มองไปถึงระบบการกระจายวัคซีนที่ตอนแรกให้กลุ่มเสี่ยงขึ้นทะเบียนทางแอปฯ หมอพร้อม แต่พอขึ้นทะเบียนไม่เยอะจึงกระจายวัคซีนไปให้คนธรรมดา มองรูปแบบการกระจายวัคซีนอย่างไร ควรฉีดให้คนวัยทำงานหรือผู้สูงอายุ-คนป่วยก่อน
วิน : ผมมีโอกาสเข้าประชุมคณะวัคซีนหลายครั้ง เรื่องใครควรได้ฉีดก่อนก็ตอบยาก มีโมเดลจากงานวิจัยตั้งแต่ ธ.ค. ปีที่แล้วว่า กลุ่มคนอายุน้อยที่ออกมาขับเคลื่อนเศรษฐกิจควรได้ฉีดก่อน แนวทางนี้ขัดกับหลักการหลายประเทศ เขาวิเคราะห์หลายอย่าง เช่น เนื่องจากสภาพสังคมไทยคนแก่อยู่แต่บ้าน คนจำนวนมากอยู่กันเป็นครอบครัวใหญ่ จึงแนะนำว่าเราควรฉีดในคนวัยทำงานและวัยเรียนก่อน ไม่ใช่เรื่องผิดหรือถูกว่าควรฉีดให้คนแก่ก่อนหรือเปล่า แต่มีการเปลี่ยนแปลงนโยบายอยู่ตลอดเวลา บอกว่าให้ฉีดบุคลากรทางการแพทย์ก่อน แต่ยังฉีดไม่ครบก็ไปฉีดอีกกลุ่มแล้ว
เรื่องนี้ไม่ใช่ความผิดจากฝั่งการเมืองเต็มๆ แต่มีเหตุจากระบบที่ไม่ดี แต่ละองค์กรที่มีหน้าที่ฉีดวัคซีนไม่ได้ประสานกันอย่างดี ถ้าจะโทษหมอพร้อมอย่างเดียว ผมรู้มาว่าเขาโดนคนกำหนดนโยบายทั้งเร่งและเปลี่ยนสารพัด ทำระบบมาดีก็เปลี่ยนนโยบายทุกวัน วันนี้จะเร่งให้ทำแบบนี้ วันต่อมาก็เปลี่ยน เขามีปัญหากันจนคนทำชุดแรกออกไปแล้ว คนมาช่วยก็แตกกันไปหมด เป็นเหมือนกระโถนท้องพระโรง คนด่าหมอพร้อมทั้งๆ ที่ผู้กำหนดนโยบายไม่มีความชัดเจนเลย และวัคซีนที่เคยบอกว่าจะมีเข้ามาก็เปลี่ยนแปลงตลอด
ทุกจุดมีปัญหาจึงทำให้สับสน ตัวเลขไม่ชัดเจน ตอนนี้กรมการแพทย์ไปไล่ฉีดคมนาคมที่บางซื่อ โดยไม่สนใจว่าบุคลากรทางการแพทย์ฉีดไปกี่คนแล้ว ผู้สูงอายุฉีดได้เท่าไหร่แล้ว เราจะโทษกรมการแพทย์ก็ไม่เต็มปาก เพราะคนกำหนดนโยบายสั่งให้กรมการแพทย์ไปฉีด มีการกำหนดนโยบายที่ไม่ชัดเจน เปลี่ยนแปลงตลอดเวลา และระบบรองรับก็ไม่ดีพร้อม
เม : ถ้ามองสภาพสังคมไทยว่าผู้สูงอายุอยู่บ้าน จะฉีดให้คนอายุน้อยที่ออกมาทำงานก็อาจสมเหตุสมผล ถ้าวัคซีนที่เรามีสามารถลดการติดเชื้อได้ คนที่ออกไปทำงานจะได้ไม่ติดเชื้อแล้วเอาไปแพร่ให้คนที่บ้าน ผู้สูงอายุที่ติดเชื้อมีโอกาสที่จะอาการหนักจนต้องใส่ท่อช่วยหายใจ อาจต้องใช้ทรัพยากรจากไอซียูหรือต้องนอนโรงพยาบาลนานกว่าคนอายุน้อย และมีโอกาสตายมากกว่า ถ้าเราอยากให้เปิดเศรษฐกิจไวขึ้น อยากให้วัยทำงานออกมาทำงานได้ ต้องเลือกวัคซีนที่ลดการแพร่กระจายเชื้อ แต่ตอนนี้เรามีวัคซีนที่ลดการตายหรืออาการหนัก จึงต้องฉีดให้ผู้สูงอายุมากกว่า
