7291
ข่าวเกี่ยวกับวงการแพทย์ / จดหมายเปิดผนึกถึงนายกแพทยสภา
« เมื่อ: 27 มิถุนายน 2011, 21:33:20 »
จดหมายเปิดผนึกถึงนายกแพทยสภา
สหพันธ์ผู้ปฏิบัติงานด้านการแพทย์
และสาธารณสุขแห่งประทศไทย(สผพท.)
27 มิถุนายน 2554
เรื่อง ขอทราบความคืบหน้าเรื่องการดำเนินการของแพทยสภาเกี่ยวกับการยื่นฟ้องศาลปกครองให้ยกเลิกกฎกระทรวงกำหนดหลักเกณฑ์และวิธีการดำเนินการตามหนังสือแสดงเจตนา ไม่ประสงค์รับบริการสาธารณสุขที่เป็นไปเพื่อยืดการตายในวาระสุดท้ายของชีวิต หรือเพื่อยุติการทรมานจากการเจ็บป่วยพ.ศ. 2553
เรียน นายกแพทยสภา
อ้างถึง กฎกระทรวงตามมาตรา 12 ของพ.ร.บ.สุขภาพแห่งชาติ พ.ศ. 2550
สืบเนื่องจากการสัมมนาเรื่อง“เจตนารมณ์การขอใช้สิทธิการตายในวาระสุดท้ายของ ชีวิต : ผลกระทบต่อผู้ป่วยและแพทย์” ที่จัดขึ้นโดยคณะกรรมาธิการสาธารณสุขวุฒิสภา เมื่อวันที่ 10 มิถุนายน 2554 นั้น
นายสรรค์ชัย ชญานิน ที่ปรึกษาประจำคณะกรรมาธิการสาธารณสุข วุฒิสภา กล่าวว่า กฎกระทรวงดังกล่าวหากไม่สามารถบังคับใช้ได้ก็จะถือว่าผิดรูปแบบของการออกกฎห มาย ทำให้กฎหมายเป็นหมัน ผิดหลักความชอบด้วยรัฐธรรมนูญของกฎหมายและแพทย์ที่ไม่เห็นด้วยก็ยื่นฟ้องต่อ ศาลปกครองสูงสุดให้ยกเลิกกฎกระทรวงนี้ได้ ซึ่งจะส่งผลให้กฎกระทรวงหมดสภาพและกฎหมายแม่ซึ่งก็คือ พ.ร.บ.สุขภาพแห่งชาติ พ.ศ.2550 เป็นกฎหมายที่มีช่องโหว่จากนั้นก็สามารถยื่นฟ้องต่อศาลรัฐธรรมนูญให้พิพากษา พ.ร.บ.สุขภาพแห่งชาติเป็นโมฆะได้
ทั้งนี้ เนื่องจากกฎกระทรวงฉบับนี้ ยังมีปัญหาในการปฏิบัติอยู่มาก อาจก่อให้เกิดความไม่สะดวกของผู้ประกอบวิชาชีพเวชกรรมในการปฏิบัติตามกฎกระท รวงนี้ จนอาจนำไปสู่การร้องเรียน/ฟ้องร้อง ว่าผู้ประกอบวิชาชีพเวชกรรมได้กระทำผิดต่อจริยธรรมแห่งวิชาชีพเวชกรรม โดยการละเลยการช่วยชีวิตผู้ป่วย ไปจนถึงข้อกล่าวหาที่ร้ายแรงที่สุดว่า ผู้ประกอบวิชาชีพเวชกรรมได้ “จงใจฆ่าผู้ป่วยโดยการไตร่ตรองไว้ก่อน หรือมีเจตนาฆ่าผู้อื่น” อันจะทำให้เกิดความลำบากเดือดร้อนแก่ผู้ประกอบวิชาชีพเวชกรรมทั้งมวล โดยเฉพาะต่อแพทย์ผู้ดูแลรักษาผู้ป่วยอาการหนัก/ฉุกเฉิน ซึ่งไม่มีแนวทางใดที่จะสามารถชี้ขาดได้ถูกต้อง 100% ว่า ผู้ป่วยนั้นๆได้ตกอยู่ในวาระสุดท้ายของชีวิตจริงหรือไม่ นอกจากนั้นยังอาจจะมีปัญหาในการพิสูจน์หนังสือแสดงความจำนงตามมาตรา 12 ของพ.ร.บ.สุขภาพแห่งชาติว่า ฉบับใดเป็นฉบับจริง/ปลอม/ฉบับสุดท้าย ซึ่งภาระเหล่านี้ได้ถูกผลักให้เป็นภาระของแพทย์เจ้าของไข้ ซึ่งจะทำให้แพทย์ต้องรับภาระมากเกินส่วน ในการปฏิบัติตามกฎกระทรวงนี้
