ผู้เขียน หัวข้อ: สรุปข่าวเด่นในรอบสัปดาห์ 22-28 เม.ย.2555  (อ่าน 1113 ครั้ง)

story

  • Staff
  • Hero Member
  • ****
  • กระทู้: 9773
    • ดูรายละเอียด
1. “ยิ่งลักษณ์” นำ 3 รองนายกฯ เข้ารดน้ำขอพร “ป๋าเปรม” -ปัดตอบ ขอโทษแทน “ทักษิณ” หรือไม่ ด้านเสื้อแดงพะเยา ฮึ่ม เลิกหนุน พท.!

       เมื่อวันที่ 22 เม.ย. มีรายงานว่า น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร นายกรัฐมนตรี ได้ให้ พล.อ.ยุทธศักดิ์ ศศิประภา รองนายกรัฐมนตรี ประสานกับสำนักงานมูลนิธิรัฐบุรุษ เพื่อขอนำคณะรัฐมนตรีเข้ารดน้ำดำหัวและขอพรจาก พล.อ.เปรม ติณสูลานนท์ ประธานองคมนตรีและรัฐบุรุษ เนื่องในเทศกาลสงกรานต์ ซึ่ง พล.อ.เปรมได้ตอบรับให้เข้าพบในวันที่ 26 เม.ย.
       
       หลังมีข่าวดังกล่าว พล.ร.อ.พะจุณณ์ ตามประทีป หัวหน้าสำนักงานมูลนิธิรัฐบุรุษและนายทหารคนสนิท พล.อ.เปรม ได้ออกมายืนยันว่า น.ส.ยิ่งลักษณ์ จะนำ ครม.เข้ารดน้ำขอพร พล.อ.เปรมจริงในวันที่ 26 เม.ย.
       
       อย่างไรก็ตาม เมื่อผู้สื่อข่าวไปถามเรื่องดังกล่าวกับนายณัฐวุฒิ ใสยเกื้อ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ และแกนนำกลุ่มแนวร่วมประชาธิปไตยต่อต้านเผด็จการแห่งชาติ(นปช.) ที่เคยนำม็อบไปชุมนุมและก่อความวุ่นวายที่หน้าบ้านสี่เสาเทเวศร์ของ พล.อ.เปรมเมื่อวันที่ 22 ก.ค.2550 ปรากฏว่า นายณัฐวุฒิไม่ตอบรับหรือปฏิเสธว่าจะเข้ารดน้ำขอพร พล.อ.เปรมหรือไม่ โดยอ้างว่า ยังไม่ทราบกำหนดการที่แน่ชัดว่าเป็นอย่างไร
       
       ทั้งนี้ เมื่อถึงกำหนด(26 เม.ย.) ปรากฏว่า น.ส.ยิ่งลักษณ์ไม่ได้นำรัฐมนตรีทั้งคณะเข้ารดน้ำขอพร พล.อ.เปรม แต่นำเพียง 3 รองนายกฯ คือ พล.อ.ยุทธศักดิ์ ศศิประภา ,นายยงยุทธ วิชัยดิษฐ รองนายกฯ และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย และนายกิตติรัตน์ ณ ระนอง รองนายกฯ และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง ส่วน ร.ต.อ.เฉลิม อยู่บำรุง รองนายกฯ และนายชุมพล ศิลปอาชา รองนายกฯ และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงท่องเที่ยวและกีฬา ไม่ได้เดินทางมาด้วย โดย พล.อ.ยุทธศักดิ์ บอกว่า ร.ต.อ.เฉลิมติดภารกิจงานพระราชทานเพลิงศพน้องสาวของคนที่สนิทกัน
       