แต่ละท่านน่าจะได้ฉีดวัคซีนแล้วในฐานะบุคลาการทางการแพทย์ มั่นใจในวัคซีนแค่ไหน เพื่อนๆ หมอพูดคุยกันอย่างไรถึงความเสี่ยงของวัคซีน
เม : เรามีวัคซีนแค่ตัวเดียว เลือกได้แค่ว่าจะฉีดหรือไม่ฉีด ซึ่งไม่มีเหตุผลเลยที่เราจะไม่ฉีด เพราะอย่างน้อยต่อให้ประสิทธิภาพไม่สูงมาก แต่ก็ลดการตายหรือลดอาการรุนแรงได้ เป็นคำถามต่อมาว่า ถ้าบุคลาการทางการแพทย์ฉีดซิโนแวคหมดแล้วและมีการระบาดของสายพันธุ์ที่รุนแรงขึ้นอย่างสายพันธุ์อินเดียหรือแอฟริกา บุคลากรทางการแพทย์ก็ควรได้วัคซีนที่มีประสิทธิภาพมากขึ้น เพราะเป็นด่านหน้า เราคงไม่อยากสูญเสียบุคลากรทางการแพทย์ไปจากการทำงาน
ปอนด์ : ผมได้ซิโนแวคสองเข็ม บุคลากรทางการแพทย์รอบตัวได้ซิโนแวคเกือบหมดแล้ว และกำลังจะได้ครบสองเข็มเร็วๆ นี้ ซิโนแวคมีหลักฐานต่ำสุด ถ้าเลือกได้ก็ไม่อยากฉีดซิโนแวค อยากฉีดตัวอื่น แต่เนื่องจากเป็นคนที่มีความเสี่ยงสูงต้องดูแลคนไข้ แล้วมีวัคซีนตัวเดียวจึงต้องฉีด
แล้วถ้าในอนาคตมีวัคซีน mRNA เข้ามา ซึ่งกันเชื้อสายพันธุ์อื่นได้ ผมสงสัยว่าชื่อจะหลุดจากระบบวัคซีนหรือเปล่า จะได้ไปฉีดเพิ่มหรือเปล่า เป็นเรื่องที่สร้างความกังวลให้บุคลากรทางการแพทย์ว่าหากสายพันธุ์อื่นเข้ามาจะทำอย่างไรกัน
วิน : ปกติคนควรมีสิทธิเลือกวัคซีน และต้องรับรู้ถึงความเสี่ยงทั้งหมดเพื่อให้คนตัดสินใจ แต่บุคลากรทางการแพทย์ไม่มีสิทธินั้นเลย ไม่สามารถเลือกชนิดวัคซีนได้ ไม่มีสิทธิบอกว่าขอรอก่อน ซิโนแวคมีรายงานว่ามีกลุ่มก้อนของอาการข้างเคียงที่น่ากลัว มีคนไม่ใช่แค่หลักสิบที่มีอาการข้างเคียงคือหน้าเบี้ยวครึ่งซีก แขนขาอ่อนแรงครึ่งซีก แล้วทำไมเขาไม่หยุดฉีดเพื่อรวบรวมหลักฐานหาสาเหตุที่แน่ชัด บางแห่งแทบจะบังคับกันด้วยซ้ำ ที่โรงพยาบาลแห่งหนึ่ง เพื่อนรุ่นเดียวกับผมมีอาการดังกล่าว ซึ่งแพทย์รังสีอ่านผลตรวจภาพรังสีจากสมอง (MRA) ว่ามีสมองตายเล็กๆ น้อยๆ หลายจุด แต่ยังสรุปได้ไม่แน่ชัด
การไม่มีข้อสรุปเช่นนี้ เราควรหยุดฉีด รวบรวมหลักฐาน และมีการสื่อสารที่ดีก่อน แต่ผู้กำหนดนโยบายไม่เห็นความสำคัญเรื่องนี้และไม่มีมาตรการชัดเจน ไม่มีการสนับสนุนด้านใดเลย บอกแค่ว่าให้ฉีดต่อ การมีวัคซีนตัวเดียวไม่เป็นไร แต่ต้องสื่อสารและคิดว่าพวกเราเป็นคนได้ไหม