ซึ่งในที่ประชุมสัมมนานั้น แพทย์ส่วนมากที่ยังทำงานเป็นผู้ประกอบวิชาชีพเวชกรรมได้มีความเห็นว่า ควรจะต้องมีการดำเนินการเพื่อยุติการบังคับใช้กฎกระทรวงฉบับนี้ก่อน เพื่อป้องกันปัญหาอันร้ายแรงที่จะเกิดจากผลของกฎกระทรวงฉบับนี้
เนื่องจากแพทยสภา เป็นสภาวิชาชีพจัดตั้งขึ้นตามพ.ร.บ.ประกอบวิชาชีพเวชกรรม พ.ศ. 2525 ที่มีวัตถุประสงค์ตามมาตรา 7(1) ควบคุมการประพฤติของผู้ประกอบวิชาชีพเวชกรรม ให้ถูกต้องตามจริยธรรมแห่งวิชาชีพเวชกรรมและตามมาตรา 7(6) เป็นตัวแทนของผู้ประกอบวิชาชีพเวชกรรมในประเทศไทย
แพทยสภาจึงควรยื่นดำเนินการในฐานะทั้งสองดังกล่าว โดยการยื่นฟ้องต่อศาลปกครองสูงสุด เพื่อขอให้ยกเลิกเพิกถอน กฎกระทรวงดังกล่าว และสามารถติดตามดำเนินการฟ้องร้องต่อศาลรัฐธรรมนูญ ให้พิพากษาว่า พ.ร.บ.สุขภาพแห่งชาติมีช่องโหว่ในการบังคับใช้ สมควรยกเลิกเพิกถอนออกจากสารบบของกฎหมายไทยต่อไป
ถ้าแพทยสภาได้ดำเนินการใดๆไปแล้ว กรุณาแจ้งให้สมาชิกแพทยสภาทุกท่านทราบด้วย แต่ถ้าแพทยสภายังไม่ได้ดำเนินการใดๆเกี่ยวกับเรื่องนี้ ข้าพเจ้าในฐานะสมาชิกแพทยสภาและมวลสมาชิกของสผพท.ขอเรียกร้องแพทยสภาให้ดำเนินการโดยด่วน ก่อนที่จะหมดอายุความ ทั้งนี้ ก็เพื่อคุ้มครองผู้ป่วย ไม่ให้ตายโดยยังไม่สมควรตาย และคุ้มครองแพทย์ให้ได้รับความสะดวกปลอดภัยในการประกอบวิชาชีพเวชกรรมต่อไป
ขอแสดงความนับถือ
พญ.เชิดชู อริยศรีวัฒนา
สมาชิกแพทยสภาและประธานสผพท.
สหพันธ์ผู้ปฏิบัติงานด้านการแพทย์
และสาธารณสุขแห่งประทศไทย(สผพท.)
27 มิถุนายน 2554
เรื่อง ขอทราบความคืบหน้าเรื่องการดำเนินการของแพทยสภาเกี่ยวกับการยื่นฟ้องศาลปกครองให้ยกเลิกกฎกระทรวงกำหนดหลักเกณฑ์และวิธีการดำเนินการตามหนังสือแสดงเจตนา ไม่ประสงค์รับบริการสาธารณสุขที่เป็นไปเพื่อยืดการตายในวาระสุดท้ายของชีวิต หรือเพื่อยุติการทรมานจากการเจ็บป่วยพ.ศ. 2553
เรียน นายกแพทยสภา
อ้างถึง กฎกระทรวงตามมาตรา 12 ของพ.ร.บ.สุขภาพแห่งชาติ พ.ศ. 2550
สืบเนื่องจากการสัมมนาเรื่อง“เจตนารมณ์การขอใช้สิทธิการตายในวาระสุดท้ายของ ชีวิต : ผลกระทบต่อผู้ป่วยและแพทย์” ที่จัดขึ้นโดยคณะกรรมาธิการสาธารณสุขวุฒิสภา เมื่อวันที่ 10 มิถุนายน 2554 นั้น
นายสรรค์ชัย ชญานิน ที่ปรึกษาประจำคณะกรรมาธิการสาธารณสุข วุฒิสภา กล่าวว่า กฎกระทรวงดังกล่าวหากไม่สามารถบังคับใช้ได้ก็จะถือว่าผิดรูปแบบของการออกกฎห มาย ทำให้กฎหมายเป็นหมัน ผิดหลักความชอบด้วยรัฐธรรมนูญของกฎหมายและแพทย์ที่ไม่เห็นด้วยก็ยื่นฟ้องต่อ ศาลปกครองสูงสุดให้ยกเลิกกฎกระทรวงนี้ได้ ซึ่งจะส่งผลให้กฎกระทรวงหมดสภาพและกฎหมายแม่ซึ่งก็คือ พ.ร.บ.สุขภาพแห่งชาติ พ.ศ.2550 เป็นกฎหมายที่มีช่องโหว่จากนั้นก็สามารถยื่นฟ้องต่อศาลรัฐธรรมนูญให้พิพากษา พ.ร.บ.สุขภาพแห่งชาติเป็นโมฆะได้
