1.สมเด็จพระบรมฯ พร้อมด้วย พระองค์ภา-องค์สิริวัณณวรีฯ ทรงนำขบวน ปั่นเพื่อพ่อ BIKE FOR DAD ประชาชนสุดปลาบปลื้ม ลงทะเบียนร่วมปั่นกว่า 6 แสนคน!
เมื่อวันที่ 11 ธ.ค. เวลา 15.19 น. สมเด็จพระบรมโอรสาธิราชฯ สยามมกุฎราชกุมาร ได้นำขบวนประชาชนทั่วประเทศร่วมเฉลิมพระเกียรติพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ผ่านกิจกรรม ปั่นเพื่อพ่อ BIKE FOR DAD เนื่องในโอกาสมหามงคลเฉลิมพระชนมพรรษา 88 พรรษา 5 ธ.ค. 2558
ทั้งนี้ สมเด็จพระบรมโอรสาธิราชฯ สยามมกุฎราชกุมาร ทรงจักรยานพระที่นั่งออกจากพระที่นั่งอัมพรสถาน ไปยังพระบรมราชานุสรณ์พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 5 พระลานพระราชวังดุสิต พร้อมด้วยสมเด็จพระเจ้าหลานเธอ พระองค์เจ้าพัชรกิติยาภา และพระเจ้าหลานเธอ พระองค์เจ้าสิริวัณณวรีนารีรัตน์ เพื่อทรงเป็นประธานเปิดกิจกรรมจักรยานเฉลิมพระเกียรติพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว โดยมี พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี คณะองคมนตรี และคณะรัฐมนตรี เฝ้าฯ รับเสด็จ
จากนั้น พล.อ.ประยุทธ์ ได้กราบบังคมทูลรายงานวัตถุประสงค์ของการจัดกิจกรรมครั้งนี้ เพื่อสนองพระราชปณิธานของสมเด็จพระบรมโอรสาธิราชฯ สยามมกุฎราชกุมาร ที่ทรงมุ่งมั่นให้ประชาชนชาวไทยทุกหมู่เหล่ารวมพลังความสามัคคี แสดงความจงรักภักดีแด่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว พล.อ.ประยุทธ์ กล่าวด้วยว่า กิจกรรมครั้งนี้ มีผู้ลงทะเบียนเข้าร่วมทุกจังหวัดทั่วประเทศจำนวน 607,909 คน ประกอบด้วย ผู้ลงทะเบียนใน กทม. 99,999 คน ในภูมิภาค 75 จังหวัด 498,105 คน ในต่างประเทศ 9,805 คน นอกจากนี้ยังมีคณะทูตานุทูต ผู้แทนส่วนราชการ และองค์กรต่างๆ รวมทั้งตัวแทนผู้พิการจำนวนกว่า 6,000 คน
สำหรับเส้นทางกิจกรรมจักรยานเฉลิมพระเกียรติใน กทม. มีจุดเริ่มต้น ณ พระลานพระราชวังดุสิต เข้าสู่ถนนศรีอยุธยาไปจนถึงแยกมักกะสัน เลี้ยวขวาเข้าถนนราชปรารภ เมื่อถึงแยกราชประสงค์เลี้ยวขวาเข้าสู่ถนนพระรามที่ 1 ต่อด้วยถนนพญาไท และเลี้ยวซ้ายเข้าจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ซึ่งเป็นจุดพักที่ 1 จากนั้นผ่านแยกสามย่านเข้าสู่ถนนพระรามที่ 4 ผ่านแยกศาลาแดง เลี้ยวขวาเข้าถนนสีลม