1. รธน.ชั่วคราวคลอดแล้ว พบ มาตรา 44 ให้อำนาจ คสช.ล้นฟ้า สามารถกลับคำพิพากษาศาลได้ ขณะที่หลายฝ่ายข้องใจ!
เมื่อวันที่ 22 ก.ค. พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ได้เสด็จออก ณ พระตำหนักเปี่ยมสุข วังไกลกังวล อ.หัวหิน จ.ประจวบคีรีขันธ์ พระราชทานพระบรมราชวโรกาสให้ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ผู้บัญชาการทหารบก และหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ(คสช.) เฝ้าทูลละอองธุลีพระบาทรับพระราชทานรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย(ฉบับชั่วคราว) พ.ศ.2557 ที่ พล.อ.ประยุทธ์ ทูลเกล้าฯ ก่อนหน้านี้ และพระองค์ทรงลงพระปรมาภิไธยแล้ว
สำหรับเนื้อหาในรัฐธรรมนูญดังกล่าว ที่เด่นๆ ได้แก่ มาตรา 35 ที่มีการวางกรอบว่า คณะกรรมาธิการยกร่างรัฐธรรมนูญต้องจัดทำรัฐธรรมนูญให้มีเนื้อหาครอบคลุมเรื่องต่างๆ 10 ข้อ เช่น มีกลไกป้องกันและตรวจสอบไม่ให้ผู้ที่เคยต้องคำพิพากษาหรือคำสั่งว่าทุจริตหรือประพฤติมิชอบ หรือเคยทำให้การเลือกตั้งไม่สุจริตหรือเที่ยงธรรม เข้าดำรงตำแหน่งทางการเมือง ,ป้องกันการบริหารที่มุ่งสร้างคะแนนนิยม ที่อาจก่อความเสียหายในระยะยาว และให้พิจารณาความจำเป็นและความคุ้มค่าที่ต้องมีองค์กรตามรัฐธรรมนูญ
ขณะที่มาตรา 44 ซึ่งถูกหลายฝ่ายตั้งคำถามอย่างกว้างขวาง เพราะให้อำนาจหัวหน้า คสช.อย่างเบ็ดเสร็จเด็ดขาด ระบุว่า กรณีที่มีความจำเป็นเพื่อประโยชน์ในการปฏิรูป การส่งเสริมความสามัคคีและความสมานฉันท์ของคนในชาติ หรือเพื่อป้องกัน ระงับ หรือปราบปรามการกระทำที่เป็นการบ่อนทำลายความสงบเรียบร้อยหรือความมั่นคงของชาติ ราชบัลลังก์ เศรษฐกิจของประเทศ หรือราชการแผ่นดิน ไม่ว่าจะเกิดขึ้นภายในหรือภายนอกราชอาณาจักร ให้หัวหน้า คสช.มีอำนาจสั่งระงับยับยั้งหรือกระทำการใดๆ ไม่ว่าการกระทำนั้นจะมีผลบังคับในทางนิติบัญญัติ บริหาร หรือตุลาการ และให้ถือว่าคำสั่งหรือการกระทำหรือการปฏิบัติตามคำสั่งดังกล่าว เป็นคำสั่งหรือการกระทำหรือการปฏิบัติที่ชอบด้วยกฎหมายและรัฐธรรมนูญนี้และเป็นที่สุด โดยหลังจากดำเนินการแล้ว ให้รายงานให้ประธานสภานิติบัญญัติแห่งชาติและนายกรัฐมนตรีทราบโดยเร็ว
