ซม. ชนิดเดียวกับที่พบที่ราชประสงค์และท่าเรือสาทร โดยจะมีการตรวจสอบต่อไปว่า เกี่ยวโยงกับเหตุระเบิดที่เกิดขึ้นหรือไม่