ตามด้วยถนนเจริญกรุง ไปจนถึงวงเวียนโอเดียน เข้าถนนเยาวราช จนถึงแยกวัดตึก แล้วเลี้ยวซ้ายเข้าถนนจักรวรรดิ ข้ามสะพานพระปกเกล้า แล้วกลับรถรอบวงเวียนใหญ่ เข้าถนนประชาธิปก ผ่านแยกบ้านแขก เข้าถนนอรุณอมรินทร์ และเข้าสู่พระราชวังเดิม ภายในกองบัญชาการกองทัพเรือ ซึ่งเป็นจุดประทับที่ 2 จากนั้นเข้าสะพานพระราม 8 กลับเข้าถนนราชดำเนินนอก ก่อนกลับสู่พระลานพระราชวังดุสิต รวมระยะทาง 29 กิโลเมตร ทรงใช้เวลาปั่น 2 ชั่วโมง 9 นาที โดยตลอดเส้นทางจักรยานเฉลิมพระเกียรติ ได้มีประชาชนมารอเฝ้าฯ รับเสด็จเพื่อชื่นชมพระบารมี พร้อมเปล่งเสียง ทรงพระเจริญ ดังกึกก้องไปทั่วบริเวณ
ทั้งนี้ สมเด็จพระบรมโอรสาธิราชฯ สยามมกุฎราชกุมาร ทรงจักรยานนำขบวนเอ สมเด็จพระเจ้าหลานเธอ พระองค์เจ้าพัชรกิติยาภา ทรงนำขบวนบี และพระเจ้าหลานเธอ พระองค์เจ้าสิริวัณณวรีนารีรัตน์ ทรงนำขบวนซี โดยตลอดเส้นทางที่ทรงจักรยาน ทั้ง 3 พระองค์ทรงแย้มพระสรวลและโบกพระหัตถ์ทักทายประชาชนอย่างเป็นกันเอง สร้างความปลาบปลื้มแก่ประชาชนที่เฝ้าฯ รับเสด็จเป็นอันมาก
2. ไทยเฮ เอียซา ไม่แบนสายการบินของไทย บินไปยุโรปได้ตามปกติ แต่จะจับตาการแก้ไขด้านความปลอดภัยต่อไปอย่างใกล้ชิด!
ตามที่หลายฝ่ายลุ้นกันว่า วันที่ 10 ธ.ค. สำนักงานบริหารการบินแห่งชาติของสหภาพยุโรป(เอียซา) จะประกาศผลการตรวจสอบสายการบินของไทยออกมาในรูปแบบใด จะซ้ำรอยสำนักงานบริหารการบินแห่งชาติของสหรัฐอเมริกา(เอฟเอเอ) ที่ประกาศลดอันดับมาตรฐานความปลอดภัยด้านการบินของไทยเมื่อต้นเดือนที่ผ่านมาหรือไม่ หากไปในแนวทางเดียวกัน จะส่งผลให้สายการบินของไทยไม่สามารถบินไปยุโรปได้นั้น
ปรากฏว่า เมื่อวันที่ 10 ธ.ค. รายงานข่าวจากคณะกรรมาธิการยุโรประบุว่า สายการบินของไทยไม่ได้ถูกจัดอยู่ในแบล็กลิสต์ด้านความปลอดภัยทางอากาศ โดยคณะกรรมาธิการยุโรป และเอียซา ระบุว่า ยินดีที่จะทำงานร่วมกับทางการไทย เพื่อปรับปรุงมาตรฐานความปลอดภัยต่อไป
ทั้งนี้ คณะกรรมาธิการยุโรปและเอียซาจะติดตามการปรับปรุงแก้ไขของทางการไทยในอนาคตอย่างใกล้ชิด หากพบว่ามีความเสี่ยงในเรื่องความปลอดภัยของผู้โดยสาร ทางคณะกรรมาธิการยุโรปก็ยังสามารถเสนอให้เพิ่มสายการบินจากประเทศไทยเข้าไปในลิสต์ได้