เอม : เหตุผลที่พูดกันบ่อยคือ คุณเป็นหมอจะไม่ฉีดได้อย่างไร ถ้าคุณไม่ฉีดแล้วคนอื่นจะไม่ฉีดตามคุณไหม คุณจะเอาความมั่นใจที่ไหนไปบอกประชาชนว่าวัคซีนนี้ฉีดได้ โรงพยาบาลบางแห่งก็มาบอกกันว่าโรงพยาบาลเราฉีดได้ 100 เปอร์เซ็นต์แล้วนะ อีกที่หนึ่งทำไมฉีดได้แค่ 50 เปอร์เซ็นต์ มีเรื่องการบังคับทางสังคมและศีลธรรมคุณธรรมเกี่ยวโยงด้วย พอเลือกไม่ได้ เราก็ต้องทำสิ่งนั้น แต่ถ้ามีวัคซีนให้เลือกได้ เราก็อยากเลือกวัคซีนที่เราเชื่อมั่นและเหมาะกับเรา
สถานการณ์ปัจจุบันตัวเลขเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ ทุกวัน มองว่ารัฐควบคุมสถานการณ์อยู่ไหม เรื่องการรับมือผู้ป่วยมีอะไรน่ากังวลบ้าง
เอม : ตอนนี้เราแทบไม่สามารถบอกได้แล้วว่าคนนี้ติดเชื้อมาจากไหน หมายความว่าโรคกระจายเข้าไปในชุมชนต่างๆ โดยไม่สามารถจับแหล่งที่มาของโรคได้ ถ้าสายพันธุ์ที่มีการกลายพันธุ์หลุดรอดออกมาในสถานการณ์แบบนี้จะยิ่งแย่ไปกันใหญ่
เราต้องเสียบุคลากรทางการแพทย์ในการดูแลผู้ป่วยโควิดมากขึ้น ผู้ป่วยโควิดบางรายปิดบังประวัติ บางรายเราไม่สามารถคัดกรองคนไข้ก่อนเอาไปนอนในหอผู้ป่วยได้ หลายครั้งที่มีเคสผู้ป่วยโควิดอยู่ในหอผู้ป่วยหลายวัน ทำให้เกิดการแพร่เชื้อบนหอผู้ป่วย บุคลากรทางการแพทย์ที่ดูแลผู้ป่วยคนนี้ก็ต้องไปกักตัว 14 วัน ทำให้บุคลากรทางการแพทย์ยิ่งหายไปในวิกฤตตอนนี้
เม : เรามีโอกาสดูแลผู้ป่วยทุกรูปแบบ ทั้งที่ตรวจพบเชื้อไม่มีอาการ พบเชื้อเป็นปอดบวม เหนื่อยจนต้องใส่ท่อช่วยหายใจและเสียชีวิต ถ้าอยู่บ้านแล้วดูตัวเลขกลมๆ จะเห็นว่าตัวเลขผู้ติดเชื้อแต่ละวันกับตัวเลขผู้ที่ได้กลับบ้านจะต่างกันอย่างต่ำหนึ่งพันคน แสดงว่ามีคนนอนโรงพยาบาลเพิ่มขึ้นหนึ่งพันคนทุกวัน โดยที่เตียงทั่วประเทศเรามีเท่าเดิม สาธารณสุขไทยจึงพยายามเปิดโรงพยาบาลสนามเพิ่มขึ้นเพื่อรับผู้ป่วยโควิด เกิดผลกระทบว่าเราสามารถเปิดโรงพยาบาลสนามเพิ่มขึ้นได้ แต่ไม่สามารถผลิตบุคลากรมากขึ้นได้ เป็นไปไม่ได้ที่เราจะเปิดโรงพยาบาลโดยไม่มีหมอ เราก็ต้องเอาหมอที่เคยดูแลส่วนอื่น เช่น เคยดูแลผู้ป่วยที่ไม่ได้ติดโควิด ไปดูแลส่วนนั้น หมอที่เหลือในโรงพยาบาลก็ต้องรับงานเยอะขึ้น
