ผู้เขียน หัวข้อ: สรุปข่าวเด่นในรอบสัปดาห์ 9-17 ส.ค.2557  (อ่าน 733 ครั้ง)

story

  • Staff
  • Hero Member
  • ****
  • กระทู้: 9760
    • ดูรายละเอียด
สรุปข่าวเด่นในรอบสัปดาห์ 9-17 ส.ค.2557
« เมื่อ: 19 สิงหาคม 2014, 00:50:17 »
 1. ผลตรวจพระวรกาย “ในหลวง” พระกระเพาะอาหารอักเสบเล็กน้อย-เสวยพระกระยาหารไม่เต็มที่!

แถลงการณ์สำนักพระราชวัง ฉบับที่ 2
       ตามที่สำนักพระราชวังได้ออกแถลงการณ์ ฉบับที่ 1 ว่า คณะแพทย์ได้กราบบังคมทูลพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ไปตรวจพระวรกาย ณ โรงพยาบาลศิริราชในวันที่ 6 ส.ค. เนื่องจากถึงกำหนดเวลาที่จะขอพระราชทานถวายตรวจพระวรกายอย่างละเอียดด้วยเครื่องมือพิเศษ หลังเสด็จฯ ไปประทับ ณ วังไกลกังวล ตั้งแต่วันที่ 1 ส.ค. 2556 นับเวลาได้ 1 ปีเศษนั้น
       เมื่อวันที่ 11 ส.ค. สำนักพระราชวัง ได้ออกแถลงการณ์ ฉบับที่ 2 ความว่า ตามที่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวได้เสด็จฯ มาโรงพยาบาลศิริราช เพื่อให้คณะแพทย์ถวายการตรวจพระวรกายอย่างละเอียด คณะแพทย์รายงานในเบื้องต้นว่า อุณหภูมิพระวรกาย การหายพระทัยและความดันพระโลหิตเป็นปกติ
       
        ผลการตรวจด้วยเครื่องเอกซเรย์คอมพิวเตอร์ที่พระอุระมีรายงานว่า พระปัปผาสะ(ปอด) ปกติ และการตรวจสภาวะการทำงานของพระหทัยอยู่ในเกณฑ์ปกติ การตรวจพระหทัยด้วยคลื่นไฟฟ้าไม่ปรากฏว่า มีความเปลี่ยนแปลงเมื่อเปรียบเทียบกับการตรวจติดตามมาเป็นระยะ การตรวจกระเพาะอาหารโดยการส่องกล้อง ปรากฏว่า มีการอักเสบเล็กน้อย คณะแพทย์ได้รักษาโดยการถวายพระโอสถ
       
        ผลการตรวจพระโลหิตโดยวิธีการทั่วไปเป็นปกติ ไม่พบร่องรอยการอักเสบในระบบต่างๆ ของพระวรกาย สำหรับผลการตรวจพระโลหิตโดยวิธีพิเศษ รวมทั้งการตรวจดูสภาวะทางโภชนาการและวิตามิน คณะแพทย์มีความเห็นว่า เนื่องจากทรงมีพระชนมายุมากแล้ว ทำให้เสวยพระกระยาหารได้ไม่เต็มที่ จึงขอพระราชทานพระบรมราชานุญาตถวายสารอาหารเพิ่มทางหลอดพระโลหิต เพื่อช่วยเสริมสร้างพระพลานามัยให้กลับมาสมบูรณ์ดังเดิมเร็วขึ้น คณะแพทย์จะถวายการตรวจพิเศษเพิ่มขึ้นและรายงานให้ทราบต่อไป
       
        วันต่อมา(12 ส.ค.) ศ.คลินิก นพ.อุดม คชินทร คณบดีคณะแพทยศาสตร์ศิริราชพยาบาล มหาวิทยาลัยมหิดล เผยว่า การเสด็จฯ มาโรงพยาบาลศิริราช พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวไม่ได้เสด็จฯ มาในฐานะทรงเป็นผู้ป่วย แต่เป็นการเสด็จฯ เนื่องจากถึงกำหนดที่จะต้องติดตามการถวายการตรวจเกี่ยวกับพระโรคต่างๆ ซึ่งต้องใช้เครื่องมือพิเศษ จึงกราบบังคมทูลเชิญมาตรวจพระวรกายที่โรงพยาบาลศิริราช ไม่อยากให้ประชาชนกังวล โดยเฉพาะประชาชนที่กังวลเกี่ยวกับแถลงการณ์ว่า ทำไมต้องถวายสารอาหารทางหลอดพระโลหิต เนื่องจากพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงมีพระชนมพรรษาสูงแล้ว การเสวยต่างๆ เป็นไปตามธรรมชาติของผู้สูงอายุ คือรับประทานอะไรได้น้อย พอรับประทานได้น้อย พระพลานามัยจะทรุดโทรมลงเหมือนคนสูงอายุทั่วไป ฉะนั้นจึงถือโอกาสที่จะมาแก้ไขเรื่องโภชนาการของพระองค์ผ่านทางหลอดพระโลหิตร่วมไปกับการเสวยปกติ เพื่อให้พระพลานามัยกลับมาแข็งแรงขึ้น เพื่อประชาชนที่อยากเห็นพระองค์มีสุขภาพแข็งแรงจะได้สบายใจไม่ต้องกังวล “เชื่อว่าอีก 1-2 สัปดาห์ หากพระองค์มีพระพลานามัยดีขึ้น พระองค์คงจะเสด็จฯ ลงมาให้ประชาชนได้ชื่นชมพระบารมี หรือหากถวายการตรวจเสร็จเรียบร้อย พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวคงจะเสด็จฯ กลับวังไกลกังวล ส่วนจะเสด็จฯ กลับเมื่อใด ต้องแล้วแต่พระราชประสงค์ อย่างไรก็ตาม พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวยังทรงงานตามปกติที่ห้องทรงงาน แม้จะเสด็จฯ มาประทับที่นี่ อยากให้ประชาชนทราบและสบายใจ”
       
