ผู้เขียน หัวข้อ: สรุปข่าวเด่นในรอบสัปดาห์ 20-25 ส.ค.2555  (อ่าน 1086 ครั้ง)

story

  • Staff
  • Hero Member
  • ****
  • กระทู้: 9779
    • ดูรายละเอียด
สรุปข่าวเด่นในรอบสัปดาห์ 20-25 ส.ค.2555
« เมื่อ: 26 สิงหาคม 2012, 18:29:33 »
  1. “เจ๋ง ดอกจิก” ถูกถอนประกัน ศาลชี้ เจตนาปลุกปั่นดูหมิ่น-ปองร้ายตุลาการฯ ด้าน 18 นปช.รอด!

       เมื่อวันที่ 22 ส.ค. ศาลอาญาได้นัดฟังคำสั่งว่าจะถอนประกันแกนนำกลุ่มแนวร่วมประชาธิปไตยต่อต้านเผด็จการแห่งชาติ(นปช.) ผู้ต้องหาคดีก่อการร้าย จำนวน 19 คนหรือไม่ หลังนายเชาวนะ ไตรมาส เลขาธิการสำนักงานศาลรัฐธรรมนูญ และนายนิพิฏฐ์ อินทรสมบัติ ส.ส.พัทลุง พรรคประชาธิปัตย์ ร้องขอให้ศาลเพิกถอนการปล่อยตัวชั่วคราว เนื่องจากทำผิดเงื่อนไขการประกันตัว เช่น นายจตุพร พรหมพันธุ์ ,นายวีระกานต์ หรือวีระ มุสิกพงศ์ ,นายอริสมันต์ พงศ์เรืองรอง ,นายยศวริศ ชูกล่อม หรือเจ๋ง ดอกจิก ฯลฯ
       
       ทั้งนี้ ก่อนมีคำสั่งว่าจะถอนประกันแกนนำ นปช.ทั้ง 19 คนหรือไม่ ศาลได้นัดสอบถามนายยศวริศ ชูกล่อม แกนนำ นปช. และผู้ช่วยเลขานุการรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย(นายฐานิสร์ เทียนทอง รมช.มหาดไทย) ที่ขอยื่นพยานหลักฐานเพิ่มเติม หลังนายนิพิฏฐ์ ผู้ร้อง ได้ยื่นหลักฐานให้ศาลเป็นวีซีดีนายศวริศปราศรัยข่มขู่คุกคามตุลาการศาลรัฐธรรมนูญบนเวทีคนเสื้อแดงที่หน้ารัฐสภาเมื่อวันที่ 7 มิ.ย.ที่ผ่านมา โดยมีการบอกที่อยู่และเบอร์โทรศัพท์ของตุลาการฯ และครอบครัว พร้อมชักชวนให้ผู้ชุมนุมโทรศัพท์ไปหาหรือเดินทางไปเยี่ยมด้วย
       
       เป็นที่น่าสังเกตว่า นายวิญญัติ ชาติมนตรี ทนาย นปช.ในฐานะทนายของนายยศวริศ ได้นำพยานมาเบิกความต่อศาล 3 คน เพื่อยืนยันว่านายยศวริศมีพฤติกรรมที่ดี ประกอบด้วย พ.ต.อ.ไกรเลิศ บัวแก้ว รองผู้บังคับการตำรวจนครบาล 1 ซึ่งเป็นเจ้าหน้าที่ตำรวจที่ควบคุมการชุมนุมของกลุ่มคนเสื้อแดงเมื่อวันที่ 7 มิ.ย. ,นายฐานิสร์ เทียนทอง รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงมหาดไทย ในฐานะผู้บังคับบัญชาของนายยศวริศ และนายจรินทร์ สวนแก้ว ประธานมูลนิธิ 5 ธันวามหาราช
       