เราทำงานในศูนย์ที่รับส่งต่อผู้ป่วยโควิด จะมีติดต่อมาทุกวัน แต่เตียงเต็มตลอด เพราะแต่ละคนแอดมิดมาแล้วต้องรอครบ 14 วัน จึงได้กลับบ้าน 1 ใน 3 ที่แอดมิดเข้ามามีโอกาสเป็นปอดบวม และ 1 ใน 3 ของกลุ่มนี้จะเป็นปอดบวมรุนแรงจนต้องใส่ท่อช่วยหายใจ คนเหล่านี้จะกินเตียงไปอีกประมาณหนึ่งเดือน ไม่มีทางที่เราจะมีเตียงพอเลย ในสถานการณ์ที่เราพบผู้ติดเชื้อวันละ 3-4 พันคนทุกวัน สุดท้ายมันจะล่มสลาย เพราะบุคลากรไม่พอ
ปอนด์ : ตอนนี้แพทย์แผนกอื่นที่ไม่ใช่หมออายุรกรรมอย่างแพทย์จิตเวช แพทย์ตา ก็ต้องไปช่วยดูคนไข้โควิดแล้ว กระทบไปถึงแผนกที่ไม่ได้เกี่ยวกับโควิดโดยตรง ผู้ป่วยมะเร็งที่ต้องผ่าตัด ก่อนผ่าตัดต้องมีการเตรียมตัว หมออายุรศาสตร์ช่วยดูหัวใจ ปอด จิ้มชิ้นเนื้อมาพิสูจน์ แต่หมออายุรศาสตร์ไปดูโควิดหมด คิวช่วยประเมินก็จะนานขึ้น คิวเข้าอุโมงค์เพื่อดูมะเร็งก็จะนานขึ้น บางทีบุคลากรติดเชื้อก็ต้องไปกักตัว คนก็น้อยลง ขั้นตอนการรักษาคนไข้อื่นๆ ก็จะยืดออกไป
วิน : ขณะที่กราฟคนติดเชื้อและคนตายเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ ซิโนแวคจะช่วยลดอัตราการตายหรือติดเชื้อแล้วอาการรุนแรง กราฟคนติดเชื้อจะยังพุ่งต่อแต่กราฟคนตายไม่เพิ่มตาม ปัญหาหลักของโควิดคือมีคนตายและป่วยรุนแรง ถ้าบรรเทาได้ก็คงดี
ถามว่าสถานการณ์ตอนนี้แย่ขนาดไหน ต้องขออวยวงการสาธารณสุขไทยว่า วงการสาธารณสุขไทยรอดมาได้ตลอดและเป็นที่ชื่นชมของนานาประเทศ เพราะคนทำงานด้านสาธารณสุขทำงานแบบ overworked แพทย์พยาบาลเราทำงานกันอย่างไม่คิดถึงเรื่องส่วนตัว ถ้าคนทำงานเราไม่ทุ่มเททำงานไม่ได้หลับได้นอนขนาดนี้ ในสถานการณ์แบบเดียวกันหากเป็นประเทศอื่นคงเจอคนตายเยอะกว่านี้
ปัญหาที่ผู้ป่วยกำลังล้นมากขึ้นเรื่อยๆ ผู้บริหารกระทรวงหรือรัฐบาลจะช่วยอะไรได้บ้างนอกจากเรื่องการจัดหาวัคซีน
วิน : ตั้งแต่การระบาดระลอกที่แล้วมีนโยบายที่พยายามแก้ไขปัญหา เช่น ระบบยูฮอสเน็ต (UHOSNET) ประสานกำลังทุกโรงพยาบาลในกรุงเทพฯ และปริมณฑล เพื่อช่วยกันรับผู้ป่วย ที่ไหนว่างและมีศักยภาพก็จะดึงผู้ป่วยไปช่วยกันรองรับ ผมมองว่าตอบโจทย์ได้ระดับหนึ่ง จะเห็นว่าไม่ใช่การทำงานแค่ในกระทรวง แต่เป็นการทำงานระหว่างเอกชน โรงเรียนแพทย์ โรงพยาบาลรัฐหลายแห่ง และมีการเปิดเตียงไอซียูเพิ่ม แต่หากเปิดเตียงเพิ่มแล้วไม่เพิ่มบุคลากรก็มีปัญหา
ปอนด์ : เราจะถึงจุดอิ่มตัวขนาดว่าต้องเลือกผู้ป่วยที่จะได้ไปนอนไอซียูไหม?