ด้านผู้แทนสหภาพยุโรปประเจำประเทศไทย ได้เผยแพร่เอกสารข่าว มีใจความว่า คณะกรรมาธิการสหภาพยุโรป ด้วยการสนับสนุนอย่างเป็นเอกฉันท์จากคณะกรรมการความปลอดภัยทางอากาศ ได้ตัดสินใจไม่ลงรายชื่อสายการบินของประเทศไทยในรายชื่อความปลอดภัยทางอากาศของอียู (EU Air Safety List) โดยการตัดสินใจดังกล่าวมีขึ้นเนื่องจากคณะกรรมาธิการสหภาพยุโรปเชื่อมั่นในความมุ่งมั่นและความพยายามอย่างต่อเนื่องของทางการไทยในการจัดการปัญหาในระดับสูงสุดต่อข้อกังวลขององค์การการบินพลเรือนระหว่างประเทศ (ICAO) และดำเนินการสร้างระบบที่จะรับรองความปลอดภัยสูงสุดของการขนส่งทางอากาศของประเทศในระยะยาว รวมทั้งความมุ่งมั่นที่โดดเด่นของไทยในการให้การสนับสนุนที่จำเป็นแก่สำนักงานการบินพลเรือนแห่งประเทศไทย (กพท.) เพื่อการดำเนินงานที่เป็นอิสระและปราศจากการแทรกแซง
ด้านนายจุฬา สุขมานพ อธิบดีกรมท่าอากาศยาน และรักษาการผู้อำนวยการสำนักงานการบินพลเรือนแห่งประเทศไทย กล่าวว่า การที่เอียซาประเมินให้ไทยผ่านมาตรฐานด้านการบิน เป็นผลจากแผนงานแก้ปัญหาของไทยที่แสดงให้เห็นถึงความตั้งใจแก้ปัญหา ที่ได้มีการจัดตั้งศูนย์บัญชาการแก้ปัญหาการบินพลเรือน และหยุดการออกใบอนุญาตทันที จนกว่าจะสามารถแก้ปัญหาด้านมาตรฐานการบินได้ รวมถึงการร่วมมือกับเอียซาในการแก้ไขปัญหาอย่างจริงจัง จึงทำให้ไทยได้คะแนนในส่วนนี้มาก
ขณะที่นายจรัมพร โชติกเสถียร กรรมการผู้อำนวยการใหญ่ บริษัท การบินไทย จำกัด (มหาชน) กล่าว ว่า การบินไทยยังคงรักษามาตรฐานด้านความปลอดภัยในระดับสูง โดยยึดมาตรฐานของเอียซาเป็นแนวทาง นอกจากนี้ การบินไทยพร้อมที่จะให้การสนับสนุนและร่วมมือกับสำนักงานการบินพลเรือนแห่งประเทศไทย ในการทบทวนการต่ออายุใบรับรอง (Recertificate) ที่จะเกิดขึ้นต่อไป รวมทั้งให้ความช่วยเหลือสายการบินอื่นๆ ของประเทศไทย ในการยกระดับมาตรฐานด้านความปลอดภัย เพื่อให้ธุรกิจการบินของประเทศไทยมีความเข้มแข็งขึ้นโดยเร็ว
อนึ่ง ปัจจุบัน การบินไทยมีเส้นทางบินสู่ยุโรป 11 จุดหมายปลายทาง ได้แก่ ลอนดอน, โคเปนเฮเกน, แฟรงก์เฟิร์ต, บรัสเซลส์, มิวนิก, ออสโล, ปารีส, สตอกโฮล์ม, ซูริก, มิลาน และโรม
3. ประยุทธ์-ประวิตร ฉุนถูกกลุ่ม ปชต.ใหม่ทำแผนผังโยงทุจริตอุทยานราชภักดิ์ ด้าน จนท.รวบคนแพร่แผนผังแล้ว ขณะที่ อุดมเดช ตำหนิ ไพบูลย์ รีบฟันธงมีทุจริต!