       ซึ่งนายฐานิสร์ แถลงต่อศาลโดยยืนยันว่า จากที่ได้ทำงานร่วมกับนายยศวริศ 1 ปี เห็นว่านายยศวริศเป็นคนสนุกสนามร่าเริง และไม่เป็นพิษเป็นภัยต่อสังคม นอกจากนี้ยังมีความมุ่งมั่นและรับผิดชอบงานเป็นอย่างดี ขณะที่ พ.ต.อ.ไกรเลิศ แถลงต่อศาลโดยเล่าเหตุการณ์การชุมนุมวันที่ 7 มิ.ย.ของคนเสื้อแดงที่หน้ารัฐสภาว่า ช่วงเย็นมีรายงานว่ามีคนนำใบปลิวระบุรายละเอียดหมายเลขโทรศัพท์ของตุลาการศาลรัฐธรรมนูญที่ข้างเวที จึงให้เจ้าหน้าที่ไปตรวจสอบและตามเก็บ แต่มีบางส่วนเก็บไม่ทันและหลุดไปถึงหลังเวทีคนเสื้อแดง และว่า ช่วงที่นายยศวริศปราศรัย ผู้ชุมนุมเป็นกลุ่มรากหญ้า จึงยังไม่สนใจรายละเอียดหมายเลขโทรศัพท์ แต่ผู้ชุมนุมเพิ่มขึ้นช่วงกลางคืน ซึ่งเป็นช่วงที่นายยศวริศขึ้นกล่าวขอโทษ ด้านนายจรินทร์ แถลงต่อศาลว่า เคยเชิญนายยศวริศมาช่วยดูแลงานเฉลิมพระเกียรติ 12 ส.ค. โดยมอบหมายให้ดูแลเรื่องตลก และว่า นายยศวริศเป็นคนมีการศึกษา มีวุฒิภาวะ ย่อมรู้อะไรควรหรือไม่ควร หากทำอะไรไม่ควร เมื่อสำนึกและออกมายอมรับ แล้วขออภัย สังคมก็ยอมรับได้
       
       ขณะที่นายยศวริศ แถลงต่อศาล โดยยืนยันว่า การปราศรัยเป็นการพูดตามสไตล์ตลกของตน แต่หลังเกิดเหตุก็ได้กล่าวขอโทษตุลาการศาลรัฐธรรมนูญต่อหน้าประชาชนจำนวนมาก พร้อมบอกประชาชนว่าอย่าไปโทรศัพท์ไปก่อกวนครอบครัวของตุลาการฯ และว่า ตนเป็นสมาชิกพรรคเพื่อไทยและมีตำแหน่งเป็นผู้ช่วยเลขานุการรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย จึงไม่มีเจตนาก่อความวุ่นวาย พร้อมขอความเมตตาจากศาล หากมีการทำผิดพลาดขออภัย
       
       ด้านนายนิพิฏฐ์ อินทรสมบัติ ส.ส.พัทลุง พรรคประชาธิปัตย์ ในฐานะผู้ร้อง แถลงต่อศาลว่า ได้ยื่นคำร้องและวีซีดีบันทึกการปราศรัยของนายยศวริศ 5 ครั้ง ซึ่งเห็นได้ชัดเจนว่า การปราศรัยของนายยศวริศเป็นการกระทำอย่างเป็นขั้นเป็นตอนในการทำลายความน่าเชื่อถือขององค์กรอิสระและกระบวนการยุติธรรม และว่า หน้าที่ของกระทรวงมหาดไทยคือบำบัดทุกข์บำรุงสุขให้ประชาชนและรักษาความสงบเรียบร้อย แต่การกระทำของนายยศวริศเป็นการก่อความไม่สงบ ซึ่งผิดเงื่อนไขการปล่อยตัวชั่วคราว
       
       ทั้งนี้ ศาลได้มีคำสั่งถอนประกันนายยศวริศเพียงคนเดียว ส่วนแกนนำ นปช.อีก 18 คน ศาลไม่ถอนประกัน สาเหตุที่นายยศวริศถูกถอนประกัน เนื่องจากศาลพิเคราะห์แล้วเห็นว่า น้ำเสียงและสีหน้าท่าทางของนายยศวริศขณะปราศรัย ส่อให้เห็นถึงเจตนายุยง ปลุกปั่น ให้ผู้ฟังรู้สึกดูหมิ่นเกลียดชังตุลาการศาลรัฐธรรมนูญ นอกจากนี้ยังได้นำข้อมูลส่วนตัวของตุลาการฯ และครอบครัวมาเปิดเผย รวมทั้งได้กล่าวถ้อยคำทำนองว่า “ให้แวะเวียนไปเยี่ยม เอาดอกไม้ไปเยี่ยม โทรศัพท์ไปคุย และให้ไปจัดการ” ซึ่งการพูดดังกล่าวอาจทำให้ผู้ฟังที่กำลังอยู่ในอารมณ์ที่เกลียดชังตุลาการฯ เข้าใจได้ว่าจำเลยต้องการให้มีการก่อความวุ่นวาย หรือกระทำอันตรายต่อตุลาการฯ และครอบครัว และถือได้ว่าเป็นการกดดันคุกคามตุลาการฯ และครอบครัว รวมทั้งกดดันการทำหน้าที่ของตุลาการฯ จึงถือว่าจำเลยผิดเงื่อนไขการปล่อยตัวชั่วคราว
       