        ศ.คลินิก นพ.อุดม เผยด้วยว่า สมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถ ได้ตามเสด็จมาเป็นกำลังพระทัยให้พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ไม่ได้มีพระโรคที่ต้องติดตามอะไร และถึงกำหนดต้องติดตามพระวรกาย ขณะนี้พระองค์ทรงพระพลานามัยอยู่ในเกณฑ์ดี และทรงพระดำเนินได้ตามปกติ
       
        ทั้งนี้ เมื่อวันที่ 12 ส.ค. พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ผู้บัญชาการทหารบกและหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ(คสช.) ได้เป็นประธานในพิธีจุดเทียนชัยถวายพระพรสมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถ เนื่องในโอกาสวันเฉลิมพระชนมพรรษา ณ บริเวณท้องสนามหลวง
       
        2. โปรดเกล้าฯ ปธ.-รอง ปธ.สนช.แล้ว นัดถก พ.ร.บ.งบปี 58 ทันที ด้าน “บิ๊กตู่” ยัน ได้นายกฯ ภายใน ส.ค.นี้!

       ความคืบหน้าหลังที่ประชุมสภานิติบัญญัติแห่งชาติ(สนช.) ได้ประชุมเลือกประธานและรองประธาน สนช.ทั้งสองคนแล้วเมื่อวันที่ 8 ส.ค. โดยนายพรเพชร วิชิตชลชัย ผู้ตรวจการแผ่นดินและที่ปรึกษาหัวหน้าคณะ คสช. ได้รับเลือกเป็นประธาน สนช. ขณะที่รองประธาน สนช.คนที่ 1 คือนายสุรชัย เลี้ยงบุญเลิศชัย อดีตว่าที่ประธานวุฒิสภา ส่วนรองประธาน สนช.คนที่ 2 คือนายพีระศักดิ์ พอจิต นักกฎหมายอิสระ ปรากฏว่า ล่าสุดเมื่อวันที่ 17 ส.ค. สำนักงานเลขาธิการวุฒิสภา โดยนางนรรัตน์ พิมเสน เลขาธิการวุฒิสภา ปฏิบัติหน้าที่แทนเลขาธิการ สนช.ได้ส่งหนังสือแจ้งให้สมาชิก สนช. ทราบว่า พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงมีพระบรมราชโองการโปรดเกล้าฯ แต่งตั้งนายพรเพชร วิชิตชลชัย เป็นประธาน สนช. นายสุรชัย เลี้ยงบุญเลิศชัย เป็นรองประธาน สนช.คนที่ 1 และนายพีระศักดิ์ พอจิต เป็นรองประธาน สนช.คนที่ 2 แล้ว
       
       พร้อมกันนี้ประธาน สนช.ได้มีคำสั่งนัดประชุม สนช.ครั้งที่ 2 ในวันที่ 18 ส.ค. เวลา 10.00 น. โดยมีวาระการประชุมรับทราบพระบรมราชโองการโปรดเกล้าฯ และเรื่องด่วนคือ ตั้งคณะกรรมาธิการสามัญยกร่างข้อบังคับการประชุม สนช., ตั้งคณะกรรมาธิการสามัญกิจการ สนช.(ชั่วคราว) และพิจารณาร่าง พ.ร.บ.งบประมาณรายจ่ายประจำปี 2558 ซึ่ง พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา หัวหน้า คสช. เป็นผู้เสนอ
       