สำหรับผู้ที่ตั้งคำถามพร้อมแสดงความเป็นห่วงเนื้อหามาตรา 44 ได้แก่ นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ ซึ่งได้โพสต์ผ่านเฟซบุ๊ก โดยตั้งข้อสังเกตว่า มาตรา 44 ให้อำนาจหัวหน้า คสช.และ คสช.เป็นพิเศษ อย่างที่ไม่เคยปรากฏมาก่อน ซึ่งปกติการตราธรรมนูญการปกครองชั่วคราวจะเป็นการส่งมอบอำนาจรัฏฐาธิปัตย์ที่คณะรัฐประหารใช้ กลับเข้าสู่การใช้อำนาจอธิปไตยโดยพระมหากษัตริย์ ผ่านสภานิติบัญญัติ คณะรัฐมนตรี และศาล โดยจะมีการคงอำนาจไว้อยู่บ้างเพื่อแก้ไขสถานการณ์ที่กระทบต่อความมั่นคง แต่อำนาจพิเศษในมาตรา 44 ครั้งนี้ เป็นของหัวหน้า คสช.โดยความเห็นชอบของ คสช. และไม่เกี่ยวข้องกับนายกรัฐมนตรี นอกจากนี้มาตรา 44 ยังบัญญัติไว้ชัดแจ้งว่า การใช้อำนาจนี้อาจมีผลบังคับในทางนิติบัญญัติและทางตุลาการได้ โดยไม่มีกระบวนการจะโต้แย้งหรือตรวจสอบ นั่นหมายถึงสามารถออกกฎหมายหรือกลับคำพิพากษาได้ ไม่เท่านั้นขอบเขตของการใช้มาตรา 44 ยังไม่ได้จำกัดอยู่เฉพาะการป้องกัน ระงับ หรือปราบปรามการกระทำที่เกี่ยวข้องกับความมั่นคงเท่านั้น แต่สามารถใช้เหตุผลว่าเพื่อประโยชน์ในการปฏิรูปหรือส่งเสริมความสมานฉันท์ของคนในชาติได้ด้วย มาตรา 44 จึงอาจถูกมองได้ว่า ไม่สอดคล้องกับเจตนารมณ์ของมาตรา 3 (บัญญัติว่า อำนาจอธิปไตยเป็นของปวงชนชาวไทย พระมหากษัตริย์ผู้ทรงเป็นประมุขทรงใช้อำนาจนั้นทางสภานิติบัญญัติแห่งชาติ คณะรัฐมนตรี และศาล)
ด้าน คสช.ได้เปิดแถลงข่าวความเป็นมาและรายละเอียดของรัฐธรรมนูญฉบับชั่วคราวเมื่อวันที่ 23 ก.ค. โดยพรเพชร วิชิตชลชัย ที่ปรึกษาหัวหน้าคณะ คสช.ยืนยันว่า แม้จะเป็นรัฐธรรมนูญฉบับชั่วคราว แต่บ้านเมืองจะมีหลักกติกาที่แน่นอนและมีความเป็นนิติรัฐ
ขณะที่นายวิษณุ เครืองาม ที่ปรึกษา คสช. บอกว่า รัฐธรรมนูญชั่วคราวฉบับนี้ ซึ่งเป็นฉบับที่ 19 จำเป็นต้องวางหลักการบางอย่างให้เข้มงวด กวดขัน ยุ่งยาก และว่า รัฐธรรมนูญฉบับนี้จะเป็นต้นทางของแม่น้ำทั้ง 5 สาย สายที่ 1 คือการเกิด สนช.