       ส่วนที่จำเลยอ้างว่า ยังไม่มีเหตุร้ายเกิดขึ้น และจำเลยได้ขอโทษตุลาการฯ แล้ว ศาลเห็นว่า คำขอโทษไม่สามารถเรียกคืนสิ่งที่ทำลงไปแล้วให้กลับคืนมาได้ และที่จำเลยอ้างว่า สิ่งที่พูดเป็นแค่เรื่องตลกขบขัน ศาลเห็นว่า ยิ่งแสดงให้เห็นว่าจำเลยไม่มีความยับยั้งชั่งใจหรือใคร่ครวญว่าสิ่งใดควรทำหรือไม่ควรทำ ดังนั้นหากศาลอนุญาตให้ปล่อยตัวชั่วคราว จำเลยอาจไปก่อเหตุวุ่นวายอย่างอื่นอีก จึงมีเหตุสมควรให้เพิกถอนการปล่อยตัวชั่วคราวจำเลย
       
       สำหรับแกนนำ นปช.อีก 18 คนที่ศาลไม่สั่งถอนประกัน เช่น นายจตุพร ,นายวีระ ,นายอริสมันต์ นั้น เนื่องจากศาลเห็นว่า แม้จำเลยจะปราศรัยด้วยถ้อยคำไม่สุภาพหยาบคาย แต่ก็ไม่มีคำพูดในลักษณะข่มขู่คุกคามการทำหน้าที่ของตุลาการศาลรัฐธรรมนูญ จึงพอถือได้ว่าเป็นการวิพากษ์วิจารณ์และติชมการทำงานของตุลาการฯ แม้คำพูดของจำเลยจะรุนแรงไปบ้าง แต่ก็ยังไม่ถือว่าจำเลยได้ก่อให้เกิดอันตรายต่อความสงบเรียบร้อยของบ้านเมือง
       
       อย่างไรก็ตาม ศาลได้กำหนดเงื่อนไขในการปล่อยตัวชั่วคราวใหม่ให้ครอบคลุมมากขึ้น โดยห้ามจำเลยกระทำการใดใดที่มีลักษณะดูหมิ่นผู้อื่นหรือยั่วยุ ปลุกปั่น ให้เกิดความปั่นป่วนวุ่นวายในบ้านเมือง หรืออาจก่อให้เกิดอันตราย หรือกระทบต่อเกียรติยศชื่อเสียงและความเป็นอยู่ส่วนตัวของบุคคลอื่น หรือความสงบเรียบร้อยหรือศีลธรรมอันดีของประชาชน หรือกระทำการใดใดเพื่อให้ประชาชนล่วงละเมิดกฎหมายแผ่นดิน และห้ามจำเลยออกนอกราชอาณาจักร เว้นแต่จะได้รับอนุญาตจากศาล
       