       ทั้งนี้ พล.อ.ประยุทธ์ ได้กล่าวกับนักลงทุนนักธุรกิจไทย-ต่างชาติ 26 บริษัทที่เข้าพบเมื่อวันที่ 15 ส.ค.ถึงความคืบหน้าการทำงานตามโรดแมปของ คสช.ว่า “การทำงานตามโรดแมป 3 ระยะ ขณะนี้กำลังเข้าสู่ระยะที่ 2 ไม่เกินสิ้นเดือน ส.ค. ประเทศไทยจะมีนายกฯ และมีคณะรัฐมนตรี(ครม.)แน่นอน เพื่อจะเริ่มบริหารประเทศตั้งแต่เดือน ก.ย.เป็นระยะเวลา 1 ปี ควบคู่ไปกับการปฏิรูปประเทศ 11 เรื่อง เพื่อสร้างรากฐานทางประชาธิปไตยให้สมบูรณ์ รวมถึงการปรับปรุงกฏกติกาทางการค้าให้มีความทันสมัย เพื่อเตรียมการเข้าสู่ประชาคมอาเซียน หากทำสำเร็จ ปลายปี 2558 ประเทศไทยก็จะมีรัฐบาลที่มาจากการเลือกตั้ง”
       
        สำหรับความคืบหน้าการสรรหาสมาชิกสภาปฏิรูปแห่งชาติ(สปช.)นั้น เมื่อวันที่ 13 ส.ค. คสช.ได้ออกประกาศแต่งตั้งคณะกรรมการสรรหา สปช.ด้านต่างๆ จำนวน 77 คน ได้แก่ คณะกรรมการสรรหา สปช.ด้านการเมือง อาทิ พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ ประธานคณะที่ปรึกษา คสช. ,ด้านสาธารณสุขและสิ่งแวดล้อม อาทิ พล.อ.อ.อิทธพร ศุภวงศ์ สนช. ,ด้านสื่อสารมวลชน อาทิ พล.อ.นพดล อินทปัญญา สนช. ,ด้านเศรษฐกิจ อาทิ นายณรงค์ชัย อัครเศรณี สนช. ,ด้านพลังงาน อาทิ ม.ร.ว.ปรีดิยาธร เทวกุล อดีตผู้ว่าการธนาคารแห่งประเทศไทย ,ด้านการบริหารราชการแผ่นดิน อาทิ นายวิษณุ เครืองาม อดีตประธานคณะกรรมการพัฒนาระบบราชการ ,ด้านกฎหมายและกระบวนการยุติธรรม อาทิ นายพรเพชร วิชิตชลชัย ประธาน สนช.,ด้านปกครองท้องถิ่น อาทิ พล.อ.อนุพงษ์ เผ่าจินดา อดีตผู้บัญชาการทหารบก ,ด้านการศึกษา อาทิ นายยงยุทธ ยุทธวงศ์ อดีตรัฐมนตรีว่าการกระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี ,ด้านสังคม อาทิ นายสมคิด จาตุศรีพิทักษ์ อดีตรองนายกรัฐมนตรี ,ด้านอื่นๆ อาทิ พล.อ.ดาว์พงษ์ รัตนสุวรรณ อดีตรองผู้บัญชาการทหารบก
       
        ด้านนายพรเพชร วิชิตชลชัย หลังถูกตั้งข้อสังเกตว่าอาจมีผลประโยชน์ทับซ้อนกรณีดำรงตำแหน่งทั้งประธาน สนช.และผู้ตรวจการแผ่นดิน ล่าสุด เมื่อวันที่ 13 ส.ค. นายรักษ์เกชา แฉ่ฉาย รองเลขาธิการและโฆษกสำนักงานผู้ตรวจการแผ่นดิน แถลงว่า นายพรเพชรได้ยื่นหนังสือลาออกจากตำแหน่งผู้ตรวจการแผ่นดินแล้ว โดยให้เหตุผลว่าต้องการทำงานในฐานะประธาน สนช.อย่างเต็มที่ และเพื่อไม่ให้เกิดข้อครหาว่าดำรงตำแหน่งสองตำแหน่ง อาจมีผลประโยชน์ทับซ้อน จึงลาออกจากผู้ตรวจการแผ่นดิน โดยมีผลตั้งแต่วันที่ 1 ก.ย.เป็นต้นไป และว่า ระหว่างนี้นายพรเพชรจะใช้เวลาที่เหลืออยู่เร่งสะสางงานที่ค้างอยู่ที่เกี่ยวข้องกับด้านจริยธรรมและด้านตำรวจให้แล้วเสร็จ พร้อมยืนยันว่า การลาออกของนายพรเพชรไม่เกี่ยวกับกระแสสังคมกดดันหรือการที่นายศรีสุวรรณ จรรยา อุปนายกและเลขาธิการสมาคมองค์การพิทักษ์รัฐธรรมนูญยื่นคำร้องต่อผู้ตรวจการแผ่นดินให้เสนอความเห็นไปยังศาลรัฐธรรมนูญ เพื่อวินิจฉัยสถานะ สนช.ว่าขัดรัฐธรรมนูญฉบับชั่วคราวหรือไม่แต่อย่างใด
       