       เป็นที่น่าสังเกตว่า หลังเข้าพบ พล.อ.เปรมประมาณ 15 นาที รองนายกฯ ทั้ง 3 คนได้ออกมารอข้างนอก เพื่อให้ น.ส.ยิ่งลักษณ์ได้หารือเป็นการส่วนตัวกับ พล.อ.เปรม หลังหารือนานประมาณครึ่งชั่วโมง พล.อ.เปรมได้เดินออกมาส่งนายกฯ ที่หน้าบ้านพัก เพื่อขึ้นยนต์ส่วนตัวกลับ โดย พล.อ.เปรมมีสีหน้ายิ้มแย้ม
       
       ด้านนายยงยุทธ เผยถึงการเข้ารดน้ำขอพร พล.อ.เปรมว่า “ชื่นอกชื่นใจ เพราะพวกผมเป็นผู้น้อย เมื่อมีโอกาสไปเคารพผู้ใหญ่ของบ้านเมืองก็มีความสุข” นายยงยุทธ ยังยืนยันด้วยว่า การเข้าพบ พล.อ.เปรมของครั้งนี้ ไม่มีมิติทางการเมือง เป็นมิติของความเคารพนับถือ และมีแต่เรื่องงานที่รัฐบาลอยากเข้าไปช่วย พล.อ.เปรม เช่น โครงการสานใจไทยสู่ใจใต้
       
       ขณะที่ น.ส.ยิ่งลักษณ์ ก็ปฏิเสธเช่นกันว่า ไม่ได้คุยเรื่องการเมืองกับ พล.อ.เปรม คุยแต่เรื่องการทำงาน ผู้สื่อข่าวถามว่า มีข่าวว่าได้ขอโทษ พล.อ.เปรม แทน พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร พี่ชาย จริงหรือไม่ น.ส.ยิ่งลักษณ์ ออกอาการบ่ายเบี่ยงด้วยการหัวเราะพร้อมกับบอกว่า “ไหนบอกว่าคำถามเดียวไม่ใช่เหรอ” ก่อนเดินออกจากวงล้อมสื่อมวลชนทันที
       
       สำหรับปฏิกิริยาของแกนนำคนเสื้อแดงต่อกรณีที่ น.ส.ยิ่งลักษณ์นำรองนายกฯ เข้ารดน้ำขอพรจาก พล.อ.เปรมครั้งนี้ มีทั้งที่สนับสนุนและคัดค้าน เช่น นายก่อแก้ว พิกุลทอง ส.ส.บัญชีรายชื่อ พรรคเพื่อไทย และแกนนำ นปช. บอกว่า ถือเป็นสัญญาณของความปรองดอง และว่า แกนนำคนเสื้อแดงที่เป็น ส.ส.มีจุดยืนชัดเจนว่าสนับสนุนการปรองดอง แต่ยอมรับว่า คนเสื้อแดงบางกลุ่มก็คัดค้านการเข้าพบ พล.อ.เปรม “สำหรับผมอภัยได้ทั้งหมด ยกเว้นผู้ที่สั่งฆ่าประชาชนเมื่อปี 2553”
       
       ด้านแกนนำคนเสื้อแดง จ.พะเยา ไม่เห็นด้วย โดยนายศิริวัฒน์ จุปะมัดถา ผู้ประสานงานกลุ่ม นปช.พะเยา บอกว่า พล.อ.เปรมเป็นสัญญลักษณ์ของความขัดแย้งระหว่างระบบอำมาตย์กับคนเสื้อแดง เมื่อ น.ส.ยิ่งลักษณ์และพรรคเพื่อไทยเป็นมิตรที่ดีและเป็นที่รักของ พล.อ.เปรม ก็จะยิ่งทำให้กลุ่มคนเสื้อแดงมีระยะห่างจากพรรคเพื่อไทย(พท.) มากขึ้น “เหตุที่พรรคเพื่อไทยแพ้การเลือกตั้งซ่อมที่ จ.ปทุมธานี จะแผ่ขยายพื้นที่ไปยังจังหวัดต่างๆ มากขึ้น เพื่อสะท้อนความรู้สึกของคนเสื้อแดงที่ส่งสัญญาณเตือนไปยังพรรคเพื่อไทย”
       
       2. สภา ฉาวไม่เลิก จากภาพโป๊ถึงกดบัตรแทนกัน ขณะที่การตรวจสอบเหลว บอกไม่ได้มือส่งภาพโป๊เป็นใครใน 86 เครื่อง!

