5.ศาลฎีกา พิพากษาจำคุก 2 ปี จงอาชว์ อดีตอธิบดีกรมเจ้าท่ากับพวก 7 คน คดีทุจริตจัดซื้อเรือขุด!
เมื่อวันที่ 4 พ.ย. ศาลอาญา ได้อ่านคำพิพากษาศาลฎีกาคดีที่พนักงานอัยการฝ่ายคดีพิเศษ 2 เป็นโจทก์ฟ้องนายจงอาชว์ โพธิสุนทร อดีตอธิบดีกรมเจ้าท่า, ร.ต.สัญชัย กุลปรีชา อดีตรองอธิบดีกรมเจ้าท่าฝ่ายปฏิบัติการ, ร.ต.ประเวช รักแผน นักวิชาการขนส่ง 9 ผู้เชี่ยวชาญเฉพาะด้านการเดินเรือ กรมเจ้าท่า, นายอิทธิพล กาญจนกิจ นิติกร 8 สำนักงานเลขานุการกรมเจ้าท่า, นายดนัย ศรีพิทักษ์ นายช่างขุดลอก ฝ่ายแผนงานบำรุงรักษาร่องน้ำชายฝั่งทะเล กรมเจ้าท่า, ร.ต.วิเชฎฐ์ พงษ์ทองเจริญ เจ้าท่าภูมิภาคที่ 5 กรมเจ้าท่า และนายปัญญา ส่งเจริญ เจ้าพนักงานตรวจเรือ 7 ฝ่ายตรวจเรือ สำนักงานเจ้าท่าที่ 2 กรมเจ้าท่า เป็นจำเลยที่ 1-7 ในความผิดฐานร่วมกันเป็นเจ้าพนักงานปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบและโดยทุจริต และร่วมกันเป็นเจ้าพนักงานมีหน้าที่รับรองเอกสารได้รับรองเอกสารอันเป็นเท็จตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 157 และ มาตรา 162
คดีนี้ โจทก์ฟ้องว่า เมื่อวันที่ 30 ก.ย. 2540 ร.ท.วิทย์ วรคุปต์ อธิบดีกรมเจ้าท่าในขณะนั้น ได้จัดทำสัญญาซื้อเรือขุดแบบหัวสว่าน จำนวน 3 ลำ พร้อมเรือพี่เลี้ยง ราคา 49,400,000 ดอลลาร์สหรัฐ หรือประมาณ 2,000 ล้านบาท จากบริษัท เอลลิคอตต์ กำหนดส่งมอบงานภายใน 540 วัน นับจากวันทำสัญญา โดยครบกำหนดสัญญาวันที่ 24 มี.ค.2542 ต่อมาจำเลยที่ 1 ขณะเป็นอธิบดีกรมเจ้าท่า ได้มีคำสั่งแต่งตั้งจำเลยที่ 2-7 เป็นคณะกรรมการตรวจการจ้าง และระหว่างวันที่ 30 ก.ย. 2541-6 ส.ค. 2542 จำเลยทั้ง 7 ร่วมกันกระทำผิดโดยการตรวจรับเครื่องยนต์ขับเครื่องกำเนิดไฟฟ้าจำนวน 3 เครื่อง ทั้งที่ไม่ใช่เครื่องจักรหลักตามข้อกำหนดทางเทคนิคและเงื่อนไขสัญญา นอกจากนี้ พวกจำเลยยังร่วมกันรับรองบันทึกรายงานผลการตรวจรับงาน ลงวันที่ 30 ก.ย.2541 เสนอให้จำเลยที่ 1 อนุมัติให้จ่ายเงินค่าจ้างจำนวน 6,679,817 ดอลลาร์สหรัฐ ส่งผลให้กรมเจ้าท่าได้รับความเสียหาย และเมื่อวันที่ 2 ม.ค. 2544 พวกจำเลยยังร่วมกับบริษัทเอลลิคอตต์แก้ไขสัญญาเงื่อนไขและการชำระเงินจากเดิม ให้ชำระร้อยละ 20 เป็นร้อยละ 9 รวม 3 งวด ทำให้รัฐได้รับความเสียหาย
ซึ่งศาลชั้นต้นพิพากษาเมื่อวันที่ 28 ธ.ค.2549 ให้ยกฟ้องจำเลยทั้งหมด ต่อมา พนักงานอัยการพิเศษฝ่ายคดีพิเศษ 2 ยื่นอุทธรณ์