       ทั้งนี้ หลังทราบคำสั่งศาล นายยศวริศมีสีหน้าเคร่งเครียด ขณะที่แกนนำ นปช.คนอื่นๆ ได้เข้ามาปลอบใจ พร้อมให้คำมั่นว่าจะช่วยเหลืออย่างเต็มที่ โดยนายจตุพร พรหมพันธุ์ ขอให้ทนายความยื่นขอประกันนายยศวริศทันที โดยใช้หลักทรัพย์ 2 ล้านบาท และให้อ้างชื่อนายยงยุทธ วิชัยดิษฐ หัวหน้าพรรคเพื่อไทย ในฐานะรองนายกฯ และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย และ พล.ต.อ.ประชา พรหมนอก รัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม เป็นผู้ควบคุมความประพฤติของนายยศวริศ อย่างไรก็ตาม หลังทีมทนายปรึกษากันแล้วเห็นว่า หากยื่นขอประกันทันทีไม่น่าจะเป็นผลดี จึงขอไปดูรายละเอียดคำสั่งของศาลอีกครั้ง โดยเบื้องต้นคิดว่า หากยื่นประกันจะยื่นต่อศาลชั้นต้นก่อน โดยใช้หลักทรัพย์ 2 ล้านบาท หากศาลไม่อนุญาตให้ประกัน จึงจะยื่นขอประกันต่อศาลอุทธรณ์อีกครั้ง ส่วนจะยื่นประกันวันใด ยังไม่สามารถระบุได้
       
       เป็นที่น่าสังเกตว่า หลังถูกถอนประกัน เจ้าหน้าที่จากกรมราชทัณฑ์ได้ควบคุมตัวนายยศวริศไปคุมขังที่เรือนจำพิเศษกรุงเทพ แต่ภายหลังได้เปลี่ยนสถานที่ ไปคุมขังที่เรือนจำชั่วคราวหลักสี่ หรือที่มักเรียกกันว่าคุกวีไอพี แทน เนื่องจากเห็นว่าคดีก่อการร้ายที่นายยศวริศเป็นจำเลย ถือเป็นคดีการเมือง
       
       2. โปรดเกล้าฯ “นิคม” ปธ.วุฒิสภาคนใหม่ - เจ้าตัว ประกาศ ยึดหลักยุติธรรม - เป็นกลาง ด้าน “สุรชัย” คว้าชัยรอง ปธ.วุฒิฯ คนที่ 1 !

       เมื่อวันที่ 20 ส.ค. ได้มีการประชุมวุฒิสภาเพื่อเลือกรองประธานวุฒิสภา คนที่ 1 แทนนายนิคม ไวยรัชพานิช ที่ลาออกเนื่องจากได้รับเลือกเป็นประธานวุฒิสภาคนใหม่ โดยผู้ที่ได้รับการเสนอชื่อเป็นรองประธานวุฒิสภา คนที่ 1 มีจำนวน 7 คน ซึ่งถือว่าเป็นการลงชิงชัยมากที่สุดเป็นประวัติการณ์ ประกอบด้วย นายดิเรก ถึงฝั่ง ส.ว.นนทบุรี ,นายสุรเดช จิรัฐติเจริญ ส.ว.ปราจีนบุรี ,นายสมัคร เชาวภานันท์ ส.ว.สรรหา ,ม.ล.ปรียาพรรณ ศรีธวัช ส.ว.สรรหา ,นายสุรชัย เลี้ยงบุญเลิศชัย ส.ว.สรรหา ,นายบุญชัย โชควัฒนา ส.ว.สรรหา และนายกฤช อาทิตย์แก้ว ส.ว.กำแพงเพชร โดยนางพรทิพย์ โล่ห์วีระ จันทร์รัตนปรีดา รองประธานวุฒิสภา คนที่ 2 ซึ่งทำหน้าที่ประธานที่ประชุม ได้ให้ผู้ได้รับการเสนอชื่อแสดงวิสัยทัศน์คนละ 10 นาที
       
       จากนั้น ได้มีการลงคะแนนลับในรอบแรก โดยผู้ที่ได้คะแนนมากสุด คือ นายสุรชัย ได้ 35 คะแนน ,นายสุรเดช 33 คะแนน ,นายดิเรก 20 คะแนน ,นายสมัคร 18 คะแนน ,นายบุญชัยและนายกฤช 16 คะแนน ,ม.ล.ปรียาพรรณ 4 คะแนน มีผู้งดออกเสียง 2 คะแนน รวมเป็น 144 เสียง ทั้งนี้ แม้นายสุรชัยจะได้คะแนนมากสุด แต่คะแนนไม่ถึงกึ่งหนึ่งของจำนวนผู้ลงคะแนนคือ 144 คน จึงต้องให้ผู้ที่มีคะแนนมากสุด 2 ลำดับแรกมาให้สมาชิกเลือกอีกรอบ ผลปรากฏว่า นายสุรชัยได้คะแนนมากสุด คือ 73 คะแนน ขณะที่นายสุรเดชได้ 69 คะแนน งดออกเสียง 1 คะแนน ส่งผลให้นายสุรชัยได้เป็นประธานวุฒิสภาคนที่ 1
       