       ความคืบหน้ากรณีภาพโป๊โผล่จอทีวีกลางสภาขณะประชุมร่วมรัฐสภาเพื่อพิจารณาร่างแก้ไขรัฐธรรมนูญมาตรา 291 ในวาระ 2 เมื่อวันที่ 18 เม.ย. ร้อนถึงนายสมศักดิ์ เกียรติสุรนนท์ ประธานรัฐสภา ต้องตั้งคณะกรรมการขึ้นมาตรวจสอบ ขณะที่นายพร้อมพงศ์ นพฤทธิ์ โฆษกพรรคเพื่อไทย จี้ให้นายณัฏฐ์ บรรทัดฐาน ส.ส.กทม.พรรคประชาธิปัตย์ ลาออก หลังดูรูปโป๊ทางโทรศัพท์มือถือ แม้เจ้าตัวจะยืนยันว่า มีคนส่งรูปมาถาม ตนก็แค่ชี้แจงและลบทิ้งไปเท่านั้น แต่นายพร้อมพงศ์ก็ยังขู่จะยื่นเรื่องให้ผู้ตรวจการแผ่นดินตรวจสอบจริยธรรมของนายณัฏฐ์นั้น
       
       ปรากฏว่า เมื่อวันที่ 23 เม.ย. นายคัมภีร์ ดิษฐากรณ์ รองเลขาธิการสภาผู้แทนราษฎร ได้เชิญเจ้าหน้าที่จากบริษัท กสท โทรคมนาคม หรือแคท และเจ้าหน้าที่ฝ่ายไอที ของสภาผู้แทนราษฎร มาร่วมตรวจสอบกรณีรูปโป๊ที่โผล่จอทีวีพลาสม่ากลางสภา ยี่ห้อแอลจี รุ่น 66 LW 6500 โดยเจ้าหน้าที่ได้นำโทรศัพท์สมาร์ทโฟนรุ่นต่างๆ รวมทั้งโทรศัพท์มือถือของเจ้าหน้าที่ผู้ควบคุมห้องโสตทัศนูปกรณ์ มาทดสอบการเชื่อมต่อสัญญาณไปยังจอทีวีพลาสม่าที่มีการติดตั้งระบบเชื่อมต่ออินเตอร์เน็ตความเร็วสูง(ไวไฟ)
       
       ผลการตรวจสอบเบื้องต้นพบว่า โทรศัพท์มือถือของเจ้าหน้าที่โสตฯ ซึ่งส่วนใหญ่ยี่ห้อโนเกีย ไม่สามารถส่งสัญญาณเชื่อมต่อไปยังทีวีจอพลาสม่าได้ ขณะที่ไอแพดและไอโฟนสามารถจับสัญญาณไวไฟของจอทีวีพลาสม่าได้ แต่ไม่สามารถส่งภาพไปปรากฏบนจอได้ ส่วนซัมซุง กาแล็คซี่ โน้ต และซัมซุง กาแล็คซี่ แท็บ สามารถเชื่อมต่อสัญญาณไปยังจอทีวีพลาสม่าได้ โดยผ่านโปรแกรมออล แชร์ ที่ติดตั้งอยู่ที่ตัวเครื่อง ซึ่งใช้เวลาส่งภาพประมาณ 5 วินาที นอกจากนี้เมื่อลองนำซัมซุงทั้ง 2 รุ่นไปทดสอบเชื่อมต่อสัญญาณจากภายนอกห้องประชุมสภา ก็สามารถเชื่อมต่อสัญญาณและส่งข้อมูลที่ต้องการเผยแพร่มายังจอทีวีพลาสม่าในห้องประชุมได้เช่นกัน แต่ต้องใช้เวลานานขึ้น
       