วิน : ผมเคยเห็นที่โรงพยาบาลศูนย์ในภูมิภาค วอร์ดธรรมดามีคนไข้นอน 60-70 คน มีเครื่องช่วยหายใจแบบที่ไม่ได้ดีมาก ผมรู้สึกว่าสาธารณสุขไทยแข็งแกร่งกว่าที่เราคิด ไม่น่าถึงขั้นว่ามีคนเข้าไม่ถึงเครื่องช่วยหายใจ แต่คงเข้าถึงในแบบไม่ได้มาตรฐานในท้ายที่สุด เราคงไม่แย่เหมือนอินเดียที่เลิกเปิดไอซียูเพิ่มแล้วไปทำระบบจัดการศพแทน คงไม่ถึงจุดนั้นและไม่อยากให้ถึง
เอม : ถามว่าจะถึงจุดนั้นไหมแล้วจะยึดอยู่กับวัคซีนอย่างเดียวอาจจะไม่ถูก มีวิธีอื่นที่ช่วยลดการติดเชื้อซึ่งเป็นนโยบายที่ต้องทำไปด้วยกัน เช่น การรักษาระยะห่าง หลีกเลี่ยงที่ชุมชน ใส่หน้ากาก ล้างมือ เป็นเรื่องที่ผ่านการพิสูจน์ในโรคระบาดหลายรอบแล้วว่ามีส่วนช่วยได้ ถ้าเรายังทำมาตรการเหล่านี้อยู่ก็อาจช่วยให้ไม่ไปถึงจุดนั้นได้
หมอจำนวนมากสยบยอมต่อรัฐแบบอำนาจนิยม ทุกวันนี้คนรอบตัวมีความเปลี่ยนแปลงทางความคิดไหม
วิน : ระบบราชการไทยคือระบบที่คนทำงานไม่ได้ขึ้น คนเลียเก่งขึ้นก่อน แพทย์ที่เป็นนักวิชาการจริงๆ ยึดประโยชน์สาธารณะ เขาจะมีสิทธิได้ขึ้นน้อยกว่าคนที่ไม่ได้ทุ่มเทกับการทำงานมากแต่เอาเวลาไปเลีย เรื่องนี้เป็นมาตั้งนานแล้ว
เรื่องโควิดน่าสนใจว่า ในช่วงวิกฤตสุขภาพ ผู้บริหารระดับสูงในกระทรวงที่ไม่ใช่สายการเมืองจะมีอำนาจเท่ากับรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข ถ้าเป็นไปตามที่คาดหวังไว้จะมีการคานอำนาจระหว่างนักการเมืองกับแพทย์ แต่ก็ไปตกม้าตายว่าระบบประเทศไทยไม่เอื้อ คนที่เลือกเขาขึ้นมาสู่ตำแหน่งก็ดันเป็นรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุขเอง เลยไม่มีการคานอำนาจกันเลย ไม่แปลกที่ประชาชนจะรู้สึกว่าแพทย์ที่เป็นผู้บริหารมีแนวโน้มน้อยมากที่จะคิดแบบแพทย์ที่ทำเพื่อประโยชน์สาธารณะแล้วคานอำนาจกับนักการเมือง
มีความเข้าใจผิดว่าแพทย์บางท่านโดนการเมืองยุยงไปหมด คนอาจคิดว่าแพทย์จะโดนอำนาจนักการเมืองมาพัวพันจนไม่มีทางพูดความจริงได้เลย แต่อยากแย้งว่าการอ่านงานวิจัยโดยไม่สนว่าใครเป็นผู้วิจัยสามารถใช้ประเด็นเชิงวิชาการถกเถียงกันได้อยู่แล้ว แค่เราปิดชื่อคนทำวิจัยหรือชื่อคนที่แชร์ข้อมูลจะทำให้เราเปิดใจและไม่มีอคติได้ เรื่องนี้มีความเข้าใจผิดจนคนรู้สึกว่าไม่รู้จะเชื่อใครแล้ว