       ส่วนความคืบหน้าตำแหน่งประธานวุฒิสภาคนใหม่ หลังนายนิคม ไวยรัชพานิช ได้รับเลือกด้วยคะแนนมากสุดเมื่อวันที่ 14 ส.ค. ล่าสุด พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงมีพระบรมราชโองการโปรดเกล้าฯ แต่งตั้งให้นายนิคมเป็นประธานวุฒิสภาคนใหม่แล้วเมื่อวันที่ 23 ส.ค. โดยพิธีรับสนองพระบรมราชโองการมีขึ้นต่อหน้าพระบรมฉายาลักษณ์พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวที่รัฐสภาเมื่อวันที่ 24 ส.ค.
       
       ทั้งนี้ นายนิคม กล่าวหลังรับสนองพระบรมราชโองการว่า จะปฏิบัติงานโดยยึดหลักยุติธรรมและความเป็นกลาง โดยเฉพาะเรื่องของการถอดถอน พร้อมยืนยันว่า ที่ผ่านมาตนเคยทำหน้าที่นี้มาแล้ว 3 ครั้ง และไม่มีปัญหาแต่อย่างใด
       
       3. “สุริยะใส” ยื่น ป.ป.ช. ฟัน “ยิ่งลักษณ์” ผิด กม.อาญา ม.157 ฐานไม่ขอตัว “ทักษิณ” จากสหรัฐฯ !

       เมื่อวันที่ 23 ส.ค. นายสุริยะใส กตะศิลา ผู้ประสานงานกลุ่มกรีน พร้อมด้วยนายสำราญ รอดเพชร ได้ยื่นหนังสือต่อสำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ(ป.ป.ช.) ขอให้ตรวจสอบการทำงานของ น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร นายกรัฐมนตรี กรณีละเว้นการปฏิบัติหน้าที่ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 157 ไม่ดำเนินการเรื่องขอตัว พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี ซึ่งอยู่ในฐานะนักโทษหนีคดีคอร์รัปชัน ที่เดินทางเข้าสหรัฐฯ กลับมาดำเนินคดี ทั้งที่สหรัฐฯ เป็นประเทศที่ทำสนธิสัญญาส่งผู้ร้ายข้ามแดนกับประเทศไทย กระทั่ง พ.ต.ท.ทักษิณเดินทางต่อไปประเทศอื่น จึงถือว่ารัฐบาลได้กระทำความผิดสำเร็จแล้ว ซึ่งหาก ป.ป.ช.ชี้มูลความผิด น.ส.ยิ่งลักษณ์ จะมีการส่งเรื่องไปยังอัยการสูงสุด ก่อนส่งเรื่องไปยังศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง เพื่อดำเนินการถอดถอนออกจากตำแหน่งต่อไป
       
       ทั้งนี้ นายสุริยะใส บอกด้วยว่า การมายื่น ป.ป.ช.ครั้งนี้ ทำในฐานะประชาชนคนหนึ่ง ไม่ใช่กลุ่มการเมืองใด พร้อมชี้ว่า สิ่งที่ยืนยันได้ชัดเจนว่ารัฐบาลกระทำผิดที่ไม่ขอตัว พ.ต.ท.ทักษิณในฐานะผู้ร้ายข้ามแดนจากทางสหรัฐฯ ก็คือกรณีที่นางคริสตี้ เคนนีย์ เอกอัครราชทูตสหรัฐอเมริกาประจำประเทศไทย เผยเหตุที่ไม่ส่งตัว พ.ต.ท.ทักษิณให้ไทยว่า เนื่องจากไม่มีคำร้องขอจากรัฐบาลไทย
       
       ด้าน น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร นายกรัฐมนตรี ออกอาการไม่อยากตอบหลังถูกผู้สื่อข่าวถามกรณีนายสุริยะใสยื่นเรื่องต่อ ป.ป.ช.โดยบอกเพียงว่า “ทุกอย่าง ขอให้เป็นไปตามขั้นตอนของกฎหมาย”
       