       ทั้งนี้ นายคัมภีร์ เผยว่า มีโทรศัพท์ 4 รุ่นในระบบแอนดรอยด์สามารถส่งลิงก์ออลแชร์ไปยังจอทีวีพลาสม่าที่มีระบบไวไฟได้ แต่มีเพียง 3 รุ่นที่มีภาพพื้นหลังลักษณะเดียวกับภาพที่ปรากฏบนจอทีวีในห้องประชุม คือ ซัมซุง กาแล็คซี่ โน้ต ,ซัมซุง กาแล็คซี่ แท็บ และซัมซุง กาแล็คซี่ เอ็กซ์ 2 ซึ่งจากการตรวจสอบพบว่า ในวันเกิดเหตุ มีผู้ใช้โทรศัพท์มือถือรุ่นดังกล่าวบริเวณโดยรอบอาคารรัฐสภาจำนวน 86 เครื่อง พร้อมคาดว่า น่าจะรู้ผลว่าภาพโป๊ดังกล่าวมาจากโทรศัพท์มือถือของผู้ใดภายใน 1-2 วัน
       
       ด้านนายชวนนท์ อินทรโกมาลย์สุต โฆษกพรรคประชาธิปัตย์ ได้ออกมาชี้ว่า ผลการตรวจสอบที่ออกมา ยืนยันได้แล้วว่า โทรศัพท์ไอโฟนที่นายณัฏฐ์ใช้อยู่ ไม่สามารถเชื่อมต่อกับจอทีวีพลาสม่าในห้องประชุมสภาได้ อีกทั้งเวลาเกิดเหตุนายณัฏฐ์ก็ไม่ได้อยู่ในห้องประชุม
       
       เป็นที่น่าสังเกตว่า 2 วันถัดมา(25 เม.ย.) กระบวนการตรวจสอบภาพโป๊โผล่จอทีวีพลาสม่ากลางสภาก็จบลงแบบง่ายๆ เมื่อนายคัมภีร์ ดิษฐากรณ์ รองเลขาธิการสภาผู้แทนราษฎร ออกมาบอกว่า ไม่สามารถตรวจสอบได้ว่าภาพโป๊ดังกล่าวถูกส่งมาจากโทรศัพท์มือถือของใคร โดยอ้างว่า บริษัท แอลจี แจ้งให้ทราบว่า เครื่องรับแอลจีในห้องประชุมสภาเก็บข้อมูลได้เฉพาะขณะที่เปิดเครื่องใช้งาน แต่เมื่อปิดเครื่อง ข้อมูลการรับการสื่อสารแบบไร้สายจะถูกลบออกทั้งหมด ดังนั้นข้อมูลที่ได้มา 86 เครื่อง ก็ไม่สามารถระบุได้ว่าภาพโป๊ถูกส่งมาจากเครื่องใด
       
       อย่างไรก็ตาม แม้เรื่องภาพโป๊จะดูเหมือนจบ แต่กลับมีเรื่องฉาวใหม่เกิดขึ้นกลางสภา คือการที่ ส.ส.กดบัตรลงคะแนนแทนกัน ทั้งนี้ นายบุญยอด สุขถิ่นไทย ส.ส.บัญชีรายชื่อ พรรคประชาธิปัตย์ ได้แถลงข่าวเรื่องนี้ร่วมกับ ส.ว.บางคน เช่น น.ส.รสนา โตสิตระกูล ส.ว.กทม. และนายสมชาย แสวงการ ส.ว.สรรหา พร้อมโชว์ภาพ ส.ส.บางคนกดบัตรลงลงคะแนนแทนกัน ซึ่งนายสมชาย ชี้ว่า การกดดันแทนกันเป็นเรื่องที่ผิดกฎหมายและผิดรัฐธรรมนูญ อาจต้องพิจารณาว่าจะถอดถอน ส.ส.ดังกล่าวออกจากตำแหน่งหรือส่งเรื่องให้ศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยหรือไม่
       