ความคืบหน้าปมปัญหาเกี่ยวกับการก่อสร้างอุทยานราชภักดิ์ ที่พรรคเพื่อไทยและแกนนำกลุ่มแนวร่วมประชาธิปไตยต่อต้านเผด็จการแห่งชาติ(นปช.) พยายามจี้ให้รัฐบาลตรวจสอบทุจริตการก่อสร้างอุทยานดังกล่าว แม้คณะกรรมการตรวจสอบที่ผู้บัญชาการทหารบกตั้งขึ้นจะสรุปว่า การก่อสร้างโปร่งใสไร้การทุจริต แต่ก็ไม่ทำให้บางฝ่ายหายคาใจ กระทั่ง พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกฯ และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม สั่งตั้งคณะกรรมการชุดใหม่ขึ้นมาตรวจสอบ แต่ขณะที่ยังไม่รู้ผล แกนนำ นปช.นำโดยนายจตุพร พรหมพันธุ์ และนายณัฐวุฒิ ใสยเกื้อ ได้ออกมาเคลื่อนไหว ด้วยการประกาศจะเดินทางไปอุทยานราชภักดิ์เพื่อตรวจสอบการทุจริต ซึ่งในที่สุด ไปไม่ถึง เพราะถูกเจ้าหน้าที่คุมตัวไปทำความเข้าใจและทำข้อตกลงว่าจะไม่เคลื่อนไหวหรือชุมนุมทางการเมืองหรือก่อความขัดแย้งใดๆ เพราะจะขัดต่อข้อตกลงที่ทำไว้กับ คสช.ก่อนหน้านี้ หากฝ่าฝืนพร้อมให้ดำเนินคดีและระงับธุรกรรมทางการเงินนั้น
ปรากฏว่า สัปดาห์ที่ผ่านมา มีบางกลุ่มออกมาเคลื่อนไหวสอดคล้องกับแกนนำ นปช.คือ กลุ่มประชาธิปไตยศึกษา นำโดยนายสิรวิชญ์ เสรีธิวัฒน์ หรือจ่านิว นักศึกษามหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ โดยได้โพสต์ผ่านเฟซบุ๊กว่าจะนั่งรถไฟไปอุทยานราชภักดิ์ในวันที่ 7 ธ.ค.เพื่อส่องแสงหากลโกง โดยบอกขบวนรถและเวลาเดินทางอย่างละเอียด แม้ พล.ต.สรรเสริญ แก้วกำเนิด โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี จะปรามว่า หากไปแล้วมีพฤติกรรมฝ่าฝืนกฎหมาย ละเมิดความสงบเรียบร้อย ต้องรับผลของการกระทำ พร้อมเตือนว่า ไม่ควรทำให้สถานที่ซึ่งสร้างขึ้นด้วยศรัทธาและความจงรักภักดีของคนไทยทั้งชาติต่อสถาบันพระมหากษัตริย์ต้องมัวหมองแปดเปื้อน แต่นายสิรวิชญ์ไม่สน
ทั้งนี้ เมื่อถึงกำหนดเดินทาง ปรากฏว่า นักศึกษากลุ่มประชาธิปไตยศึกษา ได้เดินทางไปขึ้นรถไฟที่สถานีรถไฟบางกอกน้อย ขณะที่นายสิรวิชญ์ หรือจ่านิว มาถึงสถานีช้า อ้างว่ามีเจ้าหน้าที่สกัดขบวน อย่างไรก็ตาม ในที่สุดนักศึกษากลุ่มนี้ไปไม่ถึงอุทยานราชภักดิ์ โดยเจ้าหน้าที่ตำรวจและทหารได้เข้าเจรจาที่สถานีรถไฟบ้านโป่ง จ.ราชบุรี เพื่อไม่ให้เดินทางไปอุทยานราชภักดิ์ เมื่อการเจรจาไม่สำเร็จ จึงมีการแยกตู้รถไฟที่กลุ่มประชาธิปไตยศึกษานั่งมาออกจากขบวน เพื่อให้ขบวนรถไฟที่ประชาชนโดยสารมาเดินทางต่อไปได้ ก่อนที่เจ้าหน้าที่จะคุมตัวจ่านิวพร้อมกลุ่มนักศึกษาและประชาชนแนวร่วมของกลุ่มดังกล่าวไปเจรจาอีกครั้ง ท่ามกลางประชาชนในพื้นที่ที่มาสังเกตการณ์และตะโกนโห่ไล่นักศึกษากลุ่มดังกล่าว