ปอนด์ : ในโซเชียลมีเดียเราอาจวิจารณ์กันเต็มที่ แต่คนที่ออกสื่อจริงๆ คือผู้ใหญ่ทั้งนั้น ไม่เคยมีเวทีให้หมอที่ไม่ใช่ผู้ใหญ่ไปพูดแล้วจะไม่มีผลกระทบตามมาจนทำให้เขารู้สึกปลอดภัยได้เลย
ในคลับเฮาส์เคยมีวงคุยกันเรื่องโรงเรียนแพทย์ใหญ่ๆ หลายแห่ง การเรียนแพทย์มีความเป็นอำนาจนิยมสูง เราอาจพยายามบอกกันว่า แพทย์คิดตามหลักเหตุผล ใช้วิทยาศาสตร์เป็นหลัก แต่วัฒนธรรมโรงเรียนแพทย์บางแห่งไม่สนับสนุนให้เถียงผู้ใหญ่ เราไม่สามารถเห็นแย้งอาจารย์ผู้ใหญ่ได้โดยไม่มีผลกระทบตามมา เพราะเรียนจบไปใช้ทุนข้างนอกแล้วต้องเรียนต่อเฉพาะทาง ก็ต้องใช้จดหมายแนะนำจากอาจารย์ ถ้าอาจารย์ไม่ชอบเรา เขาอาจไม่เขียนให้หรือไปติดต่อโรงเรียนปลายทางบอกว่าไม่ให้รับ เราก็จะหมดอนาคต แม้จะเป็นหมอที่ใช้ทุนแล้วแต่ถ้าทำให้อาจารย์ไม่ชอบก็มีสิทธิโดนแบบนี้ได้ ฉะนั้น หมอหน้างาน หมอจบใหม่ที่ยังไม่ได้เรียนเฉพาะทาง หรือหมอที่กำลังฝึกเฉพาะทางอยู่ไม่มีอะไรมาคานอำนาจอาจารย์ผู้ใหญ่ได้เลย
ไม่มีแรงจูงใจให้หมอหน้างานมาพูดความจริงในมุมมองของเขา ทั้งที่จริงหมอเหล่านี้คือกำลังหลัก แต่ความคิดเห็นจะออกมาจากหมอผู้ใหญ่ทั้งนั้น
ในฐานะแพทย์ที่อยู่หน้างานหรือปฏิบัติงานในส่วนอื่นๆ เรื่องไหนที่ต้อง ทน มากที่สุด
เม : สิ่งที่ต้องใช้ความอดทนในการทำงานมากที่สุดคือนโยบายที่สร้างความสับสน ทำให้บุคลากรหน้างานไม่รู้ว่าเราต้องสู้ศึกนี้ไปอีกนานเท่าไหร่ นอกจากเราต้องเอาตัวเองไปเสี่ยงแล้ว เราอาจเสี่ยงพาเชื้อกลับบ้าน เราต้องทำงานหนักขึ้นโดยไม่ได้ค่าตอบแทน นโยบายเรื่องวัคซีนก็ทำให้เราไม่รู้ว่าจะควบคุมโรคได้เมื่อไหร่ ถ้าข้างบนมีความชัดเจนเรื่องนโยบายวัคซีน สามารถหาวัคซีนได้ตามที่กำหนด หรือถ้าหาไม่ได้ก็ต้องยอมรับปัญหาอย่างตรงไปตรงมา เพื่อให้คนหน้างานรู้ว่าข้างบนรับทราบปัญหาแล้ว ก็น่าจะทำให้เรามีกำลังใจในการทำงานต่อไปได้