       ขณะที่นายสุรพงษ์ โตวิจักษณ์ชัยกุล รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ พูดชัดว่าเหตุที่ไม่ขอตัว พ.ต.ท.ทักษิณ ในฐานะผู้ร้ายข้ามแดน เพราะรัฐบาลไม่มีนโยบายตามจับ พ.ต.ท.ทักษิณ โดยนายสุรพงษ์ บอกว่า อัยการสูงสุดได้ทำหนังสือด่วนลงวันที่ 21 ส.ค.มาถึงกระทรวงฯ ให้ระบุสถานที่อยู่ของ พ.ต.ท.ทักษิณ เพราะมีผู้ร้องขอให้ดำเนินการนำตัว พ.ต.ท.ทักษิณกลับมาดำเนินคดี ตนจึงให้กระทรวงฯ ทำหนังตอบกลับไปว่า ไม่ทราบว่า พ.ต.ท.ทักษิณอยู่ที่ไหน
       
       เมื่อผู้สื่อข่าวถามว่า มีผู้ที่จะฟ้องร้องว่ากระทรวงการต่างประเทศละเว้นการปฏิบัติหน้าที่ตามมาตรา 157 นายสุรพงษ์ อ้างว่า ถ้าจะร้องก็ต้องร้องตั้งแต่รัฐบาลที่แล้ว เพราะ พ.ต.ท.ทักษิณออกจากประเทศไทยตั้งแต่ปี 2549 ผ่านมาหลายรัฐบาลแล้ว ถือว่าละเว้นกันหมด อย่ามาให้ตนเป็นแพะรับบาปคนเดียว พร้อมย้ำว่า รัฐบาลนี้ไม่มีนโยบายติดตามตัว พ.ต.ท.ทักษิณ เพราะมีงานอย่างอื่นทำอีกจำนวนมาก
       
       ด้านนายชวนนท์ อินทรโกมาลย์สุต โฆษกพรรคประชาธิปัตย์ พูดถึงกรณีที่อัยการสูงสุดทำเรื่องสอบถามกระทรวงการต่างประเทศถึงที่อยู่ของ พ.ต.ท.ทักษิณ แต่นายสุรพงษ์
       อ้างว่าไม่ทราบ โดยชี้ว่า เป็นการเล่นละครหลอกประชาชนครั้งใหญ่ระหว่างอัยการสูงสุดและกระทรวงการต่างประเทศ เพราะเกรงจะผิดกฎหมายอาญา มาตรา 157 จึงถือเป็นการดูถูกประชาชนครั้งใหญ่ เพราะทุกคนทราบดีว่า พ.ต.ท.ทักษิณอยู่ที่ไหน และขณะนี้ พ.ต.ท.ทักษิณกำลังจะเดินทางไปประเทศจีนและเกาหลีใต้
       
       นายชวนนท์ ยังเผยด้วยว่า ขณะนี้นายกษิต ภิรมย์ ส.ส.บัญชีรายชื่อ พรรคประชาธิปัตย์ ได้ส่งจดหมายไปยัง 8 หน่วยงานของสหรัฐฯ ประกอบด้วย 1.หัวหน้าพรรคเดโมแครต 2.หัวหน้าพรรครีพับลิกัน 3.ประธานคณะกรรมาธิการการต่างประเทศ วุฒิสภา 4.สมาชิกในคณะกรรมาธิการการต่างประเทศ วุฒิสภา 5.ประธานคณะอนุกรรมาธิการการต่างประเทศว่าด้วยพื้นที่เอเชียตะวันออกและแปซิฟิก 6.สมาชิกในคณะอนุกรรมาธิการการต่างประเทศว่าด้วยพื้นที่เอเชียตะวันออกและแปซิฟิก 7.ประธานคณะกรรมาธิการการต่างประเทศ สภาผู้แทนราษฎร สหรัฐฯ และ 8.สมาชิกสภาคองเกรส โดยเล่าว่า พ.ต.ท.ทักษิณมีคดีติดตัวในประเทศไทยอย่างไรบ้าง เช่น คดีซีทีเอ็กซ์ ,การใช้อำนาจเกินขอบเขต ,การปล่อยเงินกู้เอ็กซิมแบงก์ ,การปล่อยเงินกู้ธนาคารกรุงไทย นายชวนนท์ ยังยืนยันด้วยว่า คดีของ พ.ต.ท.ทักษิณไม่ใช่คดีการเมือง แต่เป็นการทุจริตในการบริหารราชการแผ่นดิน
       
       4. ปชป. ประเมินผลงาน รบ. 1 ปี “ของแพง-ทุกข์ทั้งแผ่นดิน-ยิ่งทำยิ่งแย่ ยิ่งแก้ยิ่งผิด-จองล้างฝ่ายตรงข้าม!