เป็นที่น่าสังเกตว่า แม้นักศึกษาและประชาชนกลุ่มดังกล่าวจะถูกควบคุมตัวไปเจรจา แต่สุดท้ายก็มีการปล่อยตัวในวันเดียวกัน โดยมีการทำข้อตกลงเช่นเดียวกับที่เจ้าหน้าที่เคยทำข้อตกลงกับนายจตุพรและนายณัฐวุฒิ ทั้งนี้ จ่านิวและนักศึกษากลุ่มประชาธิปไตยศึกษาได้ประกาศจะแถลงข่าวที่มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ท่าพระจันทร์ ในวันรุ่งขึ้น(8 ธ.ค.) แต่เจ้าหน้าที่ตำรวจที่มาดูแลพื้นที่ ไม่อนุญาตให้มีการแถลงข่าว โดยให้เหตุผลว่าไม่ได้มีการขอใช้สถานที่ อย่างไรก็ตามเจ้าหน้าที่ได้อนุญาตให้สื่อมวลชนสัมภาษณ์ได้ โดยนายสิรวิชญ์ หรือจ่านิว ได้ให้สัมภาษณ์พร้อมประกาศด้วยว่า ภายในปีใหม่จะหาโอกาสนั่งรถไฟไปอุทยานราชภักดิ์ให้ได้
ด้าน พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและหัวหน้า คสช.พูดถึงกรณีที่ทหารสกัดไม่ให้จ่านิวและกลุ่มประชาธิปไตยศึกษาเดินทางไปอุทยานราชภักดิ์ว่า เพราะมีคนรอตีอยู่ไม่รู้เท่าไหร่ ทั้งนี้ พล.อ.ประยุทธ์ ยังอารมณ์ไม่ดีจากกรณีที่กลุ่มประชาธิปไตยใหม่ทำแผนผังเปิดปมทุจริตอุทยานราชภักดิ์โดยมีการโยงถึงรัฐมนตรีในรัฐบาลและบุคคลใกล้ชิด พล.อ.ประยุทธ์ ด้วย เมื่อผู้สื่อข่าวถามว่าได้เห็นแผนผังดังกล่าวหรือยัง พล.อ.ประยุทธ์ ถึงกับตอบว่า ทุเรศ เชื่อเขาก็ตามใจ ขยายกันอยู่ได้...
ขณะที่ พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกฯ และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม ก็ไม่พอใจแผนผังดังกล่าวเช่นกัน โดยบอกกับผู้สื่อข่าวว่า เห็นแล้ว มีรูปผมด้วย ผมจะไปเกี่ยวอะไรกับอุทยานราชภักดิ์ จะต้องตรวจสอบที่มาที่ไปของผังและหาตัวผู้กระทำผิด เขียนถึงครอบครัวนายกรัฐมนตรีด้วย ประหลาดหรือไม่ คนเขียนผังนั่งเทียนเขียน...
ทั้งนี้ ในเวลาต่อมา เจ้าหน้าที่สามารถจับกุมมือโพสต์แผนผังดังกล่าวทางโซเชียลมีเดีย ทราบชื่อคือ นายฐนกร ศิริไพบูลย์ หรือเอฟ อายุ 27 ปี มีภูมิลำเนาอยู่ จ.สมุทรปราการ โดยนายฐนกรได้นำแผนผังดังกล่าวไปเผยแพร่ลงในเพจสถาบันคนเสื้อแดงแห่งชาติ เหตุผลที่ทำ เพื่อให้เกิดการรวมตัวของกลุ่มคน เพื่อต่อต้านและเปลี่ยนแปลงรัฐบาล ด้านเจ้าหน้าที่เผยว่า การกระทำของนายฐนกรเข้าข่ายผิดมาตรา 112 และมาตรา 116 หลังกดถูกใจรูปภาพที่ไม่เหมาะสม เข้าข่ายหมิ่นสถาบันเมื่อวันที่ 2 ธ.ค.ที่ผ่านมา และเข้าข่ายเผยแพร่ข้อมูลข่าวสารทางคอมพิวเตอร์ นอกจากนี้จากการตรวจสอบพบว่า กลุ่มสถาบันคนเสื้อแดงแห่งชาติ เป็นกลุ่มหมิ่นสถาบัน และเผยแพร่ข้อความไม่เหมาะสมทั้งหมด ขณะนี้อยู่ระหว่างขยายผลผู้ร่วมกระทำผิดเพิ่มเติม