       ด้านนายวิวัฒน์ชัย โหตระไวศยะ ส.ส.ศรีสะเกษ พรรคเพื่อไทย ได้ออกมายอมรับว่า ตนเป็นคนที่อยู่ในภาพที่ น.ส.รสนา นำมาเปิดเผยว่ากดบัตรแทนกัน แต่ยืนยันว่า ตนไม่ได้กดบัตรแทนใคร พร้อมอ้างว่า ในภาพที่ปรากฏคือ ตนพาดมือไปข้างหลัง ซึ่งที่นั่งแถวหลังของตนไม่ได้ติดตั้งเครื่องลงคะแนน เนื่องจากแถวนั้นเป็นแถวที่เว้นไว้เพื่อเป็นทางเดิน
       
       ขณะที่นายจิรายุ ห่วงทรัพย์ ส.ส.กทม.พรรคเพื่อไทย ได้เรียกร้องให้ น.ส.รสนาขอโทษนายวิวัฒน์ชัย เพราะทำให้นายวิวัฒน์ชัยได้รับความเสียหาย แต่ น.ส.รสนา ยืนยันไม่ขอโทษ เพราะตนไม่ได้เอ่ยชื่อใคร นายจิรายุและนายวิวัฒน์ชัย ไม่พอใจ จึงได้เข้าแจ้งความต่อตำรวจ สน.ดุสิต ให้ดำเนินคดี น.ส.รสนา-นายสมชาย และนายบุญยอด ฐานหมิ่นประมาท
       
       ด้านนายชูวิทย์ กมลวิศิษฏ์ หัวหน้าพรรครักประเทศไทย ได้นำคลิปวิดีโอ ส.ส.กดบัตรแทนกันมาแถลงข่าวด้วยเช่นกัน โดยในภาพมีทั้ง ส.ส.ชาย และหญิงกำลังเอื้อมมือไปกดบัตรแทนกัน นายชูวิทย์ ยังยืนยันด้วยว่า ตนมีภาพสมาชิกรัฐสภากดบัตรและลงมติแทนกันในการประชุมร่วมรัฐสภาเพื่อพิจารณาร่างแก้ไขรัฐธรรมนูญตั้งแต่วาระ 1 และ 2 โดยตนจะส่งเรื่องให้ศาลรัฐธรรมนูญพิจารณาทันทีที่จบวาระ 3 นายชูวิทย์ ยังคุยโวด้วยว่า ตนมีคลิปกดบัตรแทนกันทั้งหมด 6 คลิป เพิ่งเปิดไป 2 คลิป ที่เหลืออีก 4 คลิปถือเป็นคลิปเด็ดเพราะเห็นภาพชัดเจน ส่วน ส.ส.ที่อยู่ในคลิป ก็มีทั้ง ส.ส.พรรคเพื่อไทย และพรรคประชาธิปัตย์
       
       ส่วนความคืบหน้าการประชุมร่วมรัฐสภาเพื่อพิจารณาร่างแก้ไขรัฐธรรมนูญมาตรา 291 ในวาระ 2 ซึ่งประชุมมา 6 วันแล้ว และนัดประชุมต่อในวันที่ 24 เม.ย. ปรากฏว่า ประเด็นที่ที่ประชุมห่วงใย ก็คือ การให้รัฐสภาเป็นผู้เลือกสมาชิกสภาร่างรัฐธรรมนูญ(ส.ส.ร.) 22 คน เพราะเกรงว่าเสียงข้างมากจะบล็อกโหวต จน ส.ส.ร.กลายเป็นร่างทรงของรัฐบาล
       
       อย่างไรก็ตาม หลังการพิจารณาร่างแก้ไขรัฐธรรมนูญดำเนินมาเป็นวันที่ 8 (25 เม.ย.) แล้ว และยังไม่มีทีท่าว่าจะได้ข้อยุติ นายสมศักดิ์ เกียรติสุรนนท์ ประธานรัฐสภา จึงเสนอให้พักการประชุม โดยจะประชุมต่ออีกครั้งในวันที่ 30 เม.ย. อย่างไรก็ตาม ภายหลังได้เปลี่ยนวันประชุมใหม่เป็น 1-3 พ.ค.ส่วนการลงมติในวาระ 3 ที่เดิมกำหนดไว้ในวันที่ 8 พ.ค.ต้องเลื่อนออกไป โดยยังไม่มีการกำหนดวันที่แน่นอน
       
       3. พันธมิตรฯ ยื่นหนังสือจี้ “อัยการสูงสุด-กกต.ป.ป.ช.” เอาผิด 416 ส.ส.-ส.ว. ฐานล้มล้าง รธน.!