ทั้งนี้ เนื่องจากกฎกระทรวงฉบับนี้ ยังมีปัญหาในการปฏิบัติอยู่มาก อาจก่อให้เกิดความไม่สะดวกของผู้ประกอบวิชาชีพเวชกรรมในการปฏิบัติตามกฎกระท รวงนี้ จนอาจนำไปสู่การร้องเรียน/ฟ้องร้อง ว่าผู้ประกอบวิชาชีพเวชกรรมได้กระทำผิดต่อจริยธรรมแห่งวิชาชีพเวชกรรม โดยการละเลยการช่วยชีวิตผู้ป่วย ไปจนถึงข้อกล่าวหาที่ร้ายแรงที่สุดว่า ผู้ประกอบวิชาชีพเวชกรรมได้ “จงใจฆ่าผู้ป่วยโดยการไตร่ตรองไว้ก่อน หรือมีเจตนาฆ่าผู้อื่น” อันจะทำให้เกิดความลำบากเดือดร้อนแก่ผู้ประกอบวิชาชีพเวชกรรมทั้งมวล โดยเฉพาะต่อแพทย์ผู้ดูแลรักษาผู้ป่วยอาการหนัก/ฉุกเฉิน ซึ่งไม่มีแนวทางใดที่จะสามารถชี้ขาดได้ถูกต้อง 100% ว่า ผู้ป่วยนั้นๆได้ตกอยู่ในวาระสุดท้ายของชีวิตจริงหรือไม่ นอกจากนั้นยังอาจจะมีปัญหาในการพิสูจน์หนังสือแสดงความจำนงตามมาตรา 12 ของพ.ร.บ.สุขภาพแห่งชาติว่า ฉบับใดเป็นฉบับจริง/ปลอม/ฉบับสุดท้าย ซึ่งภาระเหล่านี้ได้ถูกผลักให้เป็นภาระของแพทย์เจ้าของไข้ ซึ่งจะทำให้แพทย์ต้องรับภาระมากเกินส่วน ในการปฏิบัติตามกฎกระทรวงนี้
ซึ่งในที่ประชุมสัมมนานั้น แพทย์ส่วนมากที่ยังทำงานเป็นผู้ประกอบวิชาชีพเวชกรรมได้มีความเห็นว่า ควรจะต้องมีการดำเนินการเพื่อยุติการบังคับใช้กฎกระทรวงฉบับนี้ก่อน เพื่อป้องกันปัญหาอันร้ายแรงที่จะเกิดจากผลของกฎกระทรวงฉบับนี้
เนื่องจากแพทยสภา เป็นสภาวิชาชีพจัดตั้งขึ้นตามพ.ร.บ.ประกอบวิชาชีพเวชกรรม พ.ศ. 2525 ที่มีวัตถุประสงค์ตามมาตรา 7(1) ควบคุมการประพฤติของผู้ประกอบวิชาชีพเวชกรรม ให้ถูกต้องตามจริยธรรมแห่งวิชาชีพเวชกรรมและตามมาตรา 7(6) เป็นตัวแทนของผู้ประกอบวิชาชีพเวชกรรมในประเทศไทย
แพทยสภาจึงควรยื่นดำเนินการในฐานะทั้งสองดังกล่าว โดยการยื่นฟ้องต่อศาลปกครองสูงสุด เพื่อขอให้ยกเลิกเพิกถอน กฎกระทรวงดังกล่าว และสามารถติดตามดำเนินการฟ้องร้องต่อศาลรัฐธรรมนูญ ให้พิพากษาว่า พ.ร.บ.สุขภาพแห่งชาติมีช่องโหว่ในการบังคับใช้ สมควรยกเลิกเพิกถอนออกจากสารบบของกฎหมายไทยต่อไป
ถ้าแพทยสภาได้ดำเนินการใดๆไปแล้ว กรุณาแจ้งให้สมาชิกแพทยสภาทุกท่านทราบด้วย แต่ถ้าแพทยสภายังไม่ได้ดำเนินการใดๆเกี่ยวกับเรื่องนี้ ข้าพเจ้าในฐานะสมาชิกแพทยสภาและมวลสมาชิกของสผพท.ขอเรียกร้องแพทยสภาให้ดำเนินการโดยด่วน ก่อนที่จะหมดอายุความ ทั้งนี้ ก็เพื่อคุ้มครองผู้ป่วย ไม่ให้ตายโดยยังไม่สมควรตาย และคุ้มครองแพทย์ให้ได้รับความสะดวกปลอดภัยในการประกอบวิชาชีพเวชกรรมต่อไป
ขอแสดงความนับถือ
พญ.เชิดชู อริยศรีวัฒนา
สมาชิกแพทยสภาและประธานสผพท.