        ด้านคณะกรรมการการเลือกตั้ง(กกต.) ได้เปิดรับสมัคร สปช.ทั้ง 11 ด้านเป็นเวลา 20 วัน ระหว่างวันที่ 14 ส.ค.-2 ก.ย.นี้ โดยดำเนินไปพร้อมๆ กับการสรรหา สปช.ภาคส่วนจังหวัด ทั้งนี้ การสมัคร ต้องเป็นการเสนอชื่อบุคคลโดยองค์กรนิติบุคคลที่ไม่แสวงหากำไร หรือจะส่งโดยพรรคการเมืองก็ได้เช่นกัน สำหรับผู้ได้รับการเสนอชื่อเป็น สปช.จากหน่วยงานต่างๆ ได้แก่ ป.ป.ช.มีมติเสนอชื่อ นายวิชา มหาคุณ กรรมการ ป.ป.ช.และนายสรรเสริญ พลเจียก เลขาธิการ ป.ป.ช. ,พรรคภูมิใจไทย เสนอชื่อนายชัย ชิดชอบ อดีต ส.ส.ของพรรคและอดีตประธานสภาผู้แทนราษฎร ,พรรคชาติพัฒนา เสนอชื่อ พล.อ.ธวัชชัย สมุทรสาคร อดีตแม่ทัพภาคที่ 2
       
        เป็นที่น่าสังเกตว่า นางลีน่า จังจรรจา หัวหน้าพรรคมหาประชาชน ได้เสนอชื่อตนเองเข้ารับการสรรหาเป็น สปช.ด้วย โดยไปสมัครตั้งแต่วันแรก(14 ส.ค.) แต่แล้ววันต่อมา(15 ส.ค.) ก็ถูกที่ประชุม กกต.มีมติเพิกถอนสิทธิเลือกตั้ง(ใบแดง) พร้อมสั่งให้ดำเนินคดีอาญา ฐานหาเสียงเลือกตั้ง ส.ว.กรุงเทพฯ ในลักษณะหลอกลวงหรือจูงใจให้เข้าใจผิด โดยใช้ข้อความว่า “ยกเลิกกองทุนน้ำมัน คนไทยใช้น้ำมันเบนซิน ลิตรละ 20 บาท ลีน่า จังจรรจา(ลีน่า จัง)” และ “ทวงคืน ปตท.ให้เป็นของคนไทย ใช้น้ำมันเบนซิน ลิตรละ 20 บาท ลีน่า จังจรรจา(ลีน่า จัง) เบอร์ 3 ส.ว.กทม.” ซึ่ง กกต.ระบุว่า ข้อความดังกล่าวไม่ได้เป็นอำนาจหน้าที่ของ ส.ว. จึงเข้าข่ายผิด พ.ร.บ.ประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการเลือกตั้ง ส.ส.และการได้มาซึ่ง ส.ว. มาตรา 53
       
        ทั้งนี้ การถูก กกต.แจกใบแดง ส่งผลให้นางลีน่า จังจรรจา หมดสิทธิสมัครเป็น สปช.เนื่องจากรัฐธรรมนูญฉบับชั่วคราว มาตรา 29 ประกอบมาตรา 8(4) ระบุว่าผู้ที่จะเป็น สปช.ต้องไม่เคยถูกเพิกถอนสิทธิเลือกตั้ง
       
        3. “ปานเทพ” เผย “สนธิ” เข้มแข็ง-กำลังใจดี พร้อมยืนหยัดเพื่อชาติ-ราชบัลลังก์ ด้าน “ASTV” เตรียมเปลี่ยนชื่อใหม่รับเงื่อนไข คสช.!

       ความคืบหน้ากรณีศาลอุทธรณ์พิพากษายืนเมื่อวันที่ 7 ส.ค.จำคุกนายสนธิ ลิ้มทองกุล ผู้ก่อตั้งสื่อในเครือผู้จัดการ และอดีตแกนนำพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย 20 ปี คดีกระทำผิด พ.ร.บ.หลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ พ.ศ.2535 จากนั้นนายสนธิได้ถูกนำตัวไปคุมขังที่เรือนจำพิเศษกรุงเทพฯ ต่อมานายสุวัตร อภัยภักดิ์ ทนายความ ได้ยื่นขอประกันตัวนายสนธิ เพื่อสู้คดีในชั้นฎีกา แต่ศาลอุทธรณ์เห็นควรให้ศาลฎีกาเป็นผู้สั่ง ซึ่งศาลฎีกาได้มีคำสั่งเมื่อวันที่ 8 ส.ค.ยกคำร้องขอปล่อยตัวชั่วคราวของนายสนธิ และจำเลยอีก 2 คน คือ น.ส.เสาวลักษณ์ ธีรานุจรรยงค์ อดีตผู้บริหารแผนฟื้นฟู บมจ.แมเนเจอร์ มีเดีย กรุ๊ป จำกัด(มหาชน) และ น.ส.ยุพิน จันทนา อดีตกรรมการ บมจ.แมเนเจอร์ฯ โดยให้เหตุผลว่า ผู้พิพากษายังไม่ได้รับรองฎีกา หากอนุญาตให้ปล่อยตัวชั่วคราว เชื่อว่าจำเลยทั้งสามจะหลบหนี
       