       เมื่อวันที่ 26 เม.ย. พล.ต.จำลอง ศรีเมือง แกนนำพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย ได้นำทีมแกนนำพันธมิตรฯ เดินทางไปยังสำนักงานอัยการสูงสุด เพื่อยื่นหนังสือคัดค้านการแก้ไขรัฐธรรมนูญ ที่สมาชิกรัฐสภาอยู่ระหว่างประชุมพิจารณาร่างแก้ไขรัฐธรรมนูญ มาตรา 291 ในวาระ 2 เนื่องจากพันธมิตรฯ เห็นว่า การกระทำของสมาชิกรัฐสภาดังกล่าวไม่ใช่การแก้ไขรัฐธรรมนูญ แต่เป็นการฉีกรัฐธรรมนูญหรือล้มล้างรัฐธรรมนูญ เพราะการแก้ไขรัฐธรรมนูญ ต้องแก้ไขเป็นรายมาตรา แต่สิ่งที่สมาชิกรัฐสภากำลังดำเนินการคือการล้มเลิกรัฐธรรมนูญ 2550 เพื่อร่างรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ โดยเอื้อประโยชน์ให้ตนเองหรือพรรคการเมืองด้วยกันเอง ทั้งที่รัฐสภาไม่มีอำนาจและการกระทำดังกล่าวไม่ได้ผ่านความเห็นชอบจากประชาชน ดังนั้นพันธมิตรฯ จึงต้องยื่นหนังสือต่ออัยการสูงสุด เพื่อให้ส่งคำร้องให้ศาลรัฐธรรมนูญสั่งให้นักการเมืองที่เกี่ยวข้องจำนวน 416 คนหยุดการกระทำดังกล่าว ซึ่งหากศาลรัฐธรรมนูญสั่งให้นักการเมืองพรรคใดหยุดการกระทำ อาจนำไปสู่การสั่งยุบพรรค พร้อมเพิกถอนสิทธิเลือกตั้งของหัวหน้าพรรคและกรรมการบริหารพรรคนั้นๆ เป็นเวลา 5 ปี
       
       ทั้งนี้ ระหว่างเดินทางไปยื่นหนังสือต่ออัยการสูงสุด ได้มีประชาชนที่เห็นด้วยกับการคัดค้านการแก้ไขรัฐธรรมนูญครั้งนี้ เดินทางมาร่วมแสดงเจตจำนงกับพันธมิตรฯ ด้วยหลายพันคน
       
       หลังจากยื่นหนังสือถึงอัยการสูงสุดแล้ว พันธมิตรฯ ได้เดินทางต่อไปยังสำนักงานคณะกรรมการการเลือกตั้ง(กกต.) เพื่อขอให้ กกต.เอาผิดนักการเมืองและพรรคการเมืองที่ร่วมกันล้มล้างรัฐธรรมนูญ ด้วยการสั่งยุบพรรคและเพิกถอนสิทธิเลือกตั้ง ส.ส.และ ส.ว.ทั้ง 416 คนดังกล่าว ก่อนเดินทางไปยื่นหนังสือต่อคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ(ป.ป.ช.) ด้วย เนื่องจากเห็นว่าการกระทำของ ส.ส.และ ส.ว.ที่ร่วมกันล้มล้างรัฐธรรมนูญ เป็นการกระทำผิดทุจริตต่อตำแหน่งหน้าที่ จึงขอให้ ป.ป.ช.ดำเนินการและส่งเรื่องให้ศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง เพื่อเอาผิดนักการเมืองทั้ง 416 คนต่อไป
             
           4. ศาลพิพากษาจำคุกตลอดชีวิต มือบึ้มพรรคภูมิใจไทย แต่จำเลยสารภาพ ลดเหลือ 35 ปี!