       เมื่อวันที่ 24 ส.ค. พรรคประชาธิปัตย์(ปชป.) ได้เปิดแถลงครบรอบ 1 ปีรัฐบาล โดยใช้หัวข้อว่า “1 ปีรัฐบาลเพื่อไทย ทุกข์ที่คนไทยจำทน” โดยนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ หัวหน้าพรรค และนายกฯ เงา บอกว่า พรรคได้ประเมินผลงานของรัฐบาลใน 6 เรื่องที่อยู่ในความสนใจของประชาชนมากที่สุด ประกอบด้วย 1.รัฐบาลมีมาตรการในการกระชากค่าครองชีพของประชาชนลงอย่างไร ทั้งปัญหาน้ำมันแพง และสินค้าแพง 2.รัฐบาลจะทำให้ราคาสินค้าเกษตรเพิ่มขึ้นอย่างยั่งยืนอย่างไร ทั้งข้าว มันสำปะหลัง และยางพารา 3.รัฐบาลจะสร้างความปรองดองที่แท้จริงด้วยการถอนร่างกฎหมายล้างผิด รวมทั้งล้มความคิดล้มล้างรัฐธรรมนูญอย่างไร 4.รัฐบาลจะแก้ปัญหาภาคใต้อย่างจริงจังอย่างไร เพื่อนำสันติสุขกลับคืนมา 5.รัฐบาลจะทำให้คนไทยได้รับประโยชน์จากโครงการป้องกันน้ำท่วมอย่างไร และจะมีมาตรการใช้งบน้ำท่วมอย่างโปร่งใส ไม่มีการทุจริตอย่างไร และ 6.รัฐบาลจะลดหนี้ประชาชนและหนี้ประเทศอย่างไร และเมื่อใดความสุขของประชาชนจะมาก่อนความสุขชั่วคราว แต่ทุกข์ระยะยาวจากการกู้หนี้ของรัฐบาล
       
        จากนั้นแกนนำพรรคประชาธิปัตย์ ได้ผลัดเปลี่ยนกันแถลงผลงาน 1 ปีของรัฐบาลที่ทำไม่ได้อย่างที่หาเสียงไว้ เช่น นายอภิรักษ์ โกษะโยธิน รัฐมนตรีพาณิชย์เงาพรรคประชาธิปัตย์ ได้ชี้ให้เห็นถึงความล้มเหลวของรัฐบาลที่ไม่สามารถกระชากค่าครองชีพให้ลดลง และไม่มีการยกเลิกกองทุนน้ำมันตามที่ น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร นายกรัฐมนตรี ได้หาเสียงไว้ โดย 1 ปีของรัฐบาล นอกจากราคาพลังงานจะไม่ลดลงแล้ว กลับสูงขึ้นทุกชนิด ขณะที่คำสัญญาเรื่องเงินเดือนปริญญาตรี15,000 บาท ก็ไม่ใช่เงินเดือนแต่เป็นเงินชดเชย ส่วนเงินเดือนต้องรอปี 2557 และได้เฉพาะกลุ่มข้าราชการ ไม่สามารถดูแลภาคเอกชนได้ ส่วนค่าแรง 300 บาท ก็ทำได้แค่ 7 จังหวัด ส่วนอีก 70 จังหวัดปรับ 40% แถมการปรับแบบก้าวกระโดดก็ส่งผลให้เอสเอ็มอีหลายแสนรายต้องปิดตัว ทำให้แรงงานไม่ได้ 300 บาท แต่ต้องตกงานหรือถูกลดสวัสดิการลง ขณะที่ลูกจ้างที่ไม่ได้อยู่ในระบบอีก 20 กว่าล้านคน ก็ไม่ได้ประโยชน์จากค่าแรงขั้นต่ำ แต่ต้องแบกรับค่าครองชีพที่สูงขึ้น ทำให้ประชาชนเดือดร้อนทั้งแผ่นดิน
       