ส่วนความเคลื่อนไหวของนายจตุพรและนายณัฐวุฒิ เมื่อวันที่ 9 ธ.ค. ได้เข้าให้ข้อมูลเกี่ยวกับอุทยานราชภักดิ์ต่อ พล.อ.ไพบูลย์ คุ้มฉายา รัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม ในฐานะประธานศูนย์อำนวยการต่อต้านการทุจริตแห่งชาติ(ศอตช.) เป็นที่น่าสังเกตว่า นอกจาก พล.อ.ไพบูลย์ จะรับตรวจสอบเรื่องอุทยานราชภักดิ์ รวมทั้งจะให้สำนักงานตรวจเงินแผ่นดิน(สตง.) และคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตในภาครัฐ(ป.ป.ท.) ตรวจสอบด้วยแล้ว พล.อ.ไพบูลย์ ยังพูดเหมือนกับฟันธงว่าการก่อสร้างอุทยานราชภักดิ์มีการทุจริตจริง บอกพี่น้องประชาชนได้เลยว่าเรื่องนี้มีการทุจริต เพราะผู้รับผิดชอบออกมาชี้แจงเองว่ามีการทุจริต และหากผมไปตรวจและบอกว่าไม่พบการทุจริต และมันจะอยู่กันอย่างไร
ด้านนายวีระ สมความคิด เลขาธิการเครือข่ายประชาชนต่อต้านคอร์รัปชั่น ได้ยื่นหนังสือขอให้คณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ(ป.ป.ช.) ไต่สวนข้อเท็จจริงการก่อสร้างอุทยานราชภักดิ๋ โดยกล่าวหา พล.อ.อุดมเดช สีตะบุตร รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงกลาโหม เมื่อครั้งดำรงตำแหน่งผู้บัญชาการทหารบก และ พล.อ.ศิริชัย ดิษฐกุล รัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน เมื่อครั้งดำรงตำแหน่งปลัดกระทรวงกลาโหม โดยระบุว่า มีเหตุอันควรเชื่อได้ว่ากระทำความผิดฐานเป็นเจ้าพนักงานปฏิบัติ หรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบ หรือโดยทุจริต
ขณะที่ พล.อ.อุดมเดช ได้ยืนยันความสุจริตในการก่อสร้างอุทยานราชภักดิ์อีกครั้ง พร้อมชี้แจงเรื่องโรงหล่อว่า คณะกรรมการดำเนินงานอุทยานราชภักดิ์ได้ทำข้อตกลงกับโรงหล่อแล้วก็เป็นไปตามนั้น ส่วนเรื่องโรงหล่อไปคุยกับภาคเอกชนอื่น ไม่ใช่หน้าที่ของคณะกรรมการที่จะเข้าไปเกี่ยวข้อง แต่เมื่อทราบว่ามีการดำเนินการที่อาจไม่เหมาะสม ทางคณะกรรมการก็เข้าไปพูดคุยให้ออกมาในลักษณะที่เป็นบุญกุศล ซึ่งประเด็นนี้เป็นประเด็นหลักที่อาจเกิดความไม่เข้าใจและทำให้ถูกมองไปในทางไม่สุจริต พล.อ.อุดมเดช กล่าวด้วยว่า ไม่เคยคิดว่าในชีวิตจะต้องเจออะไรแบบนี้ เพราะในชีวิตผ่านการรบ ฝ่าดงระเบิดก็ผ่านมาได้ แต่กรณีนี้กระทบต่อชื่อเสียงที่สั่งสมมาตลอดชีวิต ที่ผ่านมาทำหน้าที่ปราบคนโกง ผู้มีอิทธิพล แต่กลับถูกตราหน้าว่าเป็นคนโกงเสียเอง
พล.อ.อุดมเดช ยังกล่าวตำหนิ พล.อ.ไพบูลย์ ที่ระบุว่ามีการทุจริตในการก่อสร้างอุทยานราชภักดิ์ว่า เป็นเจ้าหน้าที่ของรัฐ แล้วมีคนสองคนเดินมาหา แล้วนำซองเอกสารสีน้ำตาลบางๆ มาให้... คุยกันอยู่สักพัก เสร็จแล้วมาบอกว่าทุจริตแน่นอน มีที่ไหนเขาทำกัน จริงๆ แล้วทำแบบนี้ผิด เพราะเป็นการชี้นำ เพราะกรรมการที่ตรวจสอบต้องหาคนผิดให้ได้ ต้องเป็นลักษณะที่ว่าเอาข้อมูลมาแล้วไปให้กับ สตง. ป.ป.ช. ไปไล่ดูแต่ละจุดว่ามีความผิดต่างๆ อย่างไร ไม่ใช่ออกมาพูดแบบนี้