ขณะที่ศาลอุทธรณ์พิพากษาแก้ว่า จำเลยที่ 1 มีความผิดตามมาตรา 157 ให้จำคุก 2 กระทงๆ ละ 5 ปี รวมจำคุก 10 ปี ส่วนจำเลยที่ 2,3,6,7 มีความผิดตามมาตรา 157 และ 162 ซึ่งเป็นการกระทำกรรมเดียวผิดกฎหมายหลายบท ให้ลงโทษบทหนักสุดตามมาตรา 157 จำคุก 2 กระทงๆ ละ 5 ปี รวมจำคุกคนละ 10 ปี ในความผิดฐานเป็นเจ้าพนักงานปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบ และพิพากษายกฟ้อง จำเลยที่ 4-5 ซึ่งต่อมา จำเลยที่ 1,2,3,6 และ 7 ได้ยื่นฎีกาสู้คดี ขณะที่โจทก์ยื่นฎีกาขอให้ลงโทษจำเลยที่ 4 และ 5
ด้านศาลฎีกาพิจารณาแล้ว มีประเด็นต้องวินิจฉัยว่า การกระทำของจำเลยทั้ง 7 ที่มีส่วนเกี่ยวข้องกับการแก้ไขสัญญาการอนุมัติจ่ายเงินงวดที่ 5 ก่อให้เกิดความเสียหายหรือไม่ เห็นว่า จำเลยที่ 1 ในฐานะอธิบดีกรมเจ้าท่า ได้สั่งการให้จำเลยที่ 2-7 เป็นคณะกรรมการตรวจการจ้างโครงการจัดซื้อเรือขุด ซึ่งในสัญญาโครงการจัดซื้อเรือขุด ระบุแบ่งการส่งมอบออกเป็น 5 งวด โดยงวดที่ 5 เป็นขั้นตอนที่กำหนดให้บริษัทจัดส่งเรือขุดจากสหรัฐฯ มายังประเทศไทย จึงจะได้รับเงินจำนวน 20% ของมูลค่างาน ย่อมแปลได้ว่างานในงวดที่ 5 เป็นงานที่บริษัทผู้ขายจะต้องดำเนินการสงมอบเรือจำนวน 3 ลำ พร้อมส่งเรือพี่เลี้ยงไปให้กรมเจ้าท่าตามสัญญา ซึ่งงานในงวดที่ 5 มีความสำคัญ จำเลยทั้ง 7 จึงมีหน้าที่ดำเนินการให้บริษัทผู้ค้าดำเนินสัญญาให้ถูกต้องครบถ้วนและเคร่งครัด แต่จำเลยที่ 2-7 ได้ตรวจรับงานจากบริษัทผู้ค้าทั้งที่ทราบดีว่า บริษัทไม่สามารถจัดส่งเรือขุดได้ตามกำหนดสัญญา เนื่องจากบริษัทต่อเรือที่สหรัฐฯ แจ้งว่าคนงานจะหยุดต่อเรือในช่วงก่อนที่จะครบกำหนดสัญญาส่งมอบเรือวันที่ 24 มี.ค.2542
แม้จำเลยจะต่อสู้อ้างว่าไม่มีอำนาจแก้ไขสัญญา แต่จำเลยที่ 1 ได้มอบหมายให้จำเลยที่ 2-7 พิจารณางานงวดที่ 5 ถือว่าจำเลยที่ 2-7 มีหน้าที่ในการเสนอความเห็นในเรื่องนี้ ซึ่งสำนักนิติกรรม กรมเจ้าท่าเองก็ได้ระบุว่า จำเลยที่ 2-7 มีความเห็นเสนอให้จำเลยที่ 1 แก้ไขสัญญาการจ่ายเงินในงวดที่ 5 ให้บริษัทผู้ค้าจำนวน 20% โดยแบ่งจ่ายเป็น 3 งวดย่อย ดังนั้นการที่จำเลยที่ 2-7 ตรวจรับงานและเสนอให้จำเลยที่ 1 แก้ไขสัญญา จึงเป็นการเอื้อประโยชน์ให้บริษัทผู้ค้าและเป็นเจ้าพนักงานปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบ
ส่วนนายจงอาชว์ จำเลยที่ 1 ก็ได้แก้ไขเปลี่ยนแปลงสัญญาการจ่ายเงินงวดที่ 5 ให้แก่บริษัทผู้ค้า จึงเป็นการเอื้อประโยชน์ให้กับบริษัทผู้ค้า ไม่ใช่เพื่อประโยชน์ของทางราชการ และแม้บริษัทผู้ค้าจะส่งท่อทุ่นและอุปกรณ์เครื่องจักรอื่นมาให้ก็ไม่เป็นไปตามสัญญา ซึ่งจำเลยที่ 6 เบิกความยอมรับว่า ท่อทุ่นไม่สามารถนำมาใช้ประโยชน์ได้ตามสัญญา ถือว่าเป็นการเอื้อประโยชน์ให้กับบริษัทผู้ค้าด้วย จึงมีความผิดฐานร่วมกันเป็นเจ้าพนักงานปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบและโดยทุจริต ตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 157
อย่างไรก็ตาม ที่จำเลยยื่นฎีกาต่อสู้คดีนั้น ศาลฎีกาเห็นว่าฟังขึ้นบางส่วน มีเหตุให้ปรานีแก้โทษให้เบาลง เห็นควรแก้ไขโทษให้เหมาะสม จึงพิพากษาลงโทษจำเลยที่ 1-7 ฐานเป็นเจ้าพนักงานปฏิบัติหน้าที่มิชอบเพียง 1 กระทง จำคุกคนละ 2 ปี โดยไม่รอลงอาญา
6.ศาลฎีกา พิพากษาแก้จำคุก เสี่ยขาว 3 ปี ไม่รอลงอาญา คดีเพลิงไหม้ซานติก้าผับ!
เมื่อวันที่ 4 พ.ย. ศาลอาญากรุงเทพใต้ได้อ่านคำพิพากษาศาลฎีกา คดีเพลิงไหม้ซานติก้าผับ ที่พนักงานอัยการฝ่ายคดีอาญากรุงเทพใต้ 1 และญาติผู้เสียชีวิต กับผู้ที่ได้รับบาดเจ็บรวม 57 ราย ร่วมกันเป็นโจทก์ยื่นฟ้องนายวิสุข เสร็จสวัสดิ์ หรือเสี่ยขาว กรรมการผู้จัดการบริษัท ไวท์ แอนด์ บราเธอร์ส (2003) จำกัด ผู้บริหารซานติก้าผับ จำเลยที่ 1, นายธวัชชัย ศรีทุมมา ผอ.ฝ่ายปฏิบัติการ จำเลยที่ 2, นายพงษ์เทพ จินดา ผู้จัดการฝ่ายบันเทิง จำเลยที่ 3, นายวุฒิพงศ์ ไวลย์ลิกรี ผู้จัดการฝ่ายการตลาด จำเลยที่ 4, นายสราวุธ อะริยะ นักร้องวงเบิร์น ผู้จุดพลุไฟ จำเลยที่ 5, บริษัท โฟกัสไลท์ ซาวน์ซิสเต็ม จำกัด ซึ่งรับจ้างติดตั้งการทำเอฟเฟกต์ในซานติก้าผับ จำเลยที่ 6 และนายบุญชู เหล่าสีนาท กรรมการผู้มีอำนาจบริษัท โฟกัสไลท์ฯ จำเลยที่ 7 ในความผิดฐานทำให้เกิดเพลิงไหม้เป็นเหตุให้ผู้อื่น ทรัพย์สินผู้อื่นเสียหาย และเป็นอันตรายกับชีวิตผู้อื่น, กระทำการประมาทเป็นเหตุให้ผู้อื่นถึงแก่ความตาย, กระทำการให้ผู้อื่นได้รับอันตรายสาหัส และกระทำการให้ผู้อื่นได้รับอันตรายแก่กายและจิตใจ ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 225, 291, 300, 390 และกระทำผิด พ.ร.บ.สถานบริการ พ.ศ. 2509 ฐานเป็นผู้รับอนุญาตตั้งสถานบริการปล่อยปละละเลยให้บุคคลซึ่งอายุต่ำกว่า 20 ปีเข้าไปในสถานบริการ และปล่อยปละละเลยให้มีการกระทำผิดเกี่ยวกับยาเสพติดในสถานบริการ มาตรา 291