        ด้านนายเกียรติ สิทธีอมร รองนายกรัฐมนตรีเงาพรรคประชาธิปัตย์ แถลงว่า 1 ปีของรัฐบาลทำให้ราคาสินค้าเกษตรตกต่ำลงสวนทางกับราคาสินค้าอุปโภคบริโภคที่แพงขึ้น ทั้งที่รัฐบาลใช้งบมากเป็นประวัติการณ์หลายแสนล้านบาทในการดูแลสินค้าเกษตร ขณะที่โครงการรับจำนำข้าว พบว่ามีการโกงทุกขั้นตอน ส่วนปัญหายางพาราที่รัฐบาลรับปากว่าจะทำให้ราคาอยู่ที่ 120 บาท ปรากฏว่า ราคายางดิบ ณ วันที่ 23 ส.ค.อยู่ที่ 76.50 บาทเท่านั้น แสดงว่าการดูแลสินค้าเกษตรของรัฐบาลล้มเหลว รับปากแล้วไม่ทำ รับปากแล้วทำไม่ได้ เข้าทำนองยิ่งทำยิ่งแย่ ยิ่งแก้ยิ่งผิด
       
        ขณะที่นายจุรินทร์ ลักษณวิศิษฎ์ ประธานวิปฝ่ายค้าน แถลงว่า 1 ปีรัฐบาล ทำให้คนไทยอยู่ในภาวะจำทน แพงทั้งแผ่นดิน ทุกข์ทั้งแผ่นดิน ทั้งน้ำท่วม หนี้ท่วม ไฟใต้ลุกท่วม และทุกข์จากความล้มเหลวในนโยบายปรองดองของรัฐบาล สังเกตได้จากคำมั่นสัญญาของนายกฯ และหัวหน้าพรรคเพื่อไทย ที่ประกาศแก้ไขไม่แก้แค้นไม่ทำเพื่อพี่ ไม่มีการคืนทรัพย์สิน แต่ตลอด 1 ปีกลับทำในสิ่งที่ตรงกันข้าม มีการใช้กองกำลังฝ่ายรัฐบาลดำเนินการแก้แค้น จองล้าง ข่มขู่ฝ่ายตรงข้ามสารพัดรูปแบบ ไม่เว้นภาคประชาชน ตุลาการ องค์กรอิสระ เพื่อให้ตอบสนองความต้องการทางการเมืองของรัฐบาล
       
        ด้านรัฐบาลยังไม่กำหนดว่าจะแถลงผลงานในรอบ 1 ปีเมื่อใด โดย น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร นายกรัฐมนตรี ได้เรียกรัฐมนตรีในส่วนของพรรคเพื่อไทยประชุมเมื่อวันที่ 24 ส.ค. เพื่อให้รัฐมนตรีแต่ละกระทรวงชี้แจงว่า ได้ทำอะไรไปบ้าง หลังประชุม นายวรวัจน์ เอื้ออภิญญากุล รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เผยว่า แต่ละกระทรวงต้องไปจัดทำผลงานเป็นรูปเล่ม เพื่อให้คณะรัฐมนตรีดูความสมบูรณ์ ก่อนเสนอต่อรัฐสภาเพื่อบรรจุวาระการประชุม คาดว่าการแถลงผลงานรัฐบาลต่อรัฐสภาจะมีขึ้นในเดือน ก.ย.นี้ ส่วนการแถลงผลงานรัฐบาลรอบสื่อมวลชน ยังไม่ได้สรุปว่าจะมีขึ้นก่อนหรือหลังแถลงต่อรัฐสภา แต่นายกฯ อนุญาตให้รัฐมนตรีทุกกระทรวงชี้แจงผลงานต่อประชาชนได้ ส่วนรูปแบบแล้วแต่รัฐมนตรีจะกำหนด โดยให้เริ่มตั้งแต่บัดนี้เป็นต้นไป

ASTVผู้จัดการออนไลน์    26 สิงหาคม 2555