(สภานิติบัญญัติแห่งชาติ) เหมือนสภานิติบัญญัติในอดีต มีสมาชิกไม่เกิน 220 คน พระมหากษัตริย์จะแต่งตั้งขึ้นตามคำแนะนำของ คสช. จะไม่มีการสมัคร นายวิษณุ บอกด้วยว่า รัฐธรรมนูญฉบับนี้ยาวกว่าในอดีต หากเกิดปัญหาขึ้น จะให้ปรึกษาศาลรัฐธรรมนูญก่อน หากไม่มีข้อใดอยู่ในรัฐธรรมนูญ ให้ดำเนินการตามประเพณีการปกครองที่ใช้กันมา เมื่อใดเห็นว่าธรรมนูญชั่วคราวมีปัญหา สามารถแก้ไขเพิ่มเติมได้ในอนาคต สำหรับการแต่งตั้งถอดถอนนายกฯ อยู่ที่ สนช. การควบคุมการบริหารราชการแผ่นดิน ให้ตั้งกระทู้ถามนายกฯ ได้ อภิปรายได้ แต่ไม่สามารถลงมติได้
สำหรับแม่น้ำสายที่ 2 คือคณะรัฐมนตรี(ครม.) มี 35 คน รวมนายกฯ ด้วย เป็น 36 คน ซึ่งจะเป็นข้าราชการหรือรัฐวิสาหกิจก็ได้ เปิดโอกาสให้มากที่สุด แม่น้ำสายที่ 3 การแต่งตั้งสภาปฏิรูปแห่งชาติ(สปช.) มีสมาชิกไม่เกิน 250 คน สรรหาจากจังหวัดต่างๆ 77 จังหวัด แม่น้ำสายที่ 4 จะมีคณะกรรมการสรรหาสมาชิกสภาปฏิรูปฯ สรรหาผู้มีความสามารถ เลือกมาจังหวัดละ 5 คน ส่งให้หัวหน้า คสช.พิจารณาเหลือ 1 คน 77 จังหวัด 77 คน ส่วนที่เหลือสรรหาอีก 173 คนจากทั่วประเทศ โดยห้ามสมัครเอง ต้องมีองค์กรนิติบุคคลหรือสถาบันการศึกษาเป็นผู้เสนอชื่อเข้ามาองค์กรละ 2 คน แบ่งเป็น 11 ด้าน กรรมการจะสรรหาไม่เกินด้านละ 50 คน เพื่อไปรวมกับ 77 คนจาก 77 จังหวัด รวมเป็น 250 คน ทั้งนี้ ผู้ที่จะเป็น สปช.ไม่ได้มีข้อห้ามว่าห้ามเป็นกรรมการในพรรคการเมืองแต่อย่างใด และไม่จำกัดว่าจะมาจากอาชีพไหน
ส่วนมาตรา 44 นั้น นายวิษณุ ชี้แจงว่า เป็นอำนาจพิเศษของ คสช.กรณีจำเป็น โดยเป็นการใช้อย่างสร้างสรรค์เท่านั้น ไม่ได้ใช้อำนาจพร่ำเพรื่อ ต้องทำเฉพาะสิ่งที่เป็นประโยชน์ต่อประเทศชาติ สำหรับแม่น้ำสายที่ 5 คือ คสช. รัฐธรรมนูญกำหนดให้ คสช.ยังคงอยู่ต่อไป เพียงแต่อาจเพิ่มจำนวนจากที่มีอยู่ในปัจจุบัน 6-7 คน เป็นไม่เกิน 15 คน ขณะที่อำนาจหน้าที่ของ คสช.มีแค่ 1.เสนอแนะให้รัฐมนตรีพิจารณาปฏิบัติในเรื่องใด ซึ่งคณะรัฐมนตรีจะไม่ทำก็ได้ 2.คสช.เชิญคณะรัฐมนตรี(ครม.) ประชุมร่วมกัน เพื่อหารือปัญหาสำคัญของประเทศ และว่า รัฐธรรมนูญฉบับชั่วคราวไม่ได้กำหนดให้ คสช.มีอำนาจปลดนายกฯ หรือรัฐมนตรีได้ดังที่มีการร่ำลือกัน รวมทั้งไม่ได้กำหนดให้ คสช.เป็นพี่เลี้ยงหรือเปลือกหอยให้ ครม.แต่อย่างใด