คดีนี้ โจทก์ฟ้องว่า เมื่อคืนวันที่ 31 ธ.ค. 2551 ต่อเนื่องวันที่ 1 ม.ค. 2552 พวกจำเลยได้กระทำการโดยประมาทปราศจากความระมัดระวัง จัดให้มีงานรื่นเริง ให้บริการจำหน่ายอาหาร สุรา เครื่องดื่ม การแสดงดนตรี แสงสีเสียงในโอกาสฉลองเทศกาลวันส่งท้ายปีเก่าต้อนรับปีใหม่ภายในตัวอาคารซานติก้าผับ ย่านเอกมัย โดยอาคารสามารถจุคนได้ไม่เกินจำนวน 500 คน แต่ขณะเกิดเหตุมีลูกค้าเข้าไปใช้บริการเป็นจำนวนมากกว่า 1,000 คน โดยจำเลยที่ 5 ได้จุดพลุไฟที่บริเวณหน้าเวที ซึ่งมีความสูงประมาณ 5 เมตร จนเกิดลูกไฟขึ้นไปชนเพดานเวที ทำให้เกิดเพลิงลุกไหม้ขึ้น เป็นเหตุให้ลูกค้าที่เข้าไปใช้บริการในอาคารถึงแก่ความตาย 67 คน บาดเจ็บสาหัส 32 คน บาดเจ็บอีก 71 คน ซึ่งจำเลยทั้งหมดให้การปฏิเสธ
ทั้งนี้ ศาลชั้นต้นพิพากษาเมื่อวันที่ 20 ก.ย. 2554 ว่า จำเลยที่ 1, 6 และ 7 กระทำโดยประมาทเป็นเหตุให้ผู้อื่นถึงแก่ความตาย และได้รับบาดเจ็บจำนวนมาก เป็นความผิดกรรมเดียวแต่ผิดกฎหมายหลายบท ให้ลงโทษตามมาตรา 291 ที่เป็นบทหนักสุด จำคุกนายวิสุข หรือเสี่ยขาว จำเลยที่ 1 และนายบุญชู เหล่าสีนาท กรรมการผู้มีอำนาจบริษัท โฟกัสไลท์ฯ ซึ่งรับจ้างติดตั้งการทำเอฟเฟกต์ในซานติก้าผับ จำเลยที่ 7 คนละ 3 ปี และปรับบริษัท โฟกัสไลท์ ฯ จำเลยที่ 6 รวม 20,000 บาท โดยให้บริษัท โฟกัสไลท์ฯ จำเลยที่ 6 และนายบุญชู จำเลยที่ 7 ร่วมกันชดใช้โจทก์ที่ได้รับบาดเจ็บสาหัสและเสียชีวิต เป็นเงิน 8.7 ล้านบาท ส่วนจำเลยที่ 2-5 ยกฟ้อง ต่อมาจำเลยที่ 1, 6-7 ยื่นอุทธรณ์ขอให้ศาลยกฟ้อง ขณะที่โจทก์ยื่นอุทธรณ์ในส่วนของนายสราวุธ อะริยะ นักร้องวงเบิร์น ผู้จุดพลุไฟจำเลยที่ 5 ซึ่งศาลชั้นต้นยกฟ้อง ส่วนโจทก์ร่วมได้ยื่นอุทธรณ์ในส่วนของค่าเสียหาย
โดยศาลอุทธรณ์มีคำตัดสินเมื่อวันที่ 22 ต.ค.2556 พิพากษาแก้ให้ยกฟ้องนายวิสุข หรือเสี่ยขาว จำเลยที่ 1 ทุกข้อหา เนื่องจากไม่ใช่ผู้ที่กระทำประมาทโดยตรงที่จะทำให้เกิดเหตุเพลิงไหม้ ส่วนประเด็นที่ให้กลุ่มนักท่องเที่ยวเข้าไปในสถานบันเทิงเกิน 500 คนก็ฟังไม่ได้ ซึ่งหากจำเลยที่ 1 จะมีพฤติการณ์ดังกล่าวก็เป็นเรื่องของการไม่ได้ติดแบบแปลนแผนผังของอาคาร ป้ายบอกทางหนีไฟ และติดไฟฉุกเฉินให้เพียงพอ ที่เป็นข้อปฏิบัติตาม พ.ร.บ.ควบคุมอาคาร พ.ศ. 2522 ซึ่งเหตุเพลิงไหม้ที่เกิดขึ้นนั้น สืบเนื่องจากการจุดเอฟเฟกต์ด้วยไฟฟ้าที่หน้าเวทีที่จำเลยที่ 6-7 ดูแล