ปอนด์ : ผมรู้สึกว่าตัวเองถูกทรยศโดยวิชาการแพทย์ อาจารย์บางท่านเคยสอนมาว่าต้องคิดอย่างไร จะอ่านหลักฐานและวิเคราะห์อย่างไร แต่ถึงเวลาจริงเขากลับไม่ตรงไปตรงมา พูดแบบไม่ครบ ซึ่งขัดกับสิ่งที่เราเรียนมา ทำให้แม้แต่ตัวผมซึ่งเป็นบุคลากรทางการแพทย์ซึ่งมีหน้าที่ดูแลคนไข้ยังไม่สามารถเชื่ออย่างสนิทใจต่อตัวอาจารย์ได้เลย แล้วจะให้ประชาชนเชื่อมั่นได้อย่างไร กลายเป็นภาวะวิกฤตความเชื่อใจ
วิน : ผมอึดอัดใจที่งานวิชาการอะไรดันขึ้นไปก็แพ้การเมืองหมดเลย
เอม : คนเป็นหมอถูกฝึกมาให้ใช้ปัจจัยหลายอย่างในการตีความวิเคราะห์ข้อมูลต่างๆ ดูว่าในโลกแห่งความเป็นจริงใช้ได้หรือเปล่า ในงานการศึกษานี้มีข้อดีหรือข้อเสียอย่างไร แต่บางครั้งพอคนมีอำนาจมีปากมีเสียงมีโอกาสพูดออกไป เขาดันพูดสิ่งที่ไม่จริง ไม่ถูกต้องตามหลักวิชา พูดสนับสนุนฝ่ายอำนาจ สิ่งที่เขาพูดมีทั้งเรื่องจริงและเรื่องที่ตรงข้ามกับความจริง มีการปั้นเสกข้อมูลขึ้นเอง คนจำนวนมากก็คงไม่มีเวลามานั่งอ่านรายงานการศึกษาตัวเต็ม
เราต้องเปิดให้มีการโต้เถียงกันได้อย่างเสรี ให้หมอต่างๆ มีโอกาสพูด มีโอกาสบอกว่าตัวนี้มีข้อดีหรือข้อเสียอย่างไร จะทำให้ประชาชนเห็นว่าเราไม่ได้รับข้อมูลฝั่งเดียว แต่เป็นข้อมูลที่รอบด้าน แล้วเขาจะมีความเชื่อมั่นในเรื่องการรักษาและการเลือกวัคซีน ตอนนี้มีหลายคนพยายามทำแบบนั้น แต่สุดท้ายก็ถูกอำนาจกดลงมาให้ไม่สามารถแสดงคิดเห็นของตัวเองได้เต็มที่ ตอนนี้เราจึงเห็นความเห็นเกี่ยวกับวัคซีนด้านเดียวเกือบทั้งหมดที่กระจายอยู่ในสังคม และมีเรื่องซุบซิบต่างๆ โดยไม่มีใครยืนยันได้ว่าเป็นเรื่องจริงหรือไม่ สุดท้ายส่งผลให้ไม่มีใครกล้าฉีดวัคซีน
ปัจจัยหลักของการฉีดวัคซีน อาจไม่ได้อยู่ที่ความจริงหรือความไม่จริงอย่างเดียว แต่เชื่อมโยงกับความเชื่อมั่นของคนต่อการบริหารจัดการวัคซีนและองค์ความรู้ที่เขารับไป ถ้าแก้ไขเรื่องนี้ไม่ได้ก็ไม่มีวันทำให้เกิดภูมิคุ้มกันหมู่ แล้วทำให้เศรษฐกิจสังคมกลับมาเป็นแบบปกติได้
เม : อยากให้แพทย์รับใช้และซื่อตรงต่อข้อมูลทางวิชาการ จริงใจ ไม่ปกปิด โปร่งใสต่อคนไข้ ไม่พยายามเชียร์ฝั่งใดฝั่งหนึ่งมากจนเกินไปและพูดในสิ่งที่เป็นประโยชน์และความจริงให้มากที่สุด
วจนา วรรลยางกูร 3 Jun 2021
https://www.the101.world/mor-mai-thon-interview/