       หลังจากนั้น นายสนธิได้ถูกย้ายจากเรือนจำพิเศษกรุงเทพฯ ไปอยู่เรือนจำกลางคลองเปรม ซึ่งนายวิทยา สุริยะวงค์ อธิบดีกรมราชทัณฑ์ ให้เหตุผลที่ต้องย้ายว่า เนื่องจากโทษจำคุกของนายสนธิเกินขอบเขตอำนาจการควบคุมของเรือนจำพิเศษกรุงเทพฯ ที่จะรอรับโทษจำคุกไม่เกิน 15 ปีเท่านั้น
       
       ทั้งนี้ นายวิทยาได้สั่งการให้ผู้บัญชาการเรือนจำคลองเปรมแยกตัวนายสนธิออกจากผู้ต้องขังที่มีความเห็นต่างทางการเมือง และช่วงกลางวันต้องอยู่ในสายตาเจ้าหน้าที่ ส่วนช่วงกลางคืนให้นอนในห้องที่ไม่แออัดมาก เพื่อความปลอดภัย เพราะนายสนธิเป็นบุคคลที่มีทั้งคนรักและคนไม่ชอบเป็นจำนวนมาก พร้อมกันนี้ ให้หาเพื่อนผู้ต้องขังรายอื่นมาพูดคุยด้วย เพื่อไม่ให้เกิดความเครียด
       
       อธิบดีกรมราชทัณฑ์ ยืนยันด้วยว่า กรมราชทัณฑ์มีหน้าที่ดูแลคนทุกกลุ่ม ไม่ว่าจะสีอะไร แต่ต้องคอยคัดแยกให้อยู่ในที่ที่เหมาะสม เพื่อป้องกันไม่ให้เผชิญหน้ากัน จะได้ไม่เกิดปัญหากระทบกระทั่งกันตามมา
       
        ด้านนายสุวัตร อภัยภักดิ์ ทนายความของนายสนธิ เผยความคืบหน้าการยื่นฎีกาและขอปล่อยตัวชั่วคราวนายสนธิ เพื่อสู้คดีในชั้นฎีกาเมื่อวันที่ 13 ส.ค.ว่า ได้มอบหมายให้เสมียนทนายความยื่นคำร้องต่อศาลอาญาอีกครั้ง โดยขอให้ส่งสำนวนไปให้ผู้พิพากษาในศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์เซ็นรับรองฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริงโดยเร็ว โดยขอให้ส่งด้วยวิธีพิเศษโดยการส่งแฟกซ์ หรือขอให้เจ้าหน้าที่ของศาลนำสำนวนไปให้ผู้พิพากษาเซ็นรับรอง หรือส่งไปรษณีย์ลงทะเบียนอีเอ็มเอส(EMS) โดยจำเลยจะออกค่าใช้จ่ายเองทั้งหมด เพราะการส่งด้วยวิธีปกติจะล่าช้า อย่างเร็วอาจจะ 2 สัปดาห์หรืออย่างช้าอาจจะ 1 เดือน ส่งผลให้นายสนธิต้องอยู่ในเรือนจำเป็นเวลานาน ส่วนเรื่องการยื่นประกันตัว ยังไม่ได้ยื่นแต่อย่างใด เนื่องจากต้องรอให้ผู้พิพากษารับรองฎีกาก่อน
       
        ล่าสุด เมื่อวันที่ 17 ส.ค. นายปานเทพ พัวพงษ์พันธ์ เผยระหว่างบรรยายประโยชน์ของน้ำมันมะพร้าวในงาน “ฟื้นวิกฤต ASTV” ที่ อ.หาดใหญ่ จ.สงขลา ว่า ขณะนี้นายสนธิมีกำลังใจดีมาก เข้มแข็งมาก และฝากให้ตนบอกประชาชนทุกคนที่เป็นห่วงผ่านทางเฟชบุ๊กว่า “หากทุกคนจะเดินทางมาเยี่ยม อย่ามาเพราะต้องการมาให้กำลังใจผม แต่ให้มาเพื่อแสดงว่าทุกคนมีกำลังใจที่ดี และยังมีความเข้มแข็งเช่นเดียวกับคุณสนธิ”
       
       นายปานเทพ กล่าวอีกว่า นายสนธิบอกให้ตนเขียนลงในเฟชบุ๊กส่วนตัวด้วยว่า แม้จะเผชิญกับอำนาจที่ไม่เป็นธรรมมาอย่างต่อเนื่อง แต่ก็ยังคงยึดมั่นในอุดมการณ์เดิมคือ การต่อสู้เพื่อชาติ และราชบัลลังก์ แม้จะลำบาก และเดือดร้อนแค่ไหน ก็จะยังต้องเดินหน้าในเรื่องนี้ต่อไป
       