นายวิษณุ ยังพูดถึงการดำรงอยู่ของแม่น้ำทั้ง 5 สายด้วยว่า สนช.จะอยู่จนมีการเลือกตั้ง ส.ส.สมัยหน้า ,ครม.จะอยู่จนกว่ามี ครม.ชุดใหม่เข้ามา สำหรับรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ ฉบับที่ 20 จะมาเมื่อใด มาเมื่อได้รับการลงพระปรมาภิไธยแล้ว ส่วน คสช.จะอยู่ถึงเมื่อใด เมื่อมีการประกาศใช้รัฐธรรมนูญใหม่ ซึ่งเบื้องต้นคาดว่าอยู่ภายในระยะเวลา 1 ปี บวกลบ
เป็นที่น่าสังเกตว่า กระแสวิพากษ์วิจารณ์มาตรา 44 ของรัฐธรรมนูญฉบับชั่วคราวยังคงมีอย่างต่อเนื่อง โดยนายวีระกานต์ มุสิกพงศ์ คณะกรรมการกิจการพรรคเพื่อไทย และอดีตประธานกลุ่มแนวร่วมประชาธิปไตยต่อต้านเผด็จการแห่งชาติ(นปช.) ชี้ว่า การมีอำนาจตามมาตรา 44 ผิดหลักการอย่างยิ่ง เพราะเป็นอำนาจที่ไม่มีการตรวจสอบ เป็นอันตราย ดังนั้นผู้ที่ใช้อำนาจนี้ต้องรู้จักประมาณตนอย่างยิ่ง
ด้าน พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา หัวหน้า คสช.กล่าวในรายการ คืนความสุขให้คนในชาติ ทางโทรทัศน์รวมการเฉพาะกิจแห่งประเทศไทยเมื่อคืนวันที่ 25 ก.ค. โดยยืนยันว่า เรื่องรัฐธรรมนูญชั่วคราว จำเป็นต้องกำหนดอำนาจหน้าที่แต่ละฝ่ายให้ชัดเจน และว่า ตลอดเวลา 2 เดือนที่ผ่านมา คสช.ได้พยายามแก้ปัญหาทุกอย่างด้วยความรวดเร็ว ไม่ได้มุ่งใช้อำนาจในการทำร้ายใคร แต่ใช้อำนาจในทางสร้างสรรค์ความสงบสุขให้กับประชาชนและชาติบ้านเมือง ซึ่งคงมีทั้งผู้ที่ถูกใจและไม่ถูกใจบ้าง
สำหรับความเคลื่อนไหวของ น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร อดีตนายกฯ หลัง คสช.อนุญาตให้เดินทางไปต่างประเทศระหว่างวันที่ 20 ก.ค.-10 ส.ค.ตามที่ น.ส.ยิ่งลักษณ์ร้องขอ ปรากฏว่า เมื่อคืนวันที่ 23 ก.ค. น.ส.ยิ่งลักษณ์ ได้เดินทางไปกรุงปารีส ประเทศฝรั่งเศส พร้อมกับ ด.ช.ศุภเสข อมรฉัตร หรือน้องไปป์ บุตรชาย และผู้ติดตามอีกจำนวนหนึ่ง เพื่อไปฉลองวันเกิด พ.ต.ท.ทักษิณในวันที่ 26 ก.ค. อย่างไรก็ตาม เป็นที่น่าสังเกตว่า การเดินทางครั้งนี้ น.ส.ยิ่งลักษณ์ ขนกระเป๋าเดินทางไปด้วยมากถึง 15 ใบ ท่ามกลางความสงสัยของหลายฝ่ายว่า น.ส.ยิ่งลักษณ์ไปแล้วจะกลับมาหรือไม่ หรือจะอยู่ยาวเพื่อหนีคดีที่คณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ(ป.ป.ช.) ชี้มูลความผิดคดีทุจริตโครงการรับจำนำข้าวเมื่อเร็วๆ นี้
2. คสช.เตือน ผู้จัดการสุดสัปดาห์ อ้างเผยแพร่ข้อมูลเท็จ แต่ไม่ยอมระบุเท็จตรงไหน พร้อมสั่งองค์กรสื่อสอบด่วน!
ตามที่คณะรักษาความสงบแห่งชาติ(คสช.) ได้ออกประกาศฉบับที่ 97/2557 เมื่อวันที่ 18 ก.ค. เรื่อง การให้ความร่วมมือต่อการปฏิบัติงานของ คสช.และการเผยแพร่ข้อมูลข่าวสารต่อสาธารณะ โดยห้ามสื่อมวลชนทุกแขนงเชิญนักวิชาการหรือผู้ที่เคยเป็นข้าราชการ รวมทั้งผู้ที่เคยปฏิบัติงานในศาลและกระบวนการยุติธรรมหรือองค์กรอิสระ มาให้สัมภาษณ์หรือแสดงความคิดเห็นในลักษณะที่อาจก่อให้เกิดหรือขยายความขัดแย้ง บิดเบือน และสร้างความสับสนให้สังคม รวมทั้งอาจนำไปสู่ความรุนแรง นอกจากนี้ยังกำหนดให้สื่อมวลชนทุกแขนงมีหน้าที่เผยแพร่ข้อมูลข่าวสารตามที่ได้รับแจ้งจาก คสช.และห้ามเสนอข้อความอันเป็นเท็จ หรือก่อให้เกิดความสับสน ยั่วยุให้เกิดความขัดแย้งหรือสร้างความแตกแยก หรือส่อไปในทางหมิ่นประมาทบุคคลอื่น และห้ามวิพากษ์วิจารณ์การปฏิบัติงานของ คสช. เจ้าหน้าที่ของ คสช.และบุคคลที่เกี่ยวข้อง หากผู้ใดฝ่าฝืน ให้ระงับการจำหน่าย จ่าย แจก หรือเผยแพร่สื่อสิ่งพิมพ์หรือการออกอากาศของรายการดังกล่าวทันที และให้พนักงานเจ้าหน้าที่ที่กำหนดความผิดฐานนั้นดำเนินการตามกฎหมาย
ปรากฏว่า หลังจากนั้น 1 วัน(19 ก.ค.) นายประดิษฐ์ เรืองดิษฐ์ นายกสมาคมนักข่าวนักหนังสือพิมพ์แห่งประเทศไทย ได้หารือกับองค์กรวิชาชีพสื่อ พร้อมแสดงความกังวล และห่วงใยเนื้อหาในประกาศดังกล่าว เนื่องจากอาจกระทบต่อสิทธิการรับรู้ข้อมูลข่าวสารของประชาชน และอาจเกิดความไม่เข้าใจวิธีการทำงานและการนำเสนอข่าวสารของสื่อมวลชน พร้อมย้ำ การนำเสนอข่าวสารของสื่อมวลชนต้องยืนอยู่บนหลักการ คือเสนอข่าวสารโดยยึดถือข้อเท็จจริง ความถูกต้องแม่นยำ และครบถ้วน หากสื่อมวลชนใดกระทำผิดหน้าที่นี้ คสช.ก็สามารถสั่งการให้มีการดำเนินการหรือใช้กฎหมายปกติที่มีอยู่จัดการได้อยู่แล้ว สมาคมฯ ห่วงว่า การให้บุคคลมีอำนาจอย่างกว้างขวางในการลิดรอนสิทธิเสรีภาพการรับรู้ข้อมูลข่าวสาร อาจส่งผลให้บุคคลใช้อำนาจเกินกว่าเหตุ และหากไม่มีกระบวนการตรวจสอบการใช้อำนาจ จะเกิดผลเสียมากกว่า
เป็นที่น่าสังเกตว่า หลังสมาคมสื่อออกมาแสดงความห่วงกังวลเนื้อหาในประกาศฉบับที่ 97 ปรากฏว่า 2 วันต่อมา(21 ก.ค.) คสช.ได้มอบหมายให้ พล.อ.สุรศักดิ์ กาญจนรัตน์ ปลัดกระทรวงกลาโหม เชิญ 4 องค์กรวิชาชีพสื่อมาพูดคุย ประกอบด้วย สมาคมนักข่าวนักหนังสือพิมพ์แห่งประเทศไทย ,สมาคมนักข่าววิทยุและโทรทัศน์ไทย ,สภาการหนังสือพิมพ์แห่งชาติ และสภาวิชาชีพข่าววิทยุโทรทัศน์แห่งประเทศไทย ทั้งนี้ หลังหารือ นายประดิษฐ์ เรืองดิษฐ์ นายกสมาคมนักข่าวนักหนังสือพิมพ์แห่งประเทศไทย เผยว่า ตัวแทนของ 4 สมาคม เป็นห่วงประกาศฉบับที่ 97 ของ คสช. โดยเฉพาะข้อ 5 ที่ระบุให้เจ้าหน้าที่มีอำนาจสั่งงดหรือระงับ การจำหน่าย จ่ายแจกสื่อสิ่งพิมพ์ และการออกอากาศของสื่อได้ หากพบว่ามีความผิด และข้อ 3.3 ที่ห้ามสื่อวิพากษณ์วิจารณ์การทำงานของ คสช. และห้ามนำนักวิชาการมาแสดงความเห็น ซึ่งก่อให้เกิดความแตกแยก โดยทางสมาคมฯ เห็นตรงกันว่า ควรมีการปรับปรุงข้อความในคำสั่ง หรือยกเลิกคำสั่งดังกล่าว ซึ่งหลังการพูดคุย มีสัญญาณที่ดี เพราะปลัดกระทรวงกลาโหมยืนยันจะนำข้อเสนอที่มีการหารือกันรายงานต่อหัวหน้า คสช.โดยเร็ว
จากนั้น คืนวันเดียวกัน(21 ก.ค.) คสช.ได้ออกประกาศฉบับที่ 103/2557 เรื่อง แก้ไขเพิ่มเติมประกาศ คสช.ฉบับที่ 97/2557 โดยยอมผ่อนปรนมาตรการคุมสื่อลง 2 กรณี คือ 1.ให้ยกเลิกข้อความที่กำหนดห้ามวิพากษ์วิจารณ์การปฏิบัติงานของ คสช. เจ้าหน้าที่ คสช.และบุคคลที่เกี่ยวข้อง แล้วเปลี่ยนเป็น ห้ามวิพากษ์วิจารณ์การปฏิบัติงานของ คสช.โดยมีเจตนาไม่สุจริต เพื่อทำลายความน่าเชื่อถือของ คสช.ด้วยข้อมูลอันเป็นเท็จ นอกจากนี้ยังให้ยกเลิกข้อความที่กำหนดให้ระงับการจำหน่าย จ่ายแจกหรือเผยแพร่สื่อสิ่งพิมพ์หรือการออกอากาศรายการที่ไม่ฏิบัติตามคำสั่งดังกล่าวของ คสช.ทันที และให้เจ้าหน้าที่ดำเนินการตามกฎหมาย โดยเปลี่ยนเป็น เจ้าหน้าที่อาจส่งเรื่องให้องค์กรวิชาชีพสื่อที่ผู้นั้นเป็นสมาชิกดำเนินการสอบสวนทางจริยธรรมแห่งการประกอบวิชาชีพ
เป็นที่น่าสังเกตว่า หลัง คสช.พยายามออกมาตรการคุมสื่อไม่ให้วิพากษ์วิจารณ์การทำงานของ คสช.ปรากฏว่า ล่าสุด เมื่อวันที่ 26 ก.ค. คสช.ได้ออกคำสั่งฉบับที่ 108/2557 เรื่อง การตักเตือนสื่อสิ่งพิมพ์ซึ่งฝ่าฝืนข้อห้าม โดยอ้างว่า ตามที่ คสช.ได้ออกประกาศฉบับที่ 97/2557 และฉบับที่ 103/2557 ห้ามมิให้ผู้ประกอบกิจการหรือผู้ให้บริการด้านสื่อมวลชนทุกชนิดนำเสนอหรือเผยแพร่ข้อมูลข่าวสารไปสู่ประชาชนด้วยข้อมูลอันเป็นเท็จ อันส่งผลกระทบต่อความสงบเรียบร้อยของสังคม ปรากฏว่า หนังสือพิมพ์ผู้จัดการสุดสัปดาห์ ฉบับที่ 253 วันที่ 26 ก.ค. - 1 ส.ค. 2557 ได้ตีพิมพ์ข้อความหลายเรื่องด้วยข้อมูลอันเป็นเท็จโดยมีเจตนาไม่สุจริต เพื่อทำลายความน่าเชื่อถือของ คสช. ถือว่าเป็นการฝ่าฝืนหรือไม่ปฏิบัติตามประกาศของ คสช.ดังกล่าว ในชั้นนี้เห็นสมควรตักเตือนผู้เขียนบทความ บรรณาธิการผู้พิมพ์ผู้โฆษณา ของหนังสือพิมพ์ดังกล่าว หากฝ่าฝืนอีกจะดำเนินการตามกฎอัยการศึก ซึ่งมีผลบังคับใช้ตั้งแต่วันที่ 20 พฤษภาคม 2557 เป็นต้นมา และส่งให้พนักงานเจ้าหน้าที่ดำเนินการตามกฎหมายด้วย
ทั้งนี้ คสช. ได้สั่งให้องค์กรวิชาชีพสื่อสอบสวนทางจริยธรรมแห่งการประกอบวิชาชีพกับบุคคลที่เกี่ยวข้อง แล้วรายงานผลการดำเนินการให้ คสช.ทราบโดยเร็ว เป็นที่น่าสังเกตว่า คำสั่งของ คสช.ที่อ้างว่า ผู้จัดการสุดสัปดาห์ตีพิมพ์ข้อความหลายเรื่องด้วยข้อมูลอันเป็นเท็จ แต่ คสช.กลับไม่ยอมระบุว่าข้อความส่วนใดบ้างที่เป็นเท็จ ทั้งยังไม่ยอมชี้แจงว่าหากเป็นเท็จ แล้วเรื่องจริงเป็นอย่างไร
ด้านนายจักร์กฤษ เพิ่มพูล ประธานสภาการหนังสือพิมพ์แห่งชาติ โพสต์ข้อความผ่านเฟซบุ๊กเมื่อคืนวันที่ 26 ก.ค.หลัง คสช.ออกคำสั่งตักเตือนผู้จัดการสุดสัปดาห์ พร้อมสั่งให้สมาคมสื่อฯ สอบจริยธรรมว่า กระบวนการสอบข้อเท็จจริงต้องเป็นไปตามธรรมนูญสภาการหนังสือพิมพ์แห่งชาติ คือ คสช.ในฐานะผู้ร้องเรียน ต้องแจ้งเป็นหนังสือพร้อมด้วยพยานหลักฐานที่ชัดเจนว่า ผู้ถูกร้องเรียนละเมิดจริยธรรมในเรื่องใด เพื่อให้คณะกรรรมการสอบสวนตามประเด็น และว่า คณะกรรมการสภาการหนังสือพิมพ์แห่งชาติ จะพิจารณาคำสั่ง คสช.อย่างละเอียดรอบคอบอีกครั้งในการประชุมวันที่ ๒๙ ก.ค.นี้ แต่ในฐานะส่วนตัว ยืนยันตามที่ได้ให้คำมั่นกับปลัดกระทรวงกลาโหม ในฐานะตัวแทน คสช.ว่า เราจะทำหน้าที่อย่างสุจริต ตรงไปตรงมา และจะไม่ปกป้องกันเองอย่างเด็ดขาด หากปรากฏว่าหนังสือพิมพ์ผู้จัดการสุดสัปดาห์ กระทำละเมิดหรือประพฤติผิดจริยธรรมแห่งวิชาชีพข้อใด สภาการหนังสือพิมพ์แห่งชาติจะดำเนินการตามบทบาทหน้าที่อย่างเต็มที่ และจะแจ้งผลการพิจารณาให้ผู้ร้องเรียนทราบโดยเร็ว