       เมื่อวันที่ 24 เม.ย. ศาลอาญา ได้นัดอ่านคำพิพากษาคดีที่พนักงานอัยการฝ่ายคดีพิเศษ 1 เป็นโจทก์ยื่นฟ้องนายเอนก สิงขุนทด จำเลยที่ 1 กับพวกรวม 7 คน ประกอบด้วย นายเดชพล พุทธจง จำเลยที่ 2 ,นายกำพล คำคง จำเลยที่ 3 ,นายกอบชัย หรืออ้าย บุญปลอด จำเลยที่ 4 ,นายวริศริยา หรืออ้อ บุญสม จำเลยที่ 5 และนายสุริยา หรืออ้วน ภูมิวงษ์ จำเลยที่ 6 ในความผิดฐานร่วมกันวางระเบิดหน้าพรรคภูมิใจไทย
       
       คดีนี้ อัยการฟ้องว่า เหตุเกิดเมื่อช่วงต้นเดือน มิ.ย.-22 มิ.ย.2553 จำเลยทั้งหมดได้ร่วมกันทำวัตถุระเบิด โดยนายอเนกเป็นผู้เข็นรถผลไม้ที่ซุกซ่อนระเบิดไว้ ผ่านไปทางด้านหลักของอาคารพรรคภูมิใจไทย ซึ่งตั้งอยู่ใกล้ซอยพหลโยธิน 43 แขวงลาดยาว เขตจตุจักร กทม. ก่อนเกิดระเบิดขึ้น เป็นเหตุให้ผนังอาคารพรรคภูมิใจไทยแตกเสียหาย นอกจากนี้แรงระเบิดยังทำให้นายอเนกตาบอดทั้ง 2 ข้าง ทั้งนี้ นายอเนกรับสารภาพ ส่วนจำเลยอื่นให้การปฏิเสธ จึงได้มีการแยกสำนวนพิจารณา
       
       ด้านศาลพิเคราะห์แล้วเห็นว่า นายเอนกรับสารภาพในชั้นพิจารณาและชั้นสอบสวนว่า ได้รับจ้างจากนายเดชพลและนายกำพลให้นำรถเข็นผลไม้ ซึ่งมีถังก๊าซที่ทำเป็นระเบิดมาจอดที่พรรคภูมิใจไทย โดยมีนายเดชพลและนายกำพลคอยสังเกตการณ์และบอกทางให้ แต่เมื่อระเบิดไม่ทำงาน นายกำพลจึงให้นายอเนกกลับไปตรวจสอบระเบิดในรถเข็น โดยใช้มือล้วงเข้าไปเพื่อตรวจสอบวงจรระเบิด แต่เกิดระเบิดขึ้นก่อน
       
       นอกจากนี้ นายเอนก-นายเดชพล และนายกำพล ยังรับสารภาพในชั้นสอบสวนถึงพฤติการณ์และเหตุจูงใจในการวางระเบิดดังกล่าว ศาลจึงเห็นว่ามีน้ำหนักให้รับฟังได้ว่า นายอเนกกับพวกร่วมกันวางระเบิดเพื่อให้เป็นอันตรายต่อชีวิตและทรัพย์สิน จึงพิพากษาให้ลงโทษ 2 กระทงๆ ละ 10 ปี ฐานมีระเบิดไว้ในครอบครองโดยไม่ได้รับอนุญาต พร้อมทั้งปรับ 100 บาท ฐานพกพาอาวุธไปในที่สาธารณะ และให้จำคุกตลอดชีวิต ฐานทำระเบิดให้เกิดระเบิดเป็นอันตรายต่อทรัพย์สินและสถานที่ประชุม ซึ่งเป็นโทษหนักสุดตามมาตรา 222 และ 218 แต่เมื่อนายเอนก จำเลยที่ 1 ให้การรับสารภาพ ศาลจึงเห็นควรลดโทษให้กึ่งหนึ่ง ให้จำคุกรวมทั้งสิ้น 35 ปี และปรับ 50 บาท
       
       5. “สมยศ” นอนคุกต่อ ศาลอาญาไม่อนุญาตปล่อยตัวชั่วคราว ด้านทนาย ร้องศาล รธน.วินิจฉัย ม. 112 ขัด รธน.หรือไม่!