สำหรับจำเลยที่ 5 นายสราวุธ นักร้องวงเบิร์น ศาลพิพากษายืนตามศาลชั้นต้นให้ยกฟ้อง เนื่องจากหลักฐานโจทก์ยังมีความขัดแย้งกันว่า จำเลยที่ 5 ได้ถือกระบอกพลุและจุดตามคำเบิกความของพยานโจทก์หรือไม่ นอกจากนี้ ศาลอุทธรณ์ยังพิพากษายืนจำคุกนายบุญชู จำเลยที่ 7 เป็นเวลา 3 ปี และปรับบริษัท โฟกัสไลท์ฯ จำเลยที่ 6 จำนวน 20,000 บาท และให้บริษัท โฟกัสไลท์ จำเลยที่ 6 กับนายบุญชู จำเลยที่ 7 ชำระค่าสินไหมทดแทนแก่โจทก์ร่วมที่ 4-8 รวม 5 ราย เป็นเงิน 8.7 ล้านบาท ต่อมาโจทก์ยื่นฎีกาขอให้พิพากษาลงโทษนายวิสุข หรือเสี่ยขาว จำเลยที่ 1 ส่วน บ.โฟกัสไลท์ฯ จำเลยที่ 6 และนายบุญชู กรรมการ บ.โพกัสไลท์ฯ จำเลยที่ 7 ยื่นฎีกาขอให้ยกฟ้อง
ด้านศาลฎีกาพิจารณาแล้วเห็นว่า เหตุเพลิงไหม้เกิดจากดอกไม้เพลิงของนายบุญชู จำเลยที่ 7 ส่วน บ.โฟกัสไลท์ฯ จำเลยที่ 6 ซึ่งเป็นนิติบุคคลนั้น เมื่อนายบุญชู จำเลยที่ 7 เป็นผู้มีอำนาจกระทำการแทนจำเลยที่ 6 ในการรับจ้างติดตั้งดอกไม้เพลิงดังกล่าว จึงถือว่าเป็นการกระทำของจำเลยที่ 6 ด้วย จึงต้องรับโทษเช่นกัน ฎีกาของจำเลยที่ 6-7 ฟังไม่ขึ้น
สำหรับนายวิสุข หรือเสี่ยขาว จำเลยที่ 1 แม้จะไม่ได้มีชื่อเป็นผู้แทนบริษัท ไวท์ แอนด์ บราเธอร์ส (2003) จำกัด ที่เป็นเจ้าของร้าน แต่เป็นผู้บริหารร้านเกิดเหตุ และการที่จำเลยที่ 1 ไม่ได้จัดให้มีไฟฉุกเฉินของทางหนีไฟ ขณะที่ประตูเข้า-ออกทางด้านหน้าร้าน ซึ่งเป็นประตูหลักเพียงประตูเดียว มีความกว้างเพียง 2 เมตร 30 เซนติเมตร ซึ่งไม่พอที่จะระบายคนเกือบ 1,000 คนให้ทันต่อเหตุการณ์ เมื่อมีผู้ถึงแก่ความตายและได้รับบาดเจ็บจากเหตุเพลิงไหม้ จำเลยที่ 1 จึงได้ชื่อว่ากระทำโดยประมาทด้วย ฎีกาของโจทก์ในส่วนของจำเลยที่ 1 ฟังขึ้น ที่ศาลอุทธรณ์พิพากษายกฟ้องจำเลยที่ 1 มานั้น ศาลฎีกาไม่เห็นพ้องด้วย จึงพิพากษาแก้ ให้จำคุกจำเลยที่ 1 เป็นเวลา 3 ปี โดยไม่รอลงอาญา ฐานกระทำโดยประมาทเป็นเหตุให้ผู้อื่นถึงแก่ความตาย และได้รับบาดเจ็บจำนวนมาก
ส่วนนายบุญชู กรรมการ บ.โพกัสไลท์ฯ จำเลยที่ 7 พิพากษายืนตามศาลอุทธรณ์ให้จำคุก 3 ปี ไม่รอลงอาญาเช่นกัน และปรับ บ.โฟกัสไลท์ฯ จำเลยที่ 6 เป็นเงิน 20,000 บาท และให้บริษัท จำเลยที่ 6 กับนายบุญชู จำเลยที่ 7 ร่วมกันชดใช้โจทก์ร่วมที่ 4-8 ที่ได้รับบาดเจ็บสาหัสและเสียชีวิต เป็นเงิน 5,120,000 บาท สำหรับจำเลยที่ 2-5 โจทก์ไม่ได้ยื่นฎีกา ทำให้คดีถึงที่สุดในชั้นอุทธรณ์ ซึ่งศาลได้พิพากษายกฟ้องจำเลยที่ 2-5
โดย ASTVผู้จัดการออนไลน์ 7 พฤศจิกายน 2558