       ส่วนการออกอากาศของสถานีข่าว ASTV ที่ยังคงถูก คสช.สั่งงดออกอากาศมานานเกือบ 3 เดือนนั้น นายปานเทพ บอกว่า หากจะออกอากาศได้อีกครั้ง คสช.ต้องการให้ ASTV เปลี่ยนชื่อใหม่ ซึ่งจะเปลี่ยนชื่อเป็นสถานีข่าว NEWS 1 ขณะนี้ได้มีการยื่นผังรายการไปเรียบร้อยแล้ว คาดว่าจะทราบความคืบหน้าในเร็วๆ นี้
       
       เป็นที่น่าสังเกตว่า เมื่อวันที่ 15 ส.ค. หนังสือพิมพ์ไทยโพสต์ ได้ตีพิมพ์ข้อเขียนของ “ท่านขุนน้อย” ซึ่งใช้ชื่อข้อเขียนว่า “แด่ ... สนธิ ลิ้มทองกุล” โดยเขียนถึงประวัติการทำหนังสือพิมพ์ การล้มลุกคลุกคลานจากการทำสื่อในสังคมไทยที่อยู่ในยุคของความอับจนทางปัญญาในช่วงหลายทศวรรษที่ผ่านมาของนายสนธิ ซึ่งยึดมั่นในอุดมการณ์ทำสื่อคุณภาพที่ให้สติปัญญาแก่สังคม ทำให้ต้องเผชิญกับการขาดทุนล้มลุกคลุกคลานมาตลอด “ตั้งแต่เล็กจนโต หรือตั้งแต่หนุ่มจนแก่ นักหนังสือพิมพ์อย่างคุณ สนธิ ลิ้มทองกุล ท่านไม่ค่อยเป็นมวยเอาซะเลย ในเรื่องการหันมาทำมาหารับประทานด้วยการออกหนังสือประเภทหนังสือโป๊ หนังสือแหกตา หนังสือประเภทมอมเมาผู้คนในสังคมที่เดิมทีก็เมาๆ อยู่แล้ว ให้เมาหนักยิ่งขึ้นไปอีก คือท่านโตมาจากหนังสือประเภทที่เรียกว่า แนวคุณภาพ ยังไงๆ ก็ต้องหาทางสอดแทรกสติ ปัญญา ความรู้สึกนึกคิดในด้านที่เป็นประโยชน์ให้แก่ผู้คนในสังคมมาโดยตลอด เพราะฉะนั้น โอกาสที่จะเจ๊ง...กับ...เจ๊ง ทุนหายกำไรหด เดี๋ยวกำไร เดี๋ยวขาดทุน ล้มลุกคลุกคลานมาตั้งแต่เล็กจนโต พลาดท่าติดคุกตอนหนุ่มแล้วยังต้องมาติดคุกตอนแก่ซะอีก ก็ด้วยเหตุที่ท่านยังคงยืนหยัดอยู่ในจุดเดิมๆ ของตัวเอง อย่างไม่คิดจะเปลี่ยนแปรเอาเลยแม้แต่น้อยนั่นเอง”
       
       ท่านขุนน้อยแห่งหนังสือพิมพ์ไทยโพสต์ ยังพูดถึงสิ่งที่สนธิทำให้บ้านเมืองด้วยว่า “ถึงแม้ว่าโดยบุคลิกส่วนตัวของท่านนั้น...จะก่อให้เกิดความหวาน ความเปรี้ยว สำหรับใครต่อใครไปตามรสนิยมของใครก็ของมัน มีทั้งคนรัก คนเกลียด มีทั้งผู้ชื่นชมและชิงชังอยู่เป็นจำนวนไม่น้อย แต่ถ้ามองถึง ภาพรวม ในความเป็นตัวตนของท่านแล้ว สิ่งที่ท่านได้ทำไว้ให้กับชาติ บ้านเมือง กับสังคม หรือแม้แต่ปัจเจกบุคคลในแต่ละรายแล้ว ล้วนนำมาซึ่ง ประโยชน์ ที่เหนือกว่า โทษ ใดๆ อย่างชนิดแทบนำมาเทียบกันไม่ได้ พูดง่ายๆ ว่า...ถ้าหากไม่มี ความกล้า หรือ ลูกบ้า ของคนอย่าง สนธิ ลิ้มทองกุล เป็นตัวจุดประกายแล้ว ป่านนี้...เราทั้งหลายคงต้องตกอยู่ใน ทศวรรษแห่งความมืดมนไปอีกนาน”
       
       ท่านขุนน้อยแห่งไทยโพสต์ ยังยอมรับด้วยว่า สิ่งที่สนธิต้องเจอหรือถูกกระทำมาครั้งแล้วครั้งเล่าทั้งในแง่กฎหมู่และกฎหมาย ถือเป็นเรื่องที่น่าหดหู่อย่างยิ่ง “ด้วยเหตุนี้...ถึงแม้ว่า กฎหมายย่อมต้องเป็นกฎหมาย แต่ภาพของผู้ซึ่งมุ่งมั่นจะทำประโยชน์ และเคยทำประโยชน์ให้กับสังคมครั้งแล้ว ครั้งเล่า กลับต้องมาติดคุก ติดตะราง ครั้งแล้ว ครั้งเล่า ถูกลอบฆ่า ถูกข่มขู่ คุกคาม ครั้งแล้ว ครั้งเล่า จนแทบหาความสงบในชีวิตแทบไม่เจอ แม้กระทั่งแก่ๆ ใกล้จะแง้มฝาโลงเข้าไปทุกที อันนี้...ต้องยอมรับว่า ออกจะเป็นอะไรที่น่าหดหู่เอามากๆ ยิ่งไม่รู้ว่าตั้งแต่ชาติปางก่อนคุณ สนธิ ท่านได้กระทำกรรมอะไรเอาไว้ ชาตินี้...เลยต้องเจอกับทั้ง กฎหมู่ และ กฎหมาย โดยแทบไม่ได้รับอานิสงส์จาก “กฎแห่งกรรม” ตามกรรมดีที่ท่านได้เคยกระทำเอาไว้ไม่น้อย”
       
       4. เกิดเหตุคอนโดฯ 6 ชั้นถล่มที่ปทุมธานี ดับ 14 เจ็บเพียบ พบ บริษัทรับเหมาเป็นของลูกชาย “ชลอ เกิดเทศ” !

       เมื่อวันที่ 11 ส.ค. ได้เกิดเหตุอาคารคอนโดมิเนียม โครงการยูเพลส 6 ชั้น ตั้งอยู่หมู่ 2 ต.คลองหก อ.คลองหลวง จ.ปทุมธานี ซึ่งอยู่ระหว่างก่อสร้าง ได้พังถล่มลงมาขณะคนงานกำลังทำงานอยู่ เป็นเหตุให้มีผู้เสียชีวิตและบาดเจ็บจำนวนมาก โดยผู้บาดเจ็บและเสียชีวิตติดอยู่ใต้ซากปรักหักพัง เจ้าหน้าที่พยายามช่วยเหลืออย่างเต็มที่
       
        อย่างไรก็ตามหลังความพยายามค้นหาผู้บาดเจ็บและเสียชีวิตผ่านไป 5 วัน นายพงศธร สัจจชลพันธ์ ผู้ว่าราชการจังหวัดปทุมธานี และตัวแทนหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ได้แถลงยุติการค้นหาเมื่อวันที่ 15 ส.ค. พร้อมสรุปยอดผู้เสียชีวิตว่ามี 14 คน เป็นคนไทย 11 คน ชาวกัมพูชา 3 คน มีผู้บาดเจ็บเล็กน้อย 20 คน เป็นคนไทย 7 คน ชาวกัมพูชา 13 คน สำหรับผู้บาดเจ็บที่ต้องรักษาตัวในโรงพยาบาลมี 5 คน เป็นที่น่าสังเกตว่า ในบรรดาผู้เสียชีวิตที่เป็นคนไทย มีนางณัฐมน โคกแปะ อายุ 17 ปี และ ด.ช.สิทธิพัน ลูกชายวัย 4 ขวบ รวมอยู่ด้วย โดยนางณัฐมนอยู่ในสภาพกอดลูกชายไว้ในอ้อมอก
       
        หลังเกิดเหตุ 2 วัน(13 ส.ค.) พล.ต.ต.ศรีวราห์ รังสิพราหมณกุล รักษาราชการแทนผู้บัญชาการตำรวจภูธรภาค 1 ได้นำทีมเปิดแถลงผลการจับกุมผู้เกี่ยวข้องกับเหตุอาคารดังกล่าวถล่ม ประกอบด้วย นายศักดิ์สิทธิ์ อินทร์ทอง อายุ 44 ปี วิศวกรผู้ควบคุมการก่อสร้าง ,นางเพ็ญศรี กิติไพศาลนนท์ อายุ 49 ปี ผู้ขออนุญาตก่อสร้างอาคาร และในฐานะนิติบุคคล ,นายเดี่ยว ปราบโจร อายุ 43 ปี ผู้รับเหมาช่วง ,นายบุญยกร หีบทอง อายุ 48 ปี ในฐานะนิติบุคคลและส่วนตัว (กรรมการผู้จัดการบริษัท ยูเพลส จำกัด)
       
       ทั้งนี้ นายศักดิ์สิทธิ์ อินทร์ทอง วิศวกรผู้ควบคุมงานก่อสร้าง อ้างว่า นายเดี่ยว ผู้รับเหมาช่วงได้เทคอนกรีตบนอาคารดังกล่าวโดยพลการ ทั้งที่ต้องให้ฝ่ายวิศวกรโครงการเข้าไปตรวจสอบก่อน จึงจะเทคอนกรีตเพิ่มในแต่ละครั้งได้ และว่า เหตุที่อาคารถล่มเกิดจากความไม่เรียบร้อยของงาน ทำให้ตัวโครงสร้างยังไม่พร้อมที่จะรับน้ำหนักของคอนกรีตที่จะเทลงในครั้งใหม่
       
        ขณะที่นายเดี่ยว ผู้รับเหมาช่วง ก็อ้างว่า ขณะเกิดเหตุตนไม่ได้อยู่ที่โครงการ ออกไปทำธุระข้างนอก มีหัวหน้างานของบริษัทตน ชื่อ “กบ” ไม่ทราบชื่อและนามสกุลจริง สั่งให้เทคอนกรีต 40 คิว บริเวณชั้นบนสุดของอาคาร โดยเริ่มเทจากด้านในฝั่งซ้ายออกมาด้านนอกฝั่งขวาติดถนนของโครงการ ก่อนที่อาคารจะทรุดตัวและถล่มลงมา
       
        ด้านตำรวจได้ออกหมายจับผู้เกี่ยวข้อง 3 คน ประกอบด้วย นายชานัยชนม์ เกิดเทศ อายุ 46 ปี บุตรชายนายชลอ หรืออดีต พล.ต.ท.ชลอ เกิดเทศ กรรมการและผู้ถือหุ้นใหญ่บริษัท ปลูกแปลง จำกัด ในฐานะผู้รับเหมาก่อสร้าง ,นายจิระ ชันมั่น อายุ 43 ปี วิศวกรผู้ควบคุมงานก่อสร้างบริษัท ปลูกแปลง และ น.ส.เอ (นามสมมติ) อายุ 18 ปี บุตรสาวนางเพ็ญศรี กรรมการผู้จัดการบริษัท ยูเพลส ที่ถูกจับกุมก่อนหน้าแล้ว โดยเบื้องต้นตำรวจแจ้งข้อหาผู้ต้องหา ฐานกระทำโดยประมาทเป็นเหตุให้ผู้อื่นถึงแก่ความตาย มีโทษจำคุกไม่เกิน 10 ปี และปรับไม่เกิน 20,000 บาท ซึ่งภายหลัง นายจิระ ได้เข้ามอบตัว และได้รับการประกันตัวแล้ว
       
       ขณะที่นายสุรชัย เบ้าจรรยา ประธานคณะผู้บริหารยูเพลส คอนโดเทล เจ้าของอาคารที่ถล่ม กล่าวว่า รู้สึกเสียใจต่อญาติผู้เสียชีวิตและบาดเจ็บจากเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น และว่า คณะผู้บริหารได้มอบเงินเยียวยาแก่ญาติผู้เสียชีวิตและบาดเจ็บทั้งหมดเป็นจำนวนเงิน 1,090,000 บาท   
       
       ด้านนายชัยณรงค์ โชไชย รองอธิบดีกรมพัฒนาธุรกิจการค้า เผยว่า จากการตรวจสอบสถานะของ 3 บริษัทที่มีส่วนเกี่ยวพันกับโครงการคอนโดมิเนียมยูเพลสที่ถล่ม ได้แก่ บริษัท โกลด์ พร็อพเพอร์ตี้ จำกัด ,บริษัท ยูเพลส (ต้อม) จำกัด และบริษัท ปลูกแปลง จำกัด พบว่า บริษัท ยูเพลส (ต้อม) จำกัด และบริษัท ปลูกแปลง จำกัด ยังเปิดดำเนินกิจการตามปกติ โดยบริษัทยูเพลส ดำเนินกิจการให้เช่าอสังหาริมทรัพย์ ขณะที่บริษัท ปลูกแปลง แม้จะส่งงบการเงินครั้งสุดท้ายแค่ปี 2553 แต่ก็ยังคงดำเนินกิจการรับเหมาก่อสร้างตามปกติ ส่วนบริษัท โกลด์ พร็อพเพอร์ตี้ มีสถานะเป็นบริษัทร้าง
       
        ทั้งนี้ หลังเกิดเหตุการณ์อาคารพังถล่มจนมีผู้เสียชีวิตและบาดเจ็บจำนวนมาก พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา หัวหน้า คสช.ได้กล่าวในรายการ “คืนความสุขให้คนในชาติ” เมื่อวันที่ 15 ส.ค. โดยแสดงความเสียใจกับครอบครัวผู้บาดเจ็บและเสียชีวิต พร้อมเผยว่า ตนได้ติดตามสถานการณ์ตั้งแต่แรก และสั่งให้หน่วยงานเข้าให้ความช่วยเหลืออย่างเต็มที่และต่อเนื่อง ส่วนเรื่องการตรวจสอบ ต้องดำเนินการต่อไปโดยละเอียด และทำอย่างไรจะไม่เกิดเหตุการณ์เช่นนี้ขึ้นอีก

ASTVผู้จัดการออนไลน์    18 สิงหาคม 2557