นายสมยศ พฤกษาเกษมสุข แกนนำกลุ่ม 24 มิถุนาฯ เพื่อประชาธิปไตย และบรรณาธิการบริหาร นิตยสาร วอยซ์ ออฟ ทักษิณ จำเลยในคดีหมิ่นสถาบันพระมหากษัตริย์ตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 112

       เมื่อวันที่ 24 เม.ย. นายคารม พลพรกลาง ทนายความของนายสมยศ พฤกษาเกษมสุข แกนนำกลุ่ม 24 มิถุนาฯ เพื่อประชาธิปไตย และบรรณาธิการบริหาร นิตยสาร วอยซ์ ออฟ ทักษิณ จำเลยในคดีหมิ่นสถาบันพระมหากษัตริย์ตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 112 ได้ยื่นคำร้องต่อศาลอาญาขอให้หยุดการพิจารณาคดีไว้ชั่วคราว แล้วส่งข้อข้องใจของตนให้ศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยก่อนว่า บทลงโทษผู้กระทำผิดตามมาตรา 112 นั้นโทษสูงเกินไปหรือไม่ เพราะระบุโทษสูงกว่าความผิดฐานหมิ่นประมาทบุคคลธรรมดาทั่วไป ทั้งยังไม่ให้โอกาสผู้ที่ถูกกล่าวหาว่ากระทำผิดได้พิสูจน์ตัวเองหรือยกเว้นความผิดไว้ได้ นอกจากนี้ยังมีการนำมาตรา 112 ไปเชื่อมโยงและจัดอยู่ในหมวดความมั่นคงแห่งรัฐด้วย จึงอยากให้ศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยว่า ประมวลกฎหมายอาญามาตรา 112 ขัดรัฐธรรมนูญหรือไม่
       
        ทั้งนี้ นายคารมไม่มั่นใจว่าศาลอาญาจะส่งคำร้องขอของตนให้ศาลรัฐธรรมนูญหรือไม่ นายคารมจึงได้ยื่นคำร้องต่อศาลรัฐธรรมนูญด้วยตนเองอีกทางเมื่อวันที่ 27 เม.ย. พร้อมบอกด้วยว่า ผลจากการที่ตนได้ยื่นเรื่องต่อศาลรัฐธรรมนูญ ทำให้ศาลอาญาพิจารณาคดีนายสมยศต่อไปได้ก็จริง แต่จะไม่สามารถมีคำพิพากษาได้ จนกว่าจะทราบผลคำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญก่อน ซึ่งศาลอาญาได้นัดสืบพยานจำเลยนัดแรกคดีนายสมยศในวันที่ 1 พ.ค.นี้
       
        นายคารม ยังเผยด้วยว่า เมื่อวันที่ 27 เม.ย. ตนได้ยื่นคำร้องต่อศาลอาญาเพื่อขอปล่อยตัวนายสมยศชั่วคราว หลังยื่นมาหลายครั้งแต่ศาลไม่อนุญาต โดยคราวนี้ได้ใช้หลักทรัพย์เป็นเงินสดและโฉนดที่ดินมูลค่า 3 ล้านบาท แต่ศาลพิจารณาแล้วมีคำสั่งยกคำร้อง โดยให้เหตุผลว่า ไม่มีเหตุเปลี่ยนแปลงคำสั่งเดิม


ASTVผู้จัดการออนไลน์    29